เปิดชีวิต "พี่เลี้ยงนางงาม" ณัฐฐาวดี วินศิริ
การประกวดนางงามถือว่าเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งของคนไทยที่มักจะจัดขึ้นในสังคมทุกระดับ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด และ ประเทศ
เราคงไม่ปฏิเสธกันว่าการประกวดนางงามสมัยนี้ มีเรื่องของผลประโยชน์ที่อยู่ในรูปธุรกิจ ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องกับการประกวด นอกจากตัวนางงาม ผู้จัด สปอนเซอร์ คณะกรรมการ และสื่อมวลชนแล้ว ยังมีบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ที่กล่าวมาข้างต้น เพราะเขา หรือ เธอนั้นคือผู้ที่มีส่วนผลักดันสาวงามเข้ามายืนบนเวที เพื่อชิงมงกุฏและเงินรางวัล ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเวทีระดับไหน ใครเป็นผู้จัด...บางทีเราเรียกคนกลุ่มนี้ว่า แมวมองนางงาม บ้างก็เรียก พี่เลี้ยงนางงาม หรือบ้างก็เรียก เจ้าของค่ายนางงาม ซึ่งไม่ใช่ว่าจะมีใครจะประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ ที่ผ่านมายุคหนึ่ง ชื่อ ป้าชุลี มักจะติดปากในวงการพี่เลี้ยงนางงาม
แต่มายุคนี้ เป็นยุคทองของ คุณแอ๊ะ...ณัฐฐาวดี วินสิริ แห่ง พีแอนด์เอ็น โมเดลลิ่ง
คุณแอ๊ะ เรียกได้ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังนางงามมีตำแหน่งหลายต่อหลายคน เช่นส้ม - ชนากานต์ ชัยศรี มิสไทยแลนด์เวิลด์ปี 1990... เร - อิสริยะ อภิชัย มิสไทยแลนด์เวิลด์ปี 1991... ป๊อป - อารียา สิริโสภา นางสาวไทยปี 1994 และ ซินดี้ - สิรินยา วินศิริมิสไทยแลนด์เวิลด์ ปี 1996 และยังมี มิสไทยแลนด์เวิลด์คนล่าสุดเมื่อปีที่ผ่านมา ลดา เองชวเดชาศิลป์ ซึ่งคุณแอ๊ะ ก็เป็นผู้ผลักดันให้ขึ้นไปชิงมงกุฏ
แต่การประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ปีนี้ดูจะกร่อยๆ ลงไป เพราะไม่มีตัวเก็งจากค่าย คุณแอ๊ะส่งเข้าประกวด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคุณแอ๊ะบอกว่าเธอยังบาดเจ็บไม่หายกับกรณี นางงามลืมคำ ไม่ทำตามสัญญา...ที่ให้ไว้แบบปากเปล่า !!!
เรื่องราวเป็นอย่างไร วันนี้ คุณแอ๊ะ รับเชิญมาคุยให้อ่านกัน...
ทราบว่ากำลังมีเรื่องถึงกับต้องฟ้องร้องกันในศาล
ค่ะ... ก็น้อง (ลดา เองชวเดชาศิลป์ ) เขาบอกว่า อยากได้ให้ไปฟ้องเอา
หมายถึงเรื่องเงินส่วนแบ่ง...!?!
ค่ะ ส่วนแบ่งเงินรางวัลที่ตกลงกันไว้ เขาไม่ยอมทำตามข้อตกลงในเรื่องส่วนแบ่งรายได้
ที่เขาไม่แบ่งนั้น เขาให้เหตุผลว่าอย่างไรคะ
ตามคำร้องของเขาบอกว่า เราไม่ได้เป็นคนส่งเขาเข้าประกวด เขาเดินเข้าไปประกวดเอง สวยเอง มาเอง เห็นข่าวเองก็เลยเดินเข้าไปสมัครเอง...ทำนองนั้น
แล้วความจริงเป็นอย่างไรคะ
ความจริงก็เป็นอย่างนั้น เพียงแต่ว่าเขาตัดสินใจที่จะเข้าประกวดช้าไปหน่อยทำให้มีเวลาที่จะเตรียมตัวให้เขาแค่ไม่กี่อาทิตย์ ซึ่งพอได้ตำแหน่งแล้วเขาก็เลยคิดว่าเราไม่ได้ทำอะไรให้เขาเท่าไหร่ เขาก็เลยไม่อยากจะให้ส่วนแบ่งกับเราตามที่ตกลงกันไว้
ตามที่ตกลงกันไว้ จะต้องแบ่งกันอย่างไรบ้าง
ถ้าเราทำให้เขาได้ตำแหน่ง เขาจะต้องแบ่งเงินรางวัลให้เรา 50 เปอร์เซ็นต์ซึ่งเงินจำนวนนี้ถัวเฉลี่ยแล้วจะคิดเป็นแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเองของรางวัลทั้งหมดที่เขาได้ ในกรณีนี้เขาจะต้องแบ่งเงินให้พี่ห้าแสนบาท จากเงินรางวัลหนึ่งล้านซึ่งเขาจะได้ร่วมกับเงินและของรางวัลอื่นๆ อีกเช่น เงินเดือนประจำตำแหน่ง ค่าพรีเซ็นเตอร์เอวอน รถยนต์ ฯลฯ ทั้งสิ้นประมาณห้าล้านบาท โดยที่เราจะไม่ไปแตะต้องมงกุฎกับเครื่องเพชรของเขาเลย
เราก็ขอแค่นี้เองตามที่ตกลงกัน แต่ว่าเขาไม่ยอม เขาบอกว่าเราไม่ได้ทำอะไรให้เขาเท่าไหร่ เขาจะให้เหมือนกันแต่ให้น้อยกว่านี้ ไม่ได้ให้ตามที่ตกลงกัน การที่เขากล้าทำอย่างนี้...คงเป็นเพราะเขาคิดว่าเราไม่ได้ทำสัญญากันไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
ปกติแล้วที่ผ่านๆ มา นางงามต้องทำสัญญาก่อนทุกคนหรือเปล่า
ที่จริงจะให้เขาเซ็นนะคะ แต่พอเอาสัญญามาให้ดูเขาก็บอกว่า ภาษาไทยเขาไม่แข็งแรง รอให้คุณแม่เขามาก่อนค่อยเซ็นเขาก็บอกเราว่าเขาไม่โกงหรอก ขอให้ทรัสต์นะ เขาใช้คำว่าทรัสต์กับเรา คือขอให้เชื่อใจกัน เราถือว่าตลอดมาเราพูดคำไหนก็คำนั้นอย่างน้อยคิดว่าน่าจะมีสัจจะในหมู่โจรบ้างนะแล้วเราไม่ได้ทำงานกับโจรเสียหน่อย
เคยเจอแบบนี้มาบ้างไหมคะ
บอกเลยว่า ตลอดชีวิตการทำงานนี้เรียกได้ว่าเกือบครึ่งชีวิต ดิฉันไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่มีเรื่องต้องฟ้องร้องขึ้นศาล ซึ่งคงจะต้องเสียเวลาพอสมควรเพราะเป็นคดีแพ่ง แต่ถึงอย่างไร ได้-ไม่ได้ก็จะลองดู เพราะปรึกษาทนายดูแล้วเขาว่าไม่จำเป็นต้องมีสัญญาก็ได้ เพราะว่านี่คืออาชีพของเรา การที่คุณจะเข้ามาหาเราคุณต้องรู้ว่าเรามีต้องเงื่อนไข คุณต้องรู้ว่าต้องมาทำตามเงื่อนไขของเรา
ไม่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำอะไรให้คุณบ้างเมื่อคุณได้ตำแหน่ง คุณต้องเสียเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการนี้ให้เรา ที่ผ่านมาทุกคนเข้าใจ ยอมรับ และทำตาม แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเงื่อนไขนั้นตกลงไว้อย่างไร ตัวเขาเองก็รู้เขาถึงเดินเข้ามาให้เราเป็นพี่เลี้ยงให้ แต่ที่เบี้ยวขึ้นมาเพราะเห็นว่าไม่ได้เซ็นสัญญาไว้อย่างที่บอกมังคะ
ถ้าจะคิดเราทำธุรกิจเอาเปรียบ แต่ต้องคิดในทางกลับกันด้วยว่าถ้าเราเลือกส่งคุณเข้าประกวด เราเตรียมตัวให้คุณในเรื่องต่างๆ มากมาย เสียเงินเสียเวลา แต่สรุปแล้วคุณทำไม่ได้ พลาดตำแหน่ง เราก็เสียเวลาเสียโอกาสพลาดรางวัลเช่นเดียวกับคุณ ทุกอย่างที่เราจ่ายออกไปแล้วเป็นศูนย์เลย
แต่คุณ...สามารถจะจะกลับไปใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม หรืออาจจะดีกว่าเดิมพร้อมกับประสบการณ์ในการเข้าประกวด สิ่งต่างๆ ที่ซ้อมที่เตรียมคุณเอาไปใช้ในชีวิตต่อไปได้ แต่ของเราเสียแล้วเสียเลยต้องรอโอกาสใหม่ในปีหน้า จริงๆ ทุกวงการมีเรื่องผลประโยชน์ ต่อไปเมื่อเขาอยู่ในสัญญาของบีอีซี-เทโร เวลารับงานอะไรก็จะต้องแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้กับทางบีอีซี-เทโรเหมือนกัน
เพราะธุรกิจเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่จัดประกวดขึ้นมาหรอก ใช่ไหมคะ
เพราะงั้นปีนี้เลยงดส่งนางงามเข้าประกวด
ยังทำใจไม่ได้น่ะค่ะ แล้วรู้สึกว่าปีนี้ทางกองประกวดเขาจะเปลี่ยนรูปแบบการประกวดใหม่ คล้ายกับไม่ต้องการให้มีพี่เลี้ยงเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ซึ่งอาจจะเป็นการปรับเปลี่ยนไปตามโอกาสหรืออาจจะมีเหตุผลมาจากกรณีของลดาก็ได้ แต่จริงๆ แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวนะคะ เลยยังทำใจไม่ได้จึงต้องขอเบรกไว้ก่อน
แต่ยังไม่คิดเลิก
ยังค่ะ ... อาจจะเป็นเพราะสายเลือดนางงามในตัวเรามังคะ คือตัวเองเคยประกวดนางงามมาบ้างสมัยสาวๆ ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นน่ะค่ะแล้วพอมาทำโมเดลลิงก็มีหน้าที่ต้องไปหาแบบใหม่ๆ มาเข้าสังกัด ซึ่งทำให้เราต้องไปตามงานประกวดต่างๆ แต่ว่าการที่เราจะชวนใครมาเข้าสังกัดเรา เข้าไปติดต่อขอเบอร์เขานี่บางทีก็อาจจะน่าเกลียดถ้าเขามีพี่เลี้ยงอยู่แล้ว ไปๆ มาๆ เลยส่งเข้าประกวดบ้าง
เพราะหลังจากที่บริษัทเราเปิดมาได้ระยะหนึ่งก็เป็นที่รู้จัก และมีชื่อเสียงพอสมควร ใครต่อใครที่อยากเป็นนางแบบนายแบบก็จะส่งรูปมาให้เราดู ซึ่งบางคนก็หน้าตาดี น่าส่งเข้าประกวดก็ส่ง แล้วช่วงหลังๆ นี่เวลาการขอเบอร์ก็เลยให้เป็นหน้าที่เด็กๆ เขาจะแลกเบอร์กันมาให้และโดยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ชอบเรื่องสวยๆ งามๆ อยู่ด้วย
เวทีไหนบ้างคะ ที่คุณแอ๊ะเคยผ่านมาแล้ว
นางสาวไทยปีคุณธารทิพย์ พงษ์สุข ได้ตำแหน่ง แล้วก็ประกวดอื่นๆ เล็กๆ น้อยๆ หลายที่จนมีถ้วยเต็มบ้านไปหมด พวกนางนพมาศ นางสงกรานต์ มิสมอเตอร์โชว์ ฯลฯ แต่จริงๆ แล้วจะเน้นไปทางประกวดนางแบบมากกว่า เพราะว่าจุดเริ่มต้นที่ทำให้เข้าวงการนี้คือไปประกวด 10 ยอดนางแบบระพี ของห้องเสื้อระพี ตอนอายุ 17-18 ปี
งั้นช่วยเล่าถึงแรงบันดาลใจที่เข้าประกวดนางแบบหน่อยค่ะ
ไม่มีอะไรมาก ด้วยความที่เราอยากจะหาเงินใช้เอง ช่วงนั้นตอนเรียนปวช.ที่บ้านมีปัญหาเรื่องการเงิน เราอยากช่วยเหลือทางบ้าน เพราะมีพี่น้องหลายคน คิดว่าสิ่งไหนที่พอทำได้ก็ลองทำดู พอดีเขามีประกวด 10 ยอดนางแบบระพี แล้วเราชอบเรื่องสวยๆ งามๆ อยู่แล้วเลยเข้าประกวดติดเป็น 1 ใน 10 ยอดนางแบบ
ตั้งแต่นั้นมาเลยได้เป็นนางแบบ เพราะเวลาที่ระพีมีงานเขาจะเรียกพวก 10 คนที่ได้ตำแหน่งนางแบบของเขาไปใช้ ก็จะมีงานทำตั้งแต่นั้นมา เป็นงานเกี่ยวกับการถ่ายแบบเดินของห้องเสื้อ ห้องผม ถ้าเป็นแบบเสื้อก็ของระพี แบบผมก็ของเกศสยาม อะไรลักษณะนี้ค่ะ เดินตามโรงแรม วิ่งอยู่ประมาณ 3-4 ที่ แต่ว่าค่าตัวสมัยนั้นถือว่าได้น้อยมาก ครั้งละ 300 บาทแค่นั้นเอง
แต่จะดีตรงที่เวลาเราไปทำงานอย่างหนึ่งแล้วมักจะถูกติดต่อให้ทำงานชิ้นต่อไป เช่นไปถ่ายแบบหรือเดินแบบก็จะมีแมวมอง หรือพวกโมเดลลิงเข้ามาขอเบอร์ ชวนเราไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้สินค้า หลังจากถ่ายชิ้นแรกแล้วเราก็จะมีงานติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ เพราะเวลาที่เราไปเทสต์สินค้าชิ้นหนึ่งก็จะมี แมวมองเข้ามาติดต่อให้เรารับงานชิ้นอีกต่อไปอีกช่วงนั้นจะมีงานถ่ายโฆษณาทุกอาทิตย์เลยค่ะ คงเป็นโชคดีของเราที่เป็นคนแต่งหน้าให้เปลี่ยนไปได้หลายแบบเวลาภาพออกมาแล้วคนมักจะจำไม่ค่อยได้ ทำให้ได้งานเรื่อยๆ บางทีถ่ายของยี่ห้อนี้แล้วยังไปถ่ายชิ้นอื่นได้อีก
เรียกได้ว่าเป็นนักล่ารางวัลได้ไหมคะ
(ยิ้ม) ใครชวนก็ไปน่ะค่ะ เพราะว่าส่วนใหญ่จะเป็นการทำงานกับกลุ่มคนที่เห็นๆ กันอยู่พูดจริงๆ แล้วไม่ค่อยได้ตั้งใจเข้าประกวดเองสักเท่าไหร่ อย่างเข้าประกวดนางสาวไทย ปีนั้นเรียนจบแล้ว ทำงานแล้วที่สยามกลการ ในแผนกประชาสัมพันธ์ของมิวสิคฟาวเดชั่น ทำให้รู้จักนักข่าวพอสมควร
วันหนึ่งเขากำลังรับสมัครประกวดนางนพมาศ ที่สวนสยาม เราก็ไปที่นั่นพอดี แล้วเจอกับพี่อ้วน อรชร ซึ่งคุ้นเคยสนิทกันดี พี่เขาก็บอกว่า สมัครไหม ปีนี้คนน้อย เข้ามาช่วยๆ เดินกันหน่อยให้ดูเต็มๆ เวที
ก็ถามว่าประกวดได้หรือ ...ไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะว่าทำงานมาได้ระยะหนึ่งแล้ว พี่อ้วนเขาก็แนะนำว่าให้ไปขออนุญาตนายก่อน ถ้านายไม่ว่าก็ให้บริษัทเป็นสปอนเซอร์ส่งเข้าประกวดเลยพอไปคุยกับผู้ใหญ่ท่านไม่ขัดข้องก็สวมสายสะพายของสยามกลกาลเข้าประกวด แล้วไปตกรอบ 10 คน
อีกเวทีหนึ่ง ไปประกวดนางสงกรานต์วิสุทธิกษัตริย์ปีที่ อลิษา ขจรไชยกุล ได้ที่ 1 ตัวเองได้ตำแหน่งรองที่ 3 มา ปีนั้นไปประกวดกับเขาเพราะว่าเพื่อนที่เดินแบบด้วยกันนี่เขาบอกว่า รับปากกับป้าชุลี ใจยงค์ ไว้ว่าจะเข้าประกวดให้ แต่ทีนี้เกิดไม่สบาย ก็กลัวว่าป้าแกจะไม่มีเด็กขึ้นเวทีก็มาขอให้เราไปประกวดแทน
ตอนนั้นทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย รูสึกหนักไหมคะ
ก็เรียกว่าหนัก เพราะว่าเรียนแผนกบัญชีแต่ก็ทำอย่างนี้มาตลอดจนจบปวส. เรื่องเรียนนี่ ตอนนั้นคิดว่าอย่างไรก็จะต้องไปให้ได้ เพราะค่านิยมของเด็กพาณิชย์ต้องเรียนบัญชีถึงจะเท่ เราก็ชอบอยู่แล้วเรื่องเท่ ก็ต้องเรียนสิแผนกบัญชี พอจบมาก็พอดีเพิ่งได้... มิสความสะอาด ของเขตปทุมวัน ผอ.เขตท่านก็เมตตาฝากงานให้ที่สยามกลกาล ทำอยู่ประมาณสองปีก็ออก เพราะว่าเราเคยเป็นนายของตัวเองมาตลอด จะทำหรือไม่ทำอะไรเราตัดสินใจเอง แล้วรายได้ก็ดีกว่า ซึ่งบางทีเดือนหนึ่งไปรับโฆษณาชิ้นหนึ่งแต่แค่นั้นก็ได้ค่าตัวเท่ากับการทำงานทั้งเดือนแล้ว
ที่ลาออกไปนั้น มีงานอื่นรออยู่แล้วหรือคะ
เปล่าค่ะ จะออกไปสอบแอร์โฮสเตส แต่ปรากฎว่าสอบไม่ผ่าน เพราะภาษาไม่ดี เนื่องจากเตรียมตัวน้อยอีกอย่างคือคิดไปคิดมาแล้วคิดว่าเราชอบการทำงานที่ได้เป็นนายของตัวเองมากกว่า เราเคยมีรายได้มากกว่านั้น ทั้งที่เงินเดือนตอนก่อนออกก็ได้เกือบหกพันบาทแล้วล่ะ แต่ก็ไม่พอใช้เพราะว่าเป็นประชาสัมพันธ์ต้องแต่งตัว ต้องใช้ตรงนี้ไม่น้อยเหมือนกัน เงินเดือนจึงเป็นแค่เงินที่ใช้กินไปได้เดือนๆ หนึ่งเท่านั้น
เรื่องรายได้นี่รู้อยู่แล้วตั้งแต่สมัครเข้าไปทำไม่ใช่หรือคะ
ใช่ค่ะ แต่ว่าตอนนั้นเรายังเด็กนะเคยแต่เป็นนักเรียน เป็นคนทำงานอิสระ ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานจริงๆ ตามวิชาชีพ ไม่เคยสัมผัสงานที่แท้จริงทำให้เราอยากลอง ซึ่งก็ถือว่าไม่เสียโอกาสเลย เพราะการทำงานยุคนั้นทำให้เราได้เรียนรู้การทำงานของบริษัทใหญ่ ได้ติดต่อประสานงานกับหลายฝ่าย ได้พื้นฐานที่ดีๆ มาเยอะจากสยามกลกาล เช่นได้รู้จักนักข่าวหน้า 1 หน้า 4 หน้าสตรี ฯลฯ จากการที่เราไปเยี่ยมสื่อมวลชน
สอบแอร์ฯไม่ได้เลยกลับมาเป็นนางแบบต่อ...?
ค่ะ แต่คราวนี้เป็นแบบเป็นนายตัวเองจริงๆ เพราะคิดกับเพื่อนว่าไหนๆ เราก็ทำงานแบบนี้กันมานานแล้วนะ ประมาณว่าเรามีประสบการณ์ ทำไมเราไม่เปิดของโมเดลลิงของเราเองขึ้นมาล่ะ รับงานให้ตัวเองด้วย แล้วก็รับงานให้เด็กอื่นด้วย
ช่วงนั้นเราจะมีชื่อเสียงเรื่องเด็กน่ารัก แบบเด็กของเราจะขึ้นชื่อเลย เพราะเราจะไปหาเด็กที่เขาประกวดสุขภาพกันตามโรงพยาบาล ก็เจอน้องลูกหมี (ลักษมี ทรัพย์ปรุง)ตอน 6 เดือน น้องนน น้องแนน นายเจ- มณฑล คนนี้รู้สึกว่าจะมาจากเชียงใหม่มาประกวดโดมอนมินิ เราก็ตามมาเข้าโมเดลลิงของเรา
ฟังเหมือนที่นี่จะเน้นไปทางแบบเด็กนะคะ
จริงๆ แล้วคละกันไปนะคะ แต่ว่าที่เรามีชื่อเสียงทางแบบเด็กเพราะว่าวัยรุ่นหรือหนุ่มสาวนี่มันจะไม่น่ารักติดใจคนดูเท่าเด็กๆ แล้วโฆษณาที่ใช้เด็กมีเยอะ เป็นโฆษณาสินค้าเด็กเองก็เยอะ งบของโฆษณาเด็กเยอะกว่า เด็กน่ารักๆ ขายได้นาน ขายง่ายด้วย เพราะไม่ต้องไปแข่งกันเหมือนแบบโต พอเขาเห็นน่ารักถูกใจก็ได้งานแล้ว แต่ว่าพอทำไปสักพักก็มีปัญหา เพราะช่วงนั้นกำลังท้องรู้สึกอารมณ์คนท้องก็จะขึ้นๆ ลงๆ ทำให้มีเรื่องขัดแย้งกับเพื่อน ก็เลยแยกตัวออกมาเปิดใหม่ในชื่อ...พี แอนด์ เอ็นโมเดลลิง จนปัจจุบันนี้ เป็นการมาแต่ตัว ไม่ได้เอาอะไรมาเลย ยกเว้นแต่ว่ามีน้องๆ ที่เคยทำงานด้วยกันเขาขอตามมาอยู่ด้วย เราก็มาเริ่มกันใหม่ที่พัฒนาการ 16 (ที่ตั้งปัจจุบัน) ตอนนั้นตัวเองก็ยังท้อง คุณแม่สามีท่านเห็นใจก็เซ้งตึกให้ห้องหนึ่งเอาโต๊ะตัวหนึ่งมาตั้ง กับโทรศัพท์เครื่องหนึ่งก็ทำงานได้แล้ว สมัยนั้นทุกอย่างทำเองหมด จัดเก็บสารบัญ ไฟล์ลิง ติดต่อสรรพากร ถ่ายรูป ออกไปหาแบบ ฯลฯ ทำทุกอย่าง
แล้วเริ่มส่งนางงามเข้าประกวดได้อย่างไร
โมเดลลิงของเราก็เจอกับปัญหาช่วงฟองสบู่เหมือนกันนะ อย่างที่บอกว่าพอมีการแข่งขันสูง ดิฉันก็เริ่มมองธุรกิจอื่นๆ ด้วย ก็ทำหลายอย่างค่ะ ธุรกิจเสริมความงาม เปิดร้านดอกไม้ ร้านอาหาร รับจัดหานักแสดง ซึ่งมันจะเอื้อให้เกิดงานอื่นด้วย เช่น เมื่อเราจัดหานักแสดงเราก็ควรจะมีการเทรนเด็ก ก็เลยเปิดโรงเรียนสอนการแสดง
และอีกอย่างคือเรามีโอกาสได้เจอคนหน้าตาดีๆ เยอะก็เลยคิดส่งเด็กเข้าประกวด ซึ่งเราก็เคยส่งอยู่บ้างตามเวทีเล็กๆ ช่วงนั้นตัวเองเลยหันมาสนุกกับงานทำนองนี้มากขึ้น จริงจังขึ้น ประกอบกับว่าปีแรกที่ทำส่งส้ม (ชนากานต์ ชัยศรี) แล้วชนะ ก็เลยสนุกและมีกำลังใจที่จะทำจริงจังขึ้น
คุณแอ๊ะมีเกณฑ์การคัดเลือกผู้ที่จะเอามาปั้นเป็นนางงามอย่างไรบ้าง
ก็ดูที่รูปร่างเป็นหลัก แล้วก็หน้าตา อย่างอื่นไม่ค่อยเท่าไหร่จริงๆ แล้วทุกส่วนสามารถมาแก้ไขปรับปรุงกันได้ แต่ขอให้มีโครงสร้างที่ดีมาก่อน คือต้องสูงหน่อย
การปั้นนางงามสักคนต้องมีค่าใช้จ่ายเป็นต้นทุนสักเท่าไหร่
อันนี้จะเจาะจงไม่ได้ค่ะ เพราะว่าขึ้นอยู่กับเด็กแต่ละคนว่าเขามาอย่างไร บางคนมาแบบมีปัญหามากต้องทำหลายอย่างก็ใช้จ่ายสูง แล้วแต่ว่าปัญหาของแต่ละคนจะต้องแก้ไขอย่างไร บางคนแค่ผิวพรรณ หรือรูปร่างมีส่วนเกินเยอะ อย่างนี้ใช้ไม่มากเพราะว่าเรามีสถานเสริมความงามเอง ลดค่าใช้จ่ายไปได้ส่วนหนึ่ง
แต่ถ้าเป็นเรื่องของส่วนที่ขาด หรือไม่ใช่อะไรที่แค่ผิวๆ แล้วก็ต้องใช้ศัลยกรรม ซึ่งต้องไปพึ่งคุณหมออันนี้จะต้องจ่ายสูงขึ้น นอกนั้นก็ไม่ได้ถือว่าหนักหนาอะไร เช่น ค่าแต่งหน้า ค่าเสื้อผ้าที่ต้องเตรียมให้เอาไปใช้ในการประกวด ถ้าเป็นเด็กที่มาจากเมืองนอกค่าตั๋วเครื่องบินอีกล่ะ เราก็เป็นคนจัดการให้ด้วย
แล้วเงินตรงนี้เอามาจากไหน
กระเป๋าของเราเองสิคะหรือโชคดีหาสปอนเซอร์ได้ก็ช่วยแบ่งภาระตรงนี้ไป แต่ว่าเดี๋ยวนี้จะหาสปอนเซอร์ยากขึ้นเพราะว่ากองประกวดจะกำหนดว่าห้ามสวมสายสะพาย ...จึงอยากจะพูดว่าการทำนางงามคนหนึ่งไม่ใช่ง่าย ต้องใช้เงินใช้เวลา และความสามารถความอดทนไม่น้อย
หมายถึงสำรองจ่ายไปก่อน แล้วไปจ่ายคืนตอนได้ตำแหน่งได้รางวัลแล้วหรือคะ
ไม่ใช่คะ เป็นการจ่ายเองของพี่เลี้ยงเลย เพื่อเตรียมให้ผู้เข้าประกวดของเราดูดีที่สุด ซึ่งก็จะทำให้เขาได้ตำแหน่ง ถึงได้บอกว่าถ้าเขาพลาดเราก็สูญเลยในปีนั้น
แต่คุณแอ๊ะก็ได้เกือบทุกปี ถ้าไม่ได้มงกุฎก็ติดรองอันดับใดอันดับหนึ่งเสมอ
แต่การแบ่งส่วนแบ่งของดิฉัน จะขอแบ่งจากน้องที่ได้มงกุฎเท่านั้น รองๆ นี่เราจะไม่ไปเอาของเขาเลย เพราะถ้ามีสปอนเซอร์เราจะไปได้จากตรงนั้น แล้วก็ไม่เอาอะไรของเขาอีก เป็นของเจ้าตัวหมด
แล้วจะเลี้ยงตัวได้หรือคะ ปีหนึ่งไม่กี่แสนบาทเท่านั้น
ถึงได้บอกว่าทำเพราะใจรัก ทำเพราะสนุก เพราะอยากทำ เป็นความชอบส่วนตัว เหมือนงานอดิเรกและสิ่งที่เราให้เด็กแต่ละคนก็เทียบไม่ได้กับส่วนที่คืนกลับมา เพราะทำนางงามคนหนึ่งใช้เงินเป็นแสน ไหนจะค่ากินอยู่กับเราตลอดเวลา พาไปเข้าสังคมไปไหนมาไหนเราจัดการให้เสร็จ แล้วช่วงที่ใกล้ประกวดจริงๆ ต้องกินนอนอยู่ด้วยกัน จนไม่มีเวลาให้ครอบครัว สามีหรือกระทั่งลูกๆ 3 คนนี่ ไม่มีเวลาให้เขาเลย
จนลูกสาวคนโตพูดว่า ถ้าเขาต้องเข้าแวดวงนี้เลือกได้เขาเลือกเป็นอย่างพี่เอ็มม่า หรือพี่ๆ คนอื่นดีกว่า ไม่ขอเป็นอย่างแม่ เพราะเขาอยากมีคนดูแล
แต่เห็นนางงาม บางคนเขาก็ไม่มีพี่เลี้ยงนี่คะ
ที่ผ่านมาสมัยที่ประกวดเอง ตัวเองไม่เคยประสบความสำเร็จในเวทีใหญ่ๆ เลย ส่วนหนึ่งเพราะเราไม่มีพี่เลี้ยง จริงๆ แล้วเชื่อว่าพี่เลี้ยงกับนางงามเป็นของคู่กัน คนอื่นไม่ทราบว่าเขาทำอย่างไร แต่ดิฉันให้ทั้งวันทั้งคืน เตรียมเขาให้พร้อม เช่น ถ้าเป็นเด็กที่มาจากเมืองนอก เราต้องสอนให้เขารู้จักความเป็นไทย ทันข่าวสารบ้านเมือง สอนไหว้ สอนกริยาไทยๆ หัดเดินให้สง่า หัดยิ้มให้สวย ออกมาจากใจ ซึ่งจะดูได้จากดวงตา สอนให้รู้จักดูแลตัวเอง สอนให้รู้จักคบเพื่อน
ถ้าเป็นเด็กที่ไม่เคยรู้จักสังคมอื่นมาก่อนนอกจากพี่น้องพ่อแม่เพื่อนที่โรงเรียน ใช้ชีวิตในหอพักมาตลอด เสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าแตะ ขายของหน้ารามฯ มาเลย ไม่เคยมีเครื่องสำอางติดกระเป๋าสักชิ้น เราก็ต้องเอาเขามาหัด เหมือนรถน่ะค่ะ จะหัดขี่รถน่ะต้องฝึกก่อนใช่ไหมคะ หัดไปวันละนิดวันละหน่อย ถ้าจะให้ดีเลยมีเวลาสัก 6 เดือนจะดีมาก ถ้ามีน้อยก็ไม่น่าจะน้อยกว่าหนึ่งเดือน
การที่เราจะทำให้ใครสักคนกลายเป็นนางฟ้า-นางสวรรค์ รู้จักพูดคุยกับคน บุคลิกภาพการแต่งหน้าทำผมให้ตัวเองต้องสอนให้ทำให้ได้ การจะเป็นตัวแทนของประเทศจะมาแต่งตัวง่ายๆ สบายๆ ก็ไม่ได้ จะสอนให้รู้จักสังเกตช่าง เพื่อจะเลือกได้ว่าจะให้ช่างคนไหนแต่งหน้าให้ เพราะพอส่งเขาเข้ากองประกวดไปแล้วเราเข้าไปช่วยอีกไม่ได้แล้ว ต้องบอกให้เขาดูว่า พี่ช่างแต่งหน้าคนไหนเขียนคิ้วสวย ช่างคนไหนหวีผมสวย อะไรอย่างนี้ที่ต้องแนะนำกัน
พอจะแยกความแตกต่างของการประกวดเวทีเล็กอย่าง นางนพมาศ นางสงกรานต์ นางงามต่างๆ กับ เวทีใหญ่เช่น มิสระดับประเทศให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือระยะเวลาการประกวดที่เวทีเล็กๆ จะจบในคืนเดียว แต่เวทีใหญ่จะมีการเก็บตัวพาผู้เข้าประกวดไปทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งถือว่าสำคัญมากสำหรับการเฟ้นหาตัวแทนประเทศไปประกวดที่เมืองนอก การที่เขาอยู่ร่วมกันนี่สามารถทำให้หลายคนแสดงพฤติกรรมของตัวเองออกมาได้ สูบบุหรี่ไหม เห็นแก่ตัวไหม รับผิดชอบหรือเปล่า ทำให้เห็นนิสัยพื้นฐานของเขาได้ ซึ่งการเป็นตัวแทนนี้หมายถึงหน้าตาและชื่อเสียงของผู้หญิงไทยด้วย
ว่ากันว่าคุณแอ๊ะเป็นมือทองคนหนึ่ง จากสาวๆ หลายคนที่ได้ตำแหน่งไปแล้ว ทำให้มีคนเข้ามาหาเยอะไหมคะ
มีเยอะเลยค่ะ แต่ก็บอกปัดไปบ้าง ทำเฉยๆ บ้าง มองข้ามไปบ้าง เพราะว่าอยากจะเลือกเองมากกว่า
เลือกจากอะไรคะ
ดูพื้นฐานภูมิหลังว่าเขามีประวัติมาอย่างไร อย่างน้อยขอให้มีพื้นฐานดี ไม่ใช่ว่าต้องฐานะดีหรืออะไร แต่ขอให้เป็นคนดีไม่ด่างพร้อย แล้วก็อยากให้เป็นคนที่จบปริญาตรีแล้ว หรือ อยู่ในเกณฑ์ 19-20 อะไรทำนองนี้ ถ้าเป็นเด็กนอกจะได้เปรียบเรื่องภาษาเวลาได้ตำแหน่งเป็นตัวแทนไปประกวดเมืองนอก
ดูยากไหมคะผู้หญิงที่มีประวัติด่างพร้อย แล้วพยายามแฝงตัวเข้ามายืนเวทีความงาม
จริงๆ ดูไม่ยาก เพราะวิธีที่ใช้อย่างหนึ่งคือถ้ามีคนเอามาฝากจะดูจากคนที่สืบประวัติกันได้ พี่ๆ น้องๆ เพื่อนสนิทกันรู้จักดีแล้วฝากมา อีกทางคือพวกที่เจตนาไม่บริสุทธิ์นี่เขาจะพยายามเสนอตัวเองเขามา อย่างที่เคยเจอคือ จะเข้ามาหาเองแล้วบอกว่า พี่แอ๊ะปีนี้ส่งหนูประกวดหน่อยนะ หนูอยากประกวดกับพี่ ฯลฯอะไรทำนองนี้ คำพูดหรือท่าทางบางอย่างของเขาจะทำให้เราเซ้นส์ความต้องการจริงๆ ของเขาได้
แล้วพวกนายหน้าหาผู้หญิงบริการล่ะคะ
ก็มีเข้ามาเหมือนกันค่ะ แต่อันนี้จะเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงที่เริ่มทำพี่เลี้ยงเลยนะคะ พอเขาเข้ามาด้วยจุดประสงค์นี้ดิฉันจะบอกไปเลยว่าเราไม่ได้มีอาชีพทางนี้ สมัยที่เป็นโมเดลลิงอย่างเดียวก็มีติดต่อมาว่าจัดหาเด็กไปงานอย่างนี้ๆ หน่อยได้ไหม เราก็จะอธิบายตัวเองให้เขาฟังเป็นกิจลักษณะเลยว่าเราทำงานอะไร เปิดเผย ตรงไปตรงมาอย่างนี้ๆ แบบนี้เราไม่มี
แล้วก็บอกเขาว่า...นี่คือส่วนตัวของเรานะ เราไม่เห็นด้วยกับงานแบบนี้ เราชอบหางานให้เด็กทำจริงๆ มากกว่าจัดเด็กไปกินข้าวกับผู้ใหญ่ แต่อย่างไรเราก็จะไม่ปิดกั้นโอกาสของเด็ก ซึ่งเราไม่ทราบว่าเขาสนใจหรือว่าเขามีความจำเป็นอะไรที่จะต้องทำแบบนั้นหรือเปล่า ก็บอกเขาว่าจะถามเด็กให้
ซึ่งเด็กคนนั้นก็คือ ส้ม...( ชนากานต์) คนแรกเลยที่เราได้ พอบอกน้องว่ามีคนติดต่อมาอย่างนี้นะ ให้ตังค์เยอะเลย พี่แอ๊ะก็ได้ด้วยนะ คือต้องการดูใจเขาด้วยไงคะน้องเขาก็ดีบอกว่า...ไม่เอาดีกว่า เพราะว่าส้มเป็นเด็กพี่แอ๊ะถ้ารับปากไปนี่คนที่เสียด้วยคือพี่แอ๊ะ เป็นภาพของพี่แอ๊ะไปเลยนะ เงินน่ะส้มก็อยากได้นะ แต่ส้มว่าส้มยอมเหนื่อยดีกว่า
เราก็เออ ! เจ้าส้มมันรู้จักคิดนะ ก็บอกเขาไปว่าพี่ก็คิดอย่างนั้น แต่พี่จะดูใจส้ม ถ้าส้มบอกว่าจะไปพี่ก็จะขอว่าอย่าไปได้ไหม ทางอื่นที่เราจะทำได้มีเยอะแยะ ไม่เสียชื่อ ไม่ติดตัวเราไปตลอดชีวิตอย่างนี้แล้วเราไม่รู้น่ะว่าจะมีอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่า หลังจากปฏิเสธไปครั้งเดียวนั้นแล้วก็ไม่เคยมีใครมาติดต่ออีกเลย เขาคงทราบว่าเราไม่เอาทางนี้จริงๆ
คิดว่าขึ้นอยู่กับเจ้าตัวเอง คนกลางหรือนายหน้าไม่สามารถทำอะไรได้ถ้าเจ้าตัวไม่เล่นด้วย แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตัวเองระวังมาตลอดเพราะที่บ้านเป็นคนจีน มีลูกสาวหลายคนเขาจะพูดว่ามีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้านทำไม่ดีจะส่งกลิ่นแล้วการทำงานของเรานี่เขาเห็นเป็นเรื่องเต้นกินรำกิน จะมีคนพูดเสมอว่าระวังจะต้องไปกินน้ำใต้ศอกเขา ระวังจะตกเป็นอนุฯเขา พ่อแม่เลยไม่อยากให้ทำ
แต่ดิฉันจะบอกแม่ว่า หนูรักแม่นะ แม่ไม่ต้องห่วง หนูไม่ทำให้แม่เสียใจหรอก จะดูแลตัวเองดีๆ ออกจากบ้านไปไหนไม่เคยไปคนเดียวมีพี่เอาน้องไปด้วยตลอด กลางวันเพื่อนๆ นางแบบไปกัน 10 คน 10 ยอดนางแบบ ถ้าไม่มีคนอื่นจะมีพี่น้องเราไปด้วยเสมอ
สิบกว่าปีที่เป็นพี่เลี้ยงมา รู้สึกกับงานนี้อย่างไรคะ
เหมือนเราเป็นคนทำงานปิดทองหลังพระนะ เป็นงานที่ช่วยเหลือคนอยู่เบื้องหลัง เช่นเดียวกับงานโมเดลลิงของเรา ซึ่งสามารถจะช่วยให้เด็ก 4-5 ขวบมีรายได้ให้พ่อแม่ หรือเก็บไว้เป็นทุนการศึกษาของเขาเมื่อโตขึ้น สำหรับน้องๆ ที่มาประกวดเขาก็ได้ประสบการณ์ดีๆ กลับไปใช้ได้ เปิดเขาสู่โอกาสดีๆ ในชีวิต ทุกคนมีการงานที่ดีๆ ทำ
ถ้าพี่เลี้ยงนางงามถูกมองว่าไม่มีความหมาย เรื่องที่เกิดกับดิฉัน ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะเกิดกับดิฉันเท่านั้น เคยได้ยินเหมือนกันว่าเกิดกับพี่เลี้ยงคนอื่นๆ มาแล้ว แทบทุกปี ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะมีศักยภาพทำให้ผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องลงมาประนีประนอมเรื่องกันอย่างไร
ส่วนตัวเองถ้าไม่ให้มีงานนี้เข้ามาอีก อนาคตก็คงจะเลิก เพราะลูกๆ เริ่มโตแล้วเขาอยากให้แม่อยู่กับเขาเต็มที่บ้าง ก็คงทำโมเดลลิงของเราต่อไป หรือไม่ก็ลงไปทำเวทีประกวดเล็กๆ ซึ่งอย่างไรก็ดีถือว่าเราได้ทำตามความตั้งใจของตัวเองอย่างหนึ่งว่าจะยกระดับการประกวดนางงามให้มีภาพที่ดีขึ้น เพราะเลือกได้จะเลือกส่งคนที่จบปริญญาตรีแล้ว อย่างปี น้องป๊อป (อารียา สิริโสภา) เป็นต้นมา จะเห็นได้ว่านางงามมาจากกลุ่มคนที่มีการศึกษาขึ้น ตรงนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ตัวเองผลักดัน
ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ถ้าเวทีประกวดนางงามนี้ไม่มี พี่เลี้ยง การประกวดจะเป็นอย่างไร...เพราะเท่าที่ผ่านมา พี่เลี้ยง เป็นสีสันหนึ่งของการประกวดแต่ละครั้ง แม้จะถูกเรียกว่าคนปิดทองหลังพระก็เถอะ
บทความจากนิตยสารหญิงไทย ฉบับที่ 651 ปีที่ 28 ปักษ์หลัง เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2545
Create Date : 07 กันยายน 2548 |
|
5 comments |
Last Update : 7 กันยายน 2548 11:05:31 น. |
Counter : 5230 Pageviews. |
|
|
|
ปล.ดอกไม้ร่วงๆ ทำงัยเหรอคะ อยากมีมั่งอ่ะ