Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2553
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
1 ตุลาคม 2553
 
All Blogs
 
เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๓

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๓
06-09-2010, 10:09 PM เถรี
ผู้ดูแลเว็บ
//www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26
ตอนที่ซักถามเขาก็เลยถามว่า คุณอยู่ท่ามกลางอิสลามย่อมโดนเขารังแก และปฏิบัติอย่างอยุติธรรมอยู่แล้ว คุณมีหลักเกณฑ์อย่างไรที่จะไปใช้รับมือพวกเขา ? ท่านบอกว่าอาศัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนานั่นแหละ ที่ช่วยให้รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ท่านใช้คำว่า forget & forgive

สุดยอดจริง ๆ เลย ใครเขาร้ายกาจกับเราอย่างไร ให้ลืมซะแล้วให้อภัย เขาบอกว่าเพราะเหตุนี้แหละที่ทำให้พวกเขาไม่ลำบากมากนัก คือ ยอมทุกอย่าง ไม่ว่าเขาจะรังแกอย่างไรก็ให้อภัย ในเมื่อเขารังแกจนพอใจก็เลิกไปเอง
ถ้าเรามาเปรียบเทียบดูว่า กำลังใจในการต่อสู้ในความทุกข์ยากแบบของท่าน กับกำลังใจที่ต่อสู้กับความทุกข์ในบ้านเราของพวกเรา จะแตกต่างกันมาก พวกเราสบายจนกระทั่งไม่ค่อยรู้สึกถึงความทุกข์ พอทุกข์หน่อยก็โวยวาย พูดง่าย ๆ ว่าความเข้มแข็งอดทนไม่มีเลย..!

เรานึกดูว่า ถ้าเราเป็นอย่างทั้งสามท่าน ต้องไปต่อสู้ดิ้นรนในลักษณะอย่างนั้น ท่านทั้งหลายถ้าผ่านสภาวะเหล่านั้นไปได้ จะยืนหยัดเป็นหลักได้ทุกคนเลย เพราะท่านผ่านบทเรียนที่เป็นของจริงมาแล้ว

แต่พวกเราพอเจอทุกข์เข้าก็ถอย คอยไปผ่อนผันให้กิเลส ยิ่งตอนที่เริ่มปฏิบัติไป กิเลสดิ้นรนใกล้จะตาย พอกิเลสรู้ว่าจะตายก็ดิ้น เรามักจะไปผ่อนให้ทุกที เราไปผ่อนให้เพราะเรากลัวว่าเราจะตาย ทั้งที่กิเลสกำลังหลอกเรา เพราะจะว่าไปแล้วกิเลสก็คือเรา พอจะตายก็หลอกว่าเราจะตาย เราก็เชื่อเสียอีก เพราะฉะนั้น..เราจึงเอาดีได้ยาก

อยู่บ้านเราทุกข์ยากขนาดไหนก็ยังพอไปได้ แต่อยู่บ้านเขาทุกข์ยากนี่หาทางออกไม่ได้ เขาก็พยายามดิ้นรนสู้กันไป โดยเฉพาะว่าที่อาตมาเขียนลงหนังสือ อ่านแล้วคิดบ้างไหม ว่าทำไมคนพม่าจึงต้องกินข้าวสองมื้อ เพราะเขาไม่มีจะกิน เขากินมื้อสาย ๆ สิบโมงถึงสิบเอ็ดโมง แล้วไปกินอีกทีตอนเย็น

คนเราพอสบายแล้ว กำลังใจในการต่อสู้ฟันฝ่าจะลดน้อย พระที่ออกธุดงค์ก็เพื่อให้เคยชินกับความยากลำบาก ถ้าหากว่าความลำบากทางกายสามารถทนได้ ความลำบากทางใจก็ไม่เท่าไร เพราะว่ากายกับใจเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน"
__________________
ถาม : อาราธนาพระเผื่อคนในบ้านได้ไหม เพราะคนในบ้านเขาไม่ได้อาราธนาพระทุกวัน
ตอบ : กินแทนกันได้ไหมเล่า ? กรรมใครกรรมมันจ้ะ
__________________
"จำไว้ว่าหวยเป็นอบายมุข อบาย คือ ทางต่ำ , ทางเสื่อม
มุขะ คือ ปากทาง อบายมุข คือ ปากทางแห่งความเสื่อม

พระพุทธเจ้าบอกว่า ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ ผู้ชนะย่อมก่อเวร ย่อมทำให้ทรัพย์สินฉิบหาย ไม่มีผู้ใดเชื่อถือ"
พระอาจารย์บอกว่า คำว่าสามี แปลว่า เจ้านาย

"พุทธัสสาหัสมิ ทาโส วะ ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า พุทโธ เม สามิกิสสะโร พระพุทธเจ้าเป็นนายเหนือข้าพเจ้า"
__________________
ถาม : (เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ)
ตอบ : โรคภัยไข้เจ็บเหมือนกับกาฝาก สภาพร่างกายของเราเหมือนต้นไม้ ถ้าจะแยกกาฝากออกจากต้นไม้ได้ จะต้องมองให้เห็นจริง ๆ ว่า ต้นไม้ก็ไม่ใช่ต้นไม้...กาฝากก็ไม่ใช่กาฝาก

ทั้งสองอย่างล้วนเป็นสิ่งที่สมมติขึ้นมา ถ้าหากเราเข้าถึงความจริงแท้ก็จะเป็นปรมัตถธรรม สิ่งที่เป็นสมมติกับปรมัตถ์จะอยู่ร่วมกันไม่ได้อยู่แล้ว ก็จะต่างคนต่างไป ทำให้หายจากอาการเจ็บป่วย

บางทีเราจะสงสัยว่า ทำไมบางคนปฏิบัติธรรมหายจากโรคได้ เพราะท่านเห็นความจริงตรงจุดนี้ ไปลองพยายามดู..ถ้าหากบุญพาวาสนาช่วย เราเข้าถึงจริง ๆ ว่า สิ่งไหนเป็นสมมติ สิ่งไหนเป็นปรมัตถ์ แยกออกจากกันได้ ก็จะกลายเป็นต่างคนต่างอยู่ เขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรเราได้ แล้วเขาก็จะไป ตัวใครตัวมัน

ความเจ็บป่วยเป็นโอกาสที่ดีที่สุด ทำให้เราเห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา และมีแต่ความทุกข์ ในเมื่อเห็นอย่างนี้แล้วก็หมดความอยากที่จะเกิด เราก็เอาใจเกาะพระเกาะนิพพาน เท่ากับเรามีโอกาสหลุดพ้นสูงกว่าคนอื่นเขา

เห็นทุกข์เห็นสภาพเป็นจริง ว่าร่างกายมีปกติเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็หมดความต้องการ ท้ายสุดก็คิดว่าเราอยู่กับร่างกายแค่ชาตินี้ชาติเดียว ชดใช้กรรมไป จบจากชาตินี้เราก็ไปนิพพานแล้ว

โดยเฉพาะคำว่าชาตินี้ บางทีฟังดูว่าไกล เราต้องคิดว่าเราอยู่กับร่างกายแค่วันนี้วันเดียว หรืออยู่กับร่างกายแค่ชั่วลมหายใจเดียว พ้นจากวันนี้ก็ไม่รู้ว่าเราจะได้เห็นวันรุ่งขึ้นหรือเปล่า หรือไม่ก็เราหายใจออกก็ไม่รู้จะได้หายใจเข้าหรือไม่..ก็จะพ้นไปแล้ว เราจะรู้สึกว่าแค่เดี๋ยวเดียว ก็จะไม่ทุกข์ทรมานมากนัก

บางคนเขาสงสัยว่า อาจารย์ป่วยหนักขนาดนี้แล้วอยู่ได้อย่างไร ก็อยู่กับร่างกายวันเดียว พรุ่งนี้ก็ไม่มีแล้ว ถ้าอยู่ถึงพรุ่งนี้ ก็อยู่แค่อีกวันหนึ่ง แต่อาการป่วยนี้ดี..ทำให้ไม่อ้วน เพราะโรคเอาไปกินหมด ไม่เหลือไว้ให้เลย

ถาม : ถ้าเราคิดว่าเราอยู่แค่วันเดียว ?
ตอบ : นั่นยังหยาบไป เอาแค่ลมหายใจก็พอ หายใจออกเราอาจจะไม่ได้หายใจเข้าก็ได้ หายใจเข้าเราอาจจะไม่ได้หายใจออกก็ได้ ความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก เราจะพ้นจากร่างกายนี้ไปแล้ว

ในเมื่อรู้สึกว่าเราจะพ้นจากร่างกายในชั่วอึดใจนี้ ก็จะอยู่ด้วยความปีติปลื้มใจ เพราะเราไม่ต้องทุกข์กับร่างกายนาน แค่ชั่วลมหายใจเดียวเท่านั้น ถ้าพ้นจากตรงนี้ก็ขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้าที่นิพพาน ที่อื่นไม่เอาแล้ว

ถาม : รู้สึกแย่
ตอบ : แต่ละคนไม่มีใครไม่แย่หรอก สมัยก่อนรบทัพจับศึกกันมาตั้งเท่าไร ฆ่าเขาเอาไว้ตั้งเท่าไร ใช้คืนเขานิดหน่อยไม่ได้หรือ ?
__________________
คนทดสอบเขาทดสอบได้แสบมากเลย คือ วิสัยเดิมที่คิดจะช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ อาตมาทำมาเยอะต่อเยอะ ภาพที่เขาทำให้ปรากฏก็ไม่มีเวลาให้ตัดสินใจ เพราะว่าน้ำป่ามาถึงบ้านแล้ว ก็มีอยู่แค่สองอย่าง คือ ช่วยกับไม่ช่วย

ความเคยชินที่คิดจะช่วยเขามาทุกชาติก็ต้องช่วย พอช่วยแล้วก็รับเละเอง หลังจากที่นอนเลื้อยไปวันหนึ่งแล้ว ลุกไม่ไหว ก็มานึกถึงหลวงปู่พุฒ เจ้าคุณราชอุทัยกวี ท่านเป็นอดีตเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาก มั่นใจเลยว่าท่านมรณภาพเมื่อไรท่านไปนิพพานแน่

แต่ปรากฏว่าพอหลวงปู่พุฒมรณภาพ ไปได้แค่พรหมชั้น ๑๒ ถามว่าพรหมชั้นที่ ๑๒ ดีหรือไม่ ? ดี...เพราะเป็นสุทธาวาสพรหม ไม่ต้องเกิดใหม่ บำเพ็ญบารมีไปนิพพานข้างบนได้ แต่ก็ทำให้ช้าไปอีกหลายกัป

เหตุที่ท่านไปไม่ได้เพราะว่าก่อนท่านมรณภาพมีนิมิตเป็นสมุดบัญชีของว้ด ท่านยังไม่ได้มอบหมายให้ใครรับผิดชอบอย่างเป็นทางการ จิตพะวงอยู่นิดเดียวเอง เลยไปได้แค่พรหม

เรื่องการทดสอบนั้น มีการทดสอบทั้งหลับทั้งตื่น ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที เขาทดสอบเราอยู่ตลอด อย่างที่เคยตักเตือนพวกเราว่า มารใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัวเป็นเครื่องทดสอบเราได้หมด ต้องระมัดระวังให้ดี เผลอเมื่อไรก็ไปไม่รอด และทดสอบได้ร้ายกาจจริง ๆ เขาสอบแบบไม่เหลือเวลาให้เราตัดสินใจ เพราะน้ำจะถึงหมู่บ้านแล้ว อีกไม่กี่ศอกเอง"
__________________
"โดยเฉพาะคนที่เรารัก จะสร้างความสะเทือนใจให้เราได้ง่ายที่สุด ฉะนั้น..เวลาที่มารเขาทดสอบเรา ข้อสอบเขาออกได้โหดมาก ไม่เปิดโอกาสให้เราด้วยประการทั้งปวง เพราะเขาต้องการจะรั้งเราให้อยู่

หลายต่อหลายคนเวลาปฏิบัติธรรมไประดับหนึ่ง พอกิเลสดิ้นทำท่าจะตาย เราก็ไปปล่อย แต่ถ้าเราจะตายกิเลสไม่เคยปล่อยเรา ก็เลยเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังให้ดี สอบตกก็ต้องเกิดอีกนับไม่ถ้วน สอบได้ก็ผ่านไป
________________________________________
ถาม : ที่ผมปฏิบัติมา จะมีบางกระแสที่ช่วยคนที่เขารักษาอยู่ แค่ผมไปสัมผัส เหมือนเราไปรับตรงนั้นมา
ตอบ : ก็ในเมื่อเป็นสิ่งที่เขาต้องรับ เราไปช่วยเขา เราก็รับแทนไปเท่านั้นเอง

ถาม : บางทีผมเองไม่ได้ตั้งใจที่จะช่วย
ตอบ : อาตมาที่แทบจะคลานอยู่ทุกวันนี้ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเหมือนกัน

ถาม : บางทีแค่คิดก็โดนแล้ว
ตอบ : คิดก็เป็นกรรม เขาเรียกมโนกรรม ถ้าพูดออกมาก็เป็นวจีกรรม ถ้าทำเลยก็เป็นกายกรรม

ถาม : มาจากสาเหตุอะไรครับ ?
ตอบ : เราเคยมีกรรมเนื่องกับเขามาก่อน ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

ถาม : ผมจะโดนบ่อยมาก
ตอบ : ไม่อยากโดนก็ต้องควบคุมกาย วาจา ใจ ของตัวเองให้ดี โดยเฉพาะความคิด ถ้ายังควบคุมไม่ได้ก็สมควรที่จะโดน..!

เพียงแต่ว่าคนอื่นจิตค่อนข้างจะหยาบ เวลาโดนจึงไม่รู้ ไปรู้เอาเฉพาะที่หนัก ๆ แต่ของคุณส่วนที่เบาก็ยังรู้ ก็แปลว่าความทุกข์ทรมานจะมีมากกว่าคนอื่นเขาหน่อย

เมื่อครู่เพิ่งจะเล่าให้เขาฟังเรื่องที่ไปยุ่งกับกรรมของชาวบ้าน แล้วตัวเองก็เดือดร้อน พอดีคุณก็มาช่วยยืนยันว่ายุ่งแล้วจะเดือดร้อนจริง ๆ
__________________
________________________________________
ถาม : บางทีเราเข้าใกล้คนที่มีกรณีแรง ๆ แล้วทำไมเราต้องหมดเรี่ยวหมดแรง ?
ตอบ : การรับสัมผัสสิ่งภายนอกก็ต้องใช้กำลัง อย่างเช่นพวกที่ใช้กำลังของทิพจักขุญาณก็ดี หรือพวกที่ใช้กำลังของอภิญญาสมาบัติ คราวนี้ในการใช้กำลัง ถ้าเราขาดการฝึกฝน ก็เหมือนกับการที่มีเงินในกระเป๋าน้อย แต่เราไปใช้ทีเดียวมาก ๆ เงินก็หมดกระเป๋าเท่านั้นแหละ

ถาม : จริง ๆ เราก็ไม่รู้ เขาเข้ามาใกล้ ๆ เท่านั้น
ตอบ : ต้องไปซ้อมให้ดีกว่านี้ ให้รู้ก่อนที่เขาจะเข้ามาใกล้ ๆ จะได้ถีบเขาออกไปไกล ๆ ได้..!
__________________
________________________________________
มีโยมบางคนถวายสังฆทานติด ๆ กัน ก็คือ พอถวายครั้งแรกเสร็จแล้ว ก็ยกถวายต่ออีกทันที พระอาจารย์จึงกล่าวให้ฟังว่า "การทำบุญบางทีก็แสดงออกซึ่งจริตนิสัย อย่างโยมเขายกสังฆทานหลาย ๆ ครั้ง โยมก็สบายใจมีความสุข ถ้าเป็นอาตมาจะถวายครั้งเดียวจบเลย คือ เอารางวัลที่หนึ่งไปเลย ขี้เกียจเอารางวัลเล็ก ๆ บ่อย ๆ

ฉะนั้น..นิสัยคนไม่เหมือนกัน การทำบุญก็จะไม่เหมือนกัน ถ้าเราช่างสังเกตจะเห็นอะไรเยอะ อย่างของโยมถ้าไปเกิดใหม่จะมีลาภผลมาเรื่อย ๆ ไม่ขาด แต่นิสัยของอาตมาชอบทำทีเดียว ถึงเวลาลาภผลก็มาตูมทีเดียว อาจจะโดนภูเขาทองทับตายไปเลย..!"
__________________
________________________________________
ถาม : ฝันเห็นจระเข้
ตอบ : ตีความได้สองอย่าง อย่างหนึ่งโบราณเขาว่าจะมีคนปองร้ายหรือติดสินบน(บนเอาไว้แล้วไม่ได้แก้บน) อย่างที่สองก็คือ กิเลสในใจของเราเอง

ถาม : แล้วถ้าฝันเห็นเต่า
ตอบ : ไม่เห็นหรือว่าเต่ามีอะไรบ้าง ๑ หัว ๔ ขา ๑ หาง รวมแล้ว ๖ ถึงเวลาอะไรกระทบก็หดเข้ากระดอง เอาตัวรอดไว้ก่อน คนเราถ้าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอะไร เราก็หลบไม่ไปรับไว้ แล้วจะสบายไหมเล่า ?

ถาม : ถ้าเราฝันเห็นเต่าแล้วกลายเป็นจระเข้
ตอบ : แปลว่ากิเลสจะเจริญงอกงามถึงขนาด จะแปลงจากเชื่องช้าเชื่องเชื่อ กลายเป็นอาละวาดแล้ว ระวังให้ดี..!
__________________
________________________________________
ถาม : สิ่งที่เคยสัมผัสในการปฏิบัติธรรมเราได้ผ่านมาแล้ว แต่ทำไมเราย้อนกลับไปเห็นอีก แล้วก็เกิดขึ้นเอง..?
ตอบ : บางอย่างมีนิมิตบอกเหตุล่วงหน้า แต่เราไม่ได้ใส่ใจ พอถึงเวลาแล้วเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง ๆ เราจึงนึกได้ว่าที่แท้เรารู้แล้ว

ถาม : หนูก็ไม่มีความมั่นใจในตนเอง กลัวตนเองจะไปเทียบ
ตอบ : ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นของแถมของนักปฏิบัติ ถ้าเราทำไปถึงระดับหนึ่ง จิตเริ่มสงบ ก็จะสะท้อนให้เห็นสิ่งรอบข้างได้

แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเสียมากกว่าดี ที่เสียมากกว่าดีเพราะเราไปติดในนิมิตเหล่านั้น นิมิตเหล่านั้นจะแม่นยำได้ก็ต่อเมื่อเราไม่เอาจิตไปปรุงแต่งให้เกิดรัก โลภ โกรธ หลง สักแต่ว่ารับรู้เฉย ๆ แต่ทันทีที่เราไปอยากรู้อยากเห็น อาจจะอยากรู้เพื่อที่จะเอาไปบอกคนอื่น หรืออยากรู้เพื่อจะไปอวดใคร คราวนี้เราจะโดนหลอกให้เป๋ได้ง่าย

ทำไม่รู้ไม่ชี้นั่นแหละ มาก็รับรู้ไว้ด้วยความเคารพแล้วก็กองไว้ตรงนั้น

ถาม : มักจะกระโดดกลับไปกลับมา
ตอบ : เรื่องของนิมิตนั้นไม่มีต้นมีปลาย นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป กว่าจะรู้ส่วนใหญ่ก็เมื่อเหตุนั้นเกิดขึ้นแล้ว
__________________
"จำไว้ว่าหวยเป็นอบายมุข อบาย คือ ทางต่ำ , ทางเสื่อม
มุขะ คือ ปากทาง อบายมุข คือ ปากทางแห่งความเสื่อม

พระพุทธเจ้าบอกว่า ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ ผู้ชนะย่อมก่อเวร ย่อมทำให้ทรัพย์สินฉิบหาย ไม่มีผู้ใดเชื่อถือ"
__________________
________________________________________
"เรื่องของบุญกุศลที่ทำไว้ ต่อให้ไม่เล่นหวย ถ้าวาระบุญเข้ามาสนองจริง ๆ ก็จะได้ในทางอื่นแทน

มีคนกวาดขยะเก็บได้รางวัลที่หนึ่ง ช็อกหัวใจวายตาย..! ตอนตายยังกำหวยใบนั้นอยู่เลย คนเขาก็สงสัยว่าได้หวยมาจากไหน ปรากฏว่ามีคนเอามาทิ้งไว้และเป็นหวยของงวดที่แล้วที่เขาไม่ถูก แต่เลขมาตรงกับรางวัลที่หนึ่งของงวดนี้ ตกลงว่าตายฟรี..!

ส่วนจ่าตำรวจที่ตาคลี นครสวรรค์ ซื้อหวยมา ๘๐ บาท รู้สึกเสียดายเงิน ตอนเย็นกินเหล้าก็เอาหวยไปยัดเยียดให้เพื่อน เพื่อนก็ไม่เอา จนกระทั่งท้ายสุดลดเหลือ ๕๐ บาท เพื่อนก็เลยต้องจำใจซื้อไป เขาเก็บหวยไว้เฉย ๆ

ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นถูกหวย ๖ ล้าน จ่าตำรวจที่ขายหวยให้เพื่อนไป ๕๐ บาท คว้าปืนจะเอามายิงหัวตัวเอง เพื่อนต้องห้ามกันอุตลุต เขาโกรธตัวเองที่โยนเงิน ๖ ล้านให้เพื่อนในราคา ๕๐ บาท แล้วบังคับให้เขาเอาด้วยนะ แสดงว่าคนเราสร้างบุญเอาไว้ ถ้าบุญจะสนองอย่างไรก็ต้องมา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง"
__________________
________________________________________
มีโยมมาจากสหรัฐอเมริกา เล่าให้พระอาจารย์ฟังว่า ตะกรุดมหาสะท้อนที่ตัวเองพกอยู่นั้นใช้ได้ผล พระอาจารย์จึงกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า

"จริง ๆ แล้วถึงเราไม่มีตะกรุดมหาสะท้อน ใช้คาถาอย่างเดียวก็ได้ผล แต่สมาธิต้องทรงตัว เราภาวนา เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา ไปเรื่อย ๆ ถ้าสมาธิทรงตัว จะมีอานุภาพเหมือนกับใช้ตะกรุดมหาสะท้อน เพราะตะกรุดก็ปลุกด้วยคาถานี้ ต่างกันแค่พวกเราขาดความมั่นใจเท่านั้นเอง ถ้าสมาธิดีหน่อย มีความมั่นใจ ไม่ต้องไปเสียเงินบูชาตะกรุดแพง ๆ ก็ได้

เมื่อเช้านายทหารเขาเอาเช็คมาให้ เขาบอกว่าทำกระเป๋าเงินหาย แล้วตะกรุดอยู่ในนั้นด้วย ก็เลยต้องเสียเงินอีกหนึ่งหมื่นมาเอาของใหม่ อยากจะบอกว่าเป็นถึงระดับผู้บัญชาแล้ว ไม่ควรงมงายเรื่องนี้ แต่ก็พูดไม่ออก

วัตถุมงคลทุกประเภทสำคัญตรงกำลังใจของคนใช้ วัตถุมงคลเหมือนกับเครื่องส่ง มีการส่งคลื่นอยู่ตลอดเวลา ถ้ากำลังใจของคนใช้ไม่เปิดรับ มีวัตถุมงคลไว้ก็เท่านั้น เหมือนกับไม่มีนั่นเอง

ดังนั้น..เราจะเห็นได้ว่า คนที่เอาวัตถุมงคลไปใช้ ถึงเป็นของรุ่นเดียวกัน อย่างเดียวกันก็จริง แต่ได้ผลไม่เท่ากันหรอก คนที่กำลังใจเข้มแข็งมาก มีความศรัทธาเชื่อมั่นมาก ใช้ได้ผลมากกว่า คนที่อยู่ต่างประเทศใช้ได้ผลมากกว่าคนในประเทศ เพราะว่าอยู่ไกลแล้วไม่รู้จะพึ่งอะไร จึงต้องอาศัยวัตถุมงคลเป็นหลัก"
__________________
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานมีคนคิดมิดีมิร้ายกับรองเท้าของอาตมา รองเท้าเลยต้องหนีไปซ่อน เฟิร์สเขาถามว่า เมื่อไรถึงจะรู้ได้ขนาดหลวงพ่อ ?

อาตมาบอกไปว่า มีสองวิธี วิธีแรก คือซ้อมบ่อย ๆ ให้คล่องตัว วิธีที่สองคือ อธิษฐานทุกครั้งว่า เหตุใดที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น โดยไม่ต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด"
__________________
________________________________________
พระอาจารย์กล่าวให้โยมฟังว่า "ที่มานั่งรับสังฆทานที่นี่ จริง ๆ แล้วไม่ได้มานั่งเอาเงิน ถ้ามานั่งเพื่อเงินไม่มานั่งหรอก ทรมานขนาดนี้

มาที่นี่ก็เพื่อสงเคราะหญาติโยมเขา อย่างน้อยให้เขาทำความดีอะไรบางอย่าง ที่เป็นปัจจัยไปสู่ภพภูมิที่ดีในภายภาคหน้าได้เราก็พอใจแล้ว

จะมานั่งเอาเงินหรือ ? อาตมากลับไปนอนที่วัดดีกว่า เพราะถ้าได้เงินมาก็ต้องทำนั่นทำนี่..เหนื่อยจะตายชัก ถามว่ากลัวเหนื่อยไหม ? ไม่ได้กลัวหรอก แต่เบื่อว่ะ..!"
__________________
________________________________________
ถาม : โรคภัยไข้เจ็บตัวใหม่ที่เกิดขึ้น เราจะมีวิธีป้องกันอย่างไร ?
ตอบ : ตอบแบบกำปั้นทุบดิน อย่าไปคลุกคลีกับคนที่ป่วย

ถาม : หมายถึงว่า ถ้าจะอาราธนาบารมีพระ หรือวัตถุมงคลที่ท่านปลุกเสก
ตอบ : ต้องมีความมั่นใจจริง ๆ กำลังใจต้องทรงตัวจริง ๆ และเวรกรรมเก่าตามไม่ทันจริง ๆ ถ้าตามทันอย่างไรก็ไม่รอด เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลหรอก

สมัยก่อนโรคเอดส์ระบาด แล้วมีแค่ยันต์เกราะเพชร ความรู้สึกของอาตมาบอกชัดว่า "ชีวิตนี้เอ็งไม่เป็นเอดส์แน่ แค่ยันต์เกราะเพชรอย่างเดียวก็กันได้แล้ว.." รุ่งขึ้นเลยไปถามหลวงพ่อว่า "จริงหรือเปล่าครับ ที่ความรู้สึกผมบอกว่าแค่ยันต์เกราะเพชรก็กันเอดส์ได้แล้ว ?"

ท่านบอกว่า "ยันต์เกราะเพชรเขาเอาไว้กันไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ละเอียดกว่าเชื้อโรคเยอะ ในเมื่อเรามีความมั่นใจจริง ๆ สิ่งที่หยาบกว่าทำไมจะกันไม่ได้" แต่ที่รอดจากเอดส์มาได้จนทุกวันนี้ เพราะไม่เคยยุ่งกับใคร..!
__________________
________________________________________
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องโรคภัยไข้เจ็บว่า "เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าไม่ไปใส่ใจนัก ก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก

คุณยายประคิน อยู่เชียงใหม่ อายุ ๘๐ กว่าแล้ว เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ตลอด แต่บ้านนั้นแปลก ทั้งบ้านมีประสบการณ์ตายแล้วฟื้นทั้งนั้นเลย

ยายแกก็นั่งรอวันตาย บางวันยายก็นั่งหัวเราะ ลูกสาวก็ถาม "แม่ ๆ หัวเราะอะไร ?" ยายก็บอกว่า "แม่กำลังดูโรค มันไม่รู้หรอกว่า ถ้ามันเล่นข้าตาย มันก็โดนเผาไปด้วย" ยายแกหัวเราะขำเชื้อโรค

ตรงนี้เราจะเห็นชัดว่า คนที่เห็นความตายเป็นเรื่องปกติ เขาไม่ได้รู้สึกว่าความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะก็แค่เปลี่ยนรูป เปลี่ยนขันธ์ เปลี่ยนภพ เปลี่ยนภูมิไปตามกรรมที่เราทำมา ทำสิ่งที่ดีไว้ก็ขึ้นสูง ทำสิ่งที่ไม่ดีไว้มากก็ลงต่ำเท่านั้นเอง

คนที่นั่งรอความตาย ถึงขนาดหัวเราะให้กับความตายได้ นี่หายากมาก"
__________________
________________________________________
ถาม : ทำบุญโดยถวายเครื่องปรับอากาศจะมีอานิสงส์อย่างไร ?
ตอบ : เกิดมาชาติใหม่ น่าจะเย็นกายเย็นใจ ประเภทอยู่เย็นเป็นสุข
__________________
________________________________________
ถาม : นั่งสมาธิต้องนั่งอย่างไร ?
ตอบ : นั่งอย่างไรก็ได้ แต่เวลายืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ไม่ไปคิดเรื่องอื่น

ถาม : แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าสมาธิเราก้าวไปอีกขั้นแล้ว ?
ตอบ : ไปศึกษาเรื่องการทรงฌาน แล้วทำให้ต่อเนื่อง อย่าให้ขาดช่วง ถ้าทำแล้วขาดช่วง กิเลสกินได้ สมาธิจะถอยหลัง ก็เลยอยู่ที่เราจะต้องใช้สติประคับประคองกำลังใจให้ต่อเนื่องเข้าไว้ อย่าให้ขาด ถ้าทำได้ไม่ขาดช่วง เวลาสมาธิก้าวหน้าขึ้นเราจะรู้ได้ เพราะผลที่เกิดก็เหมือนกับที่ตำราบอกเอาไว้
__________________
________________________________________
ถาม : ถ้าจะถวายผ้าไตรจีวรในระหว่างพรรษา พระท่านจะรับได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าคนถวายสะดวกเวลาไหนก็ได้ ความจริงพระพุทธเจ้าระบุเวลาถวายจีวรเอาไว้ เรียกว่า กาลจีวร เพื่อป้องกันไม่ให้พระไปรบกวนขอชาวบ้านเรื่อยไป แต่นี่ถ้าโยมมีศรัทธาจะถวายเองก็รับเอาไว้ได้

ถาม : ถามพระท่าน เห็นท่านบอกว่าต้องไปถวายองค์อื่นต่อ
ตอบ : พระพุทธเจ้าท่านให้มีผ้าไตรจีวรชุดเดียว ถ้ามีมากกว่านั้นท่านให้ทำวิกัป คือ อย่างน้อยต้องมีบุคคลอื่นร่วมเป็นเจ้าของด้วย เพื่อป้องกันพระเณรจะโลภแล้วไปสะสมของเอาไว้เยอะ ๆ

จริง ๆ ถ้าอยากถวายก็ถวายไปเถอะ ท่านที่รู้ท่านก็ส่งเข้าคลังเป็นของกลาง ไม่เอาเป็นของตัวเอง ถึงเวลาใครจะใช้ก็ไปเบิกเอา ได้อานิสงส์สองต่อด้วย

ถาม : โยมไปเจอพระที่อยู่ในถ้ำ อากาศก็เย็น โยมเห็นแม่ชีนั่งชุนจีวรให้พระ โยมคิดว่าจะไปถวายท่านเพราะอากาศที่นั่นเย็น
ตอบ : หาผ้าแบบที่เป็นสังฆาฏิสองชั้น จะเป็นผ้าสำหรับพระธุดงค์โดยเฉพาะ ผ้าของพระธุดงค์บางสายหนาเป็นผ้าใบเลยก็มี ถ้าได้จีวรแบบนั้นไปกันหนาวได้แน่นอน แต่อาตมาเคยห่มจีวรสองชั้นเข้าไปไม่กี่ทีก็เข็ด เพราะหนัก..!
__________________
________________________________________
ถาม : เราอยากได้ลูกน้องที่ดี ๆ เก่ง ๆ เราต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ตั้งเครื่องบวงสรวง ขอกับเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ

ถาม : ตั้งกลางแจ้งได้เลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..เมื่อสำเร็จแล้วก็แก้บนแบบนั้นอีก ๑ ชุด
__________________
ถาม : ถ้าผมต้องการเจิมรถ โดยไม่รบกวนท่าน ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : เจิมเอง

ถาม : ใช้อะไรบ้างครับ ?
ตอบ : แป้งหอม น้ำมันหอม คาถา บวกกับสมาธิเยอะ ๆ

ถาม : แล้วน้ำมันชาตรี ?
ตอบ : น้ำมันชาตรีเจิมได้ ดีที่สุดเลย เอาอย่างนี้สิ หาวัตถุมงคลที่เรามั่นใจ อาราธนาติดรถไว้ด้วย

จริง ๆ แล้วเราสามารถเจิมเองได้ เวลาเจิมให้ตั้งใจนึกถึงภาพพระครอบตัวไว้ ว่าเป็นพระหรือครูบาอาจารย์ท่านเจิม ถ้ารู้สึกแน่น ๆ หรือของขึ้นก็ไม่ต้องแปลกใจ แสดงว่าใช่เลย ออกรถเอาสีอะไรก็ได้นะ แต่อย่าไปใช้สีดำ
__________________
ถาม : เป็นพระถอนขนรักแร้ได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ในพระวินัยห้ามไว้ชัดเลย

ถาม : โกนได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้

ถาม : หรือต้องให้ร่วงโดยธรรมชาติ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว เกิดจากพระไปอาบน้ำที่ท่าน้ำแล้วช่วยกันถอน มีคนเขาตำหนิว่า ในเมื่อเป็นพระแล้วทำไมยังทำอาการเหมือนฆราวาสที่ยังเสพกามอยู่ พอพระพุทธเจ้าท่านทราบ ท่านก็เลยห้าม ป้องกันชาวบ้านติเตียนพระแล้วเกิดโทษแก่เขา
__________________
ถาม : ภิกษุฉันน้ำเต้าหู้ได้หรือไม่ ?
ตอบ : ภิกษุสามเณรห้ามฉัน ไม่ว่าจะเป็นนมถั่วเหลือง ไวตามิลค์ น้ำเต้าหู้ ถือว่าเป็นตระกูลเดียวกัน เพราะว่าสิ่งที่เป็นถั่วพระพุทธเจ้าท่านจัดว่าเป็นอาหาร

ท่านบอกว่าถึงทำเป็นปานะก็ไม่ควร แต่ถ้าฆราวาสถือศีลแปดกินเข้าไปเถอะ ท่านไม่ได้ห้ามหรอก เพราะท่านห้ามศีลพระไม่ใช่ศีลฆราวาส

ถาม : นมสัตว์ห้ามไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากเป็นนมข้น พระธรรมยุติจะไม่ฉัน เนื่องจากมีส่วนผสมของแป้งที่เป็นอาหารเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องพูดถึงไมโล โอวัลติน นั่นเป็นข้าวบ้าง ไข่บ้าง ยิ่งเป็นอาหารหนักเข้าไปใหญ่

นึกถึงหลวงตาบัว ท่านบอกว่าสมัยที่ท่านยังเดินธุดงค์อยู่ ไมโล โอวัลติน หน้าตาเป็นอย่างไร แค่จะฝันก็ยังฝันไม่ถึงเลย เพราะไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องพูดว่าจะได้ฉัน

ที่จะได้ฉันก็คือใบไม้ รากไม้ แก่นไม้ ที่เอามาต้มเป็นสมุนไพร โดยเฉพาะน้ำต้มบอระเพ็ด น้ำต้มใบชุมเห็ด หรือถ้าเป็นพวกผลเภสัช อย่างสมอหรือมะขามป้อมก็พอได้อยู่ แต่อย่างอื่นในป่าไม่มี

พอพูดถึงตรงนี้ก็นึกถึงหลวงพี่โอ (พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) แต่ละเดือนเมื่ออาตมาลาหลวงพ่อได้ก็จะไปธุดงค์ พอกลับมาก็มาไหว้พระผู้ใหญ่ที่อยู่ในวัด ก็คือ ไปลามาไหว้ พี่โอท่านก็ปรารภว่า "ไปธุดงค์อย่างท่านผมก็อยากไป แต่ในป่าไม่มีเนสว่ะ..!"

ท่านบอกว่า ท่านขาดกาแฟไม่ได้ ถ้าปรารถนาพุทธภูมิท่านจะอธิษฐานตรัสรู้ใต้ต้นกาแฟ..! แสดงว่าเป็นเอามาก อาตมาก็เพิ่งรู้จากหลวงพี่โอนั่นแหละว่าเนสกาแฟมีทั้งฝาแดง ฝาดำ ฝาทอง ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน เพราะไม่ได้ฉัน
__________________
ถาม : ที่ท่านให้พร สิทธิกิจจัง แปลว่าอะไรครับ?
ตอบ : สิทธิกิจจัง ขอให้การงานสำเร็จ สิทธิกัมมัง ขอให้การกระทำทุกอย่างจงสำเร็จ สิทธิลาโภ นิรันตะรัง ขอให้มีลาภตลอดกาลนาน สิทธิเตโช ชะโยนิจจัง ขอให้มีเดชมีอำนาจที่ยั่งยืน สัพพะสิทธิ ภะวันตุ เต ขอความสำเร็จทั้งหลายเหล่านี้จงมีแก่เธอ
__________________
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องศีลว่า "ในเรื่องของศีลพระ ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว หลวงปู่บุดดาท่านบอกว่าศีล ๑๐ ก็พอแล้ว ที่เหลือนั้นเป็นศีลเอาใจชาวบ้าน เพราะชาวบ้านคิดว่าพระควรจะต้องเป็นอย่างนั้น

ถ้าเราไม่ทำตาม เขาจะตำหนิเอา หรือขาดความเลื่อมใสขึ้นมา ศาสนาก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ต้องบัญญัติศีลส่วนหนึ่งเพื่อตามใจชาวบ้าน เป็นศีลเพื่อชาวโลก ป้องกันเขากล่าวร้าย ว่าติเตียนพระสงฆ์"
__________________
พระอาจารย์กล่าวถึงโลกันตนรกให้ัฟังว่า "โลกันต์เขาลงโทษด้วยความเย็น เป็นนรกขุมเดียวที่อาตมาสนใจไปดู ขุมอื่น ๆ ไม่ไปหรอก เพราะเคยลงมาหมดแล้ว ขาดโลกันต์ขุมเดียวยังไม่ได้ลง จึงต้องไปดู

อยากจะรู้ว่าการลงโทษด้วยความเย็นนั้นเย็นขนาดไหน ? ก็เย็นขนาดที่สัตว์นรกตกกระทบผิวน้ำแล้วป่นเป็นผงไปเลย กรอบขนาดนั้นเลย แต่ป่นเป็นผงเฉพาะส่วนของเลือดเนื้อ แต่กระดูกยังอยู่ ลองนึกถึงว่า ลำพังตัวคนก็หนาวจะแย่อยู่แล้ว ถ้าเหลือแต่กระดูกจะหนาวขนาดไหน ? เป็นรสชาติที่อธิบายไม่ได้หรอก นอกจากไปลงเสียเอง

สักพักหนึ่งเลือดเนื้อก็กลับมาใหม่ รีบว่ายตะเกียกตะกายเพื่อจะหนีขึ้นฝั่ง บางคนก็ตกอยู่ชิดฝั่งนี้ แต่มองอะไรไม่เห็น ก็ตะกายว่ายไปอีกฝั่ง กว่าจะไปถึงก็อีกไกล ร่างก็แตกกรอบไปอีกรอบหนึ่ง"

ถาม : ทำผิดอะไรนักหนาถึงโดนขนาดนี้ ?
ตอบ : ทำผิดประมาณสี่เท่าของอเวจี อย่าคิดว่าไม่มีใครทำได้นะ ตัวอย่างมี ในคัมภีร์เภทธรรมติจักรศาสตร์ของมหายาน เขากล่าวถึงการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่สองว่า ไม่ใช่เกิดจากความวิบัติของสีลสามัญตาแบบของเถรวาท

ของเถรวาทกล่าวว่า การสังคายนาเกิดจากความวิบัติของสีลสามัญตาเพราะว่าภิกษุพาวัชชีไปผ่อนผันศีลอยู่ ๑๐ ข้อ อย่างเช่นว่า สุรารสอ่อนที่มีสีแดงเหมือนเท้านกพิราบนั้นดื่มได้ ก็คือกินไวน์ได้ หรือจับต้องเงินทองได้ ฯลฯ พระยสกากัณฑบุตรจึงต้องทำการสังคายนาพระธรรมวินัยใหม่
__________________
แต่ทางด้านคัมภีร์เภทธรรมติจักรศาสตร์ของทางด้านสันสกฤตที่เป็นมหายาน เขาบอกว่าการสังคายนาครั้งที่ ๒ เกิดจากมติของพระมหาเทวะ ๕ ข้อ

มหาเทวะ เป็นลูกพ่อค้าเกวียน มีแม่ที่สวยมาก พ่อไปค้าขายต่างเมืองบ่อย ๆ เมื่อพระมหาเทวะโตเป็นหนุ่ม ก็เลยเป็นชู้กับแม่ตัวเอง แล้วกลัวว่าพ่อของตนเองจะรู้ พอพ่อกลับมาก็เลยฆ่าพ่อเสีย แล้วพาแม่หนีไปอยู่เมืองอื่น

พอไปอยู่ที่เมืองอื่น เจอพระอรหันต์องค์หนึ่งที่รู้จักว่าท่านเป็นลูกเต้าเหล่าใคร มาจากไหน พระมหาเทวะกลัวว่าพระอรหันต์จะบอกเบื้องหลังของตน ก็เลยฆ่าพระอรหันต์ พอฆ่าพระอรหันต์เสร็จโดนแม่ดุด่า ว่าทำไมไปสร้างอนันตริยกรรมขนาดนั้น ก็เลยฆ่าแม่ด้วย..!

ด้วยความเครียดที่ตัวเองทำสิ่งที่เป็นกรรมหนักขนาดนั้น ก็เลยคิดจะล้างกรรมโดยการหนีไปบวชในพระพุทธศาสนา พอหนีไปบวชด้วยความที่ท่านเป็นคนฉลาดมีปัญญามาก สามารถท่องจำพระไตรปิฎกได้ ลูกศิษย์ก็เลยเยอะ พออยู่ไปก็เกิดวิปลาสขึ้นมา เที่ยวไปพยากรณ์ว่าคนนั้นคนนี้เป็นพระอรหันต์

ลูกศิษย์ก็บอกว่า "พระอรหันต์ท่านน่าจะรู้ทุกอย่าง แต่ทำไมผมไม่รู้ตัวว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วทำไมอาจารย์บอกว่าผมเป็น ?" ท่านบอกว่าพระอรหันต์อาจจะมีอันญาณ คือ ความไม่รู้ได้ การจะได้มรรคผลหรือไม่ได้มรรคผลต้องมีผู้รู้พยากรณ์ให้

พอพระลูกศิษย์ท่านสงสัย พระมหาเทวะท่านก็เครียด เพราะกลัวคนจะรู้ความลับด้วย ขณะเดียวกันลูกศิษย์ก็ฉลาด มาเรียนก็ไม่ได้เรียนเปล่า ปฏิบัติไปด้วย สงสัยตรงไหนก็ไปไล่ถามและอาจารย์ก็ไม่เก่งจริง พอพระมหาเทวะเครียดขึ้นมา ก็ไปยืนรำพึงว่า "อโห..ทุกขัง ทุกข์จริงหนอ"

ลูกศิษย์พอได้ยินก็ถาม "อาจารย์เป็นพระอรหันต์แล้วยังทุกข์อยู่อีกหรือ ?" พระมหาเทวะก็เก่ง บอกว่าคนจะเป็นพระอรหันต์ได้จะต้องภาวนาว่า อโห..ทุกขัง พระมหาเทวะก็แก้อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
__________________
________________________________________
จนกระทั่งวันหนึ่งพระมหาเทวะ "ฝันเปียก" ลูกศิษย์เอาสบงไปซัก เห็นเข้าจึงถามว่า "ไหนอาจารย์ว่าเป็นพระอรหันต์หมดความกำหนัดแล้ว ทำไมยังฝันเปียกอยู่ ?" พระมหาเทวะก็บอกว่าพระอรหันต์อาจจะโดนมารยั่วยวนในความฝันได้

มติเหล่านี้ลูกศิษย์เขาบันทึกลงในคัมภีร์ กลายเป็นอาจาริยวาท ก็คือ คำสอนเฉพาะตัวของแต่ละอาจารย์ที่ลูกศิษย์เขานับถือ ซึ่งทำให้ธรรมะจริง ๆ เสียหายหมด จึงต้องมีการสังคายนาพระธรรมวินัยใหม่

เราอาจจะคิดว่า ไม่มีคนที่สามารถจะทำผิดถึงสี่เท่าของอเวจีได้ แต่มหาเทวะทำได้สำเร็จ ทั้งทำลายพระธรรมวินัย ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ โทษอเวจีล้วน ๆ เลย เขาเป็นยอดคนจริง ๆ เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายเหล่านี้มีโลกันต์เป็นที่ไป ได้ตู้เย็นส่วนตัว..! จะว่าไปแล้ว กำลังใจขนาดนี้ถ้าพลิกมุมนิดเดียวอาจจะบรรลุมรรคผลไปเลย
__________________

________________________________________
หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า พระไตรปิฎกฉบับที่เชื่อถือได้มากที่สุด ก็คือฉบับที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชพระราชทานให้ออกญาโกษาปาน นำไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ฉบับนั้นยังไม่เพี้ยน

มารุ่นหลังความหมายเริ่มเพี้ยนเยอะ เอาแค่พระสูตรแรกในทีฆนิกาย สุตตันตปิฎก เปิดพระไตรปิฎกขึ้นมา ถ้าถึงสุตตันตปิฎกก็จะเจอเลย พระสูตรแรกคือ พรหมชาลสูตร

พรัหมะ แปลว่า ผู้ประเสริฐ , ผู้เป็นใหญ่ ชาละ คือตาข่าย เขาตีความหมายว่า พระสูตรแห่งข่ายคือพระญาณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า อยู่ในลักษณะยกย่องว่าพระพุทธเจ้ามีข่ายคือพระญาณอันประเสริฐ จึงสามารถรู้ลัทธิต่าง ๆ ของศาสดาอื่น ๆ ได้ถึง ๖๒ ลัทธิด้วยกัน

แต่ความจริงความหมายนี้ผิด คำว่าพรหมชาละตัวนี้แปลว่า ตาข่ายดักพรหม ก็คือ บรรดาทิฐิทั้ง ๖๒ ลัทธิไม่มีใครหลุดพ้นไปจากพรหมหรอก ติดอยู่แค่นั้นแหละ ไม่เกินนั้นเด็ดขาด

ถ้าตีความผิดไปเรื่อย ๆ ต่อไปความหมายก็จะเพี้ยนไปด้วย เพราะฉะนั้น..ภาษาบาลีถึงแม้ว่าจะดี เพราะเป็นภาษาที่ตายไปแล้ว ความหมายไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับคนแปลว่าเข้าถึงแค่ไหน

โดยเฉพาะในเรื่องของอารมณ์ธรรมะจริง ๆ แล้ว ไม่สามารถบันทึกเป็นตัวหนังสือได้ เพราะว่าอารมณ์ธรรมจริง ๆ เป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน ละเอียดเกินกว่าคำพูดหรือหนังสือจะบันทึกไว้ได้
__________________
________________________________________
ถาม : อยากรู้วิธีการฝึกความเพียร
ตอบ : การฝึกความเพียร แค่ทำทุกอย่างบ่อย ๆ โดยไม่เบื่อเสียก่อน นั่นแหละคือการฝึก..!

เรียนก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาเรียน เพื่อนอ่านหนังสือ ๑ จบ เราต้องอ่านให้ได้อย่างน้อย ๒๐ จบ นั่นแหละคือความเพียร เพื่อนทำสมาธิ ๕ นาที เราทำ ๕ นาทีเหมือนกัน แต่เราทำ ๕ รอบ ๘ รอบ นั่นคือความเพียร

สำคัญตรงที่ว่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก กำลังใจต้องไม่ลดลง เบื่อไม่ได้ หน่ายไม่ได้ กำลังใจต้องเท่ากับครั้งแรกที่ทำ ไม่ใช่พอครั้งท้าย ๆ ก็ทำแบบซังกะตาย ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่ความเพียร

บุคคลที่ทำความเพียรต้องมุ่งประโยชน์ ดูตัวอย่างของพระมหาชนก ท่านว่ายน้ำอยู่กลางมหาสมุทร ๗ วัน ๗ คืน นางมณีเมขลาถามว่าท่านจะว่ายไปทำไม ฝั่งยังมองไม่เห็นเลยว่าอยู่ตรงไหน ?

พระมหาชนกตอบว่า ที่ท่านเพียรพยายามว่ายอยู่ ก็เพื่อหวังบรรลุถึงฝั่ง ถ้าหากว่าฝั่งอยู่ไม่ไกล ถ้าท่านรามือปล่อยให้จมน้ำตาย ก็ถือว่าเสียชาติเกิด แต่ถ้าหากฝั่งอยู่ไกลเกินกำลัง หลังจากที่เพียรสุดกำลังแล้ว ถึงจมน้ำตายก็ยังตอบตัวเองได้ว่า เราได้ใช้ความพยายามเต็มที่แล้ว นางมณีเมขลาได้รับคำตอบแล้วชอบใจ ก็เลยช่วยอุ้มไปส่ง
__________________
ถาม : อารมณ์ตรงนี้เหมือนกับเราตื๊อสู้กิเลส แล้วเราแพ้
ตอบ : แรก ๆ ก็จะเป็นอย่างนั้น ก็คือ กำลังของเรายังไม่พอหรอก เราแพ้กิเลสแน่ แต่พอทำไปบ่อย ๆ ก็จะเบาไปเรื่อย ๆ เพราะกำลังของเราเข้มแข็งขึ้น กิเลสชักจะสู้เราไม่ได้ ก็ค่อย ๆ รามือถอยไป จนกระทั่งท้ายสุดเราไม่ต้องใช้ความพยายาม เราก็สามารถทำได้อย่างสบาย ๆ

ลองไปดูพวกที่รักษาศีลไม่ได้ หรือไม่ก็ลองนึกถึงตัวเราที่รักษาศีลใหม่ ๆ ผิดแล้วผิดอีก แต่เราก็พยายามทำอย่างไรที่จะให้ศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์อยู่ได้

ก็ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างสูงเลย สติ สมาธิ ปัญญา ความสามารถมีเท่าไรต้องทุ่มเทลงไปจนหมด แต่พอมาทุกวันนี้ศีลทรงตัวแล้ว เราไม่เห็นต้องใช้ความพยายามอะไรเลย จะยืน เดิน นั่ง นอน อย่างไรก็อยู่ในศีล

ขณะเดียวกันที่เขายังรักษาศีลไม่ได้ เขาจะเห็นเหมือนกับแบกช้างทั้งตัว ต้องทุ่มเทความสามารถชนิดจนหยดสุดท้ายแล้วก็ยังเอาตัวไม่รอด ถ้ามองตรงนี้เราจะเห็นความต่างอย่างชัดเจน

หลังจากที่ได้เพียรพยายามมาระยะหนึ่ง ความเข้มแข็งจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ งานก็จะเบาลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุด ทำงานก็เหมือนไม่ได้ทำ ถึงได้บอกว่า ถ้าเบาก็ถูก ถ้าหนักยังไม่ใช่
__________________
________________________________________
ถาม : ขอคำแนะนำเกี่ยวกับมโนมยิทธิ
ตอบ : ต้องซ้อมบ่อย ๆ ถ้าไม่ซ้อมสนิมจะกิน มโนมยิทธิต้องถึงขนาดที่ว่าเขาส่งของมา เราต้องบอกได้ว่าที่อยู่ในกล่องในห่อเป็นอะไร ถ้าทำขนาดนั้นไม่ได้ เราก็จะไม่มั่นใจตัวเอง

ถึงทำขนาดนั้นได้ ถ้าเขาตั้งใจจะทดสอบเรา ภาพที่ปรากฏจะเป็นคนละเรื่องกับของจริง ยังมีการทดสอบทำให้เราเป๋ออกนอกทางได้อีก ฉะนั้น..มีอย่างเดียว คือขยันซ้อมและอย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ
__________________
________________________________________
พระอาจารย์บอกว่า "ยาสมุนไพรดีกว่ายาฝรั่ง ตรงที่ว่าร่างกายเราขับออกได้ ไม่เหมือนยาฝรั่งที่มีการตกค้าง แต่ยาสมุนไพรจะให้เห็นผลทันตาเลยทีเดียวอาจจะยาก ต้องกินสะสมไประยะหนึ่ง อย่างเช่น ๑ - ๒ หม้อ ก็เลยทำให้คนสมัยใหม่ที่ใจร้อน ไม่ค่อยจะใช้สมุนไพรกัน"
__________________
________________________________________
ถาม : ถ้าฝึกมโนมยิทธิที่บ้าน ควรฝึกอย่างไรครับ?
ตอบ : นั่งกรรมฐานตามปกติ แล้วกำหนดความรู้สึกทั้งหมดให้มาอยู่ตรงหน้า เหมือนกับมีตัวเราอีกตัวหนึ่งเล็ก ๆ ไม่ต้องใหญ่มาก มาอยู่ตรงหน้าของเรา

สั่งให้เดินแถวแบบทหารเลย ซ้ายหัน ขวาหัน กลับหลังหัน ถอยหลังสองก้าว เดินหน้าสามก้าว ฯลฯ ให้ความรู้สึกของเราชัด ถ้าไม่ชัดให้เริ่มใหม่ ทำไปเรื่อย ๆ

เสร็จแล้วก็เดินวนรอบห้อง รอบตัวเราก็ได้ ช้า ๆ นะ ไม่อย่างนั้นจะวูบเดียวครบรอบเลย เดินไปที่ประตู เปิดประตู ลงบันได ไปชั้นล่าง เดินรอบชั้นล่างอีกรอบหนึ่ง ออกไปดูหลังบ้าน ออกนอกบ้าน เปิดประตู เดินไปปากซอย

ค่อย ๆ กำหนดความรู้สึกให้ช้า ๆ และชัด ๆ ไปเรื่อย ตอนแรก ๆ จะชัดมากเพราะเราคุ้นกับสถานที่ แต่พอถึงจุดที่เราไม่คุ้นแล้วยังชัดอยู่ อย่างเช่น เห็นป้ายโฆษณา เห็นชื่อร้านค้า เห็นวินมอเตอร์ไซค์ ให้จำไว้เลยว่ามีลักษณะอย่างไร เลิกกรรมฐานแล้วไปดูว่ามีลักษณะอย่างที่เห็นไหม ?

ซ้อมอย่างนี้ทุก ๆ วัน สวรรค์พรหมไม่ต้องไปหรอก เอาแค่นี้แหละ พอคล่องตัวมาก ๆ จนกระทั่งหลับตาและลืมตาเห็นชัดเท่ากัน คราวนี้เราจะไปไหนก็กำหนดใจไป แต่ต้องขยันซ้อม ซ้อมบ่อย ๆ ทิ้งไม่ได้เลย ทิ้งเมื่อไรสนิมขึ้นเมื่อนั้น"
__________________
ถาม : เราจะปฏิบัติตัวอย่างไรที่จะให้เจริญในธรรมและไม่ขวางโลก ?
ตอบ : อันดับแรก เอาศีลเป็นกรอบ ถ้าเราไม่ละเมิดศีล ๕ อย่างไรเสียก็ไม่หลุดไปกับกระแสโลกไกลนัก อย่างเช่น ไปกินเหล้าเมายากับใครก็ไม่ได้ เพราะเรามีศีลป้องกันตัวอยู่

อันดับที่สอง พยายามทำสมาธิบ่อย ๆ เพื่อให้กำลังใจของเรามั่นคง ถ้ากำลังใจไม่มั่นคง เวลาเจอลมปากเพื่อนบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ไหลตามเขาไปด้วย

ระยะที่อาตมาน่าจะเสียมากที่สุด คือ ตอนเรียนนักเรียนนายสิบ เพราะว่าเพื่อนทหารทั้งกินทั้งเที่ยว ยาเสพติดทุกประเภทมีหมด แล้วเขาก็มาว่าเรา "ไม่เป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง ไปหากระโปรงมานุ่งซะ..!" แต่เราคนเดียวด่าเพื่อนทั้งกองร้อยกลับไปว่า "พวกมึงทั้งหมดนั่นแหละ ควรจะไปเอากระโปรงมานุ่ง กูรู้ว่าอะไรไม่ดี กูห้ามใจกูได้ กูนี่ถึงจะลูกผู้ชายจริง พวกมึงไม่ใช่หรอก..!"

เพราะฉะนั้น..ถ้ากำลังใจเราไม่มั่นคง เวลาโดนลมปากของคนอื่นแล้วเราจะอยู่ไม่ได้ ในเรื่องของศีล สมาธิ จะเป็นเครื่องช่วยในขั้นต้นเลย

ส่วนขั้นต่อไป มีปัญญารู้เห็นความเป็นทุกข์เป็นโทษของโลก ในเมื่อรู้ว่าสิ่งไหนเป็นโทษ สิ่งไหนเป็นประโยชน์ เราก็จะละในสิ่งที่เป็นโทษ และทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เอาแค่นี้แหละ ไม่เอาอะไรมากมาย ถ้าทำได้ครบก็อยู่ได้

เราไม่ต้องไปด่าเพื่อนเขาแรง ๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่า "โอย..ไม่ไหวหรอก กินแอลกอฮอล์แล้วเป็นผื่นไปทั้งตัว ให้ไปเมาอย่างนั้นคงแย่เลย "

ถาม : เนียน ๆ แบบนั้นได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ได้..ไม่เสียเพื่อนหรอก อาตมาเป็นทหารไม่ได้กินเหล้ากับเขานะ แต่ไปกับเขาได้

ถ้าหากวงไหนที่เมาแล้วมีคนสติดีอยู่คนหนึ่ง คนอื่นจะไม่กล้าแซวหรอก พอถึงเวลามีปัญหาเพื่อนเสียงดัง โต๊ะข้าง ๆ เขม่น เราก็ไปยกมือไหว้ "ขอโทษครับ..เพื่อนผมเมาเสียงดังไปหน่อย ขออภัยด้วยที่รบกวนพี่"

เขาเห็นมีคนไม่เมาอยู่ เขาก็เกรงใจไม่กล้าทำอะไร พอเพื่อนเมาสิ้นสภาพสุนัขไม่รับประทาน เราก็แบกเขากลับ ไปกับเขาได้ แต่เราไปแค่กรอบของศีล

อีกอย่างหนึ่ง คนไม่เมาไปนั่งวงเหล้าเปลืองกับแกล้มเขา เพื่อนกินเหล้าเรากินกับ พักเดียวเขาก็ไล่เราออกมาแล้ว
__________________
ตอนอาตมาไปเป็นทหารอยู่ชายแดน เพื่อนพาไปเที่ยวผู้หญิง ไปกันเป็นหมวดเลย ทหารหมวดหนึ่งก็ ๔๐ กว่าคน ทีนี้ถ้าไปตอนกลางคืนเวลาทำการของผู้หญิงเขา เดี๋ยวแขกของเขาจะตกใจหมด เพราะเห็นทหารมาเยอะ ก็ต้องไปตอนบ่ายสอง เวลานอนของเขา

ไปทุบ ๆ ประตู เฮ้อ..! เราลองนึกถึงผู้หญิงที่แต่งหน้าจัด ๆ เพื่อให้สวยใต้แสงไฟ ทีนี้เราไปตอนที่เขานอน ลอกหน้าออกแล้ว นุ่งกระโจมอก หัวกระเซิง หน้าซีดอย่างกับผีตายซาก ไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่อน ๆ เขา มีอารมณ์ได้อย่างไร ?

ส่วนเรานั่งเฉาสนิท ไปนั่งเฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย นั่งเฝ้าหน้าห้องให้เพื่อน สรุปแล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เคยพยายามทำเหมือนกัน แต่ไม่สำเร็จฝีมือไม่ถึง..!

จากที่เล่ามา อยากจะบอกพวกเราทุกคนว่า ผลของการปฏิบัติ แรก ๆ ในเรื่องของศีล สมาธิ กำลังยังไม่พอตัดกิเลส แต่กำลังมีพอที่จะหักห้ามเราไม่ให้ทำในสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ ได้ในระดับหนึ่ง

พอเราทำไป ๆ มากกว่านั้น ความเข้มแข็งมีขึ้นเรื่อย ๆ เราถึงจะห้ามตัวเองได้จริง ๆ ไม่อย่างนั้นช่วงที่น่าจะเสียหายมากที่สุดก็ช่วงเป็นทหาร เพราะเพื่อน ๆ เอาทุกท่าจริง ๆ

ถาม : ไม่ใช่ว่าสั่งสมมาแต่อดีตหรือคะ ?
ตอบ : นั่นก็มีส่วน แต่อย่าลืมว่ากระแสโลกเขาแรง สติสัมปชัญญะอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีสมาธิ มีปัญญาเข้ามาช่วยอีกด้วย
__________________
ถาม : การนั่งสมาธิหรือมโนมยิทธิ ควรที่จะต้องมีเวลาในการฝึกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ควรจะกำหนดเวลาให้แน่นอน อย่างเช่น เช้าสักครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง จริง ๆ แล้วไม่พอรับประทานหรอก แต่อย่างน้อยให้มีส่วนกำไรบ้าง แล้วจะช่วยสร้างเหตุปัจจัยให้กำลังใจเราทรงตัวเข้มแข็งขึ้น ต่อไปถ้าปฏิบัติในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น เราก็จะทำได้ง่าย
__________________
ถาม : อารมณ์ปีติมีได้ทุกฌานใช่ไหมครับ ?
ตอบ : มีก่อนเข้าถึงฌาน เมื่อเป็นฌานแปลว่าข้ามพ้นปีติไปแล้ว แต่ว่าถึงแม้เราจะได้ถึงสมาบัติ ๘ แล้วก็ตาม ถ้าวิสัยเดิมของเรามาสายพุทธภูมิ จำเป็นต้องรู้ปีติให้ครบ ปีติก็สามารถที่จะเกิดขึ้นได้อีก

ถ้าเป็นดังนั้นต่อให้เราได้สมาบัติ ๘ แล้ว ถ้าปีติจะเกิดขึ้น อยู่ ๆ กำลังฌานจะลดลงมาเฉยเลย แล้วปีติก็เกิดขึ้นจนพอใจ ให้เรารู้ชัดเจนแล้วก็จะเลิกไปเอง

ถาม : แล้วจะกลับมาอีก ?
ตอบ : ถ้าตัวไหนเคยผ่านมาแล้วจะไม่เป็นอีก ฉะนั้น..จะไปคิดว่าเราได้ฌานสูง ๆ แล้วจะไม่มีปีติอีก ไม่ใช่หรอก...บทเขาจะมา กำลังฌานจะลดลงไปหน้าตาเฉย แล้วปีติก็เกิดขึ้น

ถาม : ถ้าเราปล่อยจะหายไหมครับ ?
ตอบ : รับรู้ไว้เฉย ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ พอเต็มที่แล้วก็จะเลิกไปเอง

ถาม : ทันทีที่ผมจับลมจะอยู่ที่ฌานสาม แล้วสักพักก็จะสั่น ๆ บางทีก็เป็นปีติตัวพองขยาย
ตอบ : เขาเรียก ผรณาปีติ แสดงว่าฌานสามที่คุณเข้าใจยังไม่ใช่ฌานสามจริง ๆ

ถาม : จะวนอยู่อย่างนั้นมา ๖ เดือนแล้ว
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ อย่าอยากให้เป็น อย่าอยากให้หาย มีหน้าที่รับรู้ไว้เฉย ๆ จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ถ้าวางกำลังใจอย่างนี้ได้ ปีติจะขึ้นจนเต็มที่เอง แล้วก็จะเลิก

บางทีตัวเราพองขึ้นเหมือนกับเราเป็นลูกโป่ง บางทีระเบิดตูมกลายเป็นฝุ่นไปเลยก็มี บางทีก็รู้สึกเป็นรูรั่ว มีอะไรไหลออกมาซู่ซ่าไปหมด

เรามีหน้าที่กำหนดรู้เฉย ๆ จะเป็นอย่างไรก็ช่าง แต่ถ้าไปอยากให้เป็น อยากให้หาย เมื่อไรจะเลิกเสียที ไปคอยตามดูอยู่ ก็จะติดอยู่แค่นั้น

ถาม : ไปเพ่งไปกำหนดตามจี้อยู่ถึง ๖ - ๗ เดือน หรืออยู่เป็นปี อย่างไรครับ ?
ตอบ : แบบนั้นก็จะอยู่ไปจนชั่วฟ้าดินสลาย

ถาม : อย่างนี้จะเกี่ยวกับการพัฒนาหรือเปล่า ?
ตอบ : เกี่ยวแน่ เพราะเราข้ามไม่ได้สักที ความก้าวหน้ากว่านั้นก็ไม่มี แต่ถ้าเราไม่ให้ความสนใจ พักเดียวก็ไปแล้ว
__________________
ถาม : นั่งทำงานอยู่ พอใจเป็นสมาธิ จะมีอาการเกร็งเหมือนโดนอะไรมัดร่างกาย จะมาอยู่สักพักหนึ่งแล้วก็ถอน
ตอบ : ปล่อยให้เป็นไปเถอะ คิดว่าเป็นขันธมารอย่างหนึ่งก็ได้ ถ้าเราไปให้ความสนใจอยู่ตรงนั้น สมาธิจะไม่ก้าวหน้า

ถาม : ไม่ต้องสนใจไปใช่ไหม ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ ถ้าเราไปใส่ใจว่า ตอนนี้เป็นอย่างนี้ อีกสักพักจะเป็นอย่างนี้ เรารู้เพราะเคยผ่านมาแล้ว ถ้าอย่างนี้เดี๋ยวก็หายไปแล้วมาเป็นใหม่อีก
__________________
ถาม : การนั่งสมาธิทำให้เราหายเหนื่อยได้หรือเปล่า ? สมมติเราเรียนมาทั้งวัน เราเหนื่อยมากแต่ไม่อยากนอน
ตอบ : ได้..ถ้าสมาธิลึกมากเท่าไรก็หายเหนื่อยเร็วเท่านั้น สมาธิยิ่งลึกระยะเวลาก็ยิ่งใช้น้อยเท่านั้น เข้าสมาธิลึก ๆ สัก ๓ นาทีหรือ ๕ นาที เหมือนกับนอนมาเป็นวัน

ถาม : ทำไมกีฬายิงปืน จึงเหนื่อยกว่ากีฬาวิ่งเล่น ?
ตอบ : อันดับแรก ใช้สมาธิมาก อันดับที่สอง แรงอัดของปืนที่กระแทกเรา

เวลายิงปืนแรงระเบิดของดินขับ เพื่อส่งกระสุนแหวกอากาศไป แรงระเบิดจะเป็นคลื่นอัดเข้ามาหาเรา อาตมาเคยยิงปืนทราบระยะ(กำหนดระยะในการยิง)อยู่สองวันสองคืน เหนื่อยรากเลือดยิ่งกว่าวิ่งสักสามสิบกิโล

ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมเหนื่อยขนาดนั้น พอไปดูพื้นทรายข้างหน้า ทรายที่เขาเกลี่ยไว้เรียบ ๆ กลายเป็นคลื่นเหมือนชายหาดทรายเลย แสดงว่าแรงอัดของปืนที่อัดออกไป ดันทรายไปได้ขนาดนั้น เราอาจจะใส่ที่ครอบหูไม่ได้ยินเสียง แต่แรงอัดก็ยังคงอัดใส่เราเป็นปกติ
__________________
ถาม : พอเรารู้สึกว่าตอนนี้กิเลสตัวนี้เงียบหายไป เขาก็พยายามจะเล่นตัวอื่นเพื่อให้กระทบกับเรา พยายามจะทำให้เราฟุ้งซ่าน
ตอบ : ตั้งสติระมัดระวังให้สุดชีวิต หลับก็ต้องระวัง กิเลสจะมาแค่สี่มุมเท่านั้นแหละ รัก โลภ โกรธ หลง แต่เขาออกข้อสอบได้เป็นล้านข้อเลย เป็นสุดยอดของอาจารย์จริง ๆ
__________________
ถาม : วิธีฝึกเหาะ ?
ตอบ : ฝึกวาโยกสิณให้ได้ก่อน ถ้าเราตั้งใจเหาะ แล้วไม่ได้อธิษฐานให้ไปช้า ๆ คนจะไม่คิดว่าเราเหาะ เขาจะคิดว่าเราหายตัว เพราะจะแวบเดียวไปอยู่ที่จุดหมายเลย

แต่ถ้าหากว่าอยากจะไปช้า ๆ อวดชาวบ้านเขา ก็ต้องอธิษฐานด้วยว่าให้ไปช้า ๆ ผมอยากเท่ครับ..!
__________________



Create Date : 01 ตุลาคม 2553
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2557 15:04:30 น. 1 comments
Counter : 3610 Pageviews.

 



โดย: หน่อยอิง วันที่: 1 ตุลาคม 2553 เวลา:22:12:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

doraeme
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add doraeme's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.