เยือนพระราชวังพญาไท ชมงานศิลป์
กำลังเร่งมือทำรูปและ up blog เรื่องราวที่ค้างคาข้ามปี สำหรับเรื่องราวต่อไป คือ สิ่งที่ได้ชมเมื่อ วันที่ 5 สิงหาคม 2555
วันนั้น เป็นวันเสาร์ที่จะมีกิจกรรมพิเศษด้านศาสนาใช้ช่วงบ่าย และเนื่องจากสถานที่จัดงานอยู่ในบริเวณเดียวกับ "พระราชวังพญาไท" เราจึงจัดเวลาเดินทางไปซะตั้งแต่เช้า เพื่อเข้าชมวังนี้ซะก่อน เรารู้มาว่าที่วังนี้ มีชมรมคนรักวัง ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่พานำชมด้วย ก็เลยออกจากบ้านแต่เช้าๆ เพราะเป็นเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย มาตั้งต้นกันที่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก่อนเลย นัดกันกับเพื่อนบล๊อค น้องชาย "ชรันจ์" เอาไว้ เขาเคยมาแล้ว คงจะไม่พาเราหลงทางหรอกนะ
พอเจอกันน้องชายก็พาเดินไปตามถนนราชวิถี แวะกินข้าวเช้ากันที่ท้อป แล้วเดินต่ออีกนิดนึง ก็เข้าสู่เขตโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ....แล้วเราก็เห็นอาคารสวยงามตั้งเด่นเป็นสง่า นี่คือ พระราชวังพญาไท แน่แล้ว
ตามประวัติจากวิกิพีเดีย เล่าว่า วังพญาไท เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เพื่อใช้เป็นที่เสด็จทอดพระเนตรการทำนา การปลูกผักและการเลี้ยงสัตว์ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างตำหนักเป็นที่ประทับ ส่วนพื้นที่ด้านตรงข้ามกับพระตำหนัก โปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ทำนา รวมทั้ง โรงนา ขึ้นเพื่อประกอบพระราชพิธีแรกนาขวัญหลายครั้ง ณ วังพญาไท แต่ประทับอยู่เพียงไม่นานก็สวรรคต ต่อมา ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงประทับร่วมด้วยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง ซึ่งประทับอยู่จนกระทั่งสวรรคตในปีพ.ศ.2463 หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงรื้อพระตำหนักพญาไท เหลือไว้เพียงพระที่นั่งเทวราชสภารมย์ ซึ่งเป็นท้องพระโรง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งใหม่หลายพระองค์ด้วยกัน และสถาปนาวังเป็น พระราชวังพญาไท
เราเดินถ่ายรูปไปพลางๆ ระหว่างรอเวลาเริ่มการนำชมโดยอาสาสมัคร ซึ่งก็มีกลุ่มผู้สนใจเที่ยวชมวัง ทะยอยกันเดินทางมาลงทะเบียน เพื่อร่วมชมในรอบเช้าหลายคนที่เดียว
พอได้เวลาอาสาสมัครก็พาเข้าชมห้องแรก ซึ่งให้ชมวิดีทัศน์บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวังและท่านเจ้าของวังสั้นๆ แล้วจึงพานำชมภายในอาคารห้องต่างๆ
พระราชวังพญาไท ยังเคยเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และเป็นที่พำนักของ พระสุจริตสุดา พระสนมเอกด้วย
ภายในห้องต่างๆ ในพระที่นั่งนี้ ไม่ค่อยมีสิ่งประดับตกแต่งเหลืออยู่นัก บางห้องก็อยู่ระหว่างบูรณะปรับปรุง ซึ่งค่อยๆ ทำไปตามกำลังทรัพย์ที่มี สิ่งที่เราได้เห็นและชอบมากในทุกๆ ห้อง คือ การเขียนภาพด้วยเทคนิคปูนเปียกแบบตะวันตก ภาพเขียนสีน้ำมันบ้าง ภาพเขียนลวดลายดอกไม้บ้าง ภาพเขียนลายพระปรมาภิไธยบ้าง ที่ตกแต่งตามเพดาน ผนัง กรอบประตู กรอบหน้าต่าง แหงนหน้ามอง เล็งกล้องจนเมื่อคอ แต่ก็พยายามเก็บความงามกลับมาให้ได้มากที่สุด
จากพระที่นั่งหนึ่ง มายักอีกพระที่นั่งหนึ่งนั้น มีระเบียงเชื่อมต่อกัน ชื่อพระที่นั่งก็สละสลวยคล้องจองกันดีเหลือเกิน คือ ไวกูณฐเทพยสถาน พิมานจักรี ศรีสุทธนิวาส เทวราชสภารมย์ อุดมวนาภรณ์ สมกับที่รัชกาลที่ 6 ทรงเป็นเอกกวีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์จริงๆ
เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ ที่ยังคงตั้งวางไว้ประจำห้อง - อย่างเดิม
นอกจากงานเขียนประดับผนังจะสวยแล้ว งานไม้แกะสลักตามประตูหน้าต่างก็งามเช่นกัน
ดูแล้วได้แต่ทอดถอนลมหายใจ หวังใจว่า "ชมรมคนรักวง และมูลนิธิอนุรักษ์พระราชวังพญาไท" จะมีงบประมาณสนับสนุน มาช่วยบูรณะปฏิสังขรณ์พระที่นั่งต่างๆ ให้ค่อยๆ เผยความงดงามที่เคยมีแต่ดั่งเดิมให้คืนความสดใสขึ้นมา
จากพระที่นั่งประธาน องค์ใหญ่ พวกเราเดินตามอาสานำชม มาถึงพระที่นั่งองค์เล็ก ที่รู้สึกชอบใจในความกระทัดรัดตั้งแต่มองลงมา พระที่นั่งองค์นี้ เป็นที่ประทับทรงเครื่องใหญ่ (ตัดใหญ่) มีห้องอาบน้ำ ทีใช้เทคนิคดึงน้ำจากในสระมาใช้งานด้วย
ฟังวิทยาการอาสาเล่าเรื่องราวครั้งรัชกาลที่ 6 ประทับที่นี่ แล้วก็เข้าไปดูด้านใน ถ่ายรูปมุมต่างๆ กันอย่างสนุกสนาน ระคนทึ่งในการผสมผสานการใช้งานด้วยเชิงวิศวกรรม กับการตกแต่งในเชิงสถาปัตยกรรมได้อย่างลงตัว
ถัดมาก็เดินอ้อมหลังพระตำหนักใหญ่ มาชมสวนโรมัน ที่เป็นที่จัดแสดง "ดนตรีในวัง" หลายปี ซึ่งเราได้แต่เห็นผ่านภาพข่าวสังคม
ที่เรียกว่า "สวนโรมัน" ก็เพราะมีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโรมัน แล้วก็มีตุ๊กตาหินอ่อนแบบโรมันตั้งประดับตามมุมต่างๆ เงยหน้าขึ้นมองเพดานโดมด้านบน ก็มีการเขียนภาพแบบปูนเปียกอยู่ด้วย
รู้สึกละลานตาไปซะทุกมุม ...ชอบจริงๆ คงมีสักวัน ที่เราได้ซื้อบัตรมาชมดนตรีในสวนโรมันแห่งนี้บ้าง
ในสมัยรัชกาลที่ 7 นั้น โปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟหลวงปรับปรุงพระราชวังพญาไทเป็นโรงแรมชั้นหนึ่งสำหรับให้ชาวต่างประเทศพัก เปิดเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2468 ตามพระราชประสงค์ในรัชกาลที่ 6 ที่จะพระราชทานพระราชวังแห่งนี้ให้เป็นโฮเต็ลชั้นหนึ่งของประเทศ ตั้งแต่มีพระราชดำริจัดงานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ เพื่อพัฒนาการพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ระหว่างนั้น ได้มีการใช้พระราชวังพญาไทได้เป็นที่ตั้งของสถานีวิทยุกระจายเสียง วิทยุแห่งแรกของไทย ออกอากาศเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2473 กรมรถไฟดำเนินการโรงแรมวังพญาไทได้ 6-7 ปีก็เลิกกิจการเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2475 เนื่องจากคณะราษฎรต้องการนำวังพญาไทสร้างโรงพยาบาลทหาร จึงพระราชทานวังนี้ให้เป็นสถานพยาบาล ของกองทัพบก และเปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้ามาจนปัจจุบัน
บรรยายกาศแบบโฮเต็ล ยุคนั้น เข้าไปดูได้ที่ "ร้านกาแฟนรสิงห์" ซึ่งได้แต่เดินเข้าไปแลๆ ไม่มีโอกาสนั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศและรสชาติกาแฟที่นี่เลย เพราะต้องไปชมพระที่นั่งต่อไป
พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ มีบรรยากาศเหมือนโรงละครไม่มีผิด สมเด็จพระพันปี เคยประทับที่พระที่นั่งนี้ จึงอักษรประทับย่อ เขียนไว้
เฮ้อ.... ถอนใจอีกที พระราชวังแห่งนี้ มองตรงไหน ก็งดงามด้วยฝีมือช่างเขียนจิตรกรรมจริงๆ นะ และเป็นการเขียนลวดลายตกแต่งแบบอย่างฝรั่งตะวันตก ที่เอาภาพไทยเข้าไปผสมได้อย่างเหมาะเจา่ะ
วิทยากรบอกว่า อาคารสีน้ำตาลเล็กๆ ที่เป็น "บ้านนก"
กลับเข้ามาภายในพระที่นั่งประธาน ห้องโถงกลาง ได้นั่งฟังบรรยายในห้องแอร์เย็นๆ กันบ้าง วันที่เราไปนั้น โชคดีที่ คุณจุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา ประธานชมรมสยามทัศน์ มาเป็นวิทยากรอาสาพอดี วันนั้นก็เลยได้ฟังเรื่องเล่า เคล้าตำนาน และพงศาวดารกระซิบ หลายเรื่องที่เดียว
คนอื่นๆ ก็นั่งฟัง นั่งพักไป ส่วนเราพอหายเมื่อย ก็ใช้วิธีเดินฟัง ถ่ายรูปลวดลายประดับต่างๆ ไปเรื่อย ก็ชอบอ่ะนะ
สังเกตดีๆ ลายริบบิ้นที่เห็น คือ "ร.ร." อักษรพระนามย่อนะจ๊ะ
ฟังจบเรื่องนึง ก็เดินต่อ ไปชมห้องต่างๆ บนพระที่นั่งกันอีก ทุกห้อง จะมีการเขียนลายให้แตกต่างกันไป ซึ่งเราจำไม่ค่อยได้แล้วนะว่า ห้องไหน ลายอะไร ที่แปะๆ ลายไว้ข้างบนนั้น ก็มาจากหลายๆ ห้อง หลายๆ จุด
ลายมังกรบนเพดาน ดูเหมือนว่าจะอยู่ใน "ห้องจีน"
ห้องบนสุดตรงบริเวณหอคอยหลังคาสีแดงนั้น เป็นห้องทรงพระอักษร บทละครและวรรณคดีหลายเรือง เกิดขึ้นภายในห้องนี้แหละ
แล้วก็เป็นจุดสุดท้าย ที่วิทยากรนำชมมาจนครบถ้วน อิ่มเอมกับความงดงามของลวดลายศิลปิน และเต็มอิ่มกับเรื่องราวความรู้ทางประวัติศาสตร์ ลงมาถึงห้องจำหน่ายของที่ระลึก ก็มีหนังสือพระราชนิพนธ์ หรือหนังสือที่ระลึก จำหน่ายด้วย เราก็เลือกเรื่องที่ชอบ กลับมาด้วย 2-3 เล่ม เพราะรายได้จากการจำหน่ายหนังสือ ก็ปันไปปันไปสบทบทุนบูรณะพระราชวังด้วย
สำหรับพระราชวังแห่งนี้ เราคงต้องแวะไปเยื่อนอีกครั้ง เพราะติดใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อยากถ่ายรูปไว้ เพราะเราถือว่า เป็น "บันทึก" ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง วันเวลาเดินหน้าไป เมื่อย้อนกลับมาดูจะได้มีหลักฐานเทียบเคียงหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง
นี่ก็ผ่านมาเกือบ 2 ปีแล้วนะ .....น่าจะได้เวลาย้อนกลับไปทบทวนความทรงจำ อีกครั้ง
ปล. อ่านประวัติพระราชวังพญาไท >> ที่นี่
Create Date : 13 มีนาคม 2557 |
Last Update : 13 มีนาคม 2557 23:49:33 น. |
|
7 comments
|
Counter : 3902 Pageviews. |
|
|
|
ถ้ามีโอกาสต้องไปดูสักครั้ง เดินทางสะดวกด้วยสำหรับที่นี่