เสียงดนตรีจากเพลง Why Worry ค่อยๆ แผ่วเบาแล้วจบลงในที่สุ ดแต่เสียงที่ดังขึ้นในจิตใจคือ
คำถามที่เราถามตัวเองขึ้นมาว่า กังวลทำไม นั่นซินะ แล้วเราต้องหาคำตอบให้กับคำถามด้วยหรือ
หากเราคิดหาคำตอบนั่นก็หมายความเรากำลังผูกตัวเอง ผูกความรู้สึกนึกคิดไว้กับความกังวลอันไม่ก่อให้เกิดความสุขใดๆ ในชีวิตของเราเลย
แต่ในทางกลับกันหากเราไม่หาคำตอบ สิ่งที่เรากำลังกังวลอยู่นี้มันก็จะยังค้างคาใจ และเป็นปัญหาที่ไม่มีทางแก้อยู่ต่อไป
แล้วเราจะเลือกไปทางไหน หรือวัฏจักรชีวิตของเราได้เวียนมาถึงทางแยกที่ต้องเลือกอีกครั้งหนึ่งแล้ว
เมื่อคิดย้อนกลับไปในแต่ละช่วงชีวิต เราผ่านทางแยกที่ต้องเลือกตัดสินใจเช่นนี้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
และมีความสำคัญในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออยู่ครั้งหนึ่ง ที่นึกถึงครั้งใด ก็ทำให้เรามั่นใจในการตัดสินใจแต่ละเรื่องขึ้นมาทันที
ไม่ ไม่ และไม่ คำปฏิเสธนี้ไม่ได้ออกจากปากเรา เพียงแต่ก้องดังอยู่ในใจเท่านั้นเอง
ดังเท่าๆ กับคำถามที่ว่า ทำไมต้องเป็นจุฬาฯ ก็ไหนครูบอกว่าให้เลือกวิชาที่อยากเรียน
ให้อยู่ในที่ที่อยากอยู่ ให้มุ่งมั่นในสิ่งที่ต้องการจะไป แล้วมาบอกให้เราเลือกอักษรศาสตร์จุฬาฯ เป็นอันดับหนึ่งทำไมกัน
ผลการเรียนของเธออยู่ในเกณฑ์ที่ดีคะแนนขนาดนี้ ครูว่าถ้าเลือกคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เธอก็สอบติด
ครูแนะแนวให้คำแนะนำเช่นนี้ เมื่อเราเอาคะแนนสอบของตัวเองเทียบเคียงกับสถิติคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อปีก่อนๆ มาพิจารณา และขอคำปรึกษา
เลือกจุฬาฯ เถอะลูกเลือกคณะอื่นด้วยก็ได้ สิ่งที่แฝงอยู่ในแววตาของแม่คือ ความคาดหวัง
ลูกฉันต้องเอนท์ติดจุฬาเหมือนจะมีประกายความคิดนี้สะท้อนออกมากระทบใจของเรา
ในบรรดาลูกหลานของตระกูลไม่ว่าจะญาติทางพ่อหรือญาติทางแม่
ก็ยังไม่มีใครสอบผ่านเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยปิดได้เลย และเราคือความคาดหวังนั้น
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชื่อเสียงยืนยงมายาวนัก เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยที่เกิดขึ้นในภายหลังต่อมาอีกหลายแห่ง
ในครั้งแรกที่ต้องเลือกอันดับคณะต่างๆ นั้น เราเกือบจะเขียน อักษรศาสตร์ จุฬาฯ ลงในอันดับแรกอยู่แล้ว
แต่แล้วก็กลับมาทบทวนพิจารณาเทียบเคียงคะแนนอีกครั้ง คะแนนของเรายังห่างไกลจากคะแนนต่ำสุดของผู้ที่สอบเข้าได้เมื่อปีก่อนอยู่แล้ว
แล้วจะไหวหรือ หาเลือกผิดพลาดไปอาจไม่หล่นไปอันดับสองหรือสาม บางทีอาจจะหลุดอันดับที่ห้าไปเลยก็ได้นะ
เลือกคณะอะไรก็ได้ที่อยากเรียน แต่ห้ามเลือกมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด คำสั่งของพ่อกำกับมาอย่างนี้
ก็อยากเรียนต่างจังหวัดอยากไปอยู่หอนี่นา เป็นเหตุผลที่บอกออกไป
ถ้าสอบติดพ่อก็ไม่ให้เรียน จะให้ไปเรียนรามฯ แทน
เราหุบปากสงบคำที่จะโต้เถียงออกไปทันที ไม่อยากเสี่ยงกับอารมณ์ของพ่อหรอก
แต่ถึงยังไงตอนที่เราเขียนอันดับลงไป ก็ไม่ต้องให้ผู้ปกครองลงนามซะหน่อย เพราะฉะนั้น
ฉันจะเลือกคณะที่ชอบและที่อยากเรียน ตัดสินใจแล้ว เราก็เขียนคณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไว้ที่อันดับแรก
โดยมีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์อยู่ในอันดับสี่และห้า
ลองเสี่ยงกันดูหน่อย อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าติดต่างจังหวัดพ่อจะไม่ได้เรียนจริงหรือ
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในช่วงวัยนั้นอีกครั้งในเวลาที่วัยล่วงเลยมาถึงป่านนี้ นั่นคงเป็นความท้าทายเล็กๆ ที่เรามีต่อคำสั่งของพ่อ
เป็นความท้าทายที่ฝ่ายตรงข้ามไม่รู้ มันก็เหมือนเป็นการท้าท้ายความสามารถและการตัดสินใจของตัวเอง
อย่างที่หลายๆ ครั้งในปัจจุบัน เรามักจะสร้างความท้าทายขึ้นมาอยู่บ่อยครั้ง และเมื่อเรามายืนอยู่ ณ จุดที่เป็นทางแยกอย่างนี้แล้ว
เหตุผลและข้อมูลต่างๆ นานาที่เราคิดหรือหาไว้นั้นก็เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของเราเอง
ว่าทางที่เราจะเลือกนั้น ถูกต้อง ด้วยเหตุผลแวดล้อมเพียบพร้อมเต็มที่
ชีวิตของเราทางเดินของเรา ทางที่เราจะมุ่งไปอนาคตที่เราฝันถึง มันเป็นเรื่องของตัวเราล้วนๆ
ความคาดหวังของพ่อ แม่ ครูอาจารย์ เจ้านายเพื่อนร่วมงานที่รายล้อมอยู่รอบตัว
แต่ในห้วงเวลานั้น เราจะคิดว่าพวกเขาคือคนอื่น
ไม่ว่าผลจากสิ่งที่เราเลือกกระทำจะเป็นอย่างไร เราต้องยอมรับให้ได้
การเลือกคณะสอบเข้าเรียนต่อในวันนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับชีวิตการทำงานในวันนี้
ในวันที่การเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างรายล้อมอยู่รอบตัว
รวมถึง วิธีการประเมินผลการทำงาน ที่มองเห็นความเข้มข้น
มองเห็นความยากรออยู่ข้างหน้า แต่กติกา ก็คือ กติกา
เรายอมรับที่จะยืนอยู่ ณ จุดนี้ ในองค์การนี้ นั่นหมายความว่าเรายอมรับในกติกาที่ผู้บริหารวางลงมาให้ด้วยเช่นกัน
ก็แล้วต้องกังวลไปทำไมกับผลการประเมินที่ยังไม่เกิดขึ้น แค่เราทำงานเต็มความสามารถ เต็มความรับผิดชอบก็เพียงพอแล้ว
ไม่ควรสร้างแรงกดดันด้วยตัวเองเพิ่มขึ้นไปอีก ถึงวันที่แผนกทรัพยากรมนุษย์ส่งผลการประเมินมาให้
ค่อยจัดการกับความรู้สึก ณ วันนั้นก็ยังได้อยู่ เหมือนกับที่เรารับทราบผลการสอบเข้าเรียนต่อในวันนั้น
เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นในขณะที่เราและพ่อแม่กำลังนั่งใจจดใจจ่อจ้องรายชื่อที่ปรากฏบนจอทีวี
ใครสักคนลุกไปรับโทรศัพท์ แล้วก็อุทานออกมาว่า ติดแล้วเหรอ คณะไหน
แล้วก็หันมาเรียกเราให้ไปคุยโทรศัพท์กับผู้หวังดีที่โทรเข้ามาแจ้งข่าว
คุณพี่สาวใช้วิธีลัด โทรเข้าไปสอบถามที่หนังสือพิมพ์ซึ่งเป็นสื่ออีกทางที่ประกาศทราบผลการสอบเข้าเรียนต่อ
คณะอะไรเหรอ เราถามออกไปด้วยเสียงเนื่อยๆ หมดอารมณ์ลุ้นไปเรียบร้อยแล้ว
กำลังทำตัวเหมือนนักเรียนชั้นม.6 ทั่วประเทศ ลุ้นจะเห็นชื่อตัวเองหน้าจอทีวีอยู่แท้ๆ ก็ดันมีคนส่งข่าวมาซะก่อน
ถึงจะเป็นข่าวดีก็เหอะนะ มันทำให้หมดสนุกไปเลยทีเดียว ได้ๆ เดี๋ยวออกไปดูรายชื่อที่สนามจุ๊บด้วยดีกว่า
คณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ที่เลือกเป็นอันดับหนึ่งนั่นแหละค่ะ หันกลับมาบอกพ่อที่รอฟังผลอยู่
มีความภาคภูมิใจติดอยู่ในน้ำเสียงนิดๆ อดไปเรียนที่เชียงใหม่เลย เสียดายจัง
อะไรเราเลือกต่างจังหวะด้วยเหรอ ก็บอกแล้วว่าไม่ให้เลือกไง เสียงพ่อดุขึ้นมาทีเดียว
คงลืมไปว่าควรดีใจกับลูกสาวที่สอบติดอันดับหนึ่งที่เลือกซะก่อน
เอ๊ะ พ่อก็ลูกมันสอบติดแล้ว จะอะไรกันนักหนา แม่รีบแย้งออกมาทันควัน
ก็มันเลือกมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดด้วย บอกอะไรไม่เคยเชื่อฟังเลย
ตอนนี้มันก็ติดธรรมศาสตร์นี่ไงแค่นั่งเรือข้ามฟากไปถึงที่เรียนแล้ว จะมาหงุดหงิดอะไรกับลูกเนี่ย
เอาให้แน่แม่ไปดูผลสอบกับลูกที่สนามกีฬาด้วยเลย ...รีบไปรีบกลับ อย่าโอ้เอ้
ภายใต้น้ำเสียงดุๆและคิ้วที่ขมวดจนแทบจะผูกเป็นโบว์ได้นั้น เราสัมผัสได้ถึงความยินดีที่ล่องลอยออกมา
พร้อมกับเสียงโต้เถียงของพ่อและแม่ ก็แหม ลูกสาวเอนท์ติดมหาวิทยาลัยปิด
ติดอันดับหนึ่งที่เลือกซะด้วยแค่นี้ก็เอาไปคุยต่อได้แล้ว แม้ว่าเราจะทำหน้าเฉยๆ
ไม่ยินดียินร้ายกับข่าวที่ได้รับมานั้น แต่ก็แอบสะใจนิดๆ ว่าแล้ว ว่าต้องสอบติด มือชั้นนี้แล้วเลือกไม่พลาดหรอกน่า
ในที่สุดการตัดสินใจครั้งนั้น ก็ทำให้เราได้เรียนวิชาที่อยากเรียน อยู่ในที่ที่อยากอยู่ สอบติดอย่างที่ครูและพ่อกับแม่คาดหวังจนได้
นั่นเป็นเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมาเนิ่นนาน และเรื่องราวที่จดจำแล้วย้อนกลับมาคิดใหม่
ทุกครั้งที่มีเรื่องวิตกกังวลและยากต่อการตัดสินใจเข้ามาในชีวิต
ถึงอย่างไรตัวเราก็เป็นผู้เลือก
ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นแบบไหน เราก็ต้องยอมรับผลนั้นแต่โดยดี
แล้วจะไปกังวลทำไม หากเลือกผิดในครั้งนี้
เส้นทางชีวิตในแยกหน้า เราก็เลือกใหม่ได้อีกนั่นแหละ
ชีวิตก็วนเวียนเช่นนี้
Why worry
There should be laughter after pain
There should by sunshine after rain
These things have always been the same
So why worry now
Why worry now
Why
ทั้งหมดก็คือ บทรำพึงรำพัน ที่เราขัดเกลาจากที่เขียนไว้ในชั่วโมงอบรม Active Writing - Passive Writing กับจอยรักคลับ
ด้วยเวลาจำกัดเพียงครึ่งชั่วโมง ร่างแรกที่เขียนส่งจึงเป็นเรื่องที่อ่านจับใจความ
เดาที่มาที่ไปของเรื่องราวได้อยู่บ้าง วิทยากรให้นำแนะนำบางประเด็น
กลับมาบ้านคืนนั้น เราก็มานั่งเรียบเรียงความคิด ตัดบางเรื่อง เติมรายละเอียด
แล้วได้เป็นงานเขียนชิ้นมามาส่งในวันถัดมา
หลังจากจบการอบรมก็เป็นการวิจารณ์งานเขียนที่เป็นการบ้าน
comment ทีได้รับคือ เมื่อมีเวลา งานเขียนของเราก็สละสลวยได้เรื่องได้ราวขึ้น
การใช้ภาษาถึอว่าใช้ได้ แต่ให้ระมัดระวังและตรวจเช็คตัวสะกด
ก่อนเราจะคลิก publish เราก็อ่านทวนหลายรอบแล้วนะ ยังมีที่พิมพ์ผิด พิมพ์ขาด พิมพ์เกินอีกหรือไม่ วานตรวจสอบ
มาเยี่ยมชม มาทักทายครับ
อ่านแล้วก็ต้องบอกว่าเป็นงานเขียนที่เขียนได้ดีในระดับหนึ่งเลยครับ อ่านแล้วทำให้ผู้อ่านอย่างผมต้องนึกภาพและจินตนาการภาพตามไปโดยตลอด รวมทั้งทำให้ผมต้องย้อนกลับไปคิดถึงความหลังของผมด้วยครับ
ผมจำได้ว่าตอนเอ็นผมเอ็นติดอันดับ 5 เลยล่ะครับ ผมเสียใจมากเกือบจะสละสิทธิ์แล้วในตอนนั้น แต่ก็ยังโชคดีที่ตัดสินใจเรียนจนจบมาถึงทุกวันนี้ครับ
อิอิ