หอมกลิ่นหวาน...และขมของชีวิต
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
5 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 
Something sweet.(12)...ผู้มาเยือน



ระเด่นตรีลงมาข้างล่างแต่เช้าตรู่ เขานอนไม่หลับ
ภาพฝันของจินตะหรายังตามมาหลอกหลอน
“ พี่ระเด่น อย่าลืมสัญญานะคะ “
เสียงแผ่วหวานที่เคยเอ่ยเรียกชื่อเขา ชายหนุ่มไขว่คว้าหาตะโกนจนสุดเสียง
ตื่นมาพบเพียงความว่างเปล่า... เขาซบหน้าลงบนฝ่ามือแกร่ง
บางทีนี่อาจจะเป็นผลตอบแทนจากการกระทำของเขา ร่องรอยแห่งความผิดบาป


แม้เขาจะบอกตัวเองว่าเขาทำทุกอย่างเพื่อจินตะหรา
แต่ส่วนลึกส่วนหนึ่งในใจที่ดำมืดกลับบอกว่าเขาทำเพื่อตัวเอง

ร่างสูงเดินลงมาที่ครัวก็พบกับบุษบาที่กำลังต้มนมในหม้อเคลือบอยู่
หญิงสาวม้วนผมเป็นมวยสูงด้วยกิฟท์ตัวใหญ่
มือขาวบางนั้นใช้ทัพพีไม้คนนมในหม้อเมื่อหันมาเห็นเขาหล่อนก็แสดงท่าทีตกใจเล็กน้อย


“ ทำอะไรแต่เช้าครับ “
เขายิ้มบางๆเดินเข้ามาใกล้ๆ กลิ่นหอมนมร้อนลอยเอื่อยไปทั่วครัว
“ พอดีนึกขึ้นได้ค่ะว่ามีนมเหลืออยู่ในตู้เย็นกลัวว่าจะเสีย เลยอุ่นไว้กะจะทำชานมสดดื่มค่ะ “
ร่างโปร่งพิงอยู่ใกล้อ่างล้างจาน ใบหน้าเกลี้ยงเกลาขาวสะอาด หล่อนไม่ได้สวยพริ้งพราวเหมือนตอนประกวด แต่สำหรับเขาแล้วอยากจะมองใบหน้าหล่อนอย่างนี้ตลอดไป


“ คุณจะดื่มอะไรหน่อยไหมคะ หรือว่าจะดื่มกาแฟ “
หล่อนอารี ชายหนุ่มเพียงส่ายศรีษะแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งในครัว
บุษบาหันไปสนใจกับหม้อบนเตาต่อ
แต่รู้สึกว่าวันนี้ระเด่นมนตรีมีท่าทางแปลกๆ
จะว่าไปเหล่าเจ้านายหนุ่มๆของบ้านก็มีอาการแปลกๆตั้งแต่หัวค่ำ
บรรยากาศตึงเครียดเจือเข้ามากับสายลมยามราตรี


“ เดี๋ยวฉันขอตัวไปดูน้องเดียร์หน่อยนะคะ “
หญิงสาวตั้งใจจะเลี่ยงบรรยากาศแปลกๆระหว่างเขา
หล่อนรู้สึกว่าเขาจ้องมองผ่านแผ่นหลังบางมาตลอด
ความรู้สึกที่เมือนกับลมหายใจรุ่มร้อนเป่ารดอยู่ใกล้ๆ


“ เดียร์ยังไม่ตื่นหรอก อีกนาน “
เขาบอกเบาๆเท่ากับหมดข้อแก้ตัวที่จะหลบออกจากห้องนี้
“ ขาของคุณหายเจ็บหรือยัง ”
ระเด่นมนตรีปรายตามาที่ผ้าพันแผลสีขาวบนข้อเท้า


“ ค่ะ คุณหมอจัตวาบอกว่าสักสองสามวันคงจะดีขึ้น “
บุษบาไม่รู้เลยว่าการเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมาเท่ากับเป็นการทิ้งระเบิดตูมใหญ่
ชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเป็นริ้วๆ


“ คุณมาอยู่ที่นี่นานแล้ว เคยไปดูพระอาทิตย์ขึ้นในไร่แล้วหรือยังล่ะ “
เขาชวนหล่อนด้วยน้ำเสียงธรรมดามากจนหญิงสาวคิดว่าเป็นประโยคบอกเล่ามากกว่า
“ อากาศตอนเช้าน่ะบริสุทธิ์ดีนะ ถ้าได้ออกไปสูดอากาศแบบนั้นคงจะดี “


“ งั้นเดี๋ยวฉันไปปลุกน้องเดียร์มาเดินเล่นตอนเช้าดีกว่านะคะ “
หล่อนหาตัวช่วยเพราะกลัวว่าเขาจะหาเรื่องหล่อนเหมือนที่แล้วมา

“ ไม่ต้องหรอก คุณไปกับผมดีกว่า ใกล้ๆนี่เอง ปล่อยให้เดียร์นอนไปเถอะ ถ้าวันไหนจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นค่อยนัดแกใหม่ อีกอย่างขาคุณก็ยังเจ็บ ขืนแกไปจะยิ่งนัวเนียใกล้คุณให้เหนื่อย “


เขาตัดบทเดินไปปิดเตาแก๊ส และผายมือออกไปข้างนอก หญิงสาวนิ่วหน้าว่าเขาจะมาไม้ไหน แต่ก็ยอมตามไปโดยดี ระเด่นมนตรีพาหล่อนขึ้นรถกระบะวิ่งไปที่กลางไร่ ท่ามกลางทุ่งหญ้าเลี้ยงวัวเขียวขจี


รถจอดลง ร่างสูงลงมาเปิดประตูรถให้หญิงสาว ทั้งสองยืนพิงรถกระบะดูพระอาทิตย์ดวงกลมโตค่อยๆทอแสงขึ้นมาอย่างเงียบๆ


“ ตอนเด็กๆ ผมไม่ชอบดวงอาทิตย์ “
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาลอยๆ มือยังกอดอกอยู่
“ ผมว่ามันขี้โกง ทุกคนต้องพึ่งมัน เอาแต่อารมณ์ชอบส่องแสงแดดร้อนๆให้เหงื่อไหล “
บุษบาไม่นึกแปลกใจเลย เหมือนสุภาษิตที่ว่าเสือสองตัวอยู่ถ้าเดียวกันไม่ได้เพราะดวงอาทิตย์ที่เขาว่ามานั้นนิสัยเสียเหมือนเขาเปี๊ยบ


“ แต่ตอนนี้ผมกลับชอบมัน เพราะมันซื่อตรง ร้อนก็แสดงว่าร้อน ไม่ชอบก็อย่าเข้าใกล้ แต่ไม่ว่ายังไงดวงอาทิตย์ก็ต้องตกและขึ้นทุกวัน เหมือนความทุกข์ “
ปลายเสียงนั้นแปร่งปร่าจนบุษบารู้สึกได้ ทุกคนมีความทุกข์กันทั้งนั้น นี่คือสิ่งที่เท่าเทียมกันของมนุษย์


ทุกข์ของผู้อยู่ในคฤหาสน์หรูกับทุกข์ของยาจกในกระท่อมรังหนูแม้จะต่างกันที่รายละเอียดแต่เนื้อในก็ยังเหมือนกัน


“ ก็จริงอย่างที่คุณว่านั่นแหละค่ะ ดวงอาทิตย์ขึ้นและตก เหมือนความทุกข์ บางทีวันนี้เราอาจจะคิดว่าตอนนี้ทุกข์สุดๆ แต่พอมันผ่านไป อาจจะมีความทุกข์ใหม่ๆเข้ามา จนพอเราย้อนกลับมาดูความทุกข์ตัวเก่าแล้วอาจจะจิ๊บจ๊อยไปเลยก็ได้ค่ะ “
หล่อนหัวเราะเบาๆพลางยักไหล่


“ ฟังแล้วหดหู่ เหมือนกับคุณจะบอกว่าชีวิตคนเราเกิดมาเพื่อเผชิญความทุกข์อย่างนั้นแหละ “
เขาเลิกคิ้วตัดพ้อ หล่อนได้แต่ยิ้มๆ ประสบการณ์มันสอนหล่อน การต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวท่ามกลางการเลี้ยงดูของผู้มีพระคุณทำให้หล่อนทำใจกับอะไรได้เร็ว และเห็นความไม่แน่นอนของชีวิต การใช้ชีวิตที่แขวนอยู่กับเส้นด้ายที่เรียกกันว่าพระคุณ...ความกรุณา


“ ทุกข์และสุขมันอยู่ที่ใจเราจะคิดค่ะ คิดในแง่บวกเหมือนที่ฝรั่งเขาว่ายังไงละคะ “
แสงแรกแห่งพระอาทิตย์ฉาบไล้ใบหน้าหญิงสาว งดงามเป็นสีทองอ่อนๆจนเขาอยากเอื้อมมือไปสัมผัส แต่ภาพน้ำตานองหน้าของจินตะหราก็เข้ามาซ้อนทับเสียก่อน มือของเขาเคยฉีกทึ้งความฝันของจินตะหราเสียไม่มีดี เรื่องที่เขาทำ…แม้แต่ในเวลานี้เขาก็ยังให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้ว่าถูกหรือผิด



“ คุณเคยรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิดแบบไม่น่าให้อภัยไหม “
เสียงเขาแผ่วโหย แววตาที่มองมานั้นดูแปลกๆ จนหญิงสาวละสายตาไปไม่ได้
“ ความผิดที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็นึกถึง แม้อีกใจหนึ่งบอกว่าทำถูก แต่อีกใจกลับค้าน “
เสียงนั้นขาดห้วง นัยน์ตาเขาไหวระริก


“ บางครั้ง ผมก็รู้สึกว่าผมเป็นคนเห็นแก่ตัว “
บุษบาไม่รู้ความหมายของคำพูดของชายหนุ่มเลย รู้แต่ว่าเขาดูเศร้าและต้องการที่พึ่ง คนตัวสูงตรงหน้าไม่ได้หยิ่งทะนงปากร้ายเช่นระเด่นมนตรีในยามปรกติ


“ ทุกคนเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้นแหละค่ะ สิ่งที่เราทำไปแล้วมันแก้ไขไม่ได้ เหลือแต่สิ่งที่เป็นปัจจุบันเท่านั้น ที่เราต้องทำมันให้ดีที่สุด “
คำปลอบของหล่อนไม่สวยหรู แต่ก็เป็นดังน้ำทิพย์ชโลมให้ใจของเขาชุ่มชื่นขึ้นมาบ้าง สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตลบล้างไม่ได้ แต่ปัจจุบันที่เขาต้องทำตอนนี้ก็คือรับมือกับต้นเหตุที่กำลังจะมาและอาจพรากทุกสิ่งไปจากเขา


ระเด่นมนตรีกับบุษบากลับมาพร้อมกับมะม่วงมากมายเพราะหล่อนนึกถึงเรื่องเล่าของคุณโรสที่บอกว่าไปรอหล่อนอยู่ที่สวนมะม่วง ระเด่นมนตรีจึงพาหล่อนไปพร้อมกับอาสาเก็บมะม่วงให้


บุษบารู้สึกดีใจอย่างประหลาดที่ชายหนุ่มดูอารมณ์ดีขึ้นแล้ว ไม่เศร้าและพูดเรื่องความผิดแปลกๆเหมือนตอนที่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น คนงานในไร่มองภาพบุษบากับระเด่นเดินเคียงกันมาจากรถยิ้มๆแต่ไม่มีใครกล้าแซวเพราะสายตาคมวาวของเจ้านายหนุ่มปรามอยู่ในที สังฆาและวิทยากรมองภาพนั้นจากมุมหนึ่งของตัวบ้าน เอกสารบอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งกระจัดกระจายอยู่ในห้อง


“ จัดการตามที่คุยกันไว้นะ เรื่องนี้ให้ฉันจัดการเอง นายระเด่นคงไม่ไหวหรอก “
สังฆาหันมาสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา วิทยากรมีสีหน้าเฉยเมยก่อนที่จะเดินไปที่ประตูเตรียมจะออกไป


“ วิท จินนี่ตายไปแล้วนะ ตอนนี้เราต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเดียร์ “
เสียงของหนุ่มแว่นดังไล่หลังไป วิทยากรผินหน้ามามอง
“ เรื่องนั้นผมรู้ “
เสียงปิดประตูดังปัง สักพักบอดี้การ์ดชุดดำของเขาก็เดินเข้ามา


“ ส่งคนไปตามดูวิทยากรเวลาออกข้างนอกไร่ด้วย เอาเป็นคนของเราจากกรุงเทพฯ หน้าใหม่ที่ไม่เคยมาที่นี่ “
บอดี้การ์ดผงกหัวอย่างนอบน้อม สังฆาถอนหายใจยาวปรายตาดูขาที่เข้าเฝือกของตนเอง เหตุการณ์ประจวบเหมาะจริงๆ หรือนี่คือที่เขาเรียกันว่าโชคชะตา


เขาโดนเด็ดปีกให้ขาหักเพื่อจะมาเป็นกุนซือรับสถานการณ์ที่นี่ไร่อสัญแห่งนี้ แม้จะชินกับการวางแผนและแก้ปัญหาให้ใครต่อใครมาทั้งชีวิต แต่ครั้งนี้เท่านั้นที่ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนโดนสาป


ผู้หญิงที่ตัวเองพึงใจมาอยู่ใกล้ โรงแรมที่พักรึ...ก็รู้แล้ว
เบอร์โทรศัพท์ก็มี แต่กลับต้องเจอเหตุการณ์เหนือความคาดหมายให้ต้องมาวางแผนจนอดสานสัมพันธ์ต่อ ในเมื่อปัญหามันมา เขาก็ต้องแก้


เอาเถอะแต่เขาเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเองว่าคุณโรสกุหลาบแสนแปลกคนนั้นคงจะมาหาคุณบุษบาของนายระเด่นแน่ คนเหมือนกันย่อมไหลมาหากันพอๆกับหมู่มวลดอกไม้ย่อมมาหาสู่กันเป็นธรรมดา


มะม่วงหลายผลบุษบาจัดลงถุงอย่างดีแล้วเอาไปฝากพอลล่าในตัวเมือง คุณกระเทยกรี๊ดกร๊าดแล้วโทรเรียกวิยะดามามาที่ร้าน เดียร์ตามมาด้วยพร้อมกับคนขับรถวัยกลางคน ระเด่นมนตรีไม่ขัดตอนที่หล่อนขออนุญาตมาหาพอลล่า


“ แล้วผมจะโทรหา รับโทรศัพท์ด้วย “
เขาสั่งตอนที่มาส่งหล่อนที่รถ หญิงสาวอ้าปากจะถามว่าเขามีเบอร์โทรศัพท์มือถือหล่อนได้อย่างไร
แต่แล้วก็หยุดปากไว้ได้ก่อนเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาอยู่ในสถานะนายจ้างหล่อน ในใบสมัครงานเรื่องข้อมูลส่วนตัวประเภทหมายเลขโทรศัพท์มือถือเขาคงรู้อยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลก...


“ เห็นมะม่วงแล้วเปรี้ยวปากอยากกินน้ำปลาหวานนะแม่บุษบา “
พอลล่าพึมพำหลังจากเปิดวีซีดีการ์ตูนให้เดียร์ดูที่ใกล้ๆเก้าอี้ตัดผมตัวใหญ่ พอลล่ายังพูดจาจิกกัดจีบปากจีบคอกับหล่อนเสมอ แต่หญิงสาวชักชินและมองเห็นความเป็นมิตรจริงใจของคุณกระเทยมากขึ้น อย่างวันนี้หล่อนได้มะม่วงมากมากเพราะระเด่นมนตรีบ้าพลังเก็บมาให้เสียตั้งเยอะ หญิงสาวจึงมีแก่ใจเอามาแบ่งให้


“ งั้นเดี๋ยวหนูไปทำให้นะพี่ “
วิยะดาอาสา วันนี้สาวน้อยฉายเดี่ยวไร้เงาของชารันเพราะเขาติดประชุม ขาข้างที่หักดีขึ้นจนพอเขยกได้แล้ว


“ เห็นบอกว่าประชุมเรื่องต้อนรับดาราฝรั่ง “
เด็กสาวบ่นอุบอิบ เพราะตอนที่สารถีส่วนตัวโทรมาบอกนั่นยังไม่เท่าไหร่แต่ประโยคปิดท้ายนี่สิ
“ ไปคนเดียวได้นะ ไม่มีผมไปด้วยไม่เหงานะ “
วิยะดาแทบจะปาโทรศัพท์ทิ้งกับสำนวนเลี่ยนๆของหนุ่มกรุงเทพฯชีกอตามฉายาที่ผู้เป็นพ่อตั้งให้


“ ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันทำให้ก็ได้ “
สุดท้ายพอลล่าจึงต้องปิดร้านเสริมสวยนั่งกินมะม่วงน้ำปลาหวานและยำมะม่วงฝีมือบุษบา


“ ใส่มะม่วงมากไปจะเปรี้ยว หมูสับเยอะไปนะยะเดี๋ยวคนกินก็เป็นหมูไปด้วยหรอก “
เสียงพอลล่าจิกกัดกระแนะกระแหนไปตามประสาแต่ทุกอย่างที่หล่อนทำมาเรียบวุธหมด เดียร์ก็พลอยมากินด้วย


หญิงสาวทำรสไม่จัด เด็กชายจึงเคี้ยวยำมะม่วงตุ้ยๆ พออาหารจริงเสร็จแล้ว เมื่อสาวๆรวมกันก็อดไม่ได้ที่จะต้องมีอาหารปาก บุษบากับวิยะดาจึงได้รู้ว่าดาราฝรั่งที่ชารันต้องไปประชุมต้อนรับนั้นคือวงเดอะ แครกเกอร์


บุษบานึกออกในทันใดถึงวงที่พิณสุดเพื่อนสาวเคยฝากฝังเอาไว้ว่าต้องไปดูให้ได้เมื่อมาปากช่อง ขณะที่วิยะดากรี๊ดลั่น


“ จริงเหรอพี่ วงเดอะแครกเกอร์ แบรนดอนก็มาด้วยใช่ไหม? “
สาวน้อยออกท่าทางดีใจ จนนอกหน้าจนบุษบาต้องถามว่าพวกเขาคือใคร


“ ต๊าย! แม่บุษบาอุตส่าห์ไปเรียนถึงเมืองนอก สงสัยสัยอยู่แต่กับขนมถึงหลังเขาอยู่ได้ เอ้า! ดูซะ “
พอลล่าเปิดวีซีดีให้ดู เป็นภาพของวงร็อคที่มีนักร้องนำรูปหล่อออกลีลาอยู่เป็นเวทีท่ามกลางคนนับพัน


“ พวกเขาดังจะตายนะคุณบุษบา “
เสียงวิยะดาเพ้อหน่อยๆ นักร้องนำนั้นหล่ออยู่หรอกแต่บุษบาไม่ชอบ ดูเจ้าเสน่ห์ ไม่จริงใจอย่างไรอย่างนั้น


“ เขาจะมาพักที่ปากช่อง แล้วก็มาถ่ายทำมิวสิควีดีโอด้วย เห็นว่าเขาขอโลเกชั่นเป็นไร่อสัญแต่นายระเด่นแกไม่ให้ “
พอลล่าเสริม หญิงสาวนิ่วหน้า


หล่อนเพิ่งเคยได้ยินเหมือนกันนี่แหละ พลันก็นึกถึงบทสนทนาของนายระเด่นกับวิทยากรในเย็นวันนั้นขึ้นมาทันใด ไม่รู้ว่าเรื่องนี้หรือเปล่าที่ระเด่นมนตรีออกอาการโกรธเสียขนาดนั้น
แต่ว่าเขาเกี่ยวข้องอะไรกันกับนักร้องเพลงร็อคกลุ่มนี้ล่ะ...


ขากลับหล่อนแวะซื้อหนังสือในห้างสรรพสินค้าโดยให้เดียร์เลือกขนมที่ชอบได้หนึ่งชิ้น เด็กชายวิ่งปร๋อไปแผนกขนมทันที สักพักบุษบาจึงเดินตามไป


เสียงเด็กชายคุยแจ้วๆเป็นภาษาอังกฤษกับใครคนหนึ่ง เสียงนั้นทุ้มกังวาน เมื่อมาถึงชั้นขนมปรากฏร่างของชาวต่างชาติสูงโปร่งผมยาวสีทอง ใส่เสื้อทีเชิ๊ตคอวีและกางเกงยีนส์ บุคลิกของเขาดูดีมากเหมือนนายแบบ หน้าตาคมสันแม้จะมีแว่นดำปิดบังใบหน้าเสียเกือบครึ่ง บทสนทนาเป็นเรื่องเกี่ยวกับหมากฝรั่งยี่ห้อต่างๆ


“ ยี่ห้อนี้รสชาติไม่ได้เรื่อง รู้สึกอย่างกับเคี้ยวยาสีฟัน “
คนตัวสูงผมทองหัวเราะหึๆ
“ ยี่ห้อนี้รสชาติดีกว่า “
เขาหยิบหมากฝรั่งยี่ห้อสีสันสดใสยื่นให้ร่างเล็ก เด็กชายส่ายศรีษะปฏิเสธ


“ ไม่เอาแด๊ดดี๊บอกว่ายี่ห้อนี้น้ำตาลเยอะ กินแล้วฟันผุ ครั้งที่แล้วก็ต้อไปหาหมอฟัน น่ากลัว “
เด็กชายตอบเป็นภาษาอังกฤษรัวเร็วจนคนฟังขมวดคิ้ว


“ พ่อของเธอนี่ยังไงนะ กะเกณฑ์กระทั่งความสุขของเด็กๆ ของกินที่เราชอบก็คือชอบสิ ไม่ใช่มาตัดสินกันด้วยน้ำตาล “
ว่าแล้วเขาก็หยิบหมากฝรั่งยี่ห้อสีสันสดใสขึ้นมาแทบจะยกห่อ


“ เดี๋ยวฉันซื้อให้ แต่ต้องซ่อนพ่อของเธอดีๆล่ะ “
เขายิ้มเจ้าเล่ห์แต่กระนั้นเดียร์ก็ยังมีท่าทีงงๆอยู่ คนตัวป้อมได้รับการสั่งสอนมาว่าไม่ให้รับจากคนแปลกหน้า แต่คนตรงหน้านี่เขาบอกว่ารู้จักแด๊ดดี๊ของเดียร์แถมรู้ด้วยว่ามามี๊ชื่อเล่นชื่อจินนี่ คงจะเป็นรู้จักแล้วล่ะ


“ เดียร์ “
บุษบาเดินเขยกเข้ามาเด็กชาย ร่างเล็กวิ่งเข้ามาเกาะมือทันที
“ คนนี้เขาบอกว่าเป็นเพื่อนเก่าของแด๊ดดี๊กับมามี๊ล่ะครับพี่บุษบา “
เด็กชายรายงานเสียงแจ้วๆเป็นภาษาไทย คนผมทองตรงหน้ายิ้มเย็น


“ ไม่ทราบคุณชื่ออะไรคะ เดี๋ยวฉันจะได้ไปบอกคุณระเด่นมนตรีให้ “
หล่อนเอ่ยเสียงสุภาพเป็นภาษาอังกฤษ ชายหนุ่มตรงมองหล่อนกับเดียร์สลับกันไปมา
“ คุณเป็นคนรักของเขาเหรอครับ “


“ เปล่าคะ เปล่า “
บุษบารีบปฏิเสธความเข้าใจผิดนั้น ทำไมนะใครๆถึงคิดว่าหล่อนกับเขาเกี่ยวข้องกันเชิงชู้สาวอยู่เรื่อย
ไม่เว้นแม้แต่คนที่เพิ่งพบหน้ากัน


“ ฉันทำงานให้เขา เป็นพี่เลี้ยงเด็ก “
หนุ่มผมทองโคลงศรีษะ ก่อนจะปรายตาดูเด็กชายที่จ้องเขาดวงตาใสแจ๋ว
“ งั้นช่วยกรุณาบอกเขาด้วยว่าเพื่อนเก่าของเขาที่ชื่อ แบรนดอน ดาเนียล มาเมืองไทยแล้ว จะไปหาเขาเร็วนี้ๆ มีเรื่องเก่าๆต้องคุยกันอีกเยอะ “


คำพูดของเพื่อนเก่านั้นบุษบาถ่ายทอดออกไปโดยไม่ผิดเพี้ยน เป็นเหตุให้โต๊ะอาหารเงียบกริบลงในทันใด
ทุกคนมีสีหน้ากระอักกระอ่วน ส่วนระเด่นมนตรีเจ้าของไร่นั้นสีหน้าทะมึนยิ่งนัก


“ ผมอิ่มแล้ว วิทถ้าอิ่มแล้วเดี๋ยวตามไปพบฉันที่ห้องทำงานด้วย “
เขารวบช้อนในทันใดก่อนที่จะเดินปึงปังออกไป สักพักสองหนุ่มทั้งวิทยากรและสังฆาก็ออกไปด้วย ทั้งโต๊ะเหลือเพียงหล่อน เดียร์ กับลุงสุข ใบหน้าหล่อนเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม แต่ชายสูงวัยเพียงยิ้มอย่างอ่อนโยน


“ ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่คนรู้จักกับนายระเด่น คุณบุษบาตอนอยู่เมืองนอกเคยทานกบหรือเปล่าครับ
กบจากไร่จากสวนรสชาติดีนะครับ “
ลุงสุขพาหล่อนเฉไฉไปเรื่องอาหาร จนกระทั่งมื้ออาหารผ่านไป หญิงสาวพาคนตัวป้อมเข้านอน


เด็กชายกอดเจ้าปีโป้ไม่ปล่อย หล่อนสังเกตว่ามีด้ายลุ่ยมาจากด้านหลังของตุ๊กตาสุดหวง
พรุ่งนี้ตอนกลางวันหล่อนจะลองขอเอาตุ๊กตาตัวโปรดของเด็กชายมาซ่อมดู ระหว่างทางที่เดินกลับห้องตัวเองก็คิดถึงเรื่องในห้องสรรพสินค้า แบรนดอนหน้าคุ้นๆเหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน


บางทีเขาอาจจะเคยเป็นแขกที่มาพักโรงแรมหล่อนก็ได้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเจ้านายหนุ่มกับชาวต่างชาติคนนั้นคงไม่ค่อยดี ระเด่นมนตรีจึงออกอาการขนาดนี้ ทั้งๆที่แบรนดอนออกจะเอ็นดูเดียร์มากผิดวิสัยรักความเป็นส่วนตัวของชาวต่างชาติอื่นๆ


“ แกร๊ก “
เสียงขาเก้าอี้ครูดกับพื้นไม้ ที่สุดทางเดินของระเบียงยาวนั้น ระเด่นมนตรีนั่งอยู่บนโต๊ะ แก้วทรงสูงส่องประกายกับแสงจันทร์วับวาว กลางโต๊ะมีขวดไวน์ตั้งอยู่ ชายหนุ่มเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างอ่อนล้า


“ ยังไม่นอนอีกเหรอคะนายระเด่น “
เสียงกังวานใสปลุกชายหนุ่มจากภวังค์ บุษบาเดินเข้ามาใกล้หล่อนว่าระเด่นมนตรีดูแปลกๆตั้งแต่เมื่อเช้าเหมือนมีบางอย่างในใจ แม้หล่อนจะถือคติไม่ยุ่งกับเรื่องนายจ้างแต่บางครั้งเมื่อเห็นคนมีความทุกข์ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปถามไถ่ตามประสาคนอยู่บ้านเดียวกัน



“ เดียร์นอนแล้วเหรอ “
รอยยิ้มของชายหนุ่มเป็นไปอย่างเหนื่อยหน่าย ดวงตาหม่นแสง เศร้า...จนหญิงสาวรู้สึกได้
“ ค่ะ เพิ่งหลับไปเมื่อสักครู่ “


“ อย่างนั้นก็ดีแล้วละครับ เด็กๆควรนอนแต่หัวค่ำ “
เขาโคลงศรีษะ มือรินไวน์จากขวดลงแก้ว สีแดงเข้มของไวน์ยามอยู่ในแก้วเต้นกระเพื่อมล้อเป็นประกายระยิบระยับกับแสงจันทร์


“ เด็กๆนี่ดีไปอย่าง ไม่ต้องคิดอะไรมาก หัวถึงหมอนก็หลับ “
เขาหัวเราะเสียงขื่นก่อนที่จะกระดกไวน์ลงคออย่างรวดเร็ว


“ มีอะไรหรือเปล่าคะ นายระเด่น “
หล่อนถามตามมารยาท ชายหนุ่มเพียงเลิกคิ้วก่อนที่จะคลึงแก้วไวน์ที่กระดกแล้วในมือเล่น
“ เปล่า “
ใจจริงเขาแค่นอนไม่หลับ เรื่องที่เขากังวลกำลังเขม็งเกลียวขึ้นเรื่อยๆ รุกคืบมาใกล้จนอยู่ในอำเภอเดียวกัน


“ งั้นก็ราตรีสวัสดิ์นะคะ “
หญิงสาวกล่าวลาแผ่ว ระเด่นมนตรีมองตามแผ่นหลังนั้นไปพูดไม่ออกว่าอยากให้หล่อนนั่งอยู่ด้วย นั่งมองเขายามอ่อนแอ ปลอบเขาว่าเขาไม่ผิด


“ ไม่เอา!!! ”
เสียงเล็กของเดียร์กรีดร้องขึ้น ขณะที่บุษบากำลังบิดลูกบิดประตู
“ มามี๊ “
ชายหนุ่มและหญิงสาวหันมามองหน้ากันเอง ก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าไปเปิดประตูห้องเด็กชาย เดียร์ร้องไห้จ้าอยู่บนเตียง มือเล็กกำเกร็ง น้ำตานองหน้า


“ เดียร์เป็นอะไรลูก “
ผู้เป็นพ่อพยายามเข้าไปปลอบ แต่เด็กชายกลับปัดป้องหนี


“ ไม่เอาแด๊ดดี้ใจร้าย แด๊ดดี้แยกเดียร์ออกจากมามี้ “
ร่างป้อมโวยวายลั่น ขว้างของใกล้มือไปที่ชายหนุ่ม เจ้าปีโป้ลอยหวือข้ามไหล่เขาไป
“ เดียร์ หยุดนะลูก เป็นอะไร “
เด็กชายยิ่งร้องไห้จ้า จนวิทยากรและลุงสุขวิ่งออกมาดู


“ เดียร์ น้องเดียร์ครับ เกิดอะไรขึ้น “
บุษบาถามเสียงร้อนรนเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ชักจะบานปลาย


“ พี่บุษบา พี่บุษบา “
เด็กชายร้องเรียกหล่อนน้ำตานองหน้า หญิงสาวจึงรีบเข้าไปกอด เด็กชายซุกตัวกับอกหล่อนอย่างคนขาดที่พึ่ง


“ ไม่เป็นไรนะครับ พี่บุษบาอยู่นี่แล้ว “
เสียงปลอบอย่างอ่อนโยนดังระคนกับเสียงสะอึกสะอื้นของเด็กชาย ท่ามกลางกลุ่มชายร่างสูงใหญ่ที่มองหน้ากันเองแบบมีคำถาม


“ นิ่งซะนะครับ นิ่งซะ “
บุษบาพยายามปลอบ ผู้ชายทั้งหมดจึงเลี่ยงออกมาด้านนอกห้อง
“ เกิดอะไรขึ้นนะนายระเด่น “
ลุงสุขกอดอกถามอย่างงๆ ชายหนุ่มเม้มปากก่อนที่จะเท้าสะเอว


“ ไม่รู้สิ ผมก็ไม่รู้ “
ปลายสายตาเขาเห็นบอดี้การ์ดของสังฆาขึ้นบันไดมา คงจะมาถามข่าวหลานตัวน้อย


“ เดียร์ฝันร้ายน่ะค่ะ เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะนอนเป็นเพื่อนแกเอง “
สักพักหญิงสาวโผล่หน้ามาบอกอาการของคนตัวเล็กให้ผู้ชายทุกคนได้รับรู้


“ ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ไปนอนกันเถอะ “
รอยยิ้มจากริมฝีปากบางๆนั้นทำให้ทุกคนเบาใจ แยกย้ายกันกลับที่ของตัวเอง
เด็กชายยังสะอึกสะอื้นตัวสั่นอยู่ หล่อนจึงคิดว่าควรหาอะไรให้ดื่มเพื่อให้คนฝันร้ายใจสงบ นมที่ทำไว้เมื่อเช้าอาจจะมีประโยชน์บ้าง


…เด็กชายเกาะติดหล่อนแจตอนที่ลงมาทำชาร้อนแบบอินเดีย( Chai )
ต้องขอบคุณห้องเรียนทำขนมสหประชาชาติของหล่อนยามอยู่ในต่างประเทศ ที่ทุกคนต่างสอนและแลกเปลี่ยนวิธีทำอาหารประจำชาติของตัวเอง


หล่อนไม่ดื่มกาแฟจึงชอบชาสูตรนี้ของเพื่อนอินเดียมาก บุษบาหาของที่พอหาได้ในครัวมาทำซึ่งไม่ตรงตามสูตร ชาเครื่องเทศ(Masala chai)ของอินเดียนัก แต่จะแปลกอะไรในเมื่อแม้แต่คนอินเดียเองยังพูด


“ เอาใส่เท่าที่มีนั่นแหละดีแล้ว ดื่มกันหนาว “
ว่าแล้วเพื่อนอินเดียก็ส่ายหัวยึกยัก เจ้าชานี้ช่วยให้อบอุ่นในหน้าหนาวได้ดี ส่วนผสมที่พอหาได้ในครัวก็คือ นมสด น้ำเปล่า ขิง อบเชย เม็ดพริกไทยดำ น้ำตาลทรายแดง ครั้นจะเอาให้ครบสูตรสงสัยต้องไปแกะถุงเครื่องพะโล้ของลุงทองเพื่อแยกเครื่องเทศจะวุ่นวายเสียเปล่าๆ


ส่วนชาหล่อนใช้ชาลิปตันซองฉีกลงไปเลย เทส่วนผสมที่เป็นน้ำลงหม้อต้มให้เดือด แล้วจึงใส่ขิงหั่นเป็นแว่นบางๆและอบเชยผงที่มีอยู่ หลังจากนั้นจึงใส่ชาผงตามลงไปใช้ไฟอ่อนจนหม้อเริ่มเดือดอีกครั้งจึงปิดไฟ
ตามสูตรต้องมีการกรองกากชาและเครื่องเทศด้วยแต่ในสภาวะการฉุกละหุก หญิงสาวจึงเลือกที่จะรินชาอย่างเบามือลงแก้วให้ตะกอนปนไปน้อยที่สุด


เดียร์รับมาดื่มแล้วอารมณ์ดีขึ้น แต่กระนั้นขอบตาก็ยังบวมช้ำ เด็กชายเล่าว่าฝันถึงผู้เป็นแม่ สองแม่ลูกเดินเล่นกันในไร่แล้วระเด่นมนตรีก็แยกทั้งสองออกจากกัน
“ มามี้ร้องไห้ เรียกเดียร์เสียงดังเลยค่ะพี่บุษบา “
เด็กชายเสียงเครือยามเล่าเรื่องเกี่ยวกับคุณจินตะหราผู้ล่วงลับ


“ แต่แด๊ดดี้ก็พาเดียร์ออกมาเลย ไม่สนใจมามี้เลยสักนิด แด๊ดดี้ใจร้าย เดียร์คิดถึงมามี้ “
ว่าแล้วคนเล่าก็ทำท่าน้ำตาจะไหลอีกรอบจนหล่อนต้องรีบปลอบ กว่าจะพาเด็กชายเข้านอนได้ก็ปาไปสองชั่วโมงต่อมา


เด็กชายจับมือหล่อนไว้ไม่ยอมปล่อยบุษบาจึงเล่านิทานเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟังปนกับเรื่องสนุกๆยามใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ หลังจากเด็กชายหลับแล้วหญิงสาวจึงเดินเก็บของในห้องที่เด็กชายกว้างเกลื่อนยามที่ระเด่นมนตรีเข้ามาหา ด้ายที่หลังเจ้าปีโป้ลุ่ยออกมามากจนใยสังเคราะห์หลุดออกมาด้วย

บุษบาหยิบขึ้นมาพร้อมกับปลายนิ้วปะทะกับบางอย่างแข็งๆเป็นแท่งๆ ร่างโปร่งกะว่าจะซ่อมเจ้าปีโป้อยู่แล้วจึงล้วงเข้าไปดู


แฮนดี้ไดร์พ!!! ในตัวของเจ้าปีโป้มีแฮนดี้ไดร์พซ่อนอยู่ ทำไมจึงมาอยู่กับตุ๊กตาได้ล่ะ
หญิงสาวอ้าปากค้าง นึกถึงหนังสายลับที่ตัวเองเคยดู ระเด่นมนตรีรู้หรือเปล่า


...พลันหล่อนก็นึกถึงเรื่องที่เดียร์บอกว่าจินตะหราทำตุ๊กตาเจ้าปีโป้ให้เด็กชายเอง
แสดงว่าไม่ต้องการให้ใครรู้ ซ่อนมันจากทุกคน
บุษบาสองจิตสองใจว่าจะเอาอย่างไรดีกับแฮนดี้ไดร์พปริศนาที่แม่ของเด็กชายทิ้งไว้
บางทีมันอาจจะมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่


ความลับที่ทำให้ทุกคนแสดงท่าทีอึดอัดทุกครั้งที่พูดถึงจินตะหรา หล่อนไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นแต่ในเมื่อหลักฐานมันมาอยู่ตรงหน้าก็ควรต้องพิสูจน์ว่าอะไรเป็นอะไร ถ้ามันไม่เรื่องร้ายแรงหล่อนจะคืนให้ระเด่นมนตรี แต่ถ้าเป็นเรื่องร้ายแรงล่ะ
...อีกใจหนึ่งค้าน ไม่เป็นไรถึงตอนนั้นหล่อนจะตัดสินใจออกควรจะทำยังไง


“ ชารันเหรอ นี่เราเองนะ “
หล่อนกดโทรศัพท์หาเพื่อน เสียงเขายังสดใสอยู่แสดงว่าทำงานเลิกดึก
“ พรุ่งนี้ว่างไหมเดี๋ยวเราไปหา มีเรื่องให้ช่วยหน่อย “
ถ้าเป็นที่ๆชารันอยู่...ใกลจากที่นี่ หากมีอะไรเกิดขึ้นเพื่อนจะช่วยหล่อนได้แน่นอน
ลางสังหรณ์บางอย่างของหล่อนบอกว่าเจ้าแฮนดี้ไดร์พอันนี้กุมความลับที่อาจจะสะเทือนไร่อสัญแห่งนี้


หนุ่มผมทองคุยกับกลุ่มคนในชุดเสื้อยืด
“ ไปพบมาแล้วเหรอ “
หนึ่งในนั้นยกแก้วน้ำสีอำพันขึ้นจิบ
“ ใช่ ในห้างสรรพสินค้า “


“ แล้วจะเอายังไงล่ะ ไร่นั่นเจ้าของเขาไม่ให้เข้านะ ปฏิเสธเสียงแข็งเชียว “
อีกคนพูดขึ้นมาลอยๆ คนผมทองเม้มปากดวงตาหมายมาด
“ ฉันจะไม่ยอมให้พลาดอีกแล้ว ไม่ให้คนมาบงการชีวิต พรุ่งนี้ฉันจะไปที่ไร่นั่นเสียเลย “


หญิงสาวชาวต่างชาติหลายคนเมียงมองมาที่กลุ่มคนที่นั่งอยู่ หลายคนเดินเข้ามาใกล้
แต่ทันใดนั้นก็มีบอดี้การ์ดในชุดดำเดินเข้ามาห้ามเสียก่อน
“ ฉันแค่ขอลายเซ็นเท่านั้น “
หลายเสียงพึมพำเป็นภาษาอังกฤษ


“ ขอโทษครับคุณผู้หญิง วงเดอะแครกเกอร์ต้องการความเป็นส่วนตัว
ถ้าต้องการลายเซ็นต์ต้องขอเป็นวันอื่น “
บอดี้การ์ดพูดเสียงขึงขัง เป็นผลให้หลายคนทำหน้าผิดหวัง กระนั้นก็ยังมองนักร้องนำผมทองสุดหล่อตาปรอย


++++++++++++++++++จบบทที่12




Create Date : 05 พฤษภาคม 2552
Last Update : 5 พฤษภาคม 2552 19:39:09 น. 0 comments
Counter : 299 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

จโกระ&ลาชา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Something has come and gone,and that it 's all.


free counters
Friends' blogs
[Add จโกระ&ลาชา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.