Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2560
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
27 ธันวาคม 2560
 
All Blogs
 
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่1ธค2560



เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ จากวันนี้ที่มีบุคคลซึ่งตั้งใจปฏิบัติ สามารถทรงกสิณ ๑๐ ได้แล้วมาถามปัญหา ทำให้นึกย้อนไปถึงสมัยที่อาตมายังปฏิบัติใหม่ ๆ ก็จะมีปัญหาหนึ่งซึ่งทุกคนต้องพบเหมือนกันก็คือ กำลังใจไม่ทรงตัว ภาวนาไปแล้วสงบได้เพียงเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ฟุ้งซ่าน ซึ่งในส่วนนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้เมตตาสอนพระคาถาต่าง ๆ ให้

อาตมาเองช่วงนั้นเป็นวัยรุ่น อายุยังไม่ถึง ๒๐ ปี จิตใจก็ย่อมฟุ้งซ่านส่งส่ายไปง่าย หลวงพ่อท่านจึงสอนพระคาถาให้ทีละบท บอกให้ไปภาวนาพร้อมกับรักษาศีล โดยให้ภาวนาครั้งละอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง เมื่อเกิดผลแล้วไปรายงาน ท่านก็ให้คำชมเชยแล้วก็มอบพระคาถาบทใหม่ ซึ่งมีอานุภาพแบบใหม่ ๆ มาให้อีก

เมื่อทำไป ๆ ระยะหนึ่ง พระคาถาต่าง ๆ ก็เริ่มมีมากบทขึ้น จนกระทั่งที่ใช้อยู่หลัก ๆ ก็เป็นสิบบทแล้ว จึงได้แบ่งเวลาภาวนาพระคาถาเหล่านั้น อย่างเช่น ภาวนาอย่างละ ๓๐ จบ เมื่อครบแล้วจึงเลื่อนไปพระคาถาอื่น แต่นี่คือหลังจากที่ทำได้ผลแล้วทุกบท ถ้ายังทำไม่ได้ผล ก็ให้ปักใจอยู่กับบทเดิมนั้น แล้วก็ภาวนาให้เกิดผลเสียก่อน

เมื่อมีพระคาถาหลายบทต้องแบ่งเวลาในการภาวนา ทำให้สภาพจิตทรงตัวได้ในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น เมื่อต้องแบ่งเวลาให้ทุกบท หลวงพ่อท่านบอกว่า อะไรที่เราทำได้แล้ว ก่อนที่จะเริ่มบทใหม่ ต้องทวนของเก่าให้คล่องตัวก่อนอาตมาจึงไม่กล้าทิ้ง ถึงเวลาก็ภาวนาของเก่าก่อน ๑๐ จบ ๒๐ จบ ๓๐ จบ ๑๐๘ จบ แล้วแต่จำนวนสั้นยาวของพระคาถา จนกำลังใจทรงตัวแล้วก็เปลี่ยนเป็นบทต่อไป ทำให้สามารถทรงสมาธิได้นานเป็นชั่วโมง ๆ โดยที่ไม่รู้สึกฟุ้งซ่านรำคาญเหมือนกับก่อนหน้านี้

ในส่วนนี้จึงขอแนะนำแก่ญาติโยมทั้งหลายว่า ให้หาพระคาถาบทใดบทหนึ่งที่เรารักเราชอบ หรือมีพระคาถาหลายบทก็นำมากำหนดภาวนา อาจจะกำหนดไว้ว่าบทละ ๕ นาที บทละ ๑๐ นาที หรือบทละ ๑๐๘ จบอย่างที่อาตมาทำก็ได้
__________________
เท่าที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอนเอาไว้ และที่อาตมาศึกษาเพิ่มเติม ปัจจุบันนี้ที่ใช้หลัก ๆ คือ อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ก็คือ อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ อย่างน้อยก็จะภาวนา ๑๐ จบ ซึ่งถ้าเราภาวนาเรื่อย ๆ สบาย ๆ ดูลมหายใจเข้าออกให้เป็นธรรมชาติ ไม่ไปบังคับลมหายใจเข้าออก ๑๐ จบนี้ใช้ระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร

และก็มีพระคาถาชินบัญชรซึ่งเป็นบทยาว ก็จะภาวนาราว ๆ ๕ จบ ๗ จบแต่ละวัน หรือคาถาหลักที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อให้ใช้ในตอนธุดงค์ เอาไว้ทำลายอำนาจไสยศาสตร์ ซึ่งก็คือคาถาบารมี ๓๐ ทัศ ต่อด้วย นะโมพุทธายะ ยังมีพระคาถาที่ท่านให้เสกข้าวกินเพื่อป้องกันยาพิษ ยาสั่ง หรือป้องกันการทำคุณไสย ซึ่งจะมีพระอภิธรรม ๗ บท ตั้งแต่กุสะลา ธัมมา จนกระทั่งจบ เหตุปัจจะโย ค่อนข้างจะยาว คาถาบทนี้ท่านบอกว่าถ้าเสกข้าวกินเป็นประจำทุกวัน ตายแล้วร่างกายจะไม่เน่า ขณะเดียวกันก็สามารถทำลายอำนาจไสยศาสตร์ต่าง ๆ ได้ด้วย

ส่วนอีกบทหนึ่งนั้นจริง ๆ แล้วเป็นสองบทควบกัน แต่ท่านให้ใช้รวมเป็นบทเดียวในการเสกอาหารเป็นยา และทำลายอำนาจไสยศาสตร์ต่าง ๆ ก็คือ คาถาของท้าวเวสสุวรรณกับสมเด็จพระพุทธกัสสป ได้แก่ พุทธังมัดจิต ธัมมังมัดใจ ศัตรูทั้งหลายวินาศสันติ ต่อด้วย พุทธังมัดจิต ธัมมังมัดใจ โรคภัยทั้งหลายวินาศสันติ

และก็ยังมีคาถามหาสะท้อนหรือที่เราเรียกว่า คาถาเมสัมมุกขา เป็นต้น หรือคาถาพระมงกุฎพระพุทธเจ้าที่ขึ้นด้วย อิติปิ โส วิเสเสอิ ซึ่งเป็นการใช้ในลักษณะของทิพจักขุญาณ คือบุคคลที่ภาวนาทำจนขึ้นแล้ว สามารถที่จะอ่านหนังสือได้โดยที่ไม่ต้องเปิดดูเล่มได้

หรือคาถาเมตตาที่ใช้ภาวนาเพื่อทำให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเมตตาเรา หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ศึกษามาจากหลวงปู่แช่ม วัดฉลอง จังหวัดภูเก็ต ก็คือ พระอะระหัง สุคะโต ภะคะวา นะ เมตตาจิต เป็นต้น
__________________

.........ท่านชอบใจบทใดบทหนึ่ง ก็ให้ยึดบทนั้นขึ้นมาภาวนา ทำจนเห็นผลจริง ๆ แล้วค่อยขยับไปใช้บทอื่น คำว่า "เห็นผลจริง ๆ" นั้น บางอย่างก็เห็นผลช้า อย่างเช่น สมัยอาตมาเป็นเด็กวัยรุ่นอายุ ๑๕ - ๑๖ ปี อยากได้สมเด็จวัดระฆังไว้บูชา เนื่องจากเห็นรุ่นพี่เขานั่งส่องพระกันทุกวัน

พระสมเด็จวัดระฆังเป็นพระในฝันของนักเล่นพระทุกคน ที่จะต้องหามาบูชาให้ได้ ได้ยินท่านผู้รู้บอกว่า ถ้าภาวนาพระคาถาชินบัญชรไว้ทุกวันด้วยความเคารพเลื่อมใสจริง ๆ สามารถอธิษฐานขอสมเด็จวัดระฆังจากหลวงพ่อโต ซึ่งเป็นผู้สร้างพระสมเด็จวัดระฆังได้ อาตมาก็ตั้งใจทำ แต่วางกำลังใจผิด ก็คือไปทำด้วยความอยากได้ ภาวนาไปปีหนึ่งก็แล้ว สองปีก็แล้ว สามปีก็แล้ว สมเด็จวัดระฆังที่ปรารถนามาไม่ถึงเสียที

จนกระทั่งลืมไปแล้วว่าจุดประสงค์ในการภาวนาของเรา ก็คือต้องการพระสมเด็จวัดระฆัง แต่ภาวนาจนชินแล้ว เมื่อถึงเวลาก็กำหนดภาวนาพระคาถาชินบัญชรเป็นปกติ ไปจนถึงปีที่ ๑๑ จึงได้พระสมเด็จวัดระฆังมาจากป่าไม้จังหวัดอ่างทอง คือ คุณมนตรี เชียงอารีย์ ๑ องค์ ทันทีที่ได้มาก็โดนโยมขอต่อไปเลย

แต่หลังจากที่รู้แล้วว่า ถ้าเราทำจริง ไม่หวังผล ตั้งใจไว้ว่าเราต้องการอะไร แล้วลืมความตั้งใจนั้นเสีย จากนั้นมีหน้าที่ตั้งหน้าตั้งตาภาวนาอย่างเดียว ก็จะสามารถได้สิ่งที่ตนเองต้องการได้

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ญาติโยมสามารถนำไปปรับใช้กับการภาวนาของเรา ถ้าสภาพจิตเกิดการเบื่อหน่ายไม่อยากภาวนา ก็หาพระคาถาบทใหม่ ๆ มาทดลองภาวนาดู ถ้าทำได้คล่องตัวหลาย ๆ บท ระยะเวลาในการภาวนาก็จะยาวขึ้นไปเอง

ลำดับต่อไปก็ให้ท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยเถรี)

...
สาธุอนุโมทามิ ขอขอบพระคุณที่มาจาก

https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5932
__________________
......................................



Create Date : 27 ธันวาคม 2560
Last Update : 27 ธันวาคม 2560 19:12:46 น. 0 comments
Counter : 416 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

doraeme
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add doraeme's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.