ฉันกับคนข้างตัวชอบการเดินทางเรื่อยเปื่อยมาก แบบขับรถไปเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ ค่ำไหนนอนนั่น มีกินก็กิน ไม่มีกินก็อด ไปกัน 2 คน ตายายแบบนี้ แฮปปี้ดีที่ซู้ด ไม่ต้องรบกวนใคร ไม่ต้องดูแลใคร ทำตัวเหมือนนกขมิ้นเหลืองอ่อน
3 ปีที่ผ่านมาในญี่ปุ่น เรา 2 คนควบรถกระป๋องขึ้นเหนือล่องใต้ ไปFukushima มา 2 รอบ / ไปโอซาก้า-โกเบ-โอกายามา / และเมื่อช่วงสัปดาห์ทองของปีนี้ที่ผ่านมา ก็ไปทากายาม่า...แล้วถ้าหากฉันมีเวลา และแรงอึดสู้ ฉันจะค่อย ๆ เค้นสมอง ดึกความจำที่ถูกฝังลืมในส่วนซีรีบรัมออกมาเขียนบอกกล่าวเล่าสิบให้ได้ฟังกัน....
ฉันง้าง ๆ จะฝอยโครงการนี้มาหลายอาทิตย์ดีดัก...ย่อรูปไว้ก็มาก แต่จนแล้วจนรอดก็ยังหาเวลางาม ๆ เหมาะ ๆ ไม่ได้ซักที (มัวแต่ห่วงขุดทอง) มาวันนี้ประจวบเหมาะ เพราะคนข้างตัวตื่นไปประชุมที่Ginzaแต่เช้า เพราะอีกเร็ว ๆ นี้คุณชายเธอต้องไปทัศนศึกษาที่เมืองฝาหรั่งอีกแล้ว...ช่วงนี้เธอยุ่งจัด ปล่อยเธอไป.....
วันนี้ตื่นขึ้นมา 9 โมงกว่า มาล้างจานชามของเมื่อวานที่คนข้างตัวทำพาสต้าทานทิ้งไว้ เก็บขยะเปียกไปทิ้ง ซักผ้า-ตากผ้า อัดเสียง แล้วก็ลงไปต้มมาม่าขึ้นมาทาน พร้อมกับตะแล๊บแก๊ปไปคุยกับแม่ที่เมืองไทย แม่ว่าปีหน้าท่านอาจจะมาญี่ปุ่น หรือไปเมกา..ยังไม่แน่ แต่พ่อว่าอยากจะมาเยี่ยมฉันที่ญี่ปุ่นมากกว่า ดีจาย ๆๆๆๆ คุยกันตามประสาแม่ลูกกระหนุงกระหนิง จนท่านว่าจะไปหาข้าวปลามื้อกลางวันให้พ่อทานนั่นแหล่ะ ถึงได้วางสาย
ฉันเคยบอกคนข้างตัวว่า อยากจะตระเวนเที่ยวให้ทั่วเกาะญี่ปุ่น เท่าที่กำลังทรัพย์อันกระจิ๊ดริ๊ดของเราจะทำได้...คือไปแบบประหยัด พักโรงแรมถูก ๆ แบบไม่เน้นความฮะรูฮะราอลังการ ไม่ต้องมีออนเซน อาบน้ำแร่แช่น้ำนม (เพราะฉันไม่ชอบลงบ่อน้ำร้อน กลัวไขมันละลาย ) แต่ขอเน้นอาหารแทน ซึ่งคนข้างตัวก็ไม่ขัดข้อง เพราะปกติดองเค็ม ขี้เกียจอาบน้ำด้วยกันทั้งคู่
ด้วยเหตุนี้ เดือนพฤษภาของปีนี้ เราจึงควบพาหนะคู่ใจบึ่งตลุยไป Shirakawago และมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ Takayama City (Little Kyoto) อยู่ในเขตจังหวัด Gifu
คนข้างตัวของฉันมีดวงขัดลาภของตัวเองอยู่เสมอ คือหากจะได้ฤกษ์งามยามดีทำอะไรสักอย่าง คุณชายเป็นต้องมีดวงอาภัพเข้ามาขัดฤกษ์นั้น อย่างเช่น ปีที่แล้ว จะไปเมืองไทยเพราะลูกพี่ลูกน้องฉันแต่งงาน ตกลงกันเรียบร้อยอย่างดิบดี คุณชายก็มีงานด่วนต้องไปช่วยประธานาธิบดีบุชไล่จับterrorists/ ต้นเดือนนี้ต้องย้ายเล้า คุณชายก็ต้องไปเมืองอีหรอบ....ทำเอาวัยรุ่นเซ็ง แล้วพอตั้งใจว่าจะไป Shirakawago กันแต่เช้า คุณชายก็จำต้องส่งเมลเรื่องงาน 4 ฉบับ.....ที่ซึ่งกว่าจะยุรยารทเคลื่อนขบวนกันออกจากบ้านได้ ก็ปาเข้าไปบ่ายแก่ ๆ กว่า ๆ
ควบรถกระป๋องขึ้นตามทางด่วน...ไปเรื่อย ๆ ลงมั่งขึ้นมั่ง กว่าจะไปถึงเขตจังหวัดกีฝุก็ตะวันตกน้ำปุ๋งไปแล้ว ต่างจังหวัดอย่างนั้นหากค่ำลง ถนนหนทางก็มืดหมด จะหาเสาไฟแรงม้าสว่างไสวอย่างในเมืองก็ยาก มีแต่แรงมด...แถมเสาแต่ละต้นก็อยู่ห่างกันลิบ ๆ คุณชายมีแผนที่ของเรียวคัง (รร.ญี่ปุ่น) ที่พริ้นท์ออกมาจากทางเวบอยู่ในมือ ต้องจอดรถเป็นระยะ ๆ เพื่อสำรวจเส้นทาง จาก 1 ทุ่ม ผ่านไปเป็น 2 ทุ่ม เป็น 3 ทุ่ม....ก็ยังหาทางเข้าเรียวคังที่จองผ่านเนตไว้ไม่ได้ ต้องโทรศัพท์เข้าไปถามเส้นทางเรื่อย ๆ พร้อมกับขอโทษขอโพยในความล่าช้านี้...เพราะทางเรียวคังต้องเก็บอาหารไว้ให้เรา....
กว่าจะยักย้ายส่ายสะโพกเดินเข้าเรียวคังแถวเปลี่ยวสงัดได้ ก็ปาเข้าไป 4 ทุ่มกว่า คนข้างตัวไขกระจกลง ตะโกนถามคุณยายวัย 70 ว่า
"ที่นี่ใช่เรียวคัง.....มั้ยครับ ผม...ยอดชายนายกะทาจองไว้สำหรับ 2 คนครับ"
ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อคุณยายบอกว่ารออยู่...เมื่อขนสัมภาระขึ้นไปเก็บไว้บนห้องขนาด 6 เสื่อ บนชั้น 2 ของเรียวคังเรียบร้อย ยังไม่ทันลงมือเปลี่ยนเสื้อผ้าเสื้อผ่อน คนข้างตัวก็รุนหลังให้ฉันรีบลงไปทานอาหารค่ำโดยเร็ว เพราะเกรงใจคุณยายที่อุตส่าห์อดตาหลับขับตานอนมานั่งรอแขก 2 คนสุดท้ายอย่างเรา
เป็นอย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ว่า เรียวคังของญี่ปุ่นจะเป็นที่พักที่เหมาหัวแขกรายคน คือ 1 คืน / อาหาร 2 มื้อ (ค่ำ-เช้า) / 1 คน ตกราคาเท่าไหร่...โดยที่แขกไม่ต้องอนาทรร้อนใจไปหาร้านอาหารกินที่ไหนเลย..ทุกอย่างเสร็จสรรพ....อาหารดึกคืนนั้นชุดใหญ่จริง ๆ เพราะกินกันไม่หมด...คนข้างตัวฉันหมายมั่นปั้นท้องว่าจะไปกินเนื้อที่ขึ้นชื่อของทางนั้น คือเนื้อHida-Gyuu มาก ซึ่งคุณยายก็เตรียมไว้ให้นั่นแหล่ะ แต่คงใช้ส่วนที่แห้งที่สุดของวัวมาให้เราทาน...คือไม่มีมันติดเลย...Hida-gyuu มื้อแรกเลยแข็งไปหน่อย เคี้ยวอยู่นาน..
หากไปพักเรียวคังตามต่างจังหวัด 1 ในเมนูหลัก ๆ ที่ไม่เคยพลาดเลยก็คือปลาน้ำจืดตัวเล็ก ๆ (ขนาดเท่ากับปลาทูเข่งละ 10 บาท) ที่เรียกว่าปลาAyu เป็นปลาที่อาศัยอยู่ได้ในแม่น้ำที่สะอาดเท่านั้น กรรมวิธีที่นำมาทำอาหารนั้น ที่หลัก ๆ ก็มีโปะเกลือ (ไม่ใช่โรย...ต้องเรียกว่าโปะ) แล้วย่าง กับต้มในซีอิ้วและน้ำตาล
อีกเมนูนึงคือเมนูผักภูเขา เนื่องจากสภาพภูมิประเทศของญี่ปุ่น แคบและยาว แผ่นดินภายในทวีปจะเป็นภูเขาส่วนใหญ่ พื้นที่ราบลุ่มแบบเมืองไทยไม่ค่อยมี พ้นจากเขาไปก็ติดทะเลเลย ฉะนั้นคนญี่ปุ่นจึงนิยมเก็บผลผลิตจากเขามาเป็นอาหารเสียมาก ขอเรียกผักภูเขารวม ๆ ว่า Sansai (山菜) แล้วแต่ว่าจะนำมาทำอะไร บ้างก็ชุบแป้งทอดเป็นเทมปุระ บ้างก็ต้มนำมาทานเคียง บ้างก็ใส่ในซุป บ้างก็ใส่หุงพร้อมไปกับข้าว ฯลฯ
อาหารค่ำมื้อนี้ ไม่จ๊าบถูกใจเราเท่าที่ควร คือคุณยายต้องการหาวัสดุมาคิดเมนูอาหารให้ได้เยอะ ๆ แต่บางเมนูอย่างเต้าหู้-ไข่ดาวจานร้อนเนี่ย เป็นอะไรที่ทำกินทางที่บ้านก็ได้ ใช่ป่ะคะยายขา.....ที่ซึ่งคนข้างตัวของฉันไม่แตะเลย (เพราะปกติเขาก็ไม่ทานไข่ดาวอยู่แล้ว)
ที่ฉันคิดว่าอร่อยเข้าท่าเข้าทีหน่อยก็เห็นจะเป็นผักภูเขาชุบแป้งทอด จิ้มกินกับเกลือผสมเครื่องเทศ แต่ต้องโทษที่เรามาดึกกันเอง ผักที่กรอบเริ่มหยูดย้วย เคี้ยวไม่กรุบ ๆ กร้วม ๆ อีกแล้ว
เมื่อทานเสร็จก็ร้อง "โกจิโซซามะ เดชิตะ" แวะเคาะประตูห้องคุณยาย บอกขอบคุณสำหรับอาหารมืออร่อย (ไขว้นิ้วไว้ข้างหลัง) แล้วก็เดินขึ้นไปนอนเอาแรง น้ำท่าไม่ต้องอาบมัน เพราะเหนื่อยเหลือเกิน แค่แปรงฟันอย่างเดียวก็แทบจะไม่มีแรงแล้ว โดยเฉพาะคนข้างตัวฉัน เพราะเค้าขับรถมือเดียว ฉันขับรถไม่เป็นเลยไม่สามารถช่วยเปลี่ยนมือได้
ตอนเช้าตื่นขึ้นมาราว 6 โมงกว่า ฉันรีบเปิดหน้าต่างออกไปดูทิวทัศน์ที่เมื่อคืนถูกบดบังด้วยความมืดของราตรีกาล เบื้องหน้าเป็นทิวเขาตั้งตระหง่านทอดตัวยาวไปจรดขอบฟ้า ท้องทุ่งนาเริ่มมีสีเขียวของหญ้าใหม่แซมผุดขึ้นมาประปราย
เมื่อทำกิจวัตรประจำวันช่วงเช้าเสร็จแล้ว เราก็รีบลงไปห้องอาหารเพื่อทานอาหารเช้ากัน ได้โอกาสสำรวจห้องอาหารขนาดครัวเรือน เป็นห้องขนาด 20 เสื่อตาตามิ (หรืออาจจะใหญ่กว่านั้นนิดหน่อย) นอกจากโต๊ะของเราแล้ว ยังมีอีกโต๊ะนึงที่คุณยายเตรียมอาหารเช้าไว้ให้
มื้อเช้านี้ถูกใจฉันที่สุด ไม่ใช่ไข่ดิบที่ตอกราดบนข้าวสวยร้อน ๆ หรอก...เพราะฉันไม่ทานไข่ดิบอยู่แล้ว ฉันหมายถึง hoba miso yaki ของขึ้นชื่อของเมือง Takayama ต่างหาก ลักษณะคือ มิโสะผสมน้ำตาลออกรสหวานและโรยหน้าด้วยต้นหอมซอยตักใส่ใบmagnolia สีน้ำตาลใบใหญ่ย่างไปบนเตาไฟ เมื่อมิโสะเดือดปุด ๆ ก็ตักราดบนข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยอย่าบอกใครเลย
ปลาAyuรสชาติกำลังดีทีเดียว ไม่แข็งจนเกินไป ฉันถามคนข้างตัวว่าคุณยายทำเองหรือเปล่าเนี่ย เขาว่าคงจะซื้อเป็นแพ๊ค ๆ จากตลาดมามากกว่า เพราะแขกที่มาพักมีไม่มาก คงไม่ลงทุนทำเองแน่ ๆ
ข้าวสวยนั้นคุณยายยกมาหม้อนึง ให้เติมกันได้ตามใจชอบ แต่เช้า ๆ อย่างนี้คงจะเติมไม่ไหวแน่ เพราะปกติบ้านฉันไม่เคยทานอาหารมื้อเช้ากัน.... เมื่อทานอาหารเสร็จเรียบร้อย จ่ายเงินค่าที่พัก ร่ำลากับหลายชายตัวเล็ก กับหลานสาวตัวน้อยของคุณยายที่ออกมายืนโบกมือลาหยอย ๆ อยู่หน้าเรียวคังแล้ว เรา 2 คนก็เดินทางกันต่อไป ขับรถคดเคี้ยวไปตามอ่างเก็บน้ำ จอดเป็นระยะ ๆ เพื่อลงสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด จุดไหนสวย ก็ชักภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก
สาย ๆ หน่อยเราก็มาถึงจุดหมายปลายทางแห่งแรก นั่นก็คือ Shirakawago Village ฉันขอเรียกเป็นหมู่บ้านแล้วกัน เพราะมีพื้นที่เล็ก ๆ ไม่ถึงขนาดจะเรียกเป็นเมืองได้ หมู่บ้านนี้เป็นหนึ่งใน World Heritage ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ ลักษณะที่เด่นของหมู่บ้านนี้คือ บ้านที่สร้างแบบ Gassho Tsukuri (合掌作り) บ้านสร้างด้วยไม้ และหลังคามุง...อะไร รูปทรงคล้ายมือที่พนมไหว้ (Praying Hands)
เราขับรถผ่านทางเข้าหมู่บ้าน ขึ้นไปยังจุดชมวิวสูง ฉันบอกคนข้างตัวว่าไปจอดไกลหน่อยดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสียตังค์ค่าจอดที่คิดเป็นรายชั่วโมง เห็นบรรยากาศดูบ้านนอกแบบนี้ก็เถอะ ที่จริงเป็นจุดท่องเที่ยวอย่าบอกใครเลย นักท่องเที่ยวทั้งฝรั่งหัวแดง หัวทอง เอเชียหัวดำ ส่งภาษาอากงอาม่าดังกระหึ่มไปทั่ว รถทัวร์คันเบ้ง ๆ เข้ามาจอดเรียงรายเป็นตับ
เมื่อจอดรถเสร็จสรรพ เราก็เดินย้ายลงมาข้างล่างตามเส้นทางฮิต...เพื่อเข้าไปในตัวหมู่บ้าน เป็นที่น่าทึ่งอย่างหนึ่งคือ ถึงแม้จะถูกอิทธิพลของโลกภายนอกเข้าคุกคาม Shirakawagoวันนี้ก็ยังคงไว้ซึ่งความงดงามตามธรรมชาติได้ดีเยี่ยม การสร้างบ้านเป็นไปอย่างมีแผนผัง มีระเบียบ คูคลองที่ขุดเล็ก ๆ ก็มีปลาคาร์ปตัวโตว่ายเวียนไปมา น้ำใสแจ๋วจนมองเห็นสาหร่ายพริ้วไหว ๆ ตามระลอกคลื่น มีร้านขายลูกชิ้นปิ้ง (Dango) ที่นักท่องเที่ยวต่อคิวยาวเหยี่ยด ไม้ละ 3-40 เยน คนข้างตัวของฉันก็ไปต่อคิวซื้อเหมือนกัน รสชาติสยึ๋มกึ๋ยมาก...เพราะจุ่มลงไปในซีอิ้วเค็ม ๆ แล้วเอามาย่างไฟ เป็นที่น่าสังเกตคือ หลายบ้านจะแขวนพริกแห้งไว้หน้าบ้าน....ฉันไม่แน่ใจว่าแขวนเอาเคล็ด หรือชาวบ้านนิยมนำพริกมาปรุงเป็นอาหาร
ร้านขายของที่ระลึกมีติด ๆ กันหลายร้าน เล็กบ้างใหญ่บ้าง ราคาประมาณกันหมด จะมีบางร้านที่พิเศษเป็นของที่ทำจากมือ ส่วนใหญ่เป็นพวกงานไม้ แกะสลัก แต่ราคาก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ฉันไม่ได้ซื้อมาหรอก เพราะไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร (ดีไม่ดีก็ซื้อมาเก็บและกลายเป็นขยะในที่สุดอีก)
คนข้างตัวชวนฉันเข้าไปดูพิพิธภัณฑ์ในบ้านหลังหนึ่ง ที่อนุรักษ์ข้าวของสมัยเมื่อร้อย ๆ ปีที่ผ่านมาไว้ได้อย่างครบถ้วน เราต้องเสียเงินค่าชม (ฉันจำราคาไม่ได้แล้ว แต่ไม่แพง) ชั้นล่างเป็นพวกถ้วยชามรามไห ฉากเขียนลาย และมีวีดีโอฉายให้ดู มีคนเข้าเยี่ยมชมหลายคนเหมือนกัน....
จากนั้นก็ปีนบันไดลิงขึ้นไปชั้น 2-3 จริง ๆ มีถึงชั้น 4 แต่เขาปิดไว้
ข้าวของที่วางไว้ชั้น 2 -3 นั้นส่วนใหญ่เป็นของที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือในการทำนา เคียวเกี่ยวข้าว มีดพร้า คันไถ ไปจนถึงกี่ทอเสื่อ โหลแก้วดักแมลงวัน และป้ายไม้ที่เขียนจำนวนเงินที่ยืม และซื้อขาย
สิ่งที่ประทับใจของฉันอีกอย่างหนึ่งคือ ห้องน้ำ ดูสภาพชนบทแบบนี้เถอะ แต่ห้องน้ำสวยอย่าบอกใครเลย จากรูปลักษณ์ภายนอกของสิ่งปลูกสร้างชวนให้หลับตานึกถึงส้วมซึมแบบนั่งยอง ๆ มีโอ่งเล็ก ๆ พร้อมกับขันไปจ้อยไว้สำหรับตักน้ำเมื่อเสร็จภารกิจ แต่ที่ไหนได้เมื่อเปิดประตูบานไม้เข้าไป ทุกอย่างทันสมัยหมด เครื่องสุขภัณฑ์สะอาดเอี่อมอ่อง ขนาดฝาครอบโถนั่งยังมีเครื่องปรับอุณหภูมิเลย
ฉันเดินเตร็ดเตร่แถวนั้นอีกหน่อย แหงนมองดูฟ้า เมฆฝนลอยมาลิบ ๆ ตั้งเค้าส่อว่าจะหนักไม่เบา
ก่อนที่มันจะเทลงมา ฉันและคนข้างตัวก็ชวนกันเคลื่อนรถกระป๋องเข้าตัวเมืองTakayama แต่ก่อนที่จะจากสถานที่นี้ คนข้างตัวฉันเหลือบตาไปเห็นซุ้มเล็ก ๆ ทำเป็นเพิงขายเนื้อเสียบไม้ปิ้ง ป้ายเขียนบอกกำกับไว้ว่าเป็นเนื้อHida ราคาไม้ละ 300 เยน (หรือ 400 เยน ฉันจำได้ไม่แม่นซะแล้ว) คนข้างตัวฉันตาลุกวาวเหมือนได้ของเล่นที่สบใจ รีบควักกระเป๋าควานหาเศษตังค์กรุ๊งกริ๊ง เดินรี่เข้าไปซื้อมา 2 ไม้ ไม่ลืมที่จะเหยาะพริกป่นแล้วส่งมาให้ฉันไม้นึงด้วย โอ้ว......อร่อยมั่ก ๆ เนื้อนุ่ม แทบจะละลายในปากเลย หอมปนกลิ่นถ่านนิด ๆ ผิดกับเนื้อเมื่อคืนอย่างลิบลับเลย
เมื่ออำลาShirakawago ทิ้งความสวยงามอย่างชนบทไว้เบื้องหลัง เรา 2 คนก็มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมือง ฝนเทลงมาอย่างกระหน่ำเหมือนท้องฟ้ารั่ว เปิดที่ปัดน้ำฝนสปีดสูงสุดกับยังแทบมองไม่เห็นทางข้างหน้า ขับลัดเลาะไประหว่างเขา อันตรายพอดู ฉันนั่งหลับคอพับคออ่อน สุดท้ายคนข้างตัวฉันตัดสินใจพักรถที่จุดใกล้ ๆ อ่างเก็บน้ำที่หนึ่ง ฉันเดาว่าเป็นเหมือนสำนักงานไฟฟ้าฝ่ายภูมิภาค (หรือใกล้เคียง)
"พี่หมูจะลงไปกดกาแฟมากินหน่อย แล้วจะเข้าห้องน้ำด้วย น้องหมูจะลงมาด้วยมั้ย"
"ไม่เอาน่ะ ง่วงนอน" ฉันตอบเสียงงัวเงีย
คนข้างตัวหายไปพักใหญ่ จนฉันรู้สึกตัวตาสว่าง จึงเปิดประตูรถเดินลงไปตาม โทรศัพท์เรียกหาเขา
"อยู่ไหนน่ะ พี่หมูขา"
"อยู่ในอาคารข้างหน้า นี่ ๆ มีโรงอาหารด้วยนะ มีที่ขายของที่ระลึกด้วย มาดูมั้ย"
"ดู ๆ แล้วรถทำยังไงอ่ะ"
"เดียวพี่หมูออกไปล็อคนะ"
ตอนนั้นฝนเริ่มซาเม็ดแล้ว เข้าไปดูภาพที่ติดบรรยายถึงประโยชน์ที่ได้จากอ่างเก็บน้ำ ที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า แล้วคนข้างตัวก็ไปยืนอยู่หน้าเมนูอาหารขนาดใหญ่ อาหารที่แนะนำของวันนี้มีให้เลือก 3 เซ็ต เขาชักชวนฉันทานมื้อกลางวันแก่ ๆ ที่นี่ ฉันว่าฉันยังไม่หิวเลย (เพราะไม่ได้ทำอะไรนอกจากนอน) แต่ดูแล้วท่าทางเขาอยากกิน เพราะในเมนูเขียนว่ามี Hida-Gyuu เราเลยสั่งมา 1 ชุดแล้วทานด้วยกัน
เนื้อนุ่มมาก และมิโสะที่ผสมลงมาก็รสชาติกลมกล่อมกำลังพอดี ข้าวที่หุงกับผักภูเขาก็หอมกรุ่น ราคาไม่แพง...เป็นมื้อกลางวันที่แสนประหยัดของเรา 2 คน
จากนั้นก็ไม่ได้แวะที่ไหนอีกเลย..จนเข้าที่พักในเรียวคังที่จองไว้ในเมืองtakayama
mahalo
Create Date : 12 พฤศจิกายน 2548 |
|
0 comments |
Last Update : 4 พฤษภาคม 2549 13:28:15 น. |
Counter : 1160 Pageviews. |
|
|