หอมกลิ่นหวาน...และขมของชีวิต
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2552
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
15 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 

White sheep & Black fox บทที่4 ข้าวเกรียบปากหม้อ มัฟฟิ่นกล้วยตาก และอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึง



คุณยายของภัทระเป็นหญิงชราท่าทางใจดี รูปร่างผอม ผิวขาวผม สีดอกเลา ใบหน้าเจือรอยยิ้มเป็นนิตย์ ท่านนั่งอยู่บนตั่งพินิจมองร่างอวบอวมแล้วอมยิ้ม
“หนูชื่อครีมเหรอจ๊ะ”
“ค่ะ”
หญิงสาวรับคำใบหน้ายิ้มน้อยๆ
“ชื่อจริงชื่อหิรัญญิการ์ค่ะ”
“อ้อ! ดอกหิรัญญิการ์ พ่อแม่เข้าใจตั้งชื่อนี่”
“ค่ะ”


ภัทระคลานเข่าเข้าไปหาผู้เป็นยายแล้วประจบ
“คุณย่าครับ ไหนวันนี้คุณย่าบอกว่าจะแสดงฝีมือทำข้าวเกรียบปากหม้อล่ะครับ ผมโม้ฝีมือคุณย่าไว้กับน้องครีมซะเยอะเชียว”
ผู้เป็นย่าตีแขนหลานชายดังเพี๊ยะ ชายหนุ่มแกล้งทำหน้าเจ็บลูบแขนตัวเองป้อยๆ
“ตาพีทนี่ล่ะก็ ขี้โม้เสียเหลือเกิน ย่าไม่ได้มีฝีมือขนาดนั้น แค่พอทำเป็นเท่านั้น ขนมโบราณแล้วไม่รู้หนูครีมจะอยากทานหรือเปล่า”


“ครีมชอบทานขนมไทยค่ะ”
หล่อนไม่ได้โกหกนะก็หล่อนชอบทานจริงๆนี่ แค่ไม่ได้บอกทั้งหมดว่าชอบทานทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นขนมไทยหรือขนมชาติไหนๆก็ตาม
“ขนมโบราณ ไขมันสูง ไม่รู้สาวๆอย่างหนูครีมอยากทานหรือเปล่า”
ผู้สูงวัยถามน้ำเสียงปราณี


“ครีมอยากเห็นคนมีฝีมืออย่างคุณย่าเวลาตอนทำขนมด้วยค่ะ นานๆจะได้ความรู้จากคนทำขนมเก่งๆ”
หิรัญญิการ์หยอดคำหวาน ทำเอาคนได้ฟังยิ้มแก้มปริ
“แหม! หนูครีมปากหวาน ชมคนแก่เกินไป เอาล่ะ! งั้นก็ไม่ขัดศรัทธาย่าจะแสดงฝีมือคนแก่ให้ดู”
ชายหนุ่มลุกขึ้นมาประคองผู้เป็นย่าไปทางครัวโดยมีหญิงสาวเดินตามหลัง


“ข้าวเกรียบปากหม้อจริงๆส่วนผสมก็ไม่มากนะ ทำกินกันง่ายๆแต่ก็วัดฝีมือกันพอดู”
ผู้สูงวัยเล่าไปเรื่อยๆมือเหี่ยวด้วยวัยก็เทแป้งสีขาวลงในหม้ออลูมิเนียม
“เอ้า! ตาพีทมาช่วยย่าผสมแป้งหน่อยสิ”
“ครับ”
ชายหนุ่มเอื้อมมือมารับหม้ออลูมิเนียมจากย่า


“ให้หนูช่วยไหมคะ”
หญิงสาวเอ่ยขึ้น เพราะไม่อยากให้ผู้สูงวัยมองว่าหล่อนทำอะไรไม่เป็น ย่าของเขาหัวเราะร่วน
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ หนูครีม งานผสมแป้งหรืออะไรเปื้อนๆปล่อยตาพีทไปเถอะ เดี๋ยวหนูคอยช่วยย่าละเลงขนมดีกว่า”
“ค่ะ”
หญิงสาวได้แต่ยิ้มและพยักหน้ารับคำ ขณะที่ภัทระดูเหมือนจะขะมักเขม้นกับการกวนแป้งละลายน้ำ


“มีส่วนผสมอะไรบ้างคะคุณย่า ครีมจะได้จำเอาไว้เผื่อจะเอาไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานที่บ้าน”
คุณย่าของภัทระหันมายิ้ม
“ส่วนผสมไม่เยอะหรอกจ้ะ ที่ใช้วันนี้ย่าก็กะเอา มีแป้งข้าวเจ้าสักถ้วย แป้งมันสองช้อนโต๊ะ แป้งท้าวยายม่อมสักหนึ่งช้อนโต๊ะ แล้วก็น้ำเปล่าสักนิดหนึ่ง”
หิรัญญิการ์พอได้ฟังส่วนผสมแล้วก็ขมวดคิ้ว
“แป้งอะไรนะคะ แป้งยี่ห้อท้าวยายหม่อมเหรอคะ”


เงียบ ...ทั้งครัวเงียบไปสักครู่ หลังจากนั้นคุณย่าหัวเราะร่วน ขณะที่ชายหนุ่มปิดปากหัวเราะคิกๆ หญิงสาวทำหน้าเหรอหรานี่หล่อนพูดอะไรผิดไปอีกละเนี่ย หล่อนกำลังอ้าปากจะถาม แต่ภัทรก็เอ่ยขึ้นก่อน
“แป้งท้าวยายม่อมครับน้องครีม ไม่ใช่เท้ายายหม่อม”
ว่าแล้วเขาก็หัวเราะคิกๆต่อ หญิงสาวหน้าเสีย หล่อนกลายเป็นตัวตลกอีกแล้ว


“ตาพีทอย่าไปแกล้งน้องอย่างนั้นสิ ทีตอนหลานล่ะก็ยังเรียกผิดเป็นแป้งท้าวยาหม่องอยู่เลย”
ทีนี้เป็นหล่อนบ้างที่หัวเราะคิกๆขำเขา
“คุณย่านี่ละก็จะพูดเรื่องเก่าทำไมครับ นั่นมันตอนผมเด็กๆก็ต้องออกเสียงผิดเป็นธรรมดา”
เขาบ่นพึมพำกับผู้เป็นย่าเบาๆ ผู้สูงวัยค้อนเล็กๆ
“แป้งท้าวยายม่อมจ้ะ ชื่อโบราณหน่อย เดี๋ยวนี้คนทำขนมขายบางเจ้าเขาก็ไม่ใช้ เลี่ยงไปใช้แป้งมันแทน แต่ย่ามันคนโบราณย่าเลยชอบใช้มากกว่าเวลาทำขนมแล้วมันเหนียวใสดี”


หญิงสาวพยักหน้ากับความรู้ใหม่ นึกสงสัยว่าเจ้าต้นแป้งท้าวยายม่อมนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร
“ต้นท้าวยายหม่อมเป็นพืชตระกูลบุกครับ”
ภัทรเอ่ยขึ้นเหมือนรู้ใจแล้วยิ้มละไม
“ตอนที่ผมที่ผมได้ยินชื่อก็ทำหน้าสงสัยเหมือนน้องครีมนั่นแหละครับจนต้องไปหาคำตอบ”


“หนูครีมมาช่วยยายทำไส้ดีกว่าจ้ะ ตาพีทผสมแป้งเสร็จแล้วอย่าลืมเอาผ้าขาวกรองน้ำแป้งด้วยล่ะ”
“ครับ”
หลานชายรับคำ


“ส่วนผสมไส้ย่าใช้หมูสับ ประมาณหนึ่งถ้วยตวงจะแล้วก็หัวไชโปวเค็มสับ ประมาณครึ่งช้อนโต๊ะ แต่เดี๋ยวนี้ที่เขาทำขายกันเขาไม่ใส่หมูกันแล้วเพราะมันแพง หอมแดงสับประมาณช้อนโต๊ะ กระเทียมเจียว ถั่วลิสงป่น นิดหน่อยพอกรุบๆ น้ำตาลปึก หนึ่งช้อนโต๊ะ ย่าคนโบราณชอบใช้น้ำตาลปึกมากกว่า พอผัดกับเครื่องต่างๆแล้วมันหอมดี นอกนั้นก็เป็นเครื่องทำไส้พื้นๆของขนมไทย พวกรากผักชี พริกไทย กระเทียม โขลกละเอียด หนึ่งช้อนโต๊ะ แล้วก็ใช้น้ำปลาปรุงรส”


ผู้สูงวัยแต่มือยังคล่องแคล่วยกถ้วยใส่เครื่องปรุงต่างๆให้หญิงสาวดู แล้วหันไปยกกระทะขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำมันเล็กน้อย พอร้อนจึงใส่รากผักชี พริกไทย กระเทียม ท่านผัดส่วนผสมสักครู่จนหอมฟุ้งไปทั้งครัว แล้วจึงใส่ส่วนผสมที่เหลือ ก่อนจะปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปึก
“ต้องเคี่ยวจนน้ำตาลในไส้เหนียว แล้วค่อยใส่ถั่วลิสง ผัดให้เข้ากันจนเหนียว ให้ถั่วลิสงเกาะไส้”
คุณย่าของชายหนุ่ม อธิบายไปแต่มือยังผัดเครื่องในกระทะอยู่


ไส้ของขนมเริ่มเหนียวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและส่งกลิ่นหวานหอมๆไปทั่วบริเวณ ผู้สูงวัยยกกระทะออกจากเตา แล้วตักไส้พักไว้บนจาน ภัทระนำหม้ออลูมิเนียมคอคอดที่ขึงผ้าขาวจนตึง ด้านบนเจาะเป็นช่องไว้ ประมาณหยิบมือ เขาเอาขึ้นตั้งไฟ มีฝาเป็นกรวยแหลมครอบทับอีกที


“ในหม้อใส่น้ำประมาณค่อนหม้อ พอน้ำเดือดเราจะได้ละเลงขนมกันล่ะ”
คุณย่าอธิบายช้าๆ สักพักหล่อนเห็นไอน้ำพวยพุ่งมาจากช่องบนผ้าขาวที่เจาะไว้
“ได้ที่แล้ว เดี๋ยวย่าจะละเลงฝีมือคนแก่ให้ดู”
คุณย่าตักตักแป้งประมาณหนึ่งช้อนโต๊ะ ละเลงบนผ้าขาวบางเป็นแผ่นกลมปิดฝากรวย สักพักคุณย่าจึงเปิดฝาใหม่คราวนี้แป้งสุกพอดี หญิงชราตักไส้ในจานใส่แผ่นแป้ง แล้วใช้พายไม้ห่อแผ่นแป้งมาทบกันจนมิดไส้ ตักขึ้นวางบนจาน


“เอาล่ะเสร็จแล้ว เวลาจะทานก็ราดหัวกระทิ โรยกระเทียมเจียว วางผักกาดหอม พริกขี้หนูสด ผักชี เป็นเครื่องเคียง”
คุณย่าหันมาบอกยิ้มน้อยๆมือเหี่ยวย่นยังสาละวนกับการละเลงแป้งลงผ้าขาวบนเตา กลิ่นกระเทียมเจียวเจือด้วยกะทิหอมๆ ลอยมาจากจานขนม หิรัญญิการ์แอบกลืนน้ำลาย นี่ขนาดหล่อนยังไม่ได้กิน แค่ได้กลิ่นยังรู้เลยว่ามันต้องอร่อยมาก


“หนูครีมจะลองละเลงแป้งดูไหมจ๊ะ ไม่อยากหรอกจ้ะ”
ผู้สูงวัยคะยั้นคะยอ
“ไม่หรอกค่ะครีม ขอดูดีกว่าฝีมือครีมคงเทียบคุณย่าไม่ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ลองดูหน่อยจะได้ลองทานขนมฝีมือตัวเองยังไงล่ะ”
ผู้สูงวัยยิ้มน้อยๆ


หญิงสาวจึงไม่ปฏิเสธ คิดว่าแค่เอาแป้งมาพับปิดไส้คงไม่ยากอะไร แต่พอทำจริงๆจึงรู้ว่ายากกว่าที่คิด การพับแป้งมาห่อไส้ของหล่อนกลับเป็นการแซะแผ่นแป้งมาโปะไส้มากกว่า ขนมเบื้องฝีมือหล่อนจึงออกมาแนวๆแป้งขาด หรือไม่ก็ไส้ใหลทะลัก ภัทระกับคุณย่าเห็นแล้วก็ยิ้มๆมีแต่หล่อนคนเดียวที่ทนกับฝีมือของตัวเองไม่ได้จนต้องเอ่ยเสียงอ่อย
“ครีมขอโทษค่ะ ครีมทำข้าวเกรียบปากหม้อคุณย่าเสียหมดเลย”


“ไม่เป็นไรหรอกหนูครีม ไม่เป็นไรทำ ครั้งแรกๆก็อย่างนี้แหละ”
คุณย่ายิ้มละไมพลางแซะเศษซากแป้งขนมที่หล่อนทำเสียไว้
“ย่าก็ทำไม่เก่งเหมือนกัน อาศัยว่าทำบ่อยๆ เห็นคนโบราณท่านว่าคนที่ทำเก่งๆน่ะ เวลาห่อแป้งแล้วห่อเป็นรูปหอยสังข์เชียวนะ”


“โอ้โห! แสดงว่าพับหลายทบซิคะ”
หล่อนอุทานนึกถึงหอยสังข์ขาวๆที่ใช้รดน้ำสังข์ในงานแต่งงาน
“โบราณเขาว่าทบแค่สามครั้งเองนะ”
หิรัญญิการ์แลดูข้าวเกรียบปากหม้อในจานที่คุณย่าทำเสร็จแล้ว ขนาดคุณย่าบอกว่าทำไม่เก่งยังออกมาเป็นห่อเป็นพับสวยขนาดนี้ แล้วคนที่ทำเก่งคงจะทำเป็นรูปหอยสังข์สวยซะจนหล่อนไม่กล้ากินแน่ๆ


“มีอะไรรึ”
สาวใช้คนหนึ่งมายืนลับๆล่อๆอยู่ที่ประตูครัวขณะที่ทุกคนกำลังสนใจขนมบนเตา คุณย่าหันไปเห็นพอดีจึงเอ่ยถาม
“คุณดาวมาค่ะ ตอนนี้รออยู่ที่ห้องรับแขก”
“อ้าว! แม่ดาวมารึนี่ดีๆเดี๋ยวฉันไปหาแม่ดาวก่อน”


“คุณย่าไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ ดาวมาหาคุณย่าเองแล้ว”
ผู้ที่ก้าวเข้ามาใหม่ทักทายพนมมือไหว้ผู้สูงวัยอย่างอ่อนหวาน หล่อนเป็นสาวสวยผมยาวประบ่า รูปร่างผอมบาง
“พี่พีทอยู่ด้วยเหรอคะ อุ้ย! ขอโทษค่ะไม่ทราบว่ามีแขก”
ผู้มาใหม่ยกมือปิดปากในท่าตกใจ คนสวยทำอะไรก็สวย ภัทระเพียงแต่ยิ้ม


“ดาวครับ ผมขอแนะนำ คุณหิรัญญิการ์ หรือคุณครีมครับ ครีมครับนี่คุณดาวหรือดาวิภา เพื่อนผมเองครับ”
หิรัญญิการ์คิดว่าไม่ได้รู้สึกไปเอง ร่างบางนั้นสีหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณครีม ดาวได้ยินชื่อคุณครีมมาเสียนานเพิ่งเห็นตัวจริงวันนี้เอง ตัวจริงน่ารักกว่าที่คิดนะคะ”
ปลายเสียงใสนั้นสั่นเล็กน้อย


“วันนี้ ทำอะไรกันอยู่คะเนี่ย”
ดาวิภาเลิกคิ้วถาม
“ทำข้าวเกรียบปากหม้อจ้ะ หนูดาวมาหาย่ามีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
“ดาวเอาขนมมัฟฟิ่นกล้วยตากของที่ร้านมาให้ค่ะ”
หญิงสาวยกถุงพลาสติคใส ใส่กล่องสีขาวเล็กๆขึ้น


“บังเอิญคุณแม่ไปต่างจังหวัดแล้วได้กล้วยตากมาเป็นของฝากเยอะค่ะ ดาวเลยเอามาทำเป็นเมนูใหม่ของทางร้าน บังเอิญผ่านมาแถวนี้เลยเอามาฝากคุณย่าค่ะ”
เสียงใสๆนั้นเจื้อยแจ้ว คุณย่าได้แต่ผงกหัวและยิ้ม
“ดาวเขาเปิดร้านเบเกอรี่น่ะครับ เขาทำขนมอร่อย”
ภัทระแนะนำหิรัญญิการ์เบาๆ
“แหม! พี่พีทก็ชมดาวเกินไปเท่านั้นล่ะค่ะ แค่คนชอบทำขนมเท่านั้นเอง”


หญิงสาวมาใหม่ค้านเบาๆหน้าระรื่น หิรัญญิการ์ชักรู้สึกว่าหล่อนเป็นส่วนเกินในสถานที่นี้ซะแล้ว
“หนูดาวจะทานของว่างด้วยกันเลยไหม ย่าทำไว้ซะเยอะเลย”
“เกรงใจคุณย่าจังค่ะ”
ดาวิภาออกตัว แต่หิรัญญิการ์รู้เจ้าหล่อนจะต้องมาทานของว่างด้วยแน่ และก็เป็นจริงดังคาด


ร่างบางของดาวิภาคนสวยช่วยคุณย่าถือถาดขนมออกมาวางที่โต๊ะในห้องนั่งเล่น หิรัญญิการ์สังเกตว่าหล่อนดูคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้มาก ช่างฉอเลาะเอาอกเอาใจคุณย่าของภัทระเหลือเกินและพูดถึงแต่เรื่องและกลุ่มคนที่หล่อนไม่คุ้นเคยราวกับจะกีดกันหิรัญญิการ์ให้ออกไปนอกวงสนทนา
“ดาวเคยได้ยินมาว่าคุณครีมตอนนี้ช่วยคุณพ่อคุณแม่บริหารบริษัทอยู่ใช่ไหมคะ”
“ค่ะ”
หิรัญญิการ์รับคำเบาๆพลางใช้ช้อนส้มจิ้มข้าวเกรียบปากหม้อกิน คุณย่าของภัทระทำได้อร่อยมาก


“ดีจัง”
ดาวิภาทำหน้าสลด
“ดาวน่ะไม่ค่อยมีความสามารถด้านนี้ค่ะก็เลยเรียนเกี่ยวกับเรื่องอาหาร คุณพ่อคุณแม่ของดาวค่อนข้างโบราณค่ะ ชอบให้ลูกสาวทำอาหารเป็นท่านบอกว่าเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งนอกจากรูปลักษณ์ภายนอก”
ปลายประโยคนั้นจงใจกัดหล่อนชัดๆ


หิรัญญิการ์รู้แล้วว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่เป็นมิตร แต่ทำยังไงได้...ในละครตอนที่นางเอกอยู่กับพระเอกจะต้องมีนางอิจฉาเข้ามาขัดขวาง ในชีวิตจริงก็คงเช่นกันหล่อนจึงเลือกที่จะทำแบบนางเอกในละคร นิ่งเสีย...ยิ้ม แล้วให้ตัวอิจฉาเต้นไป


“ครีมก็ทำงานไม่ค่อยเก่งหรอกค่ะ แต่ได้คุณพ่อคุณแม่ช่วยแนะนำ คุณพ่อคุณแม่ของครีมท่านเป็นคนขี้กลัวน่ะค่ะ ท่านกลัวว่าลูกสาวจะกลายเป็นคนไม่ทันคนถูกหลอกง่าย เลยให้ครีมเรียนไว้หลายๆอย่าง จะได้รู้ว่าคนเรานั้นติดสินดีงามไม่ได้อยู่ที่รูปร่างหน้าตา”
หญิงสาวยิ้มตาหยี


“มันก็เหมือนกับอัญมณีที่ครอบครัวครีมทำธุรกิจอยู่นั่นแหละค่ะ คนเอาอัญมณีมาขายจะบอกว่าดีอย่างโน้นดีอย่างนี้ แต่คนตาถึงเขาจะมองแป๊บเดียวก็รู้แล้วละค่ะ ว่าอะไรเป็นของแท้อะไรที่เป็นของไม่ได้เกรดแต่เอามาเลียนแบบเพิ่มราคา”
คุณย่าเลิกคิ้วแล้วยิ้ม ส่วนชายหนุ่มหันมามองหล่อนอย่างทึ่ง ขณะที่คนที่หล่อนจงใจแขวะ ขมวดคิ้วเม้มริมฝีปากดูเหมือนคู่ต่อสู้ของหล่อนจะควบคุมอารมณ์ได้ดีเช่นกัน


เอาสิ...ถึงหิรัญญิการ์จะเป็นคุณหนูครีมผู้ถือว่าการใช้ปากเพื่อกินเป็นเรื่องใหญ่ แต่เรื่องการใช้ปากเชือดเฉียนใครนี่ก็ไม่ย่อยเหมือนกัน
ดาวิภานั่งคุยอยู่สักครู หลังจากนั้นมีเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น สาวสวยออกไปรับสายสักพักแล้วจึงรีบขอตัวกลับ
“ที่ร้านมีเรื่องยุ่งๆนิดหน่อยค่ะ ดาวขอตัวกลับก่อนนะคะ วันหลังดาวจะมาเยี่ยมใหม่ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณครีม”
ปลายเสียงนั้นเน้นหนัก หิรัญญิการ์เพียงแต่ยิ้มรับ


“คุณดาวคงจะทำอาหารเก่งนะคะ”
หิรัญญิการ์แกล้งเลียบเคียงถาม
“ยายของหนูดาวกับย่าเป็นเพื่อนกันมาก่อนจ้ะ หนูดาวเลยสนิทกับบ้านเรา ยายของหนูดาวชอบทำอาหารเลยถ่ายทอดวิชาให้หลานด้วย”
“แหม! ดีจังเลยนะคะคุณยายของครีมท่านอายุมากแล้วสุขภาพก็ไม่ค่อยแข็งแรง เลยไม่ได้ถ่ายทอดอะไรให้ครีมเลย ครีมเลยทำอะไรไม่เป็นอายจังเลยค่ะ”
หล่อนรีบเรียกคะแนนสงสารจากข้อด้อยของตนเอง ผู้อาวุโสฟังแล้วก็หัวเราะร่วน


“ไม่เป็นไรหรอกหนูครีม ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วจะให้ผู้หญิงมาเป็นนางก้นครัวทำอาหารอย่างเดียวมันก็ไม่ไหว มันต้องเป็นควาญช้างช่วยประคับประคองช้างเท้าหน้าอย่างผู้ชายต่างหาก”
หล่อนยิ้มเห็นด้วยกับคุณย่า แต่ยังมิวายหยอดคำหวาน
“แต่เสน่ห์ปลายจวักก็สำคัญนะคะ งั้นไว้ว่างๆครีมมาขอเรียนทำอาหารกับคุณย่าได้ไหมคะ”
“ได้สิจ๊ะ ถ้าหนูครีมไม่รังเกียจคนแก่ พูดมากชอบเล่าเรื่องเก่าอย่างย่า”
คุณย่ายิ้มละไม


สำเร็จ!หล่อนหาข้ออ้างที่จะมาบ้านของภัทระได้อย่างหนึ่งแล้ว ถึงแม้จะมีดาวิภามาเป็นนางอิจฉาคอยเหน็บแนมก็ตาม ภัทระนั้นดูท่าทางจะรักย่ามาก หล่อนจะต้องทำคะแนนตีตื้นมาเป็นหลานรักของคุณย่าภัทระให้ได้ หลังจากนั้นในช่วงบ่ายแก่ๆหิรัญญิการ์จึงขอตัวกลับ นับว่าการมาบ้านพ่อแม่ของภัทระครั้งนี้หล่อนทำได้ผ่านฉลุย คุณย่าและภัทระมาส่งหล่อนที่หน้าบ้านจนหญิงสาวขับรถออกไป
“พีทแน่ใจนะว่าเป็นคนนี้”
ผู้เป็นย่าถามเสียงเยือกเย็น
“ครับ”
ชายหนุ่มตอบสั้นๆตามองตรงไปข้างหน้า


“แล้ว...” ผู้สูงวัยเหมือนจะพูดอะไรต่อแล้วก็กลืนคำพูดหายไปในลำคอ
“ย่าก็แล้วแต่พีทนะ มันเป็นการตัดสินใจของหลาน แต่ย่าจะเตือนเอาไว้อย่างหนึ่ง อะไรที่ตัดสินใจไปแล้ว มันกลับไปแก้ไขไม่ได้หรอกนะ”
ชายหนุ่มนิ่งแววตาครุ่นคิด ก่อนที่จะเอ่ยเบาๆ
“ครับ สิ่งที่ตัดสินใจไปแล้วจะกลับไปแก้ไขไม่ได้ ผมถึงจะตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ครอบครัวเราครับ”
ภัทระเข้ามาประคองร่างบางของผู้เป็นย่าเข้าบ้านด้วยสีหน้าอ่อนโยน



“โอ๊ะโอ! มีนางร้ายด้วยเหรอเนี่ย”
จีรดาอุทานเสียงสูง หลังจากรับทราบสถานการ์นางเอกจากเพื่อน หล่อนถูกคนตัวอวบโทรจิกออกมาจากที่ทำงาน ซึ่งสาวร่างโย่งหาข้ออ้างจะออกมาข้างนอกอยู่แล้ว
“ใช่”
นางเอกในชีวิตจริงที่น้ำหนัก 99.5 กิโล กรีดนิ้วยกชาขึ้นมาจิบ
“แล้วที่สำคัญนะ ยัยดาวนั่นเป็นคนทำขนมเปิดร้านทำขนมด้วย”


จีรดาโคลงศรีษะไปมาพลางคิดว่าศึกของเพื่อนครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ด้วยตระหนักดีกว่าเพื่อนรักของหล่อนถนัดใช้ปากกินกับพูด แต่เรื่องการใช้มือทำอาหารเรียกว่าจัดเข้าขั้นห่วย จีรดาว่าหล่อนคุ้นๆชื่อจริงของคู่กรณีของเพื่อนอยู่ตะงิดๆ
“คุณดาวิภา ใช่คนที่เปิดร้านขนมอยู่ที่...”
จีรดาเอ่ยถึงชื่อร้านที่ดาวิภาเคยบอกตอนที่หิรัญญิการ์(แอบ)ได้ยินตอนเจ้าหล่อนฉอเลาะกับคุณย่าของภัทระ ร้านตั้งอยู่ข้างๆตึกสำนักงานชื่อดัง


“นั่นแหละ ใช่เลย! ทำไมคนที่ไม่ชอบกินขนมอย่างแกถึงรู้จักล่ะ”
“ไม่ใช่อะไรหรอกร้านนี้ อร่อยจริงๆเพราะพี่ที่สำนักงานเคยไปตกแต่งร้านให้แล้วเขาแถมขนมมาด้วย ขนมอร่อยมากเลย”
จีรดานึกถึงเพื่อนพนักงานรุ่นพี่ที่บริษัทรับตกแต่ง หิรัญญิการ์ขมวดคิ้วขนาดจีรดาเพื่อนหล่อนที่กินได้ทุกอย่าง แต่ไม่ค่อยเอ่ยปากว่าอร่อยชมนี่ แสดงว่าคงอร่อยจริงๆ


“แล้วฉันจะทำยังไงดีล่ะจี ยัยนั่นมาแผนสูงเข้าทางคุณย่าของพี่พีท แถมพี่พีทยังชอบกินขนมหวานอีก ฉันละกลัวจริงๆ”
“จะกลัวไปทำไม”
จีรดาใช้หลอดคนน้ำแข็งในแก้วสไปร์ทของตนเล่น
“พี่พีทเขาเป็นเนื้อคู่ในพหรมลิขิตของแกนี่”
คนตัวอวบทำหน้ากระเหง้ากระหงอด
“แต่ฉันกลัวก็กลัวนี่นา อะไรมันก็ประมาทไม่ได้”


“งั้นมาทำ SWOT Analysis กัน”
จีรดาหยิบกระดาษแข็งหนึ่งแผ่นออกมาจากกระเป๋า วาดเป็นช่องสี่เหลี่ยมใหญ่หนึ่งช่องในนั้นแบ่งแยกย่อยเป็นช่องสี่เหลี่ยมได้อีกสี่ คนตัวโย่งชอบทฤษฎีนี้มากเพราะเคยทำธุรกิจจำลองสมัยมหาวิทยาลัยแล้วได้เกรดเอจากวิชาการตลาดโดยใช้ทฤษฎีนี้
“หนึ่งจุดแข็ง สองจุดอ่อน โอกาส แล้วก็อุปสรรค”
“เล่นวางแผนวิเคราะห์ขนาดนี้เลยเหรอ ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะจี”
หิรัญญิการ์ท้วงเสียงฮึดฮัด


“ฉันล้อเล่นซะเมื่อไหร่ล่ะ การที่จะได้อะไรมาเราต้องรู้จักวางแผนก่อน เหมือนที่เตี่ยฉันชอบบอกไง รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”
หญิงสาวนึกถึงหน้าเฮียเม้งเจ้าของร้านขายข้าวมันไก่เตี่ยของจีรดา ที่ชอบทำข้าวมันไก่จานพิเศษยามหล่อนไปหาเพื่อนที่บ้านให้อยู่บ่อยๆ
“เอ้า! ข้อที่หนึ่งจุดแข็งของแกคือ รวย ขาว ชาติตระกูลดี”
“เติมน่ารักเข้าไปด้วยสิ”
ทฤษฎีนี้ขัดนิ้วอูมๆจี้ไปที่กระดาษ จีรดาเบ้ปากแล้วยิ้ม


“ข้อที่สองจุดอ่อน อ้วน ชอบกินขนม”
“ไม่ใช่นั่นมันจุดแข็งต่างหาก พี่พีทชอบฉันเพราะตรงนี้”
หล่อนรีบท้วงพราะเคยได้คำยืนยันมาจากเจ้าตัว
“เอ้า! จุดแข็งก็จุดแข็ง”
จีรดาบ่นรำคาญ
“แล้วจุดอ่อนของแกล่ะ ต้องมีนะไม่งั้นวิเคราะห์ไม่ได้”
หิรัญญิการ์เอามือแตะริมฝีปากทำท่าคิดนิดหนึ่ง
“งั้นเอาเป็นทำอาหารไม่เป็นดีกว่า”


“เติมพูดมากลงไปด้วยละกัน”
จีรดาเขียนเติมลงบนกระดาษในข้อที่สอง ขณะที่อีกคนทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ
“ต่อไปก็อุปสรรค ข้อแรกเอาจากจุดอ่อนเลย ทำอาหารไม่เป็น ไม่มีความเป็นแม่ศรีเรือน พูดมาก ขี้ใจน้อย ชอบกิน...”
“น้อยหน่อยย่ะ ยัยจี! ทำ SWOT Analysis นะยะ ไม่ใช่มาหลอกด่าฉัน”
คนถูกหลอกด่าค้อนขวับ เพื่อนตัวดีหรี่ตามองหล่อนแล้วถอนหายใจ
“เออ รู้แล้วน่า งั้นโอกาสก็คือถ้าแกมีจุดเด่นอะไรที่พอจะมัดใจพี่พีทไว้ได้อย่าง ความสวยหรือการไปลดน้ำหนัก”


“ลดน้ำหนักคงทำไม่ได้เพราะพี่พีทเขาชอบฉันที่เป็นอย่างนี้”
หิรัญญิการ์แกล้งจีบปากจีบคออย่างน่าหมั่นไส้ ทำเอาคนฟังรีบรีบคว้าสไปร์ทขึ้นมาดูดแก้เลี่ยน
“งั้น! ก็เหลือฝีมือการทำอาหาร ลงทุนเรียนทำอาหารให้ตาพี่พีทกับญาติของเขาปลื้มในฝีมือการทำอาหาร แล้วก็ความป็นแม่บ้านแม่เรือนของแก”
หิรัญญิการ์ขมวดคิ้วนึกถึงภาพพิธีกรสอนทำอาหารในรายการทีวีต่างประเทศที่ตัวใหญ่ท่าทางคล่องแคล่ว ผูกผ้ากันเปื้อนเต็มตัวลายตาราง


“ถ้าจะจ้างครูสอนตามบ้านฉันนไม่เอานะ อายเค้าตาย! แล้วก็ไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายในบ้านฉันด้วย ขืนทำแบบนั้นนายปอนด์หัวเราะตาย”
พอพูดถึงน้องชาย หล่อนก็นึกขึ้นได้ถึงกล่องสีดำที่น้องชายฝากให้จีรดา ที่หล่อนเอาให้เพื่อนไปแล้ว


“พูดนึกนายปอนด์ ตกลง นายปอนด์ซื้ออะไรมาให้จีน่ะ ถามก็ไม่ยอมตอบ”
คนตัวสูงชะงักเล็กน้อย เขียนอะไรยุกยิกลงบนกระดาษไม่ยอมสบตาเพื่อน
“ไม่มีอะไรหรอกเป็นนาฬิกาน่ะ เห็นว่าที่อเมริกามันถูกกว่าเลยฝากซื้อ อย่าสนใจเลย ว่าแต่แกไม่อยากเรียนที่บ้านก็ต้องไปเรียนโรงเรียนสอนทำอาหารล่ะ”
หญิงสาวพยักหน้า หยิบคุกกี้ชิ้นสุดท้ายเข้าปากเคี้ยวหยับๆ
“งั้นเราไปดูกันเลย”


ทั้งสองขับรถมาจนถึงโรงเรียนสอนทำอาหารของอาจารย์สอนทำอาหารชื่อดังที่ปรากฏตัวทางทีวีบ่อยครั้ง จีรดานั้นบ่นกระปอดกระแปดตลอดทางที่ถูกเพื่อนลากมาที่โรงเรียนสอนทำอาหาร ด้วยว่าวันนี้ช่วงบ่ายบริษัทของหล่อนจะยกขบวนกันไปดูการถ่ายภาพยนตร์โฆษณาเพื่อประชาสัมพันธ์บริษัท ซึ่งมีนางแบบคือ ปราย หรือไปรยา นางแบบดังมาแสดงภาพยนตร์โฆษณาให้


“ฉันล่ะอดดู คุณปราย อยากเห็นเพราะเขาว่ากันว่าสวยนักสวยหนา”
“เอาน่า! เดี๋ยวฉันจะยุให้นายปอนด์ไปจีบคุณปรายคนนั้นมาถ่ายโฆษณาให้บริษัทพ่อฉัน แล้วจะให้แกเฝ้าทั้งวันเลย”
หญิงสาวปลอบเพื่อน ขณะที่คนตัวสูงได้แต่ค้อนลมค้อนแล้งทำปากขมุมขมิบ เมื่อเข้าไปในสำนักงานก็ทราบว่าอาจารย์สอนทำอาหารคนดังไม่อยู่


“ไม่เป็นไรนะคะ เดี๋ยวดิฉันโทรตามอาจารย์เลยค่ะว่าคุณหิรัญญิการ์มาขอพบ รอสักครู่นะคะ”
เลขาของอาจารย์คนดังรีบเชื้อเชิญทั้งสองมานั่งที่ห้องรับรอง
“ฉันไปห้องน้ำหน่อยนะ สงสัยจะกินน้ำมากไป”
จิรดาขอตัวแล้วเดินลิ่วไปทางห้องน้ำ หิรัญญิการ์จึงเปิดหนังสือทำอาหารดูไปพลางๆ สักพักจีรดาวิ่งหน้าเริ่ดมาฉุดหล่อนออกไปอย่างรวดเร็ว


อะไรยัยจี แกจะพาฉันไปไหน”
หล่อนท้วงซอยเท้าวิ่งตามเพื่อน
“อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วล่ะแก เดี๋ยวกองทัพนักข่าวก็ได้แห่กันมาหรอก”
หิรัญญิการ์ฟังแล้วขมวดคิ้วงง จีรดาจึงเล่าบทสนทนาที่หล่อนแอบได้ยินระหว่างทางที่เดินกลับมาจากห้องน้ำให้เพื่อนฟัง


“ค่ะ คุณครีมจริงๆที่เป็นลูกสาวเจ้าของบริษัทอัญมณีส่งออกนั่นยังไงคะ”
เสียงแจ้วๆทำให้จีรดาที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำเงี่ยหูฟังอย่างไม่ตั้งใจ
“ค่ะ คนที่มีข่าวกับคุณพีท ภัทระไงคะใช่ค่ะ! คงจะมาเรียนทำอาหารเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว อ้าว! อาจารย์อยู่กองถ่ายเปิดกล้องละครเหรอคะ จะตรงมาเลยเหรอคะจะพานักข่าวมาด้วย ค่ะๆ รีบมานะคะ จะได้ทำข่าวโฆษณาประชาสัมพันธ์โรงเรียนของเราด้วย เดี๋ยวดิฉันจะถ่วงเวลาไว้ก่อน แล้วอาจารย์อย่าลืมขึ้นเงินเดือนให้ดิฉันนะคะ...”
ได้ฟังแค่นั้นจีรดาก็เผ่นมาลากเพื่อนออกมาทันที


พอหิรัญญิการ์ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดก็ถอนหายใจนึกถึงกลุ่มบรรดานกกระจอกช่างนินทาในงานเลี้ยงการกุศลขึ้นมาทันใด
“เกิดมาเป็นคนดังก็แย่อย่างนี้ละนะ รู้สึกเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงในสวนสัตว์เลย มีแต่คนจับจ้องดูความเคลื่อนไหว”
“แล้วแกจะเอายังไงจะเรียนทำอาหารต่อหรือเปล่า”
คนตัวอวบอูมเคาะนิ้วกับพวงมาลัยรถยามที่รู้สึกปลอดภัยแล้ว


การเรียนในโรงเรียนสอนทำอาหารนั้นตัวเลือกนี้ตกไปได้เลย หิรัญญิการ์ไม่อยากเป็นข่าว ตอนนี้ที่ต้องการคือใครสักคนที่ไม่ใช่แค่สอนหล่อนทำอาหารได้แต่ต้องเก็บความลับได้ด้วย
“ฉันว่านะ แกไปให้คุณย่าของพี่พีทสอนทำอาหารดีกว่า จะได้เป็นข้ออ้างไปหาพี่พีทบ่อยๆด้วยยังไงล่ะ”
“ไม่ได้หรอกแก เดี๋ยวก็มียัยดาวนั่นมาแทรกเป็นระยะๆหรอก ตอนนี้ฉันไม่อยากเผยจุดอ่อนให้ศัตรูเห็นมากไปกว่านี้ไปมากกว่านี้”
หล่อนย่นจมูก


“งั้นจะไปหาใครสอนทำอาหารล่ะ ที่มืออาชีพ ทำอร่อย เก็บความลับได้”
จีรดาพึมพำ หิรัญญิการ์เอามือแตะปากทำท่าคิด
“นึกออกแล้วจี! แกบอกฉันว่าเพื่อนของเจ้านายแกเป็นเชฟเปิดร้านอาหาร”
จีรดาพยักหน้าหงึกหงัก
“แกลองโทรไปถามเจ้านายแกซิว่าเขาเปิดร้านอาหารอยู่ที่ไหน เผื่อเขาจะได้ช่วยหาเพื่อนเชฟคนอื่นเป็นมาช่วยสอนฉันทำอาหารไงล่ะ”


“เอางั้นเหรอ”
จีรดาชักลังเล แต่คนตัวอวบพยักหน้าเอาจริง คนตัวโย่งจึงโทรหาเจ้านายขณะที่หิรัญญิการ์ขับรถอยู่
“ค่ะ บอสจีขอโทษ มีเรื่องปรึกษานิดหน่อยค่ะเรื่องเพื่อนของบอสที่เป็นเชฟที่เคยเล่าให้ฟังน่ะค่ะ ตอนนี้เขาเปิดร้านอาหารอยู่ใช่ไหมคะ อ๋อ!จีจะพาเพื่อนไปทานค่ะเห็นบอสบอกว่าอร่อยมาก”
จีรดาโกหกคำโต


เฮ้อ! ยัยครีมนะยัยครีมรู้ว่าเพื่อนโกหกไม่เก่งยังจะให้โกหกอีกแน่ะ


“ค่ะ ร้านของเจ้าเพื่อนบอสอยู่ที่ไหนนะคะอยู่ที่...ซอย...ชื่อร้าน...ตรู๊ด...ตรู๊ด”
เจ้านายหล่อนยังบอกไม่ทันจบสัญญาณโทรศัพท์ก็ตัดฉับไปในพริบตา
“โอ๊ย!ตายเลย ยัยครีมสัญญาณโทรศัพท์ไม่ดีเลย ได้แต่ที่อยู่แต่ไม่ได้ชื่อร้าน”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
หิรัญญิการ์ยิ้มร่าพลางขับรถไปตามที่หมายที่เจ้านายของเพื่อนบอก


“ฉันว่าแกควรจะหาตัวเลือกอีกคนหนึ่งไว้ก่อนดีกว่า เพราะฉันไม่แน่ใจกับเพื่อนของบอสบางทีเค้าอาจจะแปลกๆเหมือน...บอส”
หิรัญญิการ์นึกถึงเจ้านายของเพื่อนสนิท ที่ดูดีมีรสนิยม แต่ชอบทำอะไรแปลกๆ ไม่แน่ว่าเพื่อนที่เป็นเชฟที่เขาพูดถึงอาจจะเป็นคนประเภทเดียวกัน อะไรที่เหมือนกันมักดึงดูดหากัน


เชฟเหรอ!หล่อนนึกถึงครัวซองที่ปฤตเอามาให้กินทันที ปฤตบอกว่าเพื่อนเป็นซูเชฟ นี่อาจจะจะเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งก็ได้
“จี แกเอาโทรศัพท์ฉันออกมาจากกระเป๋าให้หน่อย ต่อสายถึงนายปอนด์แล้วเอามาแนบหูให้ชั้นคุยหน่อย”
“แต่เขาห้ามคุยโทรศัพท์ตอนกำลังขับรถนะเว้ย”
จีรดาอ้าปากค้าน


“เอาน่าแป๊บเดียวไม่มีใครเห็นหรอกเ ร็วสิ!”
หิรัญญิการ์เร่งเสียงดุ เพื่อนรักจึงจำใจต้องต่อสายให้
“ปอนด์เหรอ นี่เราเองนะ ปอนด์จำครัวซองอันนั้นได้ไหม ก็อันที่ปอนด์เอามาให้กินหลังจากกลับจากอเมริกาไง ที่ปอนด์บอกว่าเพื่อนของปอนด์เป็นซูเชฟร้านอาหารไง”
หิรัญญิการ์ปากหนึ่งก็คุยโทรศัพท์ สองมือก็จับพวงมาลัย ขณะที่จีรดามือหนึ่งก็จับโทรศัพท์แนบหูเพื่อน ตาก็มองดูถนนล่อกแล่กด้วยกลัวว่าจะมีรถตำรวจวิ่งเปิดเหวอตามมาเพราะทำผิดกฎหมาย


“เออ ร้านของเพื่อนปอนด์ชื่อร้านอะไรนะ อะไร!สัญญาณไม่ดีเลย เอาโทรศัพท์มาใกล้ๆหูหน่อยสิ ยัยจี!”
หล่อนหันมาทางเพื่อน
“ครีมระวังข้างหน้า...รถ!”
จีรดาอุทานได้แค่นั้น พอหิรัญญิการ์หันมาอีกทีก็ได้ยินเสียงโครม! และเสียงอะไรสักอย่างหนึ่งดังแกรกๆ จีรดาตกใจจนเผลอกดตัดวางสาย


...เงียบกริบ สองร่างในรถนั่งตัวแข็งทื่อ
“ยัยจี ฉันขับรถชนคน...ทำยังไงดี”
หิรัญญิการ์เห็นมาพึ่งเพื่อนทำเสียงเหมือนจะร้องไห้ ขณะที่จีรดาพูดไม่ออก ตั้งสติสักครู่จึงพัมพำออกมา


อย่าเพิ่งออกไป เรียกประกันโทรเรียกประกัน”
เพื่อนสั่งระรัว หิรัญญิการ์มือสั่นเทารีบคว้าโทรศัพท์มากดไล่ดูหมายเลขโทรศัพท์ของบริษัทประกันภัยรถยนต์ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากหน้ารถ
“โอ๊ย!”


ร่างอวบอูมตกใจทำโทรศัพท์ร่วง ยกมือขึ้นพนมแต้
“โอ๊ย!คุณพระคุณเจ้าอย่ามาหลอกหลอนกันเลยนะคะ ครีมกลัวแล้วละค่ะ ตายไปแล้วก็ไปสู่ที่ชอบที่ชอบเถอะค่ะ เดี๋ยวครีมจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลเอาของกินอร่อยๆไปถวาย”


“ยัยครีม เค้ายังไม่ตายหรือเปล่า อย่าเพิ่งไปแช่งเค้าสิเว้ย”
จีรดาร้องท้วงด้วยเห็นอะไรสักอย่างไหวยวบยาบอยู่หน้ารถ
“ยังไม่ตายเหรอ ลงไปดูหน่อยไหม”
ร่างอวบถาม
“โทรเรียกประกันด้วย”
ร่างสูงสำทับ


“ออกไปดูพร้อมกันเถอะ จะได้ดูว่าเขาบาดเจ็บแค่ไหน ร้องได้อย่างนี้บางทีแผลอาจไม่หนัก”
จีรดายังคงออกความเห็นต่อ คนตัวอวบพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสองจึงเปิดประตูรถคนละด้านเดินออกมาพร้อมกัน
ร่างที่เห็นอยู่ที่หน้ารถนั้นเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่น ใส่เสื้อยืด นอนแอ้งแม้ง ข้างๆมีรถจักรยานบังโคลนเบี้ยวล้มอยู่ข้างๆ ตัวคนเจ็บนั้นมีบาดแผลถลอก


เป็นยังไงบ้างเนี่ย”
หิรัญญิการ์ขยับตัวเข้าไปหา
“อย่านะยัยครีม ต้องโทรเรียกประกันก่อน”
จีรดารีบวิ่งไปเอาโทรศัพท์ออกมาโทรเรียกประกันทันที


“ขอโทษนะคุณ อย่าเพิ่งขยับตัวตอนนี้ เดี๋ยวกระดูกเคลื่อน ตอนนี้ฉันโทรหาประกันกับรถพยาบาลมาแล้วอีกเดี๋ยวคงมาถึง คุณอดทนหน่อยนะ”
สาวอวบรีบบอก คนเจ็บพอได้ฟังก็หยุดร้องโอดโอย แต่มาครางฮือๆแทน
“ขับรถกันประสาอะไรเนี่ย วันนี้ผมต้องไปทำงานด้วย เจ้านายเอาผมตาย”


“เอาน่าคุณ มันเป็นอุบัติเหตุ เจ้านายคุณคงจะเข้าใจหรอก”
หิรัญญิการ์พยายามปลอบ คนเจ็บทำหน้าบิดเบี้ยว
“แต่แขกที่เข้าร้านผมเค้าคงไม่เข้าใจหรอก ร้านยังไงมันก็ต้องเปิด โอ๊ย!”
ร่างที่นอนแบ่บอยู่ยังเถียงไม่เลิก
“งั้นก็เอาเบอร์โทรร้านคุณมา ฉันจะโทรไปบอกเจ้านายคุณเอง จะดูสิว่าลูกน้องเจ็บขนาดนี้ยังมีแก่ใจด่าลูกน้องอีก”
หญิงสาวอวบอูมว่าอย่างฉุนเฉียว แย่งโทรศัพท์คืนมาจากจีรดา ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของหล่อนก็ดังขึ้น หิรัญญิการ์รีบรับสาย


“ปอนด์เหรอ เปล่าไม่มีอะไรหรอก จีก็อยู่ด้วยอะไรนะร้านที่เพื่อนปอนด์บอกว่าเป็นซูเชฟน่ะ”
ต่อมาเสียงโทรศัพท์ของจีรดาก็ดังตาม


“สวัสดีค่ะ บอสเหรอคะ ขอโทษค่ะสัญญาณแถวนี้มันไม่ดีค่ะ อะไรนะคะร้านที่เพื่อนบอสเป็นเชฟชื่อร้าน...”
“Le renard noir”
สองสาวประสานเสียงพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย หันมามองหน้ากันเอง
“นั่นแหละร้านอาหารของเจ้านายผม Le renard noir”
คนเจ็บแต่ปากยังพูดปาวๆแทรกขึ้น


“เป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่าจิ้งจอกดำ”

++++++++++++++




 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2552
9 comments
Last Update : 15 พฤษภาคม 2552 5:56:29 น.
Counter : 1264 Pageviews.

 

ประกาศนะฮะ นี่คืองานที่ดองข้ามปี
สาเหตุน่ะหรือ? โครงเรื่องเบาสบายค่ะ แนวคอมเมดี้เพ้อเจ้อ ตัวละครสำคัญก็ออกมาหมดแล้ว ใครที่เคยหลวมตัวอ่านงานของอิฉันคงเดาออกว่าพระเอกคือคนไหน ปัญหาก็คือเรื่องนี้ข้อมูลเยอะ ทั้งขนมและอาหาร คนเขียนบรรยายเรื่องขนมได้สบาย แต่ติดที่อาหารฝรั่งเศสแล้วก็คำศัพท์บางตัวจึงต้องชะงักไว้ก่อน พูดแล้วจะหาว่าคุยเรื่องนี้บทบรรยายอาหารชัดและเยอะมาก จนคนอ่านรู้สึกหิวแล้วคนเขียนล่ะไม่ยิ่งกว่าเหรอคะ55555 ขอเก็บข้อมูลเชิงลึกก่อน เพราะไม่อยากบรรยายอะไรแค่ผ่านๆ ไหนๆโครงเรื่องมันก็เบาหวิวก็ขอเน้นหนักข้อมูลหน่อย ...สุดท้ายสงสัยจะเป็นแบบSomethingฯที่เล่นบรรยายเอาเสียจนคนอ่านคิดว่าอิฉันเป็นเซียนทำขนม เปล่าเลย...เซียนกระดาษทั้งนั้น5555

 

โดย: จโกระ&ลาชา 15 พฤษภาคม 2552 6:10:52 น.  

 

อืม ขอสารภาพว่าอ่านแล้วนึกว่าคนเขียนชอบทำขนมจริงๆ

อ่านไปบางทีน้ำลายยืด แหะๆ

พระเอกของเราก็คงเป็นคนหน้าเหี้ยมชุดดำซูเชฟล่ะสิ

 

โดย: พี่หมูน้อย 15 พฤษภาคม 2552 11:52:42 น.  

 

น่ารัก น่ารัก มาต่อไวๆ นะค่ะ

ว่าแต่ว่านายพีทจะมาหลอกครีมทำไมเนี่ย

ตอนต่อไปจะแกะขาวจะได้เจอกับจิ้งจอกดำแล้ว ...

 

โดย: wa-ne IP: 76.213.249.128 16 พฤษภาคม 2552 0:52:27 น.  

 

:)

 

โดย: natee IP: 70.183.186.42 16 พฤษภาคม 2552 8:35:40 น.  

 

ว้าว ชอบเรื่องนี้จังค่ะ

นายภัทระนี่มาทำดีกับหนุครีมเพราะผลประโยชน์ชัวร์


ดูท่าพระเอกของเราจะเป็นหนุ่มหัวเกรียนใช่ไหมคะ

รออ่านตอนต่อไปค่า

 

โดย: มังกรเขียวมัดเมฆ (cruduslife ) 16 พฤษภาคม 2552 13:36:56 น.  

 

มาต่อแถวรออ่านด้วยคนคะ

 

โดย: dena IP: 203.155.149.89 18 พฤษภาคม 2552 9:46:01 น.  

 

สนุกมากๆๆ เลย อยากอ่านต่อเร็วๆๆ จัง

 

โดย: AE IP: 76.126.117.234 26 มิถุนายน 2552 11:17:11 น.  

 

เข้ามาจับไก่ค่ะ
เปิดฉากมาเป็นคุณยาย
แต่ไหงกลายมาเป็นคุณย่าล่ะคะ


พอได้อ่านหลายๆ เรื่องของคุณจโกระแล้ว โห ข้อมูลแน่นจังเลย เรื่องเกร็ดเล็กๆ น้อยๆในสายงานที่ตัวละครนั้นๆทำ (ขอชมๆ)
จนพาลจินตนาการไปเองว่า
คนเขียนเนี่ยทำทำอาชีพอะไรอ่ะ เคยทำไอ้นั่นไอ้นี่แน่
ต่อไปนี้เป็นลิสต์ที่เดาเองล้วน ๆ ว่าคุณจโกระน่าจะทำงานอะไร จะถูกซักอย่างมั๊ยน้อ

- เคยเป็นเด็กแลกเปลี่ยนฯ (แป๋ง จากมนตร์รักฯ)
- เรียนจิตวิทยามารึเปล่าหว่า (หมอมินตรา จากเรื่องเดียวกัน แล้วยังสร้างcharacter ของหมอเอิงอีก อ้อลืม..สุดที่รักรุทธระด้วย แต่ละคนบุคลิกไม่น่าเฉียดกลาย)
- เป็นล่ามรึเปล่า ภาษาอะไรบ้างน้าที่อ่านเจอ อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน (คนอ่านก็ความรู้งูๆ ปลาๆ)
- สาวออฟฟิศ อืมมม...
- เด็กถา'ปัด (ความแค้นฯ)
- เจ้าของร้านกาแฟ
- เชฟ
- จบทางด้าน Business
- ทำงานกับบริษัทข้ามชาติ (เรื่องสั้นหลายๆ เรื่อง)


นึกได้เท่านี้ มันน่าจะถูกซักข้อสิน่า
แต่ไม่ได้เป็นคุณครูใช่ไหมคะ เซ้นส์มันบอก
ตัดchoice ยังกะทำข้อสอบ



 

โดย: kapoh (เสือสั่งป่า ) 22 สิงหาคม 2552 1:11:55 น.  

 

เขียนต่อหน่อยสิคะ อยากอ่านมากๆ

 

โดย: กุ้งกุลา IP: 180.180.148.252 6 มิถุนายน 2557 1:12:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


จโกระ&ลาชา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Something has come and gone,and that it 's all.


free counters
Friends' blogs
[Add จโกระ&ลาชา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.