Photobucket - Video and Image Hosting
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
15 สิงหาคม 2551
 
All Blogs
 
Summer Vacation 2008 in Town

วันหยุดฤดูร้อนปีนี้ฉันติดแหง่กไปไหนไม่รอด เพราะตาอ้วนไม่เห็นด้วยกับการอุ้มแตงใบโตไปตะลอนๆเที่ยวหัวเมือง ฉันอุตส่าห์วางแผนเสียดิบดีว่าจะไปแอ่วถนนสายโรแมนติกแถวๆKaruizawaเสียหน่อยเถอะ สู้ไม่ยอมบอกตาอ้วนด้วยว่าตอนไปอบรมความพร้อมเป็นคุณแม่ คุณพยาบาลก็ห้ามมาทีแล้วว่าไม่ควรไปเที่ยวต่างจังหวัด เพราะว่าจะหารพ.ที่มีแผนกสูตินรีเวชยาก ให้เที่ยวอยู่แต่ในเมืองจะปลอดภัยกว่า มาเจอด่านสกัดดาวรุ่งพุ่งแรงอีกดวงอย่างตาอ้วน ฉันก็ทำใจไว้แล้วแต่เนิ่นๆว่า วันหยุดฤดูร้อนปีนี้จะนอนตีพุงแข็งๆอยู่ที่บ้าน

หม่าม้าย้ำคิดย้ำทำบอกเป็นครั้งที่ร้อยว่าให้เก็บห้องตัวเล็กเสียที (มันเป็นห้องที่เราสองคนใช้เก็บของมาตั้งแต่ซื้อคอนโด) เพราะหากตัวเล็กออกมาดูโลกเมื่อไร คงจะอลหม่านกันทั้งฉันกับตาอ้วน แล้วก็พาลจะไม่มีที่ให้ตัวเล็กสถิตย์ จริงๆอยากจะบอกหม่าม้าว่าที่ให้ตัวเล็กสถิตย์น่ะมีแล้ว (ห้องนอนปัจจุบัน) แต่ที่จะให้พ่อตัวเล็กสถิตย์น่ะ ยังไม่มี...หากเตรียมการไม่ทันก็นู่นเลย...หน้าทีวีห้องนั่งเล่น

Photobucket

ฉะนั้นพอตาอ้วนเริ่มมีวันหยุดตั้งแต่เสาร์ที่ 9 ฉันก็เริ่มกระทุ้งให้ตาอ้วนเก็บกวาดสะสางสังคยนาห้องเสียที กว่าจะเผาหัวเทียนให้ร้อนได้ที่ ก็ปาเข้าไปวันจันทร์ แล้วพี่แกก็เก็บๆหยุดๆ หาเรื่องเลื้อยนอนได้ตลอดทั้งวัน จนแล้วจนรอดตอนนี้ก็ยังเก็บห้องตัวเล็กไม่เสร็จ มิหนำซ้ำะตาอ้วนยังชวนฉันไปเปลี่ยนที่นอนตีพุงอีกด้วย

การด่วนตัดสินใจของตาอ้วนทำให้ฉันลุ้นเสียแทบประสาทจะกินมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ครั้งนี้ก็เหมือนกัน จู่ๆพี่แกก็ชวนไปหาโรงแรมนอนเปลี่ยนบรรยากาศ มีข้อแม้ว่าห้ามเป็นต่างจังหวัด (ตามเหตุผลที่เกริ่นไว้ตอนต้นนั่นแล) มาตัดสินใจเอาป่านนี้ ยังจะมีโรงแรมเหลือช่วงวันหยุดฤดูร้อนอีกเหรอ

ปีที่แล้วจู่ๆตาอ้วนก็หอบคู่มือการใช้สวัสดิการที่บริษัทแจกให้พนักงานกลับมาเล่มใหญ่ (ใหญ่และหนาพอๆกับสมุดหน้าเหลืองเลย) บอกฉันว่าบริษัทให้สวัสดิการแก่พนักงานปีละ 120,000 พอยต์ เป็นพอยต์ที่ไม่สามารถแลกคืนเป็นเงินได้ และไม่สามารถสะสมข้ามปีได้ ฟังดูเข้าทีแฮะ....แต่ปีที่แล้วมีเรื่องวุ่นๆเข้ามา จนแล้วจนรอดหลังจากหักค่าอาหารกลางวันที่canteenของบริษัท (ใช้พอยต์ลดร่วมกับเงินสด) กลายเป็นว่าตาอ้วนเหลือ 9 หมื่นพอยต์ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรและเสียไปเปล่าๆปลี้ๆ เพราะเงื่อนไขของการใช้พอยต์มีข้อจำกัด และซับซ้อนเหลือหลาย ซึ่งฉันสรุปได้แบบง่ายๆว่า อย่าริอาจเอาพอยต์ไปใช้ทำอะไรเลยนอกจากจองโรงแรมนอน และเที่ยว ไม่งั้นจะปวดกบาลในการคิดเป็นอย่างยิ่ง

Photobucket

ด้วยเหตุดังนี้วันจันทร์ที่ 11 ที่ผ่านมาตาอ้วนเลยเริ่มเช็คwebsiteของ benefit station และไล่หาโรงแรมที่พักในเขตโตเกียว และโยโกฮาม่า (ไกลกว่านี้พี่แกไม่พาไปง่ะ) เถียงกันไปเถียงกันมา ก็ตัดข้อเลือกในโตเกียวออกไป (หุหุหุ...แบบว่ายังไกลบ้านอยู่ดี) แล้วมาโฟกัสที่โยโกฮาม่าที่เดียวพอ สำหรับโรงแรมในโยโกฮาม่าที่ดีๆจ๊าบๆติดแหล่งท่องเที่ยวมันก็มีไม่มากนัก อย่ารอช้า ตาอ้วนรีบจองโรงแรม Inter Continental Hotel ที่ Minatomiraiในบัดดล แล้วก็ได้รับข้อความตอบกลับมาว่า ห้องพักที่เราจองกันคืนวันพุธที่ 13 และพฤหัสที่ 14 นั้น ว่างแค่คืนเดียว คือ คืนวันพุธที่ 13 (เพราะคนส่วนใหญ่เริ่มหยุดฤดูร้อนกันวันที่ 13-17) คืนวันอังคารที่ 12 ก็ว่าง แต่ฉันไม่ว่าง เพราะติดธุระเสียแล้ว จึงต้องอกหักตามระเบียบ จากนั้นตาอ้วนก็โทรติดต่อขอจองห้องที่ Pan Pacific Hotel และ Royal Park Hotel ผลก็เหมือนเดิมคือว่างแค่หนึ่งคืนเป็นส่วนใหญ่ (หากเราจะยอมใช้เงินสดแทนพอยต์ของbenefit station บางรร.ยังพอหาห้องให้เราได้อีกคืนหนึ่ง...พูดง่ายๆหากใช้พอยต์ก็จะต้องเป็นลูกเมียน้อยหง่ะ) เฮ่อ...เริ่มถอดใจแระ ตาอ้วนว่าลองย้ายโลเกชั่นจากMinatomiraiมาเป็น Yamashita Parkดูดีมั้ย แล้วพี่แกก็โทรถาม Hotel New Grand ก็ยังผิดหวังซ้ำซาก กลายเป็นว่าโรงแรมระดับ 5 ดาวเต็มหมด ฉันเริ่มหงุดหงิดพอสมควร บอกตาอ้วนว่าเก็บพอยต์ไว้ใช้วันที่ 13-15 กันยาแทนดีมั้ย เพราะช่วงนั้นคงไม่high seasonเท่านี้ แต่ตาอ้วนไม่ยอม เพราะกลัวว่าหากท้องฉันใหญ่ขึ้น อุ้ยอ้ายกว่านี้ จะไปไหนมาไหนไม่สะดวก แล้วความพยายามเฮือกสุดท้ายของพี่แกก็สำเร็จ มาได้โรงแรมบ้านๆ ดาวร่วง ที่อยู่ไม่ไกลจาก Hotel New Grand และอยู่หลังสวนยามาชิตะพอดี นั่นคือ Monterey Hotel แต่โรงแรมทริกกี้เล็กน้อย คืนวันที่ 13 ราคาต่อคนราคาหนึ่ง แต่พอคืนที่ 14 ขึ้นไปอีกคนละ 7,000 เยน จากราคาคืนก่อนหน้านั้น แหม...ห่างกันวันเดียวนี่นะ แต่ผีถึงป่าช้าแล้ว จะไม่ฝังก็ยังไงอยู่ (ใช้พอยต์แล้วยังจะบ่นอีกเนอะ) ก็เลยจองไป ห้องstandard twin ฝั่งด้านติดทะเล ราคาที่ว่านี้พร้อมอาหารเช้า

Photobucket

เช็คอินเข้าโรงแรมราวๆบ่าย 3 โมง ฉะนั้นพอบ่ายสองโมงครึ่ง ตาอ้วนก็ควบรถกระป๋องออกจากบ้านขึ้นทางด่วนไป ใช้เวลาราว 15 นาทีเท่านั้น (หากนั่งรถไฟก็ประมาณ 4-5 สถานีเอง) พี่แกยืนกรานที่จะขับรถไป ทั้งๆที่ต้องเสียค่าจอดรถชั่วโมงละ 100 เยน (ที่จอดรถของโรงแรมตกวันละ 2,000 เยน แต่รถกระป๋องที่บ้านหลังคาสูงเกินเหตุ ยัดที่จอดรถชิงช้าสวรรค์ของโรงแรมไม่เข้า) พี่แกว่าเผื่อจะขับรถเที่ยวแถวนั้น แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่ได้ไปไหนเลย เพราะอากาศร้อนสุดๆ

Photobucket

Monterey Hotelมีทั้งหมด 13 ชั้น ล็อบบี้ของโรงแรมสุดแสนจะธรรมดาที่สุด สวยอยู่อย่างเดียวคือโคมไฟระย้า(chandelier) แต่โซฟาและเก้าอี้ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย ตาอ้วนบอกว่าทั้งโรงแรมถูกใจที่สุดเห็นจะเป็นห้องพัก ฉันเห็นด้วย เพราะพื้นที่ค่อนข้างกว้าง (เทียบกับโรงแรมระดับเดียวกันในญี่ปุ่น) ไม่อึดอัด เตียงแบบsemi double 2 เตียงวางแล้วยังรู้สึกสบายๆ ข้อสำคัญวิวดี จากหน้าต่างห้องมองลงมาเห็นสวนยามาชิตะอยู่ข้างหน้า Bay Bridgeอยู่ทางขวามือ และ Osanbashiอยู่ทางซ้ายมือ ห้องน้ำก็มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางเพียงพอ สองคนเข้าพร้อมกันได้สบายๆ amenity setก็ให้มาอย่างละ 2 เซ็ต ถึงสบู่ แชมพูไม่มีแบรนดัง (เลยไม่ได้เอาอะไรกลับบ้านมา นอกจากกิ๊บปากเป็ดพลาสติก) แต่ก็เตรียมไว้พร้อมทุกอย่าง โดยที่แขกไม่ต้องเตรียมอะไรจากบ้านมาเลย มีให้แม้แต่ชุดนอน(ฉันไม่ได้ใช้ เพราะมันหนักไป แต่ตาอ้วนชอบ)และผ้าฟองน้ำไว้ถูตัว(ฉันกับตาอ้วนไม่ได้ใช้ เลยไม่รู้ว่าใช้ดีหรือเปล่า) ฉันได้ห้องพักชั้นที่ 8 ห้องพักแบบstandard twinมีถึงชั้น 9 เลยชั้น 9 ขึ้นไปจะเป็นsuperior twin

เมื่อขนสัมภาระเข้าห้องพัก นอนกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียงได้สักครึ่งชั่วโมง ฉันก็บ่นกับตาอ้วนว่าหิว เลยเดินไปไชน่าทาวน์ ซึ่งใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น (อยู่หลังโรงแรม) หาซื้อซาลาเปามากินคนละลูก ฉันเลือกซาลาเปาไส้หมูแดง ตาอ้วนเลือกซาลาเปาไส้หมูสับ ราคาเท่ากันคือใบละ 500 เยน ซาลาเปาไส้หมูสับของตาอ้วนใบใหญ่กว่าของฉัน แต่ไส้หมูแดงของฉันอร่อยกว่าของตาอ้วน เราสองคนไม่กล้ากินอะไรหนักกว่านี้ เพราะคืนนี้ตั้งใจจะไปดูหนังของGhibliเรื่อง崖の上のポニョกันที่World Porterแล้วก็กะแผนกันว่าจะไปกินมื้อเย็นแถวนั้นด้วยเลย

Photobucket

พอกินซาลาเปาเสร็จก็กลับไปเตรียมตัวที่โรงแรม เตรียมแบกสามขา(tripod)ไปด้วย เพราะกะว่าจะไปถ่ายMinatomiraiยามค่ำคืนเสียหน่อย (เอาเข้าจริงๆไม่ได้ง้างเจ้าสามขาออกมาเลย แบกไปหนักเปล่าๆ) ฉันกับตาอ้วนเดินจากสวนยามาชิตะเลาะริมทะเลไปเรื่อยๆเดินชมนกชมไม้ ไม่รีบร้อนอะไร เพราะแดดร่มลมตก อากาศไม่ร้อนปานน้ำลายเดือด แถมยังได้ลมทะเลพัดคลายร้อนด้วย ก็เดินจูงมือไปสบายๆ สัมภาระทุกอย่างตาอ้วนถือให้หมด ฉันแค่สะพายกระเป๋าสตางค์ และเอากล้องพาดไหล่แค่นั้น ฉันจะบอกตาอ้วนเป็นระยะๆ ให้หันมามองกล้องหน่อย แต่พี่แกไม่ยอมยิ้มให้กล้องเลยง่ะ

Photobucket

เราสองคนเดินมาถึงWorld Porterประมาณ 6 โมงกว่า ตอนที่เช็คWarner MyCalจากที่บ้านเพื่อดูว่ามีPonyoฉายหรือไม่นั้น กะกันว่าจะดูรอบสามทุ่มกว่า แต่เราไปถึงกันไวเกินเหตุ ก็เลยไม่อยากเสียเวลา ดูรอบ 19.20 น. เลย แต่ว่าตั๋วถูกจองไปเกือบหมด จึงต้องนั่งแหงนคอแถวที่ 4 จากด้านหน้า ราคาค่าตั๋วถูกกว่าที่คาด เพราะเผอิญวันนั้นเป็นวันพุธ ตั๋วของสุภาพสตรีเลยลดจาก 1,800 เยน เหลือแค่ 1,000 เยนเท่านั้น ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ญี่ปุ่นได้เกือบ 6 ปี ฉันเพิ่งจะมีโอกาสย่างเท้าเข้าโรงหนังกับเค้าเป็นครั้งแรกเนี่ยแหล่ะ (ปกติที่ไทยก็ไม่ได้ดูหนังบ่อยๆ เพราะฉันไม่ใช่คอหนัง) รู้สึกว่าโรงเล็กๆ โอ่อ่าสู้บ้านเราไม่ได้ ข้าวโพดคั่วก็อร่อยสู้บ้านเราไม่ได้ด้วยหล่ะ (อิอิ ชาตินิยมไปมั้ยเนี่ย) แต่เสียงดังกระหึ่มเชียว เล่นเอาตัวเล็กตกใจเตะพุงฉันตลอด

Photobucket

ดูจนจบเรื่องแล้ว ฉันยังต้องหันไปถามตาอ้วนว่าการ์ตูนเรื่องนี้ต้องการสื่ออะไรเนี่ย มันไม่ชัดเจนเหมือนMono No Ke Hime หรือ Sen to Chihiroเลย มันเหมือนการ์ตูนที่น่ารักน่าเอ็นดูเหมาะสำหรับเด็กประถมทั่วไป เหมือนLittle mermaidของ Walt Disneyเวอร์ชั่นปลาดิบ ทั้งฉันและตาอ้วนก็ไม่เคยดูวิจารณ์การ์ตูนเรื่องนี้มาก่อน แต่ตาอ้วนคิดว่าเรื่องก่อนๆของGhibliจะเน้นhead ส่วนเรื่องนี้เน้นbody หมายถึงเรื่องก่อนๆจะให้แง่คิดที่เป็นนามธรรมที่ต้องใช้สมองขบคิด อย่างMono No Ke Himeจะสื่อให้คนrespect the nature & ancestor ส่วน Sen to Chihiroนั้น สื่อว่ามนุษย์เราต้องมีfamily tieต้องไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง แล้วตัวเอกยังเป็นเด็กผู้หญิงทั้งนั้น มาเรื่องนี้ตัวเอกเป็นเด็กผู้ชาย ฉันแย้งว่าPonyoเป็นตัวเอกนะ แต่ตาอ้วนว่าการดำเนินเรื่อง การสื่อความหมายนั้นไม่ได้ทำผ่านPonyoแต่ผ่านSotsukeต่างหาก ในความคิดของตาอ้วน Ponyoต้องการสื่อความมีชีวิตชีวาของชีวิต มากกว่าจะต้องขบคิดอะไรที่เป็นเหตุเป็นผล(logic) ตาอ้วนชอบPonyoนะ เพราะพี่แกเรียกตัวเล็กว่าPonyoไม่ขาดปากเลย สงสัยลูกสาวฉันจะมีชื่อเล่นว่าPonyoก็คราวนี้แหล่ะ

Photobucket

หนังเลิกราวสามทุ่มกว่า ฉันกับตาอ้วนเล็งร้านอาหารกันไว้ 2 ร้าน คือ อาหารเม็กซิกัน กับอาหารอินโดนีเซีย แล้วตาอ้วนก็เทใจให้อาหารอินโดนีเซียมากกว่า เราเลยทานมื้อเย็นกันที่ร้านSurabaya บริกรเป็นคนอินโดนีเซียแทบทั้งสิ้น แต่เจ้าของเป็นคนญี่ปุ่น ร้านตกแต่งสวย เพราะเน้นลูกค้าคนญี่ปุ่น รสชาติอร่อยใช้ได้ แต่ฉันไม่รู้ว่าจะอร่อยสำหรับคนอินโดนีเซียหรือเปล่านะ อย่างร้านอาหารไทยที่เน้นกลุ่มลูกค้าคนญี่ปุ่น รสชาติก็จะไม่แซ่บเท่าร้านอาหารไทยที่เน้นลูกค้าคนไทย คือรสชาติอาหารจะถูกดัดแปลงให้เข้ากับลิ้นคนญี่ปุ่นมากกว่า เพื่อนฉันบอกว่าร้านอาหารไทยBangkok Kitchen รสชาติออกหวานจนขนลุกเลย ซึ่งไก่สะเต๊ะของSurabayaก็หวานจ๋อยเหมือนกัน (หวานกว่าสะเต๊ะของบ้านเรา) อาหารราคาไม่แพง แต่มาปริมาณไม่มาก เราสั่งอาหารมา 5 อย่างสำหรับกินสองคน ยังรู้สึกว่าไม่อิ่มขนาดพุงแตกเลย ตบท้ายด้วยของหวานซึ่งเป็นกล้วยหอมชุบแป้งทอดกินกับไอติมกะทิ จานนี้อร่อยมาก ฉันกินจนลืมน้ำหนักไปเลย

Photobucket

แล้วเราก็เดินกลับโรงแรม เดินขามาใกล้กว่าขากลับ เพราะตาอ้วนพยายามหาเส้นทางใหม่ แต่สุดท้ายพี่แกก็พาวกวนแบบยี่สิบนาทีผ่านไปยังเดินไม่พ้นWorld Porterเลยให้ตายสิ เดินยังไงไม่รู้ รู้แต่ว่าพี่แกจะพาฉันเดินออกไปสถานีSakuragichoท่าเดียว คืนนี้หัวถึงหมอนหลับเป็นตาย อุตส่าห์เอาหนังสือGreek and Roman Mythologyมาด้วย กะอ่านฆ่าเวลา ที่ไหนได้อ่านเรื่องของ Heracles (Hercules) ไปได้ 1 ย่อหน้า เอ๊ะ...ทำไมมันวนเวียนอยู่บรรทัดเดิม ที่ไหนได้ฉันไปเฝ้าพระอินทร์หลายรอบแล้ว สุดท้ายหนังสือตกจากมือ หลับไปทั้งๆที่ไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟัน

Photobucket

เช้าวันที่พฤหัสที่ 14 เราตื่นกันราวๆ เจ็ดโมงกว่า ตาอ้วนเร่งยิกๆจะให้ออกไปmorning walkแถวสวนยามาชิตะ พี่แกไม่ได้ดูเลยว่าแดดเช้ามันเปรี้ยงขนาดไหน เอาก็เอา...ตามใจพี่แกหน่อย ฉันก็เลยรีบล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินเล่นที่สวนกับตาอ้วน พี่แกก็จะเดินไปถึงOsanbashiสุดปลายเลย แต่ฉันไม่ยอมเพราะกลัวจะกลับมาไม่ทันกินอาหารเช้า (เริ่มตั้งแต่ 7 โมง-10 โมง ต้องเข้าห้องอาหารช้าสุดไม่เกิน 9โมงครึ่ง) แล้วแดดก็แผดจ้าจนตายิบหยีขนาดนี้ ก็เลยเดินไปได้แค่ตีนสะพานOsanbashi แล้วก็เดินกลับโรงแรม

Photobucket

ห้องอาหารเช้าของโรงแรมอยู่ชั้นที่ 13 อาหารเช้าเป็นบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่น และอาหารฝรั่ง คือมีทั้งข้าวและขนมปัง hostessน่ารักมาก พาฉันกับตาอ้วนไปนั่งติดหน้าต่าง ซึ่งสามารถมองเห็นวิวทะเลได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ภาชนะที่ใส่อาหารไม่ได้หรูหราอะไร แต่รสชาติอาหารใช้ได้ โดยเฉพาะขนมปัง ฉันกินซะเต็มคราบ กินเยอะกว่าตาอ้วนอีก กินเยอะเสียจนกระดิกตัวแทบไม่ไหว เมื่อลงมาอาบน้ำที่ห้องพัก ยังต้องขอตัวงีบสลบตั้ง 2 ชั่วโมง

Photobucket

ออกเดินเที่ยวกันช่วงบ่ายๆ นึกไม่ออกว่าจะไปเที่ยวไหนดี ก็เลยเดินเตร็ดเตร่กันแถวๆนั้น ตอนแรกตาอ้วนชวนไปเดินแถวMotomachi แต่ก็เดินมาหลายรอบแล้ว เพราะฉันมันคนโยโกฮาม่า ที่พูดอย่างนี้หมายถึงตั้งแต่แต่งงานแล้วย้ายกลับญี่ปุ่นนั้น ฉันก็อยู่โยโกฮาม่ามาตลอด แถบKannai / Sakuragicho / Minatomirai / Yamashita Park / China Town / Motomachiเนี่ยต้องขอโม้ว่าขี้มาหลายก้อนแล้ว พอฉันบอกว่าอยากจะไปเที่ยวที่เลยYamateอย่าง Honmoku หรือ Kanazawa Bunko ตาอ้วนก็บอกว่าไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ ฮ่วย....เมื่อหาข้อสรุปกันไม่ได้ ก็กระนั้นเลย อยู่มันแถวๆโรงแรมนั่นแหล่ะ ตั้งแต่เมื่อเช้าตอนเดินผ่านไปOsanbashiแล้ว ตาอ้วนเกิดตาไวเลือกร้านอาหารไว้ร้านนึง ตั้งใจว่าจะกินมื้อกลางวันที่นี่ ทั้งๆที่ฉันอิ่มแสนอิ่มเพราะอาหารเช้าของโรงแรมยังไม่ย่อยเลย ก็ตามใจตาอ้วน ไม่งั้นพี่แกจะเกิดอาการงอนข้ามศตวรรษ แค้นฝังหุ่น จำนานอีก (สมัยแต่งงานกันใหม่ๆ พี่แกเคยชวนฉันไปดูคอนเสิร์ตตามLifehouse concert พี่แกชอบมาก แต่ฉันไม่ไป เพราะไม่ชอบ พี่แกชวนฉันไปดูหนังตามโรงหนัง แต่ฉันไม่ไป เพราะไม่ใช่คอหนัง ฯลฯ ตาอ้วนก็ตามใจเมีย ไม่ไปก็ไม่ไป แต่ลึกๆแล้วน้อยใจเมียมาตลอด 8 ปี) พอเร็วๆนี้ตาอ้วนเกิดหลุดปากออกมา ทั้งๆที่ฉันไม่เคยเก็บมาใส่ใจ ฉันก็เลยต้องเริ่มใส่ใจ หากพี่แกอยากทำอะไรโดยที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง...ลุยโลดเลยเฮียขา...

Photobucket

ร้านอาหารร้านนี้ชื่อ Scandiaเป็นร้านที่ตั้งอยู่ตรงสี่แยกพอดี เป็นร้านอาหารสไตล์สแกดิเนเวีย (จริงหรือโม้ฉันก็ไม่รู้ เพราะเกิดมาไม่เคยกินอาหารสแกนดิเนเวียมาก่อน) อารามด้วยความที่ยังอิ่มแสนอิ่ม จึงไม่อยากสั่งopen sandwich ก็เลยสั่งlunch setแทน ตาอ้วนเลือกเอาbeef cutlet+เส้นพาสต้า เสริฟพร้อมขนมปังก้อนโต ฉันขอกินผักจะได้แคลอรี่น้อยหน่อย จึงสั่งprincess salad (จริงๆคือseafood salad) เสริฟพร้อมข้าวpilaf สลัดของฉันอร่อยมาก seafoodที่ว่านั้นมีแซลม่อนรมควัน กุ้งแคระลวก ปลาแฮริ่งดอง และไข่ปลาแซลม่อน วางมาบนหน้าผักด้วย lunch setยังรวมเครื่องดื่มไว้ด้วย

Photobucket

เมื่อกินข้าวกลางวันเสร็จก็เดินโต๋เต๋แถวนั้น ตาอ้วนเกิดอยากจะดูเสื้อผ้ามือสองยุคปี 60-70-80 ของอังกฤษที่อิมพอร์ตจากอังกฤษมาโดยตรง เลยลงบันไดกันไปชั้นใต้ดิน ฉันไม่ประทับใจอะไรเลย เพราะของทุกอย่างดูเก่าๆ อย่างสูทหรือเสื้อโค้ทแบรนตัวนึงไม่มีต่ำกว่า 2 แสนเยน ทั้งๆที่เป็นของมือสอง ฉันว่าราคานี้ซื้อมือหนึ่งได้เลยนะเนี่ย ลูกค้าก็คงจะเป็นคนนิยมของย้อนยุคจริงๆ ถึงมาอุดหนุนกันให้ร้านอยู่ได้

จากนั้นก็ข้ามฟากถนนเข้าYokohama Archives of History เสียค่าเข้ากันคนละ 200 เยน เข้าไปดูประวัติเป็นมาของเมืองท่าแห่งนี้เสียหน่อย ได้ความรู้ขึ้นอีกเยอะเลย (แลกกับการยืนเสียปวดขา) ประวัตินั้นเล่าตั้งแต่สมัยเอโดะ ที่Commodore Matthew Perryล่องเรือBlack Shipมาจากอเมริกา วันที่ 14 ก.ค. ปี 1853 มาขึ้นที่ท่าเรือUragaนั่นแหล่ะ อ่านไปๆ เริ่มรู้สึกเห็นใจญี่ปุ่นเหมือนกันแฮะ ที่ถูกชาติตะวันตกรุมเร้าให้เปิดพอร์ต มันคงเป็นความรู้สึกเหมือนสยามถูกชาติตะวันตกบีบจนเสียดินแดนในสมัยรัชกาลที่ 5 เพียงแต่ญี่ปุ่นโชคดีกว่าตรงที่เป็นประเทศเกาะ ไม่มีประเทศเพื่อนบ้านตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวัน จึงไม่สามารถบีบบังคับญี่ปุ่นแบ่งดินแดนไปได้ ใครอยากรู้เรื่องราวความเป็นมา และความสำคัญของท่าโยโกฮาม่า ฉันแนะนำให้ไปที่นี่เลยค่ะ จะบอกว่า 200 เยนนั้นสุดจะคุ้มค่าเกินราคา

Photobucket

ระหว่างทางเดินกลับโรงแรม เห็นวัยรุ่นญี่ปุ่นนับร้อยมานั่งกันตามขั้นบันได และทางเท้าบริเวณหน้าKanagawa Kenmin Hall รอดูคอนเสิร์ตของYuzuคืนนี้ หนุ่มนักร้อง 2 คนนี้ดังมาจากการเล่นดนตรีข้างถนนแถวๆอิเซซากิโจว คืนนี้ เราตั้งใจกินอาหารเย็นที่China Town ใจจริงฉันอยากกินอะไรเบาๆท้อง แต่ขณะเดียวกันก็อยากกินของเผ็ดๆด้วย ช่วงนี้คนญี่ปุ่นหยุดกันทั้งประเทศ ไชน่าทาวน์จึงคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว หากตาอ้วนชวนกินโจ๊กเจ้าดังแต่แรกฉันคงไม่ขัดศรัทธาแน่ๆ (เพราะเมื่อเช้าผ่านไปเห็นปาท่องโก๋ตัวใหญ่น้องๆท่อนแขน เห็นแล้วเสียดายที่เมื่อคืนไม่ได้กิน) ตาอ้วนเลยเลือกร้านKeitokuchin ร้านอาหารจีนชื่อดังสไตล์เสฉวน ร้านนี้ฉันเคยพาเพื่อนแอร์มากินทีนึงแล้ว คราวนี้นับว่าเป็นครั้งที่สอง ลูกค้าเต็มร้าน จึงต้องนั่งรอสักครู่ รสชาติอาหารไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ เพราะมันเผ็ดจัดจ้าน รสชาติเข้มข้นเหลือใจ ขนาดฉันเลี่ยงไม่สั่งเต้าหู้มาโปเสฉวนแล้วนะ เพราะจำได้ว่าคราวก่อนที่มากิน ล่อข้าวสวยเสียเกือบสองถ้วยเพราะเต้าหู้จานนี้ คราวนี้ไม่อยากกินข้าวเยอะก็เลยเอาผัดตับที่เผ็ดรองลงมาแทน ราคาอาหารเฉลี่ยตกจานละ 1,700 เยนอัพ แต่ให้มาปริมาณมาก แค่สามอย่างที่สั่งยังกินกันซะพุงปลิ้นเลย เดินอุ้ยอ้ายไปสวนยามาชิตะ เพื่อย่อยอาหารเสียหน่อย ไม่ลืมที่จะเก็บภาพMinatomiraiยามค่ำคืนมาด้วย จริงๆเคยถ่ายไว้หลายเที่ยวแล้ว แต่ก็ยังอดใจที่จะถ่ายอีกครั้งไม่ได้ ส่วนไชน่าทาวน์นั้น ไม่ได้ถ่ายรูปมาเลยครั้งนี้ เพราะมีรูปเก็บไว้มากเกินต้องการ เก็บมาฝากได้แต่รูปอาหารเท่านั้น

Photobucket

เช้าวันศุกร์ที่ 15 ตื่นมาอาบน้ำอาบท่าก่อนไปกินอาหารเช้า เพราะว่าต้องเช็คเอ้าท์ก่อน 11 โมงเช้า จึงกลัวว่าหากกินก่อนแล้วค่อยกลับมาอาบจะไม่ทัน บุฟเฟต์มีอาหารเหมือนเดิมเปี๊ยบเลย ผิดแต่ปริมาณแขกที่มาพักวันนี้เยอะกว่าเมื่อวาน 2 เท่า ฉันกินอาหารเช้าเยอะกว่าเมื่อวานอีก เยอะจนรู้สึกว่ากระเพาะจะไม่ย่อย พอเช็คเอ้าท์เสร็จ ตาอ้วนขับรถแวะไปที่โรงแรมPan Pacific เพื่อไปซื้อขนมปังของร้าน Maison Kayser แล้วก็ขึ้นทางด่วนกลับบ้าน

Photobucket

จากที่ตะลอนๆแบบไม่สมบุกสมบันมาสองวัน ดีใจที่ได้กลับมาบ้านเสียที ตาอ้วนถามว่าปีหน้าเราจะไปพักที่โรงแรมไหนกันดี(สงสัยจะติดใจ) ฉันยังไม่ให้คำตอบ เพราะต้องดูสภาพของตัวเองและตัวเล็กก่อน เพราะตัวเล็กยังเบบี๋อยู่มาก อาจจะไม่เหมาะที่จะพาตะลอนๆไปผจญอากาศร้อนเปรี้ยงกลางเดือนสิงหา เพราะการที่จะไปเที่ยวทั้งที แต่ต้องมาพะวงกับการให้นม เปลี่ยนผ้าอ้อม เช็ดอึ เช็ดฉี่ตัวเล็กอยู่ละก็ คงไม่สนุกแน่เลย ใช่มั้ยคะ

Photobucket

There is no place like home.



*หากจะฝากข้อความ เชิญที่ ปราศรัย นะคะ*

mahalo Image hosted by Photobucket.com




Create Date : 15 สิงหาคม 2551
Last Update : 16 สิงหาคม 2551 10:33:36 น. 0 comments
Counter : 1529 Pageviews.

fudge-a-mania
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add fudge-a-mania's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.