Singapore Last Year : Part VII
ความเดิมตอนที่แล้ว
ตะลุยเล่นเครื่องเล่นที่ว่า "หนัก" ที่ว่า "โหด" เก็บได้เกือบครบนั่นแหละ เวลายังเหลือก่อนจะถึงคิวพาเหรดช่วงเย็น และเรามีบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ที่ได้จากการซื้อบัตรผ่านประตูออนไลน์ อย่ากระนั้นเลย ...ทริปนี้ยังไม่ได้เข้าพิพิธภัณฑ์สักแห่ง ...ก็ไปเข้าชมซะ
จัดแสดงได้ชวนติดตามให้เรียนรู้มากเลย ควรเริ่มจากจุดกึ่งกลางห้องที่วางเบาะให้นอนเอนๆ ชมวิดีทัศน์กันก่อน แล้วจึงค่อยๆ เดินชมนิทรรศการ อ่านเรื่องราว ชมสิ่งจัดแสดงแบบจับต้องได้
ส่วนที่ห้ามจับต้อง ก็จัดแสดงไว้ในตู้โชว์ เป็นเรื่องธรรมดาอ่ะนะ
เรื่องราวจะนำเสนอเส้นทางการค้าขายระหว่างประเทศต่างๆ กับเกาะสิงคโปร์ โดยเสนอ "เนื้อหา" ประกอบหุ่นจำลอง สินค้าจำลอง และผู้ชมก็สนุกสนานกับการประทับตราในพาสสปอร์ตที่ระลึก แต่ละจุดที่ชมผ่านไป บางส่วนก็มีมุมประดิษฐ์ประดอยไว้ให้เด็กๆ ได้ร่วมสนุกกับผู้ปกครอง
เราว่าวิธีนี้ ช่วยให้เยาวชนสนุกสนานกับเรื่องในอดีต ชวนให้เกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์สำหรับผู้ใหญ่ที่หวนหา "อดีต"
จบชั้นบน เส้นทางบังคับให้ลงบันไดเลื่อนไปชั้นล่าง เสมือนเดินลงไปห้องเก็บสินค้าใต้ท้องเรือสำเภา
สิ่งจัดแสดงในส่วนนี้ นอกจากเป็นหุ่นจำลองสินค้าและสัตว์ต่างๆ ที่เคยแลกเปลี่ยนขนส่งทางทะเล ยังมี "โบราณวัตถุใต้น้ำ" จัดแสดงด้วย ...ซึ่งมีเครื่องกระเบื้องสังคโลกจากไทยด้วย มีหุ่นขี้ผึ้งจำลองเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ตอนหนึ่งของเกาะสิงคโปร์ ซึ่งเราจำไม่ได้แล้วว่าเป็นเหตุการณ์อะไร
และแน่นอน ส่วน "ขาย" สินค้าที่ระลึก ก็อยู่ในพื้นที่นี้ด้วย แต่มีการจัดแสดง "น่าหยิบ น่าจับ น่าซื้อ"
เรียนรู้ประวัติศาสตร์อย่างสนุกสนาน สมใจ ...ก็ย้อนกลับเข้ามาใน Universal Studio อีกครั้ง ได้เวลามีโชว์ที่โรงละครในโซน Hollywood ซึ่งเมื่อตอนเช้า เราเดินแบบผ่านๆ
Monster Rock เป็นแบบไหน ...เข้าไปจับจองที่นั่งในโรงละครกันเลยดีกว่า พอได้เวลาม่านเปิด เราก็ได้พบกับ "ปีศาจ" นานาชนิดออกมาร้องรำทำเพลง ประกอบเสียงสีและเทคนิคตระการตา เป็นโชว์ที่สนุกและมันส์ดี ออกมาด้านนอกก็มาเจอะสาวเสิร์ฟ ร้องเพลงเรียกแขก น่ารักเหมือนตุ๊กตาเลย ยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาอีกที ยังไม่ถึงเวลาพาเหรด และผู้คนยังคงเดินกันขวักไขว่ .... เปลี่ยนใจ กลับเข้าเมืองกันเลยดีกว่า เพราะเริ่มหิวกันแล้ว ... อยากพาน้องไปดู "น้ำพุ" ที่ตึกซันเทค ...ก็นั่งรถไฟฟ้า จาก Vivo City แล้วก็ไม่รู้ จำไม่ได้ ...เหมือนจะลงผิดสถานีกัน แบบว่า "ไม่แม่นแผนที่"
ถ้าไม่เป็นเพราะขึ้นรถผิดขบวน ก็คงต้องลงผิดสถานีเป็นแน่แท้ เราดูแผนทีกระดาษในมือ น้องเปิด google map ใน iPhone ใจเริ่มไหวหวั่น แต่ยังไม่รู้ตัว ...พากันเดินตามเส้นทางที่เทคโนโลยีบอก แต่เดินไปก็เอะใจว่า ทำไมมันถึงไม่เห็นตึกที่คุ้นเคย
ผ่านตึกที่ไม่คุ้น ชื่อถนนยังคุ้นอยู่ เพราะยังปรากฎในแผนที่ ไม่กล้ากระโตกกระตากให้น้องรู้ "หลงทางแหงๆ " เราคิดในใจ และเก็บอาการไหวหวั่นเอาไว้ น้องก็เช็คบน google map "ทางนี้แหละพี่"
จนกระทั่งเริ่มห่างแสง สี และอาคาร ย่านการค้า เข้าสู่ย่านที่พักอาศัย ยอมรับความจริงกันเถอะว่า "หลงทาง" ...เราดูแผนที่กระดาษ น้องดูแผนที่เทคโนโลยี แต่ก็พากันเดินไปด้านตรงข้าม ....แผนที่ไม่ผิด เทคโนโลยีไม่ผิด ผิดที่ "คนใช้ไม่แม่นเส้นทาง" นั่นแหละ
หยุดเดิน แล้วหันมาสนใจกับป้ายบอกสายรถเมล์ จิ้มกันไป หารือกันมา ก็มีชาวสิงค์โปร์ ส่งภาษาจีนเจรจา ด้วยใจที่อย่างให้ความช่วยเหลือ สาวหลงทาง 2 คน ยิ้มรับอย่างยินดี แต่เจรจาตอนด้วยภาษาอังกฤษ พร้อมกับกางแผนที่กระดาษ จุดหมายคือ อยากมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ้าที่ใกล้ที่สุด ไปตั้งหลักตรงนั้น ก็กลับที่พักได้เอง
ส่งภาษาอังกฤษกับภาษามือ กับคู่สนทนาที่เจรจาภาษามือกับภาษาจีน ก็ได้รู้สายรถเมล์ที่ต้องขึ้น ขอบคุณน้ำใจไมตรี ...รถเมล์สายที่ต้องการมาจอดเทียบ .... บอกจุดหมายปลายทางที่ต้องการกับคนขับ ....พอถึงป้ายที่ต้องลง ..ก็ไม่ผิดทางอีกแล้ว
ในที่สุดก็กลับถึงสถานี Alkjuned ....กินมื้อเย็นตอนเกือบห้าทุ่ม ที่ร้าน Ananas เจ้าเดิม
เป็นอันจบการผจญภัยในวันที่ 3 ...ถึงที่พักโดยสวัสดิภาพทั้งกายและใจ
โปรดติดตามตอนต่อไป
Create Date : 17 กรกฎาคม 2556 |
Last Update : 17 กรกฎาคม 2556 23:40:01 น. |
|
3 comments
|
Counter : 1470 Pageviews. |
|
|
|
ไปดูเอนทรี่เก่ามาพวกเครื่องเล่นนี่สมควรเล่นให้หมดครับ ไหนๆ ก็มาแล้ว
การที่ฝนตกถือเป็นเรื่องที่ทำให้เซ็งจริงๆ เนื่องจากทำให้การเดินทางลำบาก ยังทำให้เปียกเละอีกด้วย ไม่ว่าเมืองไทยหรือต่างแดนผมไม่ชอบบรรยากาศตอนฝนตกเลย
เห็นบรรยากาศตอนกลางคืน คิดๆ ไปแล้วเสียดายเหมือนกันที่ตอนที่ไปไม่ได้สัมผัสบรรยากาศยามค่ำคืนเท่าไหร่นัก