Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2554
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
8 พฤษภาคม 2554
 
All Blogs
 
"หมอนนนี่" อานนท์ จิตชาติ ถอดเสื้อกาวน์สู่เวที"มิสทิฟฟานี่"



"เธอ" เป็นหมอประจำโรงพยาบาลเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ทำหน้าที่รักษาผู้ป่วยในชนบทโรงพยาบาลกันดารอันดับ 2 ของจังหวัด ปฏิบัติงานได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องในฐานะ "นายแพทย์" สวมกระโปรงรักษาคนไข้

และแล้วเวลาก็สุกงอม "เธอ" ตัดสินใจเดินหน้าเข้าประกวดเวทีมิสทิฟฟานี่ 2011 โดยใช้ชื่อว่า "ทิพย์นานา เพตราพิชชานนท์" และสร้างความฮือฮาให้กับผู้ชมรอบเวที เมื่อหมอหนุ่มอย่างเธอผ่านเข้ารอบสุดท้าย เข้าชิงมงกุฎสาวงามประเภทสอง

"หมอนนนี่" มีชื่อตามบัตรประชาชนว่า นายแพทย์อานนท์ จิตชาติ อายุ 26 ปี เป็นคนศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ชีวิตของเธอตั้งแต่เด็กอยู่ในโอวาทของพ่อแม่มาตลอด มีความคิดอยากนุ่งกระโปรงไปเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล อยากเอ่ย คำว่า "สวัสดีค่ะ แทนสวัสดีครับ" แต่มีป้าคอยถือไม้เรียวกำกับอยู่ตลอด จึงได้แต่เก็บซ่อนความรู้สึกไว้ข้างใน มีเพียงน้องสาวคนเดียวเท่านั้นที่รู้ เข้าใจ ยอมรับได้ และรับฟังช่วยคลายความอึดอัด ให้บรรเทาลงได้

ในฐานะลูกชายเจ้าของอู่ซ่อมรถ ต้องช่วยงานหยิบจับเครื่องไม้เครื่องมือ แม้จะเป็นงานเบาๆ ที่เด็กทำได้ เช่น การขันน็อต ถอดสกรู แต่การต้องเปื้อนเปรอะกับคราบน้ำมันเครื่อง เป็นสิ่งที่ไม่ชอบ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ มีเพียงวิธีเดียวคือ การเรียน

"เธอ" มุ่งมั่นใช้ความรู้ ความสามารถ ความพยายามปลดแอกให้ตัวเอง จนสอบเข้าโรงเรียนมัธยมระดับจังหวัดลพบุรี "โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย" นั่นเป็นก้าวแรกที่เธอได้มีอิสรภาพ ได้ก้าวออกจากบ้านไปเรียนต่อชั้นมัธยมต้นในโรงเรียนที่ดีกว่า แม้ว่าพ่อแม่ไม่อยากจะให้ลูกน้อยห่างจากอก แต่เมื่อมองอนาคตข้างหน้าจึงต้องยอม ขณะที่ลูกหัวใจพองโตเมื่อรู้ว่าสอบติด

ถึงจะไปเรียนไกลหูไกลตาพ่อแม่ แต่ยังต้องทำตามระเบียบโรงเรียน คือ สวมเครื่องแบบนักเรียนชาย และหาโอกาสร่วมกิจกรรมกับทางโรงเรียน แต่งเป็นหญิง สมัครเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ได้นุ่งกระโปรง แต่งหน้า ทาปาก ในบางครั้ง แค่นี้ก็ถือเป็นความสุขที่กะเทยตัวน้อยๆ จะหาได้ในวัยเยาว์แบบนี้

เนื่องจากเป็นเด็กขยัน ตั้งใจเรียนมาตลอด เกรดจึงอยู่ในเกณฑ์ดีมาก สอบได้ที่ 1 ของห้องตลอด เมื่อขึ้นมัธยมปลายถึงคราวต้องเลือกเรียน เพื่อเข้าสู่สายอาชีพตาม ความใฝ่ฝัน และความปรารถนา

หมอนนนี่ฝันอยากเรียน "แพทย์" อาชีพสูงสุดที่เด็กหลายคนแย่งชิงที่นั่งกันในทุกมหาวิทยาลัย เธอทุ่มเทกับการเรียน อ่านหนังสืออย่างหนัก กระทั่งสอบเข้า คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เป็นนักศึกษาแพทย์ จนเรียนจบหลักสูตรเป็นนายแพทย์เต็มตัว เลือกกลับไปรักษาผู้ป่วยในบ้านเกิด เป็นแพทย์ทั่วไป ทำหน้าที่ได้ไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่เคยถูกผู้ป่วยตำหนิสักราย และยังมีผลงานเคยช่วยเหลือ เอ-อนันต์ บุนนาค ดารานักแสดงชื่อดังที่ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำเมื่อ 2 ปีก่อน จนเป็นที่กล่าวถึงมาระยะหนึ่ง

ปัจจุบันเป็นหมอใหญ่ในชนบท ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลเขาค้อ ที่กันดารเป็นอันดับ 2 ของ จ.เพชรบูรณ์ และสนใจเวทีนางงาม สมัครเข้าประกวดชิงมงกุฎมิสทิฟฟานี่ ตามความฝันในวัยเด็ก พร้อมความหวังอยากเปลี่ยนสังคมให้ยอมรับสาวประเภทสองมากขึ้น



- รู้ตัวว่ามีจิตใจเป็นผู้หญิงตั้งแต่เมื่อไร?

ตั้งแต่อนุบาลแล้วค่ะ ชอบเล่นตุ๊กตา อยากใส่กระโปรง อยากพูดสวัสดีค่ะ จะถูกป้าตีประจำ กลัวถูกตีก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย อยู่บ้านก็ต้องทำอู่รถยนต์ช่วยพ่อตอนปิดเทอม แทบไม่อยากหยุดเรียนช่วยพ่อขันน็อต เนื้อตัวเลอะเทอะคราบน้ำมันเครื่องดำไปหมด จึงขอไปเรียนไกลๆ ดีกว่า พอสอบเข้าโรงเรียนที่ลพบุรีได้ พ่อจึงอนุญาตให้ไปเรียนต่อ เวลาอยู่โรงเรียนถ้ามีกิจกรรม เราก็แต่งตัวเป็นผู้หญิงออกไปแสดง ออกไปเต้นหน้าสแตนด์เชียร์ พักครึ่งกีฬาก็ออกไปเต้นลีด ตอนนั้นครอบครัวก็ยังไม่ค่อยรู้ แต่น้องสาวก็จะรู้ตลอด


- ทำไมถึงอยากเรียนแพทย์?

ตอนเด็กไม่รู้ว่าอยากเป็นอะไรเหมือนกัน การเรียนก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี สอบได้ที่ 1 ตลอด พอถึง ม.ปลายคิดว่าอาชีพหมอน่าสนใจดี เป็นอาชีพที่ช่วยคน จึงคิดอยากเรียนขึ้นมา นับแต่นั้นก็ตั้งใจอ่านหนังสือจนสอบเข้าเรียนแพทย์ได้

ส่วนการเลือกเรียนหมอ เพราะคิดว่าเป็นอาชีพที่มั่นคง และรู้สึกว่าเป็นตุ๊ดเป็นกะเทยสังคมจะดูถูกเยอะ ก็เลยต้องเรียนอะไรที่มีเกียรติแล้วก็คนยอมรับ


- ทำไมจึงคิดเรียนแพทย์ แล้วมีอุปสรรคอะไรบ้าง

หมอเป็นอาชีพที่มั่นคง และรู้สึกว่าเป็นตุ๊ดเป็นกะเทยสังคมจะดูถูก จึงต้องเรียนอะไรที่มีเกียรติเพื่อให้คนยอมรับ ตอนนั้นไม่คิดว่าจะเรียนได้หรือไม่ได้ แต่ต้องสอบเข้าให้ได้ก่อน แล้วค่อยไปตายเอาดาบหน้า แต่พอเข้าไปก็เรียนได้ ทำตัวตามกฎระเบียบ แต่งชาย ตัดผมสั้น ในช่วงที่ต้องลงตรวจคนไข้ หากไม่ได้ลงตรวจคนไข้ก็แต่งหน้าบ้าง นับว่าเป็นสาวประเภทสองคนแรกที่ทาปากไปเรียน

อันที่จริงรุ่นพี่ก็เป็น แต่ก็แอ๊บ เหมือนเราเป็นคนไปเบิกโรงให้รุ่นพี่ด้วยซ้ำ หลังจากนั้นก็สาวแตก เพื่อนที่เรียนคณะเดียวกันก็รู้และรับได้ สมัยนี้มันก็เปิดกว้างมากขึ้น อาจารย์ผู้สอนตอนแรกๆ จะบอกว่า แปลกใหม่ในคณะ เพราะตอนนั้นต้องการคนทำกิจกรรม ดิฉันจึงเข้าไปเป็นตัวชูโรง ในการรับน้องและการแสดงอื่นๆ ที่ไม่มีใครกล้าทำ


- ปกตินักเรียนแพทย์ต้องรักษาบุคลิกภาพให้เป็นที่น่าเชื่อถือ การเป็นกะเทยทำให้คนไข้เสื่อมศรัทธา?

ไม่หรอกนะคะ ที่ผ่านมาไม่เคยดูด้อยในสายตาใคร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวมากกว่า ไม่ได้ไปเกเร โดดเรียน ทำตัวบ้าผู้ชาย การลงตรวจคนไข้ก็พูดอย่างมีหลักการ ที่ได้ร่ำเรียนมา จะต้องทำยังไง พูดอย่างไร แนะนำตัวแบบไหน เหมือนแพทย์ทั่วไป ไม่ได้วี้ดว้ายกระตู้วู้

ตอนแรกๆ จบไปผมก็ยังสั้น ใส่กางเกง แต่งหน้านิดหน่อย ยังไม่ค่อยกล้าทำอะไรในปีแรก พอได้มีโอกาสใส่กระโปรงไปเที่ยว มีคนชมว่า สวยจัง ก็เริ่มเคลิ้ม ขึ้นปีที่ 2 มีวันหนึ่งไม่ต้องตรวจคนไข้ จึงใส่กระโปรงไปประชุม คนก็บอกว่า ใส่กระโปรงดีกว่าใส่กางเกง

"ดิฉันก็เอาเลยค่ะ แรกๆ ก็อายเหมือนกัน พอมีคนชม ก็แต่งทุกวันค่ะ เพื่อนร่วมงานบอกว่ารู้สึกดีกว่าใส่กางเกง ถือเป็นการนำเทรนด์ สร้างสีสันให้กับโรงพยาบาล คนไข้ก็เข้าใจและชิน ไม่เคยต่อว่าเป็นตุ๊ดเป็นกะเทย เป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง ตั้งแต่ทำมาไม่มีใครเคยว่าเรื่องนี้ ก็แค่แต่งตัวเป็นหมอผู้หญิงคนหนึ่ง สิ่งสำคัญมันขึ้นอยู่กับที่เราทำตัวมากกว่า "ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ


- คิดว่าโรงพยาบาลใหญ่หรือเอกชนจะรับทำงานไหม

กลัวเหมือนกัน ไม่รู้จะรับหรือเปล่า แต่คิดว่าถ้าใช้ทุนหมด คงจะเรียนต่อไปอีก "ชีวิตต้องเรียนต่อ ต้องก้าวไปข้างหน้า อย่าหยุดอยู่กับที่"


- แล้วทำไมถึงคิดเข้าประกวดมิสทิฟฟานี่

มันเป็นความใฝ่ฝันของกะเทยทั้งประเทศ ดันเอนทรานซ์ได้หมอ ก็ต้องเรียนให้สำเร็จก่อน เพราะหมอเรียนค่อนข้างหนัก ต้องใช้ความตั้งใจ และอีกอย่างก็ต้องทำตามกฎของนักศึกษาแพทย์ ตัดผมสั้น ใส่กางเกง จะมาประกวดก็คงไม่ได้ พอเรียนจบจึงพร้อมทั้งร่างกายและใช้สิทธิลางาน เพื่อทำตามความฝัน

"เกิดเป็นมนุษย์ต้องฝันให้ไกลไปให้ถึงใช่มั้ยคะ...? เวทีมิสทิฟฟานี่ ก็เหมือนมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส แต่เป็นสาวประเภทสอง"


- เพราะเป็นหมอหรือเปล่าทำให้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย?

ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย

"อยากให้มองดิฉันเป็นสาวประเภทสองคนหนึ่ง ที่อยากไปเหยียบเวทีมิสทิฟฟานี่ บางคนถามว่าเอาหมอไปขายรึเปล่า คือ ดิฉันเลือกเกิดไม่ได้ อยากเป็นหมอก็เลือกเป็น คนอื่นเขาอยากจะเป็นวิศวกร สถาปนิก ทำไมไม่มองดีกรีเขาบ้าง คือ ดิฉันเลือกที่จะเป็นหมอ แล้วที่มาประกวดมันเป็นความฝันสมัยมัธยมปลาย อยากทำความฝันให้เป็นจริง ผิดตรงไหน หรือเป็นหมอห้ามประกวดมิสทิฟฟานี่"


- เหตุผลอื่นที่เข้าประกวดมิสทิฟฟานี่ นอกเหนือจากความฝัน?

ถามว่าหมอเป็นสาวประเภท 2 เยอะมั้ย? เท่าที่รู้จักก็มี คือ เราไม่ได้เป็นโจร ไม่ได้เป็นฆาตกร ทำไมต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อยากทำอะไรที่ใจเรียกร้อง แต่งตัวเป็นผู้หญิง ทำแบบใจต้องการ มันจะทำได้เต็มที่มากกว่า จะให้ไปนั่งแอ๊บเป็นผู้ชาย ดิฉันคิดว่า มันไม่เต็มที่ ทำงานก็เครียดอยู่แล้ว ยังจะต้องมาเก็บสภาพกดดันว่า ...เอ๊ะฉันจะหลุดรึเปล่า ... สู้เป็นตัวของตัวเราเองดีกว่า มันจะทำงานได้ดีกว่า

"อย่างที่บอกสาวประเภทสองเป็นหมอก็เยอะเหมือนกัน บางคนทำนมมาไม่กล้าไปเรียนต่อ ต้องไปอยู่ที่ชนบท แต่ดิฉันคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ที่คนจะมาเปิดเผยตัวเอง คือ ต่อให้ไม่เปิดเผยตัวเอง ก็ยังเป็นหมอวันยังค่ำ สักวันคนอื่นก็ต้องรู้ว่า เป็นหมอกะเทยแต่งหญิง สังคมต้องรับรู้ได้แล้ว ถึงเวลาแล้วค่ะ"


- คิดว่าอาชีพหมอช่วยสร้างภาพลักษณ์กะเทยให้สังคมยอมรับได้มากขึ้น?

อาจจะมีส่วน คนชอบมองสาวประเภท 2 ว่า เป็นตัวตลก ไม่ได้ตลกเหมือนกัน ดิฉันไม่ได้ขำ อยากให้มองสาวประเภท 2 เหมือนคนทั่วไปมีทั้ง ดี ชั่ว มีด้านบวก และลบ พวกเรามีความรู้ ความสามารถ อยู่ในอาชีพที่มั่นคงได้เหมือนกัน ไม่ใช่แค่อาชีพหมอ "อยากให้มองว่า เราสามารถทำได้ในทุกสิ่งที่ผู้หญิงและผู้ชายทำได้"


- ตอนที่ไม่สามารถแสดงออกได้รู้สึกยังไง

ต้องทนค่ะ ถ้ายังไม่มีความรู้มากพอในการรักษาใครได้ ก็ต้องใช้ภาพลักษณ์เป็นเกราะป้องกันก่อน หากเรียนแล้วมีความรู้เต็มที่ สอบใบประกอบโรคศิลปะผ่าน เราก็ใช้ความรู้ เป็นเกราะป้องกัน แทนภาพที่เขาคาดหวังว่าหมอจะต้องแต่งตัวดูดี ใส่แว่นตา กะเทยก็เป็นคนเหมือนกัน ขอให้มองเราเป็นคนกลุ่มหนึ่ง ทางบ้านเริ่มรู้แล้วแต่ไม่พูด คุณแม่บอกว่ารับได้ แต่ในใจไม่รู้ว่ารู้สึกยังไง ส่วนพ่อก็ต้องให้เวลาทำใจบ้าง ถึงวันนี้ยังไม่กล้าใส่กระโปรงเข้าบ้าน


- การมาประกวดมีสทิฟฟานี่กระทบต่อหน้าที่แพทย์หรือไม่

ดิฉันทำตามหลักที่กระทรวงกำหนด แบบไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ได้ลาออกมาทำงานเป็นหมอตามห้องแถว เรียน 6 ปี จบมาต้องใช้ทุนรัฐบาล 3 ปี ไม่ว่าหญิงชายหรือกะเทยต้องทำตามหลักเกณฑ์นี้ นอกจากจะจ่ายเงินคืนให้รัฐบาล เพื่อจะได้ไม่ต้องไปอยู่โรงพยาบาลในพื้นที่กันดาร ดิฉันทำตามทุกอย่างตั้งแต่ปีแรกจนย่างเข้าสู่ปีที่ 2 ก็ยังประจำในชนบทโรงพยาบาลเขาค้อกันดารอันดับ 2

ดิฉันไม่ได้แหกกฎ เพียงแต่เป็นสาวประเภทสอง แค่นั้นเอง ถ้าจะตราหน้าว่าฉันผิด เพราะเป็นกะเทย เลือกไม่ได้ค่ะ จะให้ทำยังไง เกิดมาแล้วนี่คะ


- อยากเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อเป็นแพทย์หญิงมั้ย

ถ้าได้ก็ดีค่ะ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เดือดร้อน ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า แต่จะมีปัญหาตอนไปเมืองนอก ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง เมื่อดูคำนำหน้าชื่อกับรูปพรรณสันฐานไม่ตรงกัน จะเกิดคำถามมากมายรื้อค้นหลักฐานมายืนยันวุ่นวาย


- อยากเรียกร้องอะไรจากสังคม?

สิ่งที่พวกเราเรียกร้องคือ ความเท่าเทียมกันในสังคม ให้ทุกเพศมีที่ยืนสังคมยอมรับ พวกเขาจะต้องช่วยทำประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษย์ อย่างที่ดิฉันทำอยู่ขณะนี้

สำหรับเยาวชนกะเทย อยากให้ตั้งใจเรียน การกิน ฉีด ยาคุม ตัดไข่ มันสวยจริงหรือเปล่า จริงอยู่มันทำให้เราเป็นผู้หญิงมากขึ้น แต่มีผลเสียมากกว่า บางยี่ห้อกินมาก เอ๋อ เบลอ เวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน ไปเรียนไม่ได้ เรียนไม่จบ มัวแต่ห่วงสวย ทุกคนควรมีรากฐานที่มั่นคง ต้องมองไปไกลๆ


- เฉาะหรือยัง?

"เรื่องเฉาะไม่เฉาะ มันเป็นเรื่องใต้ร่มผ้า เหมือนกับไปถามผู้ชายว่า ยาวเท่าไหร่ ใหญ่มั้ย? ความรู้สึกเดียวกัน ทำไมต้องถามดิฉันด้วย ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาบอกสังคมว่า อ๊า ... ฉันเฉาะแล้ว เวลามีคนมาถามอย่างนี้ก็อายเหมือนกันนะ"

นายแพทย์สาวสวยยังฝากถึงเยาวชนกะเทยตัวน้อยๆ เข้าใจว่าอยากสวย แต่ความรู้สำคัญกว่า หากเปรียบความรู้เสมือนรากไม้ ความสวยเสมือนดอกไม้ ตราบใดที่รากไม้มันแข็งแรง ความสวยไม่มีทางหลุดไปไหน

ความสวยวันหนึ่งต้องเหี่ยวแห้งเฉาตายไป แต่ความรู้มันจะอยู่กับเราไปจนวันตาย และเป็นอาวุธเดียวที่ทำให้เราต่อสู้กับสังคมได้"



หน้า 17 วันที่ 08 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 12111 มติชนรายวัน



Create Date : 08 พฤษภาคม 2554
Last Update : 8 พฤษภาคม 2554 14:53:38 น. 0 comments
Counter : 2499 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.