Group Blog
มิถุนายน 2558

 
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
เพลง The Weight of Living Part I ของ Bastille นกอัลบาทรอส และ บทกวีของกะลาสีชรา ตอนที่ 1
เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนเพิ่งได้ค้นพบวงดนตรีจากเกาะอังกฤษที่ใช้ชื่อจากฝรั่งเศสว่า Bastille ค่ะ (บาสตีล) โดยชื่อของวงนี่มาจากคุกบาสตีลที่ถูกทลายลงโดยหมู่ประชาชนในวันที่ 14 กรกฎาคม 1789 การกระทำนี่เองที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านอำนาจผู้นำที่กดขี่และเป็นจุดเปลี่ยนที่นำไปสู่เหตุการณ์การปฏิวัติฝรั่งเศส (The French Revolution) ในที่สุด


(ภาพประกอบจาก google.com)

สาเหตุที่ทางวงเลือกใช้ชื่อนี้ก็เป็นเพราะว่านักร้องนำ แดน สมิธ (Dan Smith) เกิดในวันชาติฝรั่งเศสที่ยึดตามการเฉลิมฉลองวันทลายคุกบาสตีลนั่นคือวันที่ 14 กรกฎาพอดีค่ะ


(ภาพประกอบจาก google.com)

นอกจากวงนี้จะถูกจริตของผู้เขียนในแง่ที่ว่ามีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์แล้วจากการฟังเพลงของพวกเขาจะพบว่าในเนื้อเพลงยังซุกซ่อนการอ้างถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ เรื่องราวในวรรณคดีหรือตำนาน อย่างที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Allusion ไว้มากมายอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการนำเรื่องเดิมมาขยายความหรือการตีความใหม่ ๆ ก็ตาม ซึ่งทำให้ผู้เขียนยิ่งทวีความสนใจในตัววงและผลงานของพวกเขา นอกเหนือไปจากเสียงดนตรีและเสียงร้องที่ติดหูเอามาก ๆ

วันนี้จะขอกล่าวถึงเพลงที่เห็นบอกกันว่าเป็น Hidden Track ของอัลบั้มแรกของพวกเขาอย่าง Bad Blood ค่ะ เพลงที่ว่าคือ เพลงที่มีชื่อว่า The Weight of Living Part I

ผู้เขียนจำได้เลาๆหลังจากอ่านความคิดเห็นในหน้าวิดิโอของวงบาสตีลในยูทูบว่า ไม่ค่อยมีคนชอบพวกเขาเท่าใดนัก เนื่องจากเนื้อเพลงค่อนข้างจะไร้สาระ แปลกๆและหาความหมายไม่ได้ แต่อันที่จริงผู้เขียนคิดว่า เนื่องจากเนื้อเพลงมักมีการอ้างถึงเรื่องอื่นอยู่มาก ทำให้ต้องมีความรู้ด้านวรรณคดีพอสมควรจึงจะเข้าใจในสิ่งที่เนื้อเพลงอ้างถึงและเข้าใจถึงความหมายหรือการตีความแบบใหม่ (ตามแนวคิดแบบ Modernist) ที่ผู้แต่งต้องการจะสื่อออกมา

เช่นในเพลง The Weight of Living Part I นี้ ในเนื้อเพลงตั้งแต่ท่อนแรกเลย มีการกล่าวถึง Albatross “There’s an albatross around your neck,”  Albatross คืออะไร?

(ภาพประกอบ google.com)

อัลบาทรอส (Albatross) คือนกทะเลชนิดหนึ่งและเป็นนกที่บินได้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ปีกของนกอัลบาทรอสทั้งสองข้างรวมกันนั้นยาวได้ถึง 3.7 เมตร โดยกล่าวกันว่ายามที่นกอัลบาทรอสกางปีกนั้น รูปลักษณ์ของมันคล้ายคลึงกับกางเขนที่พระเยซูถูกตรึงไว้ก่อนจะสิ้นพระชนม์

(ภาพประกอบจาก google.com)

การอ้างถึงในครั้งนี้เป็นการอ้างถึงบทกลอนของแซมมวล เทย์เลอร์ คอเลริดจ์ที่มีชื่อว่า บทกวีของกะลาสีชรา (Rime of The Ancient Mariner) บทกลอนบทนี้เขียนขึ้นในปี 1798 แซมมวล เทย์เลอร์ คอเลริดจ์นั้นถือได้ว่าเป็นผู้นำคนหนึ่งของกระบวนการเคลื่อนไหวโรแมนติก (The Romantic Movement) ซึ่งกวีชาวอังกฤษผู้นี้ให้ความสำคัญกับธรรมชาติและแนวคิดเรื่องเหนือธรรมชาติมากกว่าแนวคิดอื่นๆของการเคลื่อนไหวเดียวกัน

(ภาพประกอบจาก google.com)

บทกวีนี่เขียนด้วยลักษณะการประพันธ์ประเภทบัลลาด (Ballad) หรือกลอนที่มีสัมผัสคล้องจองกันเพื่อเล่าเรื่องราว บทกลอนแบ่งออกเป็นเจ็ดตอน (7 parts) แซมมวล เทย์เลอร์ คอเลริดจ์ใช้กลวิธีการบรรยายแบบซ้อนตัวผู้บรรยาย กล่าวคือ ตามท้องเรื่องแล้วแขกผู้หนึ่งกำลังเดินไปทางไปงานแต่งงานของญาติสาวพร้อมกับเพื่อนอีก 2 คนถูกชายแก่รั้งตัวไว้ ชายชราจ้องมองดวงตาของชายหนุ่มและด้วยเวทมนตร์คาถาหรือการสะกดจิตบางอย่างในดวงตาที่สุกสกาวผิดกับวัยคู่นั้น แขกผู้นั้นต้องหยุดฟังเรื่องเล่าของกะลาสีเรือเฒ่า

(ภาพประกอบ วาดโดย Gustve Doré x)

กะลาสีเรือเฒ่าเล่าย้อนเมื่อครั้งตนเองพร้อมลูกเรือทั้งหลายถอนสมอออกจากท่าเรือมุ่งหน้าไปยังแดนใต้ พายุโหมกระหน่ำผลักดันพวกเขาสู่ขั้วโลกใต้ที่หนาวเย็นเต็มไปด้วยหมอกหิมะและม่านน้ำแข็งไร้ผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตอื่นใด แต่จู่ๆพวกเขาเห็นนกอัลบาทรอสบินฝ่าม่านหมอกดังกล่าวมา พวกลูกเรือทั้งหลายถือว่าเป็นโชคลางที่ดีเนื่องจากเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนจิตวิญญาณของพระเยซูและเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมานำทางพวกเขา ครั้นพวกเขาปันอาหารให้มันกินและบินวนไปล้อมๆ น้ำแข็งที่ขวางกั้นพวกเขาอยู่ก็แตกออกเป็นสองซีก เปิดทางให้เรือสามารถแล่นผ่านไปได้ อีกทั้งลมใต้ยังหนุนพวกเขาอีกด้วย นับตั้งแต่นั้นมา นกอัลบาทรอสตัวนี้ก็เป็นสหายสนิทตัวหนึ่งของบรรดาลูกเรือ เมื่อแขกงานแต่งงานถามไถ่ว่าเหตุใดกะลาสีเรือจึงหยุดเล่าและทำหน้าเศร้าศร้อย กะลาสีเรือเฒ่าก็เล่าเรื่องต่อว่า แต่แล้วอยู่ๆวันหนึ่งเขาก็ยิงนกอัลบาทรอสให้ร่วงหล่นลงจากฟ้าด้วยหน้าไม้ของตน

(ภาพประกอบ วาดโดย Gustve Doré x)

และถึงแม้พระอาทิตย์จะขึ้นและลมใต้ยังเป็นใจ แต่บรรดาลูกเรือก็ไร้นกอัลบาทรอสคู่ใจ ลูกเรือทั้งหลายต่างก่นด่ากะลาสีเรือเฒ่าที่เป็นตัวการฆ่านกอัลบาทรอสที่นำพาลมใต้มา แต่กระนั้นเมื่อวันเวลาผ่านไป ดวงอาทิตย์ก็ยังคงแผดแสงขับไล่หมอกหิมะไป พวกลูกเรือคนอื่นจึงกลับคำพูด ชมเชยกะลาสีเฒ่าว่าดีแล้วที่ฆ่านกตัวมารที่นำพาหมอกหิมะและม่านน้ำแข็งมา จากนั้นเรือก็แล่นต่อไปท่ามกลางท้องทะเลที่เงียบสงบ ทุกอย่างเงียบเชียบ มีดวงอาทิตย์แผ่รัศมีอยู่เบื้องบน แล้วลมก็หายไป ทุกอย่างหยุดนิ่งราวกับเป็นภาพวาด มีน้ำอยู่รายล้อม แต่พวกลูกเรือหามีน้ำสักหยดที่ดื่มได้ไม่ กะลาสีเรือเฒ่าสาปแช่งสิ่งมีชีวิตที่เขามองว่าน่าขยะแขยงที่แหวกว่ายและคืบคลานอยู่ในท้องทะเล ในขณะที่ความร้อนก็ยังคงแผดเผาน้ำทะเลโดยรอบต่อไป ในความฝัน เขาก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นภาพดวงวิญญาณจากแดนหนาวที่ติดตามเขาอยู่ใต้ท้องทะเล ในที่สุดบรรดาลูกเรือทั้งหลายก็ขาดน้ำกันเสียจนลิ้นบวมพองไม่สามารถพูดได้ และกะลาสีเรือเฒ่าก็แขวนซากนกอัลบาทรอสไว้รอบคอตนแทนไม้กางเขนเพื่อเป็นบทลงโทษจากความผิดที่ได้กระทำลงไป

(ภาพประกอบ วาดโดย Gustve Doré x)

เมื่อเวลาผ่านไป กะลาสีเรือก็เห็นเรือลำหนึ่งแล่นมาหาจากทิศตะวันตก เมื่อเข้ามาใกล้ก็พบว่าบนเรือมีเพียงคนสองคน คือสตรีนางหนึ่งกับคนที่เขาคิดว่าเป็น “ความตาย” ทั้งสองนั้นเล่นทอยลูกเต๋ากันอยู่และสตรีนางนั้นก็ประกาศว่าตนเป็นฝ่ายกำชัย ก่อนที่จะผิวปาก ทำให้ดวงอาทิตย์หายไป แสงดวงจันทร์จางๆขึ้นมาแทนที่และไร้แสงดาวเว้นแต่เพียงดวงเดียว จากนั้นบรรดาลูกเรือทั้งหลายก็หันมามองหน้ากะลาสีเรือเฒ่าประหนึ่งว่าจะสาปแช่งทีละคน ๆ ก่อนที่จะทิ้งร่างลงกับพื้น ดวงวิญญาณหลุดรอดผ่านร่างของกะลาสีเรือไปประหนึ่งว่าเป็นลูกดอกหน้าไม้!

(ภาพประกอบ วาดโดย Gustve Doré x)

แขกงานแต่งงานกล่าวด้วยความเป็นห่วงว่าร่างกายของกะลาสีเรือเฒ่านั้นผ่ายผอมและดูแก่ชราเสียเหลือเกิน แต่กะลาสีเรือก็ยืนยันกับแขกหนุ่มว่า ไม่ต้องกลัว เพราะร่างนี้ไม่มีวันล้ม (This body dropt not down) ก่อนที่จะเล่าเรื่องต่อว่า หลังจากนั้น เขาก็มีชีวิตรอดอยู่คนเดียวบนเรือ ในขณะที่พวกพ้องตายหมด เหลือแต่เพียงเขากับสัตว์ทะเลน่ารังเกียจที่อยู่รายล้อมเรือ เขาพยายามสวดภาวนาต่อสวรรค์แต่ก็ได้ยินแต่เพียงเสียงกระซิบจากภูติ ส่วนร่างของลูกเรือคนอื่นนั้นก็ไม่ได้เน่าสลายไป ดวงตาของพวกเขายังคงเบิกค้างและจับจ้องกะลาสีเฒ่า เป็นเวลา 7 วัน 7 คืนที่เขาต้องเผชิญกับคำสาปของคนตาย ในขณะที่ตัวเองนั้นไม่อาจตายได้ คืนแล้วคืนเล่าผ่านไป จนคืนหนึ่ง กะลาสีเรือเฒ่ามองเห็นงูทะเลลอยอยู่บนคลื่นภายใต้แสงจันทร์ แล้วเขาก็สำเหนียกในความงามของพวกมัน และก็อวยพรต่อพวกมันในใจ ทันใดนั้นเองที่เขารู้สึกว่าตนเองสามารถสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าได้อีกครั้งและซากของนกอัลบาทรอสที่แขวนอยู่รอบคอเขานั้นก็พลันคลายออกและร่วงลงทะเลไป

(ภาพประกอบ วาดโดย Gustve Doré x)

จากนั้นกะลาสีเรือก็ได้หลับใหลไป สายฝนโปรยปรายลงจากท้องฟ้าเป็นน้ำให้เขาได้ดื่มกินและร่างของพวกลูกเรือคนอื่นก็ลุกขึ้นและนำหน้าที่ควบคุมเรือต่อไป กะลาสีเรือกล่าวปลอบแขกงานแต่งงานที่หวาดกลัวว่า วิญญาณที่อยู่ในร่างของลูกเรือนั้นมิใช่ดวงวิญญาณของพวกเขา แต่เป็นวิญญาณฝ่ายดีที่มาช่วยเหลือเขา เพราะพวกเขาขับขานบทเพลงที่ไพเราะ อันเป็นได้เพียงบทเพลงจากหมู่เทวดาเท่านั้น เรือแล่นต่อไป ถึงแม้ว่าไม่มีลมพัดก็ตาม เป็นเพราะวิญญาณจากแดนหนาวที่อยู่ใต้ท้องทะเลต่างหากที่เป็นผู้ขับเคลื่อนเรือไป แล้วอยู่ๆเรือก็หยุดลงกระทันหันทำให้กะลาสีเรือล้มลงไปกับพื้นและสิ้นสติ ในห้วงเวลาดังกล่าวนั้น เขาได้ยินเสียงสองเสียงทุ่มเถียงกัน เสียงหนึ่งถามว่า ใช่ชายผู้นี้หรือ เห็นแก่พระผู้สละชีพบนไม้กางเขน  ที่เป็นคนยิงลูกศรใส่นกอัลบาทรอสที่ไร้พิษภัย ดวงวิญญาณที่พำนักอยู่ ณ แดนหนาวเหน็บนั้นเขารักนกตัวนั้น นกตัวที่รักชายผู้ที่สังหารตน เสียงอีกเสียงหนึ่งที่อ่อนโยนฟังแล้วประหนึ่งว่าเป็นหยดน้ำผึ้งกล่าวตอบว่า เขาได้ชดใช้บาปของตนแล้ว และจะต้องชดใช้อีก

เสียงแรกกล่าววิงวอนให้เสียงที่สองแถลงไขว่าเหตุใดเรือจึงได้แล่นฉิว เกิดอะไรขึ้นกับมหาสมุทร  เสียงที่สองจึงตอบว่า มหาสมุทรนั้นก็ยังเป็นทาสรับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า และหวังพึ่งให้ดวงจันทร์ที่มีเมตตาต่อกะลาสีเรือนักเป็นผู้นำทางบอกแก่มหาสมุทรว่าควรทำเช่นไร ดังที่นางนำทางเขาเสมอมาตลอดทุกช่วงเวลา เสียงแรกได้ยินดังนั้น จึงถามต่อไปอีกว่า ฉะนั้นเหตุใดเมื่อไม่มีลมหรือคลื่น เรือจึงแล่นไปได้อย่างรวดเร็ว เสียงที่สองจึงตอบว่า เรือจะแล่นไปเช่นนี้จนกว่ากะลาสีเรือจะฟื้นและเร่งให้ทั้งสองรีบขึ้นสวรรค์ก่อนที่จะล่าช้า จากนั้นกะลาสีเรือก็ฟื้นสติ เรือยังคงแล่นต่อไป จนกระทั่งยามกลางคืน จนกระทั่งถึงตอนนี้ คำสาปของพวกลูกเรือก็ยังคงไม่หายไป ดวงตาของกะลาสีเรือก็ยังถูกยึดโดยดวงตาเบิกโพลงของพวกลูกเรือ มิไม่เงยหน้าขึ้นมองสวรรค์และสวดอ้อนวอนได้ จนกระทั่งวินาทีนั้นที่เขาสามารถหันไปมองท้องทะเลและรอบตัวได้ และแล้วลมก็พัด พาเอาเรือและตัวกะลาสีเคลื่อนต่อไปจนกระทั่งเขาเห็นประภาคาร อ่าวเรือและดินแดนที่จากมา เมื่อเขาหันกลับมามองดาดฟ้าเรืออีกครั้งก็พบว่าร่างของลูกเรือทุกคนลงไปกองกับพื้นอีกครั้งและเหนือร่างเหล่านั้นมีร่างของเทวดายืนอยู่ พวกเขามิได้เอ่ยคำใด แต่สำหรับกะลาสีเรือเฒ่าความเงียบนั้นประหนึ่งเสียงดนตรีที่ปลอบประโลมจิตใจ พลันเขาก็ได้ยินเสียงฝีพายและเสียงกัปตันเรือลำอื่นดังกระทบโสต และภาพเรือกำลังค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ กะลาสีรู้สึกยินดีเป็นล้นพ้น ก่อนที่จะได้ยินเสียงฤาษีในป่ากล่าวสรรเสริญพระเจ้า เสียงนั้นลบล้างเลือดนกอัลบาทรอสออกไป

(ภาพประกอบ วาดโดย Gustve Doré x)

กะลาสีเรือได้ยินเสียงคนในเรือบดโต้ตอบกับฤาษีเรื่องเรือของเขา กล่าวว่าเป็นเรือที่รูปลักษณ์แปลกยิ่งนัก ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นสิ่งชั่วร้าย แต่กระนั้นฤาษีก็ยังบอกให้พวกเขาเร่งพายต่อไป เมื่อเข้าใกล้เรือ จู่ๆก็มีคลื่นน้ำเกิดขึ้นและกลืนเรือลำที่กะลาสีเรือเฒ่าอยู่ลงไป ทิ้งให้ร่างของเขาลอยอยู่เพียงอย่างเดียว ไม่ช้านาน พวกนั้นก็ช้อนร่างเขาใส่เรือบด พอบรรดาคนทั้งหลายเห็นว่ากะลาสีเรือเฒ่ายังมีชีวิตก็ตกอกตกใจทำอะไรไม่ถูก เขาจึงฉวยไม้พายจากมือพวกนั้นและลงมือพาพวกเขาเข้าฝั่งเสียเอง เมื่อขึ้นฝั่งได้ ฤาษีก็ไต่ถามด้วยความเคร่งเครียดว่า กะลาสีเรือเป็นใคร  เมื่อได้ยินดังนั้นเขาจึงรู้สึกโศกเศร้าเป็นล้นพ้นและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง หลังจากเล่าจบแล้ว เขาก็รู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง  นับตั้งแต่นั้นมา กะลาสีเรือก็จำต้องร่อนเร่ไปแต่ละดินแดนเพื่อเล่าเรื่องราวของตน มิฉะนั้นเขาจะรู้สึกเจ็บปวดอยู่เนื่องๆ ความเจ็บปวดดังกล่าวนั้นจะปลดเปลื้องเมื่อเขาเล่าเรื่องของตนเท่านั้น กะลาสีเรือเฒ่าได้รับพรสวรรค์ในการพูดได้หลายภาษา และเมื่อใดก็ตามที่เขาเห็นหน้าใคร เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าใครควรได้รับฟังเรื่องเล่าที่เขาจำต้องสอนนี้ แขกงานแต่งงานได้ยินเสียงสังสรรจากงานเลี้ยง แต่กระนั้นก็ฟังกะลาสีเฒ่าคร่ำครวญต่อไป ว่าชายชราผู้นี้ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวท่ามกลางท้องทะเล เดียวดายยิ่งกว่าพระองค์ท่านยิ่งนัก สำหรับเขาแล้ว การมีเพื่อนเดินไปโบสถ์ มันยังหวานหอมยิ่งกว่าเข้าร่วมงานเลี้ยงแต่งงานยิ่งนัก กะลาสีเรือเฒ่ากล่าวลาแขกงานแต่งงานโดยกล่าวทิ้งท้ายว่า จงรักทั้งมนุษย์ นกและสัตว์อื่น จงรักทั้งสิ่งเล็กและใหญ่ด้วยพระเจ้าผู้รักเรานั้นเป็นผู้สร้างและมอบความรักให้กับทุกสรรพสิ่ง จากนั้นกะลาสีเรือผู้มีดวงตาสุกสกาวและเคราขาวตามวัยที่แก่ชราก็ลาจาก ส่วนแขกงานเลี้ยงนั้นก็เบือนหน้าหนีจากประตูบ้านเจ้าบ่าว เขาเดินประหนึ่งคนงงงันและรู้สึกเปลี่ยวเหงายิ่งนัก กลายเป็นคนผู้เศร้าศร้อยแต่ก็ฉลาดขึ้น ที่ลุกขึ้นตื่นในยามเช้า

(ภาพประกอบ วาดโดย Gustve Doré x)

นักวิจารณ์บางท่านมองว่าเรื่องของกะลาสีเฒ่ากับนกอัลบราทอสนั้นเป็นการเขียนเหตุการณ์ที่อดัมและอีฟถูกขับไล่ออกจากสวนอีเดน เหมือนดังเช่นที่ จอห์น มิลตัน (John Milton) เขียนเรื่อง สวรรค์ลา (Paradise Lost) เปรียบเทียบว่ากะลาสีเรือนั้นก็เหมือนกับอดัมที่ทำบาปมหันต์ นั่นคือ มีความอยากรู้อยากเห็น เพราะอดัมในเรื่องสวรรค์ลานั้น “เลือก” ที่จะกินผลจากต้นแห่งความรู้ด้วยตนเอง ในขณะที่กะลาสีเรือเฒ่าก็เลือกที่จะฆ่านกอัลบาทรอสเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็น หรือเพียงเพราะ “สามารถทำได้” หรือบ้างก็คิดว่าเรื่องราวนี้เป็นเพียงตัวแทนของแซมมวล เทย์เลอร์ เคเลอริดจ์เสียเองที่รู้สึกสิ้นหวังและเข้ากับใครไม่ได้ นอกจากนี้เรื่องยังสะท้อนแนวคิดเรื่องการทำลายธรรมชาติที่ทำให้กะลาสีเรือเฒ่าและลูกเรือถูกลงโทษ และเมื่อเขาเห็นคุณค่าของธรรมชาติอีกครั้ง จากการที่อวยพรให้งูทะเลเท่านั้นจึงได้รับการให้อภัย แต่กระนั้นก็ยังมีลักษณะเหนือธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นการสะกดจิตแขกงานแต่งงาน เรือปีศาจ หรือบรรดาลูกเรือและวิญญาณต่างๆ เป็นที่ยอมรับกันว่า แม้ว่าจะได้รับการให้อภัย แต่กะลาสีเรือนั้นก็ต้องมีชีวิตชั่วนิจนิรันดร์เพื่อเล่าเรื่องราวของตนให้ผู้อื่นฟังเป็นการสอนใจ (สามารถอ่านบทกลอนต้นฉบับทั้งหมดนอกเหนือไปจากที่ผู้เขียนแปลคร่าวๆทั้งเรื่องได้ที่นี่ x)




Create Date : 01 มิถุนายน 2558
Last Update : 2 มิถุนายน 2558 11:33:54 น.
Counter : 2107 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

What I want I cannot have
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]