GW2007 at Miura Peninsula
สัปดาห์ทองปีนี้ฉลองแบบกร่อย ๆ เล็ก ๆ เพราะว่างบประมาณเที่ยวจำกัด เนื่องจากตาอ้วนถูกบริษัททำทัณฑ์บน ลดรายได้ ไม่เป็นไร ๆ เดินดินกินข้าวแกงก็ล่าย
รู้สึกเบื่อ ๆ กับการเที่ยวที่ต้องผจญกับคนนับแสน การต้องจองโรงแรม การนั่งในรถเป็น 10 ชั่วโมง และการต้องเสี่ยงกับโดนจดหมายรักจากตำรวจจราจร เราเลยตัดสินใจไปเที่ยวใกล้บ้านแบบเช้าไปเย็นกลับทางรถไฟ
แบบฉบับครอบครัวหอยชายเล...ไม่มีการวางแผนเตรียมการล่วงหน้า วันรุ่งขึ้นจะออกเดินทาง คืนนี้ตาอ้วนมานั่งหาข้อมูลทางเนต แล้วปริ้นท์ออกมา เล่นกันง่าย ๆ แบบนี้แหล่ะ เช็คจุดหมายปลายทางที่อยากไป ฉันถามข้อมูลจากคนที่รู้จักใกล้ตัว ได้ความว่ามาสวนสตอร์เบอรี่ที่ไร้ยาฆ่าแมลง ลูกโต หวานฉ่ำ อยู่บนเส้นทางที่ว่านี้ด้วย แถมมีคนใจดีกระซิบให้ฉันลองไปเยือนKoumiishiดู เผื่อฝันจะเป็นจริง แบบว่าไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฉันใดฉันนั้นแล
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปทั้งสองที่ สวนสตอร์ช่วงสัปดาห์ทองมีทัวร์ลง ปิดรับขาจร ส่วนKoumiishiอยู่นอกเส้นทางรถไฟ ต้องพึ่งรถบัส เปลี่ยนรถกันวุ่นวายชอบกล ก็เลยตัดสิ่งที่อยากจะไปแต่แรกเริ่มเดิมทีทิ้ง เฮ่อ.... แล้วจะไปเที่ยวทำไมเนี่ย
เมื่อแผนทุกอย่างถูกกำหนดลงตัวแล้ว วันพฤหัสที่ 4 เราก็ออกเดินทางกันสาย ๆ สบาย ๆ ไม่รีบเร่ง ขึ้นรถไฟสายyokosuka ไปลงที่สถานีโยโกฮาม่า เพื่อไปเปลี่ยนเป็น keihin kyuko ตาอ้วนเช็คข้อมูลไว้แล้วว่าเราควรจะซื้อตั๋วnorihodai คือไป-กลับ ขึ้นลงกี่ครั้งก็ได้จ่ายราคาเดียว จากสถานีโยโกฮาม่าไปถึงสถานีMisakiguchiจุดหมายปลายทาง ราคาคนละ 1,400 เยน แล้วยังสามารถใช้ตั๋วนี้ขึ้นรถเมล์ของบริษัทเดียวกันฟรีได้ด้วย เมื่อมาถึงสถานีรถไฟจุดหมายปลายทางแล้ว เรานั่งรถเมล์ต่อกันไปอีก คนต่อคิวรอรถกันยาวพอสมควร คนขับ และพนักงานดูแลขอให้ผู้โดยสารช่วยขยับเดินเข้าข้างในเบียด ๆ กันหน่อย เพราะไม่งั้นคนหลังจะขึ้นไม่ได้ เพราะรถเมล์ขาดช่วงเนื่องจากการจราจรที่ค่อนข้างติดขัด
ระหว่างทางฉันยืนดูไร่สวนผัก ง้ามงาม...ยังบอกตาอ้วนเลยว่าคราวหน้าเราไม่ต้องมาช่วงวันหยุดยาวแบบนี้ แต่ขับรถมา แล้วขนซื้อผักกลับบ้านกันเถอะ โดยเฉพาะแตงโม เพราะแตงโมแถวนี้มีชื่อเสียง ฉันเคยลองลิ้มชิมรสครั้งหนึ่ง คุณหมอ(ลูกศิษย์) เอามาฝาก โชคดีที่ตาอ้วนขับรถมารับที่โรงเรียน เพราะแตงโมลูกนั้นหนักราว ๆ 3-4 โลได้ เนื้อกรอบ หวานฉ่ำ เป็นทรายซุย แบ่งให้ป่าป๊า หม่าม้าทานครึ่งนึงท่านก็ติดใจ ต้องทานกัน 2 วันกว่าจะหมด จุดที่คนลงเยอะคือMisaki Port แต่เราไม่ได้ลง เพราะที่นี่ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของเรา นั่งรถเมล์ต่อไป รถเมล์วิ่งข้ามสะพานยาวJogashima Big BridgeไปยังเกาะJogashima วันนี้อากาศดี แดดแรง ท้องฟ้าเปิด น้ำทะเลเป็นสีน้ำเงินเข้มออกจะเขียว กลิ่นไอเกลือทะเลโชยมากระทบจมูก ได้ยินเสียงสาวร่วมทางหันไปพูดกับเพื่อนว่า ah....shio no nioi! เมื่อรถเมล์แล่นมาจอดที่อู่รถ ก็เป็นเวลาท้องร้อง เพราะประมาณเที่ยงกว่า ๆ เราไม่ต้องเดินไปไกล เพราะแถวอู่รถมีร้านอาหารดักนักท่องเที่ยวหลายร้าน ตาอ้วนเดินท่อม ๆ ดูเมนูที่เขียนติดไว้หน้าร้าน ฉันอยากลองกินmaguro-katsuดู ไม่รู้ว่ารสชาติจะต่างกับหมูทอดมากมั้ย แต่ตาอ้วนไม่สนใจ เดินข้ามถนนไปตามเสียงเรียกของหนุ่มน้อยคนหนึ่ง
อิรัชชัยมาเสะ วันนี้มากุโระด้งของเราราคาพิเศษครับ ปกติเซ็ตละ 1,200 เยน วันนี้ 980 เยนเท่านั้น เชิญครับ ๆ ตาอ้วนหันหน้ามาหาฉันเป็นเชิงถามความคิดเห็น ดูหน้าพี่แกก็รู้ว่าอยากเข้าร้านนี้ 101% แล้วฉันจะขัดได้ยังไง
ร้านในละแวกนี้ดูซอมซ่อ กึ่ง ๆ คล้ายโรงอาหาร(โชกุโด) ไม่มีแอร์ ไม่มีโต๊ะ เก้าอี้หรู ๆ ไม่มีดอกไม้ จานชามวิจิตรเสริฟ ดูลูกทุ่ง ๆ ได้บรรยากาศชาวประมง ตาอ้วนให้เหตุผลที่เลือกร้านนี้ เพราะหนุ่มน้อยคนนั้นบอกว่า เมื่อเช้านี้เขาเป็นคนออกไปตลาดซื้อปลามาเอง พอมานั่งคิด ๆ ดู วันหยุดยาวแบบนี้ ชาวประมงน่าจะหยุดพัก สงสัยปลาอาจจะแช่เย็นไว้หรือเปล่า ร้านนี้เป็นตึก 4 ชั้น เข้าใจว่าในอดีตคงจะเคยเป็นเรียวคังมาก่อน แต่ละชั้นไม่กว้าง แบ่งได้ไม่น่าจะเกิน 10 เสื่อตาตามิ ทางร้านขอให้เราขึ้นไปชั้น 2 โต๊ะเป็นโต๊ะไม้เตี้ย ๆ มีเบาะรองนั่งฟีบ ๆ ให้ แต่ลูกค้าเต็มร้านเลย ตาอ้วนไม่ได้สั่งมากุโระด้งตามที่พ่อหนุ่มคนนั้นโฆษณาชวนกินหรอก พี่แกสั่งsashimi set และหอยซาซาเอะมาต่างหาก จะว่าถูกก็คงว่าไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่แพง ฉันว่าเป็นราคาพื้น ๆ ทั่วไป เพียงแต่คุณภาพดี สด และตัวโต
sashimi set 2,000 เยน sazaeย่าง 2 ตัว 1,000 เยน ร้านนี้ฉันติดใจมิโสะซุปมาก เพราะน้ำซุปหวานหอมเป็นธรรมชาติชนิดที่แตะปลายลิ้นแล้วความหวานซ่านไปถึงคอ อร่อยจริง ๆ เพราะทางร้านคงจะใช้สต็อกกุ้งหอยปูปลาทะเลมาต้ม และใส่มิโสะลงไป วากะเมะก็เป็นวากะเมะสด ไม่ใช่นิดแห้งแล้วมาแช่น้ำให้พองแบบที่แม่บ้านใช้ทำมิโสะซุปทุกวัน แล้วทางร้านยังอนุญาตให้โอคาวาริ (refill) ข้าว และซุปได้อีกด้วย
เนื้อหอยซาซาเอะก็แน่น กัดแล้วได้ความคาวของทะเลอย่างเต็มปากเต็มคำ ขนาดkimoยังไม่ขมเลย ไม่เหมือนกับที่ฉันเคยซื้อจากร้านขายปลามาย่างเองที่บ้าน อันนั้นkimoขมจนฉันกินไม่ลงเลย มื้อนี้ฉันเลี้ยงตาอ้วน (สงสารคนเบี้ยน้อยหอยน้อย) เบ็ดเสร็จรวมภาษีด้วย 5,250 เยน / 2 คน ไม่แพงเลย ตาอ้วนติดอกติดใจใหญ่ บอกว่าร้านนี้ไม่ขึ้นราคาถึงแม้จะเป็นช่วงเทศกาล ดูได้จากแผ่นเมนูเก่าคราคร่ำสีกระดาษซีดที่ติดไว้ตามผนังห้อง ไม่ใช้ป้ายกระดาษใหม่ สีไม่แห้ง
ปกติฉันไม่ใช่คนที่ต้องทานของหวานหลังของคาว แต่มื้อนี้ยกเว้น เพราะความรู้สึกว่าในปากคาวจัด จึงขอให้ตาอ้วนซื้อsoftcreamให้ทาน
ส่วนเจ้าตัวหลังจากกินsoftcreamไป 2 ส่วน 3 ก็เดินลิ่วไปร้านเก่า ๆ ที่มีตู้กระจกขายของเสียบไม้ปิ้ง ๆ วางอยู่หน้าร้าน ตาอ้วนหันมาถามฉันว่าจะเอาเนื้อ หรือหนวดปลาหมึก ฉันบอกว่าเอาหนวด ตาอ้วนก็สั่งมา 1 ไม้(150 เยน) เอามาแบ่งกินกัน 2 คน หนวดปลาหมึกสดมาก กรุบกรอบ เสียอย่างเดียวน้ำจิ้มไม่อร่อย เพราะเป็นโชหยุที่เอามาป้าย ๆ ย่าง ๆ หากเป็นน้ำจิ้มทะเลแบบบ้านเรา เด็ดซาลาตี่มาก ว่าแล้วก็น้ำลายสอเชียว
แถวนี้ราคาของกินมิตรภาพจริง ๆ อย่างข้าวโพดย่างฝักใหญ่ ๆ ยาว ๆ กว่าที่ขายตามงานวัด ราคาฝักละ 250-300 เยนเท่านั้น (หากเป็นตามงานวัด 400 เยน) เม็ดข้าวโพดเหลืองอร่ามเต่งตึง เสียดายที่ฉันอิ่ม จึงไม่ได้ลองซื้อมาทาน จากนั้นเราก็เดินดูของที่ระลึกที่วางขาย ไม่มีอะไรวิจิตรพิสดารเหมือนตามเมืองใหญ่ ๆ จะมีก็แต่สินทรัพย์ในมหาสมุทรที่ชาวบ้านแถบนี้เก็บจับมาได้เท่านั้น หม่าม้ารีบบอกดักคอไว้ก่อนที่เราจะมาที่นี่ว่า หากไปมิอุระ ซื้อปลาอาจิแดดเดียว(aji namaboshi)มาหน่อย ใช่..นี่คือของดีของที่นี่ เนื่องจากแดดแรง ปลา/ปลาหมึกแดดเดียวจึงอร่อยนัก ป้ายราคามีติดไว้ที่ตัวปลาเลย แล้วแต่พันธุ์ แล้วแต่ขนาด มีเรื่อยไปตั้งแต่ตัวละ 50 เยน ไล่ไปจนถึงตัวละ 1,000 เยน แบบคินเมได (หรืออะไรที่ดูคล้าย ๆ) แต่ตาอ้วนไม่ได้ซื้อจากร้านที่เห็นนี้หรอก.... เราเดินดูของตามถนนสายแคบ ๆ สั้น ๆ ที่ร้านรวงมาเปิดขายของที่ระลึก พวกโมบายทำจากเปลือกหอย ซึ่งดูก็ไม่สวยเท่าที่เมืองไทย แต่ฉันก็ยังอุตส่าห์ซื้อสร้อยข้อมือที่จากไม้ หรือเม็ดอะไรสักอย่าง แล้วลงสีเขียนว่า kuuipo มาด้วย เจ้าของร้านว่าทำมาจากฟิลิปปินส์ ราคาไม่แพง แค่เส้นละ 320 เยนเท่านั้น (ฉันซื้อมา 2 เส้น กะจะเอามาให้ครูSallyเส้นนึง แต่ไม่รู้ครูจะใส่หรือเปล่า เพราะหลัง ๆ ครูใส่พวกเครื่องเงินของฮาวายมากกว่า)
มีหอยซาซาเอะ ใส่ตะกร้าขายเยอะเชียว ตะกร้าละเป็นพัน ๆ เยน 5 พันเยนก็มี แต่ฉันไม่ได้ซื้อ คุณลุงคนนึงชวนเชิญให้ซื้อวะกะเมะสด 1 ตะกร้า (300 เยน) พูนใหญ่ล้นตะกร้าเลย สีน้ำตาล ดูกระด่างกระดำ ตาอ้วนว่าหากต้มแล้วมันจะเป็นสีเขียวแบบที่เรากินนั่นแหล่ะ แต่เราก็ไม่ได้ซื้อมา เพราะขี้เกียจเอามาทำกิน ระหว่างที่เดินเที่ยวอย่างเพลิน ๆ ลูกศิษย์ของฉันคนหนึ่งก็เมลเข้ามา ขอนัดวันเรียนกับฉัน ส่งเมลกันไปมา 4-5 รอบกว่าจะลงตัว ตาอ้วนก็ค้อนแล้วค้อนอีก หน้างอหงิก จริง ๆ ฉันไม่อยากจะรับเมลในช่วงวันหยุดแบบนี้เลย รู้สึกว่ามันเป็นเวลาของครอบครัว แต่ก็เกรงใจลูกศิษย์ กลัวเค้าจะใจร้อน รอเมลของฉันอยู่ขอโทษนะ อ้วนchan
เราเดินไปตาม hiking course ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดิน เป็นคอร์สเดินเลาะไปตามโขดหินชายทะเล ทะเลแถวนี้เป็นทะเลน้ำลึก ไม่มีหาดทราย คนส่วนใหญ่มักจะมาตกปลากัน น้ำทะเลใส่แจ๋วมองลงไปเห็นสาหร่ายไหวพริ้วอยู่ในน้ำสีเข้มเบื้องล่าง มีโขดหินขนาดกว้าง ที่ฉันเห็นบางคนเอาเต้นท์มากางตั้งแค้มป์ ทำอาหารกัน
tombi(คล้าย ๆ เหยี่ยว แต่ตัวเล็ก) บินกันว่อน บางคนก็ซื้อเซมเบ้รสปลาหมึกเอามาโยนล่อทอมบิให้บินมาใกล้ ๆ แต่ฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะบินลงมาจิกกินเลย ได้แต่บินโฉบไปโฉบมาบนท้องฟ้าระยะไกล ๆ เท่านั้นเอง ฉันค้นพบว่า ตาอ้วนถ้าลงว่าชอบอะไร ก็สามารถอยู่กับสิ่งนั้นไปตลอดได้โดยไม่รู้เบื่อ หม่าม้าเคยเปรียบเทียบลูกชาย 2 คนให้ฟัง ลูกชายคนโตเป็นคนที่มุมานะ คิดอะไรได้ต้องรีบทำ ลุย ๆ ลงไปเลย เวลาเป็นเงินเป็นทอง แต่ก็เบื่อง่ายหน่ายเร็ว ชอบลองอะไรใหม่ ๆ ในขณะที่ลูกชายคนเล็กค่อนข้างเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ หัวเทียนกว่าจะเผาให้ร้อนใช้เวลานาน กว่าจะลงมือทำอะไรได้แต่ละอย่างต้องฆ่าเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์เสียก่อน แต่ลงว่าหากได้จับอะไรแล้ว จะไม่มีวันเลิกง่าย ๆ นอกจากจะตายกันไปข้างนึง
เรื่องการกินนี่ก็ใช่ ตอนที่ไปเที่ยวTakayama พี่แกก็สามารถซื้อเนื้อฮิดะย่างเสียบไม้กินไป สี่ซ้าห้าไม้โดยไม่เบื่อ เจอร้านที่ไหนเป็นต้องแวะเข้าไปกิน เที่ยวนี้ก็เหมือนกัน หนวดปลาหมึกย่างก็จะกินกันให้เหม็นขี้หน้ากันไปข้างหนึ่ง ฉันต้องรีบพูดปรามไว้ว่านี่ ๆ เหมือนตอนไปทากายาม่าเลยนะ...พี่แกถึงเพลา ๆ ลงได้ ไม่งั้นกินไม่ได้หยุดปาก สถานที่ท่องเที่ยวของเกาะJogashima นี้มีไม่มาก อาจจะเป็นเพราะฉันไม่ได้เตรียมตัวมาสำหรับทำกิจกรรม นอกจากกิน และเดินเที่ยวเท่านั้น ตาอ้วนพาฉันไปที่ท่าเรือเฟอรี่ ซึ่งเป็นเรือที่ข้ามจากเกาะJogashima ไปที่ Aburatsubo เราสองคนพลาดเรือเที่ยวที่แล้ว พอเดินไปถึงท่าเรือ เห็นเรือกำลังเคลื่อนออกจากท่าอย่างช้า ๆ ต้องรอไปอีกครึ่งชั่วโมงกว่าเรือเที่ยวต่อไปจะออก
คนขายตั๋วก็ปลอบใจเราว่าเที่ยวที่เพิ่งออกไปนั้นจะตรงไปAburatsuboเลยไม่พาเที่ยวรอบเกาะ ใช้เวลาเดินทางแค่ 10 นาทีเท่านั้น ฉันถึงยิ้มออก ก็นั่งเตร็ดเตร่กันอยู่แถวนั้น ไม่กล้าไปไหน เพราะกล้วว่าจะพลาดเรืออีก
ด้วยความที่เรามีตั๋วnorihodai จึงซื้อตั๋วเรือเฟอรี่ได้ในราคาถูก แต่ก็ถูกลงไปไม่ถึง 200 เยนดี ฉันจำราคาไม่ได้แน่ ๆ คิดว่าจ่ายไป 1,040 เยน / คน เมื่อไกล้เวลา ผู้โดยสารก็ค่อย ๆ ปรากฏตัวขึ้นเรื่อย ๆ จากตอนแรกที่นั่งรอเรืออยู่ไม่กี่คน ก็กลายเป็นหลายสิบ เรือนี้ชื่อ Miura เป็นเรือลำไม่ใหญ่ไม่เล็ก มี 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นเก้าอี้บุนวมทั่วไปเหมือนเก้าอี้รถบัส ชั้นบนเป็นopen air แต่ก็มีห้องพิเศษอยู่ทางหัวเรือ หากอยากจะนั่งในห้องต้องจ่ายเพิ่มอีกคนละ 300 เยน ฉันไม่เห็นใครจะนั่งสักคน ส่วนใหญ่ก็ขึ้นมายืนออกันอยู่ชั้นสอง รับลมทะเล ส่งเสียงเจี้ยวจ๊าว กรี๊ดกร๊าด โดยเฉพาะเด็ก ๆ
เรืองพาเราวนรอบเกาะ 1 รอบ มีเสียงตามสายบรรยายว่าขณะนี้เราอยู่บนมหาสมุทรแปซิฟิก ลมแรง ลูกคลื่นใหญ่ ทางเรือประกาศเตือนให้ผู้โดายสารนั่งกันให้เรียบร้อย เพราะเรือโคลงมาก แต่ฉันก็ไม่เห็นใครจะนั่งเลย ก็ยืนพิงราวกาบเรือ เต๊ะท่าถ่ายรูปกันพรึบพรั่บ เวลาผ่านไปเกือบ 40 นาที แล้วเรือก็พาเรามาจอดที่ท่าAburatsubo ตรงนั้นเป็นอ่าว (ฉันจำชื่อไม่ได้แล้ว) มีหาดทรายให้คนมาเล่นน้ำทะเล แต่อย่าเอาไปเปรียบกับหาดทรายบ้านเราเลย คนละชั้น....
เดินขึ้นเขาลงเขา ผ่านป่าละเมาะ ดูอ่าวเล่น ๆ เห็นเรือยอชท์ขาว ๆ อยู่ลิบ ๆ สงบเงียบดีเหลือเกิน หากมีบุญวาสนาได้มามีบ้านตากอากาศแถวนี้สักหลัง คงจะสุขไม่เบา (ได้แต่ฝัน เฮ่อ...รอถูกลอตเตอรี่ก่อน)
ตาอ้วนถามฉันว่าอยากจะดูพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมั้ย มีปลาฉลามให้ดูด้วย ฉันเฉย ๆ ดูก็ได้ไม่ดูก็ได้ เหลือบดูนาฬิกา 5 โมงกว่าแล้ว บรรดาโชว์ต่าง ๆ ก็หมดแล้ว อย่าดูเลย เข้าไปก็ต้องรีบออก
ตาอ้วนจึงถามทางคนแถวนั้น พาฉันไปขึ้นรถเมล์ คนต่อคิวกันยาว เพราะรถเมล์ขาดช่วง ต้องรอเกือบครึ่งชั่วโมงแน่ะ กว่ารถจะมา ซ้ำพอมาก็มาติดกัน 2 คัน ค่อยยังชั่วเพราะผู้โดยสารรอกันมากเหลือเกิน เราขึ้นรถเมล์กลับมาลงที่สถานีMisakiguchi ตาอ้วนแง๊ว ๆ งอแงอยากจะกินข้าวเย็นที่นี่ แต่แถวสถานีนี้ไม่มีอะไรเลย นอกจากร้านอาหารเล็ก ๆ หน้าสถานี ซุปเปอร์ก็ไม่มี ฉันสงสัยจังว่าคนเค้าอยู่กันยังไง อาจจะต้องใช้รถส่วนตัว หรือพึ่งรถเมล์ตลอดเวลา (ชีวิตแบบนี้ฉันไม่ชิน หากให้มาอยู่คงต้องใช้เวลาปรับตัวนาน) ตาอ้วนซื้อคามาโบโกะปลาหมึกจากร้านหน้าสถานี ไม้ละ 230 เยน โอ้ว....อร่อยมาก....เนื้อว๊านหวาน...ฉันลองกินไปคำนึง อดใจไม่อยู่ยึดทั้งไม้ไว้เลย ตาอ้วนเลยไปซื้ออีกไม้มากิน พยายามจะหาซื้อป็นเป็นแพ๊ค ๆ มากินที่บ้าน ก็ไม่มีขาย เพราะแถวสถานีนี้ไม่มีอะไรจริง ๆ สุดท้ายตาอ้วนก็ดื้อแพ่ง ชวนฉันขึ้นรถไฟมาลงที่สถานีMiura Kaigan หาข้าวเย็นแถวนั้นกิน แวะซุปเปอร์ 2 แห่ง ที่อยู่แถวนั้น ไม่มีของฝากที่ทำจากMiuraเลย ปลาเป็นแพ๊ค ๆ ที่ขายก็มาจากที่อื่นทั้งสิ้น สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้ออะไรกลับมา นอกจากปลาอาจิแดดเดียวของหม่าม้า และสร้อยข้อมือ 2 เส้น เสียดายรู้งี้ซื้อปลาแดดเดียวมาอีกแพ๊คดีกว่า จะได้เอามาฝากน้องคานิ
อาหารเย็นเป็นร้านเล็ก ๆ ขนาดเท่าแมวดิ้นตายแถวนั้น ทั้งร้านมีคนขาย 2 คน คือ คุณป้า และลูกมือ คุณป้าทำอาหาร และลูกมือช่วยเสริฟ รวมทั้งออกไปซื้อวัตถุดิบ ฉันเดาว่าปกติร้านป้าคงจะไม่มีแขกขาจรแบบนักท่องเที่ยวต่างถิ่น คงจะมีแต่ลูกค้าขาประจำที่มานั่งก๊งเหล้า คุยกัน คลายเหงา
ตาอ้วนสั่งsashimi setให้ฉัน และสั่งsazae-don setให้ตัวเอง ราคาไม่แพง (เซ็ตละ 1,000 เยน) แต่ไม่อร่อย ปลาดิบไม่สด เหมือนกับซื้อตามซุปเปอร์แถวบ้านกินครือกัน เครื่องเคียงที่ให้มาแบบมะเขือเผาทรงเครื่อง หรือแม้แต่ผักดองยังอร่อยกว่าปลาดิบเสียอีก มิโสะไม่ต้องพูดถึง ยิ่งกินมื้อกลางวันมาแล้ว...มื้อเย็นเหมือนฝันร้าย คือรสชาติมันก็เหมือนทำกินเองที่บ้านทุกวันนั่นแหล่ะ เพียงแต่อารมณ์บรรเจิดของมิโสะมื้อกลางวันมันยังค้างอยู่ มาเจอมิโสะตำรับบ้าน ๆ เข้าไป ก็เลยบรรยายไม่ออก
กลับถึงบ้านราว ๆ 3 ทุ่ม เหนื่อยมาทั้งวันเลย คลานขึ้นเตียงหลับคร่อก ๆ เตรียมตัวผจญกับชีวิตประจำวันหลังสัปดาห์ทอง
mahalo
Create Date : 07 พฤษภาคม 2550 |
Last Update : 7 พฤษภาคม 2550 12:52:44 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1543 Pageviews. |
|
|