1 2 3
4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24
25 26 27 28 29 30
:: ไฟ-ฝัน ::
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นไม้ดังเป็นจังหวะ ก้องสะท้อนอยู่ในความเงียบสงัด หญิงสาวร่างเล็กกระทัดรัดเดินช้าๆ ไปตามระเบียงไม้ เธอไม่ได้คิดหวั่นวิตกเลยแม้แต่น้อยว่า ขณะนี้เธอเดินอยู่บนอาคารไม้เก่านี้เพียงลำพัง แสงจันทร์ในคืนเดือนเพ็ญส่องสว่างทำให้มองเห็นบริเวณโดยรอบได้อย่างกระจ่างชัด สายลมเย็นยามค่ำคืนช่วยทำให้กระไออากาศร้อนที่ลอยตัวขึ้นจากผืนซีเมนต์ มากระทบผิวกายบรรเทาเบาร้อนลง ความคิดคำนึงของเธอวนเวียนอยู่กับหัวข้อการประชุมเมื่อเย็นที่ผ่านมานี้เอง สมาคมผู้ปกครองเสนอให้โรงเรียนสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ และเพิ่มจำนวนอุปกรณ์การเรียนที่ทันสมัยให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่นักเรียนของเราในรุ่นต่อๆ ไป ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ จึงตัดสินใจที่จะรื้ออาคารไม้ทางด้านหลังทิ้ง แล้วใช้พื้นที่นั้นสร้างตึกสามชั้น ให้เป็นห้องสมุด ห้องโสต และห้องประชุม แบบของอาคารและผู้รับเหมาก่อสร้างก็เลือกได้แล้ว อีกสองสัปดาห์จะเริ่มทำการรื้อถอน ส่วนห้องพยาบาลและห้องเรียน 6 ห้องนั้น จะย้ายมาใช้ที่อาคาร 3 ทางด้านหน้านี้ หญิงสาวหยุดยืนอยู่หน้าห้องเรียนชั้น ป.4/1 เมื่อครั้งที่เธอเรียนชั้นประถมที่โรงเรียน เธอได้นั่งเรียนที่ห้องนี้เช่นกัน ภาพความทรงจำวัยเยาว์ย้อนผ่านเข้ามาให้ห้วงความคิดคำนึง ตั้งแต่วันแรกที่เธอเข้ามาเรียนที่โรงเรียนนี้ วันที่เธอได้ยืนหน้าชั้นเรียนในฐานะผู้ถูกเลือกให้เป็นหัวหน้าชั้น วันที่เธอยืนขึ้นบนเก้าอี้และถือไม้เรียวของครูประจำชั้นขู่เพื่อนๆ ที่ส่งเสียงดัง วันที่เธอได้รับเสียงปรบมือชื่นชมที่นำชื่อเสียงมาสู่โรงเรียน และภาพสุดท้ายที่เธอยืนหน้าห้องในฐานะครูประจำชั้น เที่ยวปิดเทอมกับครอบครัวแล้ว ก็อย่าลืมอ่านหนังสือทบทวนบทเรียน และทำการบ้านด้วยนะคะ พบกันตอนเปิดเทอม และครูหวังว่าจะได้รับสมุดการบ้านครบทุกคนนะคะ ไฟดับ ...ฉันยังไม่ได้เซฟงานเลย หมดกัน แค่ทดลองเขียนเท่านั้น สวรรค์ก็กลั่นแกล้งกันซะแล้ว ร้อยวันพันปี ไฟไม่ดับ จำเพาะต้องมาดับอะไรตอนนี้ด้วยนะ ฉันได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในใจคนเดียว ถ้าไม่คิดเกรงใจคนข้างบ้าน ฉันคงต้องร้องตะโกนออกมาดังๆ ให้ความขุ่นข้องหมองใจเบาบางลงบ้าง ปัง ปัง ปัง สาว หลับอยู่รึป่าว ลูก ตื่นได้แล้ว ตื่นเร็วๆ ลูก เสียงแม่ทุบประตู ดังขึ้นขัดจังหวะความหงุดหงิดของฉันขึ้น เอ๊ะ ทำไมต้องทุบด้วย ปกติ แค่เคาะประตูนี่นา ฉันค่อยขยับตัวก้าวสั้นๆ หลบกองหนังสือบนพื้นท่ามกลางความมืด คืนนี้มืดสนิทกว่าทุกคืน ไฟถนนก็ดับด้วยหรือนี่ ทุบประตูทำไมกัน แม่ เจ็บมือเปล่าๆ ฉันบอกเมื่อเปิดประตูออกไป สายตายังไม่ได้ปรับให้รับกับความมืดสนิท ฉันจึงไม่เห็นสีหน้าของแม่ แต่เรื่องที่แม่พูดออกมาในประโยคถัดไปนั้น ทำให้ฉันลนลานตามไปด้วย ไฟไหม้ ที่ซอยข้างๆ นี่เอง เก็บของสำคัญแล้วลงไปอยู่เป็นเพื่อนคุณย่าที่หน้าบ้านนะ ไฟไหม้ ไฟไหม้ ไฟไหม้ ตัวหนังสือและพล๊อตเรื่องสั้นในสมองฉันกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้ว ทั้งๆที่มันก็มีอยู่น้อยเต็มที ตอนนี้มีแค่คำสองคำ ลอยวนเวียนไปมา ของสำคัญ อ้อ ของสำคัญ แม่บอกให้เก็บของสำคัญ อะไรล่ะ ที่สำคัญ กระเป๋าสตางค์ บัตรเครดิต เงินก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว มันไม่สำคัญเท่าไหร่ มืดๆ แบบนี้จะหาเจอได้ยังไงกัน โน้ตบุ๊คสำคัญกว่า ใช้ทำมาหากินได้ ...ทั้งๆ ที่เรื่องสั้นเรื่องแรกของฉันหายวับไปกับตาเมื่อครู่นี้ แต่ฉันก็ยังเดินกลับไปที่โต๊ะ ถอดปลั๊กไฟ แล้วหอบตัวเครื่องกับอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ ไว้กับอก ค่อยๆ คลำ ทางไปในความมืดทำให้เท้าไปเตะเอากองหนังสือเข้าอีก เจ็บเท้า แต่นึกขึ้นได้อีกแล้วว่าของสำคัญของฉัน ยังกองอยู่มากมายในห้องนี้ หนังสือภายในห้องนอนขนาดกระทัดรัดของฉัน เรียงอัดไว้แน่นเอี๊ยดเต็มชั้นหนังสือแบบติดผนังที่พ่อบอกให้ช่างทำให้เป็นพิเศษสำหรับห้องนอนของฉัน หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ที่เคยอยู่ชั้นล่าง เพื่อสะดวกต่อการหยิบใช้อ้างอิงเมื่อครั้งทำรายงานส่งครู ตั้งแต่มัธยมต้นจนจบปริญญาตรี แล้วจึงย้ายขึ้นไปวางชั้นบนสุด หนังสือพจนานุกรมสารพัดสำนักที่ฉันขนซื้อมาไว้ใช้ทำงานแปลเอกสาร หนังสือวรรณคดีและวรรณกรรมทั้งใหม่และเก่า จัดแยกชั้นไว้เป็นหมวดหมู่ แล้วยังจะมีหนังสือของนักเขียนคนโปรดวางบนหัวเตียงอีก ทั้งหมดรวมกันก็น่าจะเกินกว่าหนึ่งพันเล่ม ฉันต้องขนลงไปให้หมด นี่คือของสำคัญ คือแรงบันดาลใจ คือความใฝ่ฝัน คือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของฉัน เมื่อตัดสินใจได้แล้ว จึงวางโน้ตบุ๊คลงบนเตียง แล้วหอบหนังสือบนหัวเตียงวางซ้อนๆ กันในอ้อมแขนเท่าที่จะรับน้ำหนักได้ ค่อยๆ พาตัวเองออกจากห้องนอน หาทางลงบันไดออกมายืนหน้าบ้าน เมื่อปรับสายตาให้เข้ากับแสงได้บ้างแล้ว ฉันจึงได้เห็นแสงไฟสว่างวาบๆ เมื่อมีลมพัดผ่านมาวูบหนึ่ง ตำแหน่งที่เกิดเหตุไฟไหม้อยู่ซอยถัดไป ไม่ไกลกันนัก เมื่อตารับภาพ หูก็รับเสียงได้ขึ้นมาทันที ...เสียงหวอรถดับเพลิงดังก้อง เสียงร้องตะโกนบอกเหตุและสั่งการจากคนบ้านใกล้เรือนเคียง และเสียงที่ได้ยินชัดถนัดหูที่สุด คือ เสียงสวดมนต์บนบานของคุณย่าข้างๆ กาย ฉันวางหนังสือกองแรกลงบนพื้นสนามข้างกายคุณย่า แล้วย้อนกลับขึ้นไปบนห้องอีกครั้ง หอบเอาหนังสือตั้งใหม่ลงมาวางกองไว้อีก ช่วงเวลานี้ ฉันไม่ได้สนใจเลยว่า พ่อกับแม่จะเก็บของอะไรอยู่ที่ไหน เสียงคนข้างบ้าน เสียงเจ้าหน้าที่บรรเทา สาธารณภัยร้องตะโกนอะไร ก็ผ่านหูฉันไปหมด ในสายตาของฉันมีเพียงแสงไฟที่พวยพุ่งขึ้นฟ้า กับกองหนังสือที่ฉันวิ่งขึ้นวิ่งลง หอบเอาลงมาวางกองไว้เท่านั้นเอง ทุกครั้งที่สายตาหันไปจับจ้องเปลวไฟ อุปทานเห็นว่ามันรุกลามใกล้ตัวเข้ามาทุกขณะ แรงฮึดที่วูบดับหายเมื่อตอนไฟดับ กลับคืนมาอีกครั้งเหมือนคิดไปเองว่า หนังสือทั้งหมดจะสูญสลายไปในกองเพลิง ทำให้ฉันยิ่งออกแรงวิ่งขึ้น วิ่งลง อย่างไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย จนกระทั่งเมื่อวางหนังสือตั้งสุดท้ายในอ้อมแขนลงบนพื้น ฉันก็หมดแรงนั่งลงกับพื้นหอบหายใจจนตัวโยน คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองด้วยเถิด ขอให้เค้าดับไฟกันได้เร็วๆ อย่าให้มาถึงซอยบ้านเราเลย เจ้าประคู้น สิ้นเสียงบนบานของคุณย่า ฉันก็ได้ยินเสียงดุๆ ต่อมาทันทีทันควัน นี่ แกขนหนังสือลงมาทำไมกัน ยัยสาว ถ้าเจ้าหน้าที่เค้าดับไฟไม่ทัน ยังไงเชื้อเพลิงพวกนี้ก็ไหม้ไฟหมดอยู่ดีนั่นแหละ น่าจะมาช่วยย่าสวดมนต์ คุณพระคุณเจ้าจะได้ช่วยคุ้มครอง ของสำคัญของสาวค่ะ คุณย่า หนังสือพวกนี้เป็นแรงบันดาลใจในการเป็นนักเขียนของหนูเลยนะคะ พจนานุกรมพวกนี้ก็เป็นเครื่องมือทำมาหากินของหนูด้วย หนูอยากเก็บรักษาไว้ให้ดีที่สุดค่ะ ฉันจับตามองมองเปลวไฟที่ลุกลามมายังปากซอยบ้านตัวเองด้วยใจที่เต้นกระหน่ำ ระรัวเร็วยิ่งขึ้น จนกลัวว่ามันจะหมดแรงหยุดเต้นไปเสียเฉยๆ เปลวไฟลุกแรงสูงขึ้น เมื่อได้ลมช่วยโหมกระหน่ำ ความฝันในการเป็นนักเขียนของฉันจะดับวูบไปเหมือนตอนไฟดับเลยหรือนี่ ฉันจะต้องวิ่งหนี เอาชีวิตรอด แล้วทอดทิ้งกองหนังสือ แรงบันดาลใจและความใฝ่ฝันของฉันไว้ในกองเพลิงกระนั้นหรือ ฉันจะทำอย่างไรต่อไปดี ความคิดวิ่งวนเวียนย้อนไปย้อนมาในหัวสมอง มันสับสนปนเปไปหมดแล้ว ทั้งกลัวตาย ทั้งเสียดายของ แต่ฉันทำอะไรไม่ถูก ฉันไม่เคยอ่านคู่มือการเก็บสมบัติเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ หนังสือแบบนี้มีใครเคยเขียนหรือยัง ฉันไม่รู้ ตอนนี้ฉันคิดอะไรไม่ออกแล้ว เฮ เจ้าหน้าที่ดับไฟได้แล้ว เสียงเฮด้วยความยินดี ดังรับกันมาเป็นทอดๆ จนมาเข้าหู ฉันรีบลุกขึ้นยืน เบิ่งตามองไปยังทิศทางที่เคยเห็นแสงไฟ ขณะนั้น เหลือเพียงกลุ่มควันที่ยังลอยตัวอยู่เหนือบ้านครึ่งไม้ครึ่งตึก ถัดจากบ้านฉันไปแค่ 4 หลัง ไอร้อนยังผะผ่าวอยู่รอบตัว แต่สายลมยามดึกก็เริ่มพัดผ่านมากระทบผิวกาย ใจที่เคยเต้นระรัว ลดระดับความแรงลง เสียงคุณย่าพึมพำขอบคุณพระดังอยู่ข้างตัว และเสียงคนข้างบ้านกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ แทรกมาด้วยเสียงสะอื้นไห้ของเจ้าของบ้านที่บัดนี้เหลือแต่ตอตะโกไปแล้ว ฉันถอนใจด้วยความโล่งอก แรงบันดาลใจของฉันยังอยู่ครบถ้วน รอบตัวฉันนี่เอง ...ค่อยยังชั่ว ยัยสาว มัวแต่นั่งเฉยทำไมล่ะนั่น ...เก็บสมบัติของเรากลับขึ้นบ้านได้แล้ว พอหายตกใจคุณย่าก็ดุอีกแล้ว ฉันหันมามองดูกองหนังสือรอบตัว มองดูแรงบันดาลใจและความใฝ่ฝัน ที่ฉันอาศัยแรงฮึดหอบมันลงมาจนหมดห้อง ตอนนี้ฉันหมดแรงแล้ว ใครก็ได้ช่วยจุดไฟอีกรอบ ฉันจะได้มีแรงฮึดยกหนังสือขึ้นไปเก็บ ฉันได้แต่บ่นอยู่คนเดียวในใจขณะที่ค่อยๆ ยกหนังสือกลับขึ้นไปกองไว้ในห้องนอนตามเดิม จนกระทั่งวางหนังสือกองสุดท้ายลงแล้ว ฉันจึงนึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนไฟดับฉันกำลังเขียนเรื่องสั้นที่ยังไม่ได้เซฟอยู่ แล้วฉันจะเอาเรื่องสั้นอะไรไปส่งวิทยากรตอนเช้าวันนี้ล่ะ โธ่ สวรรค์ กลั่นแกล้งกันชัดๆ เลย เรื่องสั้นที่เขียนขึ้นเพื่อส่งวิทยากรในการอบรม โครงการ Green Read Writer Academy ใช้เวลาตั้งแต่หนึ่งทุ่มจนถึงห้าทุ่มกว่าๆ ก็คิดอะไรไม่ออกแล้ว ได้เท่านี้ ตั้งใจจะเขียนเรื่องออกแนวสืบสวน-หักมุม แบบฆาตกรรมในโรงเรียน อะไรทำนองนั้น แบบว่า อ่านนิยายสืบสวนทั้งไทยและเทศมาเยอะ แต่เขียนไปได้ - - เท่าที่เห็นในช่วงต้น - - ก็ดัน ไปต่อไมไ่ด้แล้ว ก็เลยเอาสถานการณ์ไฟดับเพราะเหตุเพลิงไหม้ที่เราเคยเจอตอนเรียนชั้นประถมมาเขียนต่อ พลิกเรื่องเป็นความวุ่นวาย สับสน ลนลาน ของเหตุการณ์นั้นแทน แต่งไปแต่งมาก็ดันอีก ...จะเปรียบเทียบยังไงดี ระหว่างไฟไหม้ที่โหมอยู่ กับไฟแห่งความฝัน ที่ตัวแรงบันดาลใจจะหายไปกับไฟไหม้ เมื่อไปต่อไปถูก ก็อย่าดันทุรังเลย ดึกแล้ว ต้องตื่นแต่เช้า เพราะไม่อยากไปถึงสถานที่อบรมสาย มองดูหน้าจอ คุณส้มแช่อิ่ม ยังมีข้อความ tweet อยู่ แสดงว่ายังไม่นอน ก็เลยขอให้คุณส้มช่วยอ่านรอบนึง ...และปรับแก้ไขตามคำแนะนำของคุณส้ม ได้งานเขียนชิ้นนี้ ไปพิมพ์ส่งวิทยากร 3 หน้า A4 เอามาแปะไว้ ...ขอคำวิจารณ์จากเพื่อนบ้าง
Create Date : 16 เมษายน 2553
Last Update : 27 เมษายน 2553 22:38:30 น.
14 comments
Counter : 1780 Pageviews.
โดย: nikanda วันที่: 24 เมษายน 2553 เวลา:4:36:07 น.
โดย: nikanda วันที่: 24 เมษายน 2553 เวลา:4:40:58 น.
โดย: นัทธ์ วันที่: 24 เมษายน 2553 เวลา:11:01:52 น.
โดย: nikanda วันที่: 24 เมษายน 2553 เวลา:13:29:54 น.
โดย: nikanda วันที่: 24 เมษายน 2553 เวลา:13:37:47 น.
โดย: นัทธ์ วันที่: 24 เมษายน 2553 เวลา:17:52:55 น.
โดย: Paulo วันที่: 25 เมษายน 2553 เวลา:0:03:16 น.
โดย: หนุ่มร้อยปี IP: 125.24.77.201 วันที่: 25 เมษายน 2553 เวลา:7:15:09 น.
โดย: นัทธ์ วันที่: 25 เมษายน 2553 เวลา:8:37:47 น.
โดย: อ้อน IP: 61.7.145.137 วันที่: 27 เมษายน 2553 เวลา:23:21:26 น.
โดย: อ้อน IP: 61.7.145.137 วันที่: 27 เมษายน 2553 เวลา:23:26:15 น.
โดย: นัทธ์ วันที่: 28 เมษายน 2553 เวลา:7:50:53 น.
โดย: นัทธ์ วันที่: 6 พฤษภาคม 2553 เวลา:7:07:38 น.
นัทธ์
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 39 คน [? ]
รักที่จะอ่าน รักที่จะเขียน เปิดพื้นที่ไว้ สำหรับแปะเรื่องราว มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ณ ที่นี้ สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามผู้ใดละเมิด โดยนำภาพถ่ายและ/หรือข้อความต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดใน Blog แห่งนี้ไปใช้ และ/หรือเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
งงเลย ว่าทำไมไม่เคยเห็นหน้านี้มาก่อน
อ่านเรื่องสั้นจบ..ก่อนเลื่อนลงมาอ่านด้านล่าง
กำลังว่าจะทักอยู่เชียว ว่าคุ้นๆ เหมือนเคยอ่าน
เรื่องไฟไหม้ตอนเด็ก ที่คุณนัทธ์เคยเล่าในถนน
เรื่องสั้น ชัดเจน และสำนวนภาษาดีค่ะ
เราอ่านแล้วชอบนะคะ กับสำนวนแบบนี้
ไม่มีติดขัด หรือว่าต้องสะดุดเลย พลิ้วมาก
และสารที่ต้องการสื่อ เราว่าชัดเจนมากค่ะ
ถึงไม่มีคำบอกเล่าไว้ด้านล่าง..ว่าจะสื่ออะไร
แต่เรื่องสั้นก็สื่อได้ชัดเจนในตัวของมันเองแล้ว
ทั้งไฟในความเป็นจริง..กับไฟฝันที่วาดหวัง
ตอนจบ..จะว่ามันหักมุมก็ได้นะ..555+
อ่านมาถึงตรงนี้ อมยิ้มเลย..น่าสงสารสาว
อย่างนี้ต้องเรียกสวรรค์กลั่นแกล้งจริงๆๆๆ
นึกภาพตามไป..หอบหนังสือลงมาจนหมด
สุดท้ายต้องค่อยๆ ขนกลับขึ้นไปอีก..กร๊าก
ที่สำคัญ การขนคราวนี้ ไม่มีไฟ(จริงๆ)มาจี้ก้น
ปล.ถ้าตอนท้าย สาวขนหนังสือขึ้นไปจดหมด
เหนื่อยๆ แฮ่ก เกือบตาย..แล้วอยู่ๆ ก็ตอนขึ้นมา
สรุปว่า ที่ขนหนังสือๆ เหนื่อยๆ แทบตายนั้น...
มันเป็นเพียงแค่ฝันไป..ฝันซะเหนื่อยเปล่า
คงได้อารมณ์หักมุมสองต่อเลยนะคะ...อิอิ
ปปล.ภาพประกอบดีจัง เข้ากับเนื้อเรื่องมากๆ..