Group Blog
 
<<
มีนาคม 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
27 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 
- 20 ปีแห่งการทำงานเบื้องหลังห้องเสื้อคู่ใจ MTU * AMORE -.



บทสัมภาษณ์กับความใจดีของ คุณภคมน ทวีสวย หรือที่บรรดาแฟนๆนางงามรู้จักกันดี ว่า พี่เขม กับความเป็นมาของร้าน เบื้องหลังการทำงาน การเรียนรู้ในอาชีพที่รักและทำด้วยใจ จนก้าวมาถึงทุกวันนี้ ภายใต้คำว่า AMORE





สวัสดีค่ะ พี่ภคมน ทวีสวยนะคะ ถ้าเมื่อก่อนจะทราบชื่อพี่ในนามเขมราช ทวีสวย พี่เพิ่งเปลี่ยนชื่อ พี่เป็นเจ้าของร้านเสื้ออมอเร่ ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 39 พร้อมพงษ์นะคะ แล้วก็ที่มาของร้านเนี่ย ร้านนี้มีอายุในการทำงานมาแล้ว 12 ปี ก่อนหน้านี้พี่ก็ทำงานโฆษณา ทำเสื้อผ้า ในงานอีเวนท์ต่างๆตั้งแต่พี่อายุ 20 พี่เรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรียนนิติศาสตร์ค่ะแล้วพี่ก็เริ่มที่จำทำเสื้อตั้งแต่ตอนที่พี่ เป็นเด็กๆเลยคือชอบแล้วก็สนใจที่จะทำเรื่องนี้อยู่แล้ว คือ ระหว่างที่ช่วงเย็นของการเลิกเรียนพี่ก็จะไปเรียนภาคค่ำที่ระพี แล้วหลังจากนั้นพี่ก็ได้มีโอกาสได้เข้าพบผู้ใหญ่ในหลายๆท่าน ที่เห็นว่าเรามีแววที่ จะทำงานก็เลย ดึงเราเข้าไปทำงาน พี่ก็ได้ประกวด ยังดีไซน์เนอร์ ตั้งแต่นั้น ในเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว



หลังจากที่มีการประกวดยังดีไซน์เนอร์ พี่ก็ได้เข้าสู่วงการโดยการทำงานเป็นดีไซน์เนอร์ ให้กับห้องเสื้อ ดอนน่า ทำอยู่ประมาณ 4 ปี ก็ได้ไปทำที่ห้องเสื้อ ไวโอเลตแล้วก็ห้องเสื้อ เดลคอโซ่ ซึ่งระหว่างที่ทำจะมีทั้งการทำ ภาพยนตร์ ทั้งการทำสไตล์ลิส แล้วก็ทำทั้งมิวสิควิดิโอ แล้วก็ทำทั้งโฆษณา ก็ได้ทำพร้อมๆกัน ซึ่งสมัยก่อนจะหา คนที่จะทำเสื้อผ้าคอสตูมเนี่ยยากมาก พี่ถือว่าเป็นคนโชคดีซึ่งรู้จัก รุ่นพี่ในวงการหลายๆท่านให้โอกาสในการทำได้ทำตั้งแต่สมัยที่คีตา เริ่มตั้งแต่สมัยน้องฝันดีฝันเด่น สมัยคุณแสงระวี สมัยคุณอ้อม สุนิสา เป็นสไตล์ลิสเสื้อผ้ามาก่อน แล้วก็ได้ไปทำโฆษณากับบริษัทประกิต บริษัทกาโม่ อีกหลายๆบริษัทน่ะค่ะที่ได้ไปทำงานด้วย แล้วก็ทำโฆษณาเกี่ยวกับนางงาม ปาล์มโอลีฟ ได้มีโอกาสสัมผัสกับนางงามหลายๆท่าน แล้วก็เลยทำให้พี่รู้สึกว่า... เออ เราน่าจะทำเสื้อเอง เพราะว่าหาเสื้อยากมาก สมัยก่อนเวลาจะถ่ายโฆษณาจะหาเสื้อยากมากก็เลยจุดประกาย ว่าเราอยากทำ ก็เลยไปเรียนแพทเทิร์น พอเรียนแพทเทิร์นเสร็จปุ๊บ ก็มีโอกาส ได้เป็นดีไซน์เนอร์จริงๆนะคะ ตอนนั้น เริ่มต้นด้วยการทำงานคนเดียว ทำงานด้วยเรียนด้วย จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่าจับผลัดจับผลูได้มาทำเสื้อเป็นเรื่องเป็นราว…




ทีมงานทั้งหมดในอมอเร่ ณ วันนี้ เนี่ยมีอยู่ประมาณไม่ถึง 20 ชีวิต แต่ก่อนนี้มีเยอะกว่านี้ แต่ว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่เราแบบว่า ต้องพูดกันตรงๆว่า เป็นเศรษฐกิจพอเพียง เราไม่ได้คิดจะขยับขยายอะไร ก็คือ ทำกันแบบบ้านเสื้อ คืออมอเร่ มีที่มา มาจากคำว่า ความรัก เพราะฉะนั้นเราทำงานด้วยความรักเราทำงานด้วยการรักเสื้อ คือ ไม่ได้มาทำเพราะคิดว่ามันเป็นธุรกิจ






พี่เริ่มเข้ามาทำงาน ให้ช่อง 7 เมื่อหลายปีที่แล้ว คือได้เริ่มทำในเวทีไทยซุปเปอร์โมเดลก่อนนะคะ เพราะว่าตอนเวทีไทยซุปเปอร์โมเดลเนี่ย เป็นปีแรกที่จัดขึ้น แล้วก็มีโอกาสได้ทำชุด เพราะตอนนั้นอมอเร่ค่อนข้างจะโปรโมทในเรื่องแฟชั่นนะคะ อมอเร่ไม่ค่อยได้ทำเกี่ยวกับเรื่องนางงามอะไรนักหนาเพราะฉะนั้นธีมเสื้อผ้าจะออกแนวเปรี้ยว เซ็กซี่ อะไรซะส่วนใหญ่ เพราะตอนนั้นทำงานสไตล์ลิสด้วยทำงานโฆษณาด้วยแล้วเสื้อผ้าตอนช่วงนั้นค่อนข้างจะเปรี้ยเพราะทำเสื้อให้ทั้งน้องทาทา น้องใหม่ น้องมาช่า แล้วพอเสร็จแล้วคุณแดงได้เห็นในเวทีนั้นเวทีไทยซุปเปอร์โมเดลเสร็จปุ๊บคุณแดงก็ได้ชวนเอ่ยปากชวนในอีกปีนึงว่าลองมาจอยกันไหมเพราะมี 3 ห้องเสื้อจะมาจอยกัน สำหรับเวที MTU พี่ก็เลยบอกว่า ก็ได้ค่ะ ลองดูเพราะว่าไม่เคยทำแต่ว่าพอได้ลองทำแล้วก็เกร็งตอนแรกปีนั้นเกร็งแต่บังเอิญว่าเสื้อที่เราได้ทำให้นางงามใส่ คือ น้องเจี๊ยบ เป็นผู้ชนะเลิศ ซึ่งเสื้อตัวนั้นก็สวยถูกใจผู้ใหญ่ ทุกคนก็ชมว่าสวยปีต่อมาพี่ก็เลยได้ทำ อีกปีแล้วก็ได้ทำต่อมา








ปี 2003

ปีนี้เริ่มต้นการทำชุดไปประกวดมิสยูนิเวอร์สให้กับน้องเจี๊ยบแรกๆพี่ยอมรับเลยว่า พี่สับสนจับต้นชนทางไม่ถูก เพราะพี่ไม่ทราบมาก่อนเลยว่า เราจะต้อง เอ่.. จับทางยังไง เราจะออกแบบยังไง จะเอาเทรนด์ไหน ยังไงก่อนแล้วมันยังมีเรื่องของรูปร่าง มันคือ การผสมผสานระหว่างจะทำยังไงให้แฟชั่น กับการรับลูกค้าเหมือนเรามีลูกค้าคนหนึ่ง เราจะทำยังไงพรางให้เขาสวยอย่างน้องเจี๊ยบค่อนข้างจะมีปัญหานิดนึง เพราะตัวค่อนข้างโครงใหญ่ ช่วงหน้าขาจะเปิดโชว์ไม่ได้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ต้องช่วยพรางเขา






ก็เลยว่า ถ้าเราออกแบบเอง เอ๊..จะเชยไหม พูดตรงๆว่า ถ้าคุณอยากจะไปงานออสการ์สักงานหนึ่ง คุณเดินเข้ามาเลย คือเรา สามารถจะก๊อบปี้ให้คุณใส่สวย เพราะพี่บอกว่าพี่ไม่ใช่ดีไซน์เนอร์แต่พี่เป็นช่างเสื้อ พี่เรียนรู้จากการเห็น เรียนจากแบบที่เขาทำ ประวัติในการทำเสื้อของเมืองนอกมันชั้นสูงมันยาก แค่ก๊อบปี้ให้เหมือนก็ยากแล้ว พี่ก็เลยไม่บังอาจทำ แล้วพี่เห็นชุดนี้นิโคล คิดแมน ใส่สวยมาก ก็เลยอยากทำให้ เพราะพี่ก็คิดว่า ถ้าเราขึ้นประกวดเองเราก็อยากใส่ชุดสวยๆแบรนด์ดังๆ แต่ก็ไม่มีสปอนเซอร์ที่ไหนมาสนับสนุน ทุนก็ไม่มีเอง ก็เลยคิดว่าทำไมเราไม่ทำเองล่ะ เพราะนี่คือ การประกวดนางงาม ไม่ใช่การประกวดชุดพี่ก็เลยคิดแค่นี้ ในความคิดเออ ใครจะด่าก็ช่างเถอะแต่ขอให้น้องเค้าสวย เพราะนี่คือหน้าที่เรา ที่ต้องทำให้เขาสวย ก็ทำออกมา ผลตอบรับก็คือ มันยังไม่สวยเต็มที่ เพราะว่าเป็นปีแรกเลยยังจับทางไม่ถูก คนเขาก็ค่อนข้างด่ามาว่า ...อุ๊ย ตายแล้ว ก๊อปมาเลยหรอ …







ปี 2004

พอปีต่อมาก็เลยแก้ตัว พยายามคิดเอง เราคิดเองประยุกต์ลายเอา ทำอะไรเอา เห็นเสื้อสวยตัวนึง ก็มาประยุกต์เอา แต่ตอนนั้นก็ยังมีเรื่องต้องมีความเป็นไทยอะไรบ้าง พี่รับฟังทุกความคิดเห็น พี่ก็ฟังหมด แต่ร้อยคนก็ร้อยไอเดียเราก็ต้องทำให้มันเหมาะ ปีนั้นพี่ชอบอยู่เรื่องหนึ่ง ก็คือ ปีนั้นสีไปชนกับชุดของมิสอเมริกา ซึ่งถือว่าเราจับทางถูกเราเดาใจเขาถูกว่า เฮ้ย มันเป็นเรื่องบังเอิญมากที่เราไปทำให้เขาสีเดียวกัน พี่มีความสุขตรงเนี่ย ว่าเออเราเริ่มมาถูกทางนิดนึงและ แต่ก็ยังไม่วายจะถูกคอมเมนท์นิดนึง











ปี 2005

พอมาถึงปีของน้องน้อด พี่ก็ยังทำ แต่ก็ต้องคำนึงถึงการขายด้วย เพราะว่าพอเราทำเสื้อเหาะเหินเดินอากาศมากๆมายๆไปเนี่ย ลูกค้าก็เริ่มช๊อคว่าเราเออ เป็นอะไรไป จากที่ทำเสื้อเปรี้ยวๆโป๊ๆ มาเป็นชุดนางงาม เราก็ต้องคำนึงถึงว่าเออ ทำแล้วก็ต้องมีลูกค้ามาซัพพอร์ท คือ ถ้าเราทำงานโชว์อย่างเดียวเลย ลูกค้าก็จะช๊อคพี่ก็เลยทำกลับให้ค่อนข้างมายืนอยู่บนความเป็นจริง ปีน้อดเนี่ย ยิ่งกดดันเข้าไปอีก เมื่อรู้ว่าเราจะต้องประกวดในเมืองไทย ปีนี้กดดันมากๆ กดดันมากที่สุด เพราะว่าทุกคนคาดหวังว่าจะต้องเป็นยังงี้ยังงั้น เพราะพี่โดนผู้ใหญ่อาจารย์หลายๆท่านทักว่าควรจะทำเสื้อให้มันเบาลงพลิ้วไหวขึ้น แต่ต้องไม่ลืมว่าเรามีชื่อเสียงเรื่องการปัก แต่ทีนี้จะปักอะไรล่ะ ก็นึกไม่ออก ทีนี้พี่ก็คิดว่า น้อดเนี่ยเป็นผู้หญิงที่ประหลาดมาก คือ ดูเฉยๆภายนอกน้อดจะเป็นอีกคนหนึ่ง ขึ้นเวทีก็จะเป็นอีกคนหนึ่ง แล้วเราได้คุยกันเป็นการส่วนตัวคือน้องบอกว่า ...น้องไม่ใช่คนเรียบร้อยนะคะ พี่เขมทำได้เต็มที่... พี่ก็เลยสบายใจเพราะว่าภาพลักษณ์ทุกคนจะเห็นว่า น้อดเท่ๆ ขรึมๆ เรียบร้อย ไม่พูดจา ตอนนั้นทุกคนเลย งงหมดเลยว่าไม่มีใครคิดว่าน้อดจะเซ็กซี่เดินชุดว่ายน้ำ สะบัดได้ขนาดนั้น พี่ก็ช๊อคเหมือนกัน พี่ก็เลยว่าน้อดเป็นผู้หญิงที่ลึกลับ วิธีจะใช้สีก็ขึ้นกับบุคคลเหมือนกัน มันมีองค์ประกอบมากมายที่เข้ามากดดันเวลาเราทำงานพี่ก็เลือกว่า น้อดเนี่ย เป็นเหมือนกล้วยไม้เมืองไทย ฝรั่งเวลานึกถึงเมืองไทยก็นึกถึงกล้วยไม้ ตั้งแต่การบินไทยมา น้อดเป็นผู้หญิงลึกลับที่จะใส่สีม่วงได้สวย พี่ก็เลยคิดว่าบรรเลงออกมาเป็นกล้วยหม้งกล้วยไม้ซะ






ซึ่งปีนั้นเอง ซึ่งมันมีผลมาก คือสำหรับพี่เนี่ย ฟีดแบค ในการทำชุด คือ โดนด่ายับ...เพราะว่ามีแฟนๆที่คาดหวังเยอะ มีกลุ่มดีไซน์เนอร์ที่วิจารณ์ค่อนข้างแรงเยอะ สำหรับพี่เอง พี่ค่อนข้างเสียใจ แต่จากวันนั้นชุดนั้นเนี่ยทำให้พี่มีเรื่องพิเศษๆและดีดีเยอะมาก สำหรับชุดน้องน้อด






ปี 2006

พอมาถึงปีน้องชาม น้องชามค่อนข้างเพอร์เฟคเป็นนางงามสำเร็จรูปในสายตาพี่คือลงตัวหมด หุ่นดีมาก ภาษาค่อนข้างดี เขาพร้อมที่จะเป็นนางงาม เขามีความพร้อมในหลายๆทางที่จะสามารถเป็นนางงามที่จะก้าวเข้ารอบลึกๆในการประกวดในใจของพี่พี่แอบเชียร์ แล้วก็ในส่วนของชุดราตรีเนี่ยพี่ภูมิใจมากคือ ทุกคนชอบชุดชามหมดเลย คือในงานปาร์ตี้ทุกคนเดินมาชามร้องไห้ทุกคนเสียใจ มีคนบอกว่ายูน่าจะเป็นวินเนอร์ ชุดยูสวยมากคือ เราก็คิดว่าเขาปลอบใจธรรมดาก็ไม่ได้คิดอะไร คือเราทำโดยที่เราดูรูปร่างของน้องชามเอง คือชามเนี่ยยังเด็ก เขามีความเป็นเจ้าหญิงสูงมากกว่าความเป็นนางแบบ







คือเราดูจากหน้าเขาด้วยในการทำประกวด อย่าน้อดเนี่ย เขาค่อนข้างจะเฉี่ยวแล้วมีความมั่นใจสูงสามารถที่จะแอบเซ็กซี่แบบแข็งๆได้ แต่ว่าชามเนี่ยพี่คิดว่าเอาเป็นแบบเจ้าหญิงจะสวยกว่าแต่ไม่ใช่เจ้าหญิงที่ฟู่ฟูอะไร ไม่ใช่ เขาดูหรูหราราคาแพง ชามเขามีตรงนี้ แล้วเวลาเขาใส่ชุดพี่อยากให้เขารู้สึกว่าเขาสง่างามมากๆ เพราะว่าเขามีผิวพรรณสวยหน้าตาดูคุณหนูๆ เปิดหลัง โชว์ผิวโชว์ขานิดหน่อยพอแล้วไม่ต้องโชว์มาก แล้วน้องชามนี่รูปร่างสมส่วน เขาก็ได้คะแนนในรอบนี้สูงอยู่แล้ว กรรมการก็ได้เห็นเขาในชุดว่ายน้ำอยู่แล้ว คือชุดราตรีมีการพรีเซนต์แตกต่างกันไม่จำเป็นต้องโป๊ต้องโชว์เพราะโชว์ในชุดว่ายน้ำไปแล้ว การให้คะแนนก็จะแตกต่างกันแล้วน้องชามทำได้ดีทั้งสองอย่าง และได้เข้ารอบไปเพราะเราไม่ได้เข้ารอบมานานมากแล้ว







ปี 2007

จนมาถึงปีน้องกวาง ปีล่าสุด ต้องบอกว่าปีนี้กดดันน้อยลง เพราะเราได้มีประสบการณ์ตอนที่ไปเมืองนอกและ เพราะเราเห็นด้วยตาจริงๆว่า เมืองนอกเนี่ยเวลาเขาประกวด บางทีงานเขาไม่ได้สวยเท่ากับงานเมืองไทยด้วยซ้ำ บางทีดูหยาบๆ แต่พออยู่บนเวทีมันออกมาสวย แต่บอกได้เลยว่างานฝีมือคนไทยสู้ได้สบายมากๆพอมาถึงเรื่องแบบ ก็กดดันน้อยลง เพราะพี่คิดว่าสาวๆที่ไปประกวดทั้งหลาย ต่างก็เลือกชุดแบรนด์ดังๆที่เป็นของเมืองนอก เพราะแต่ละประเทศก็พยายามทำชุดให้ใกล้เหมือนจะก๊อบปี้มาเพื่อที่จะให้นางงามตัวเองดูสวยที่สุด เพราะเขาไม่ได้คิดอะไรตรงนี้ พอมาถึงน้องกวาง รูปร่างดีมากใส่อะไรก็ได้ มีปัญหาแค่ว่าช่วงหน้าอกน้อยหน่อย แต่ว่าช่วงไหล่สวย ช่วงแขนช่วงขาช่วงตัวเขายาว อาจจะมีปัญหาว่า ใส่ชุดราตรีแล้วดูผอมดูแบนดูตรงไป ด้วยซ้ำ เนื่องจากหุ่นเขาเป็นหุ่นนางแบบหุ่นน้องชามเป็นหุ่นนางงาม เพราะฉะนั้นทำยังไงให้เขาดูอ้วนขึ้น ทำยังไงให้เขาดูมีเนื้อมีหนัง เขาได้เปรียบได้เรื่องของความสูงขายาวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นปั้นหน้าอกช่วย บีบเอวเล็กลง เสริมทำยังไงให้ช่วงสะโพกสูงขึ้น




พี่ก็เลือกจากแบบที่อัพเดทในตอนนั้น คือเลือกจากชุดเวอร์ซาเช่ จะทำยังไงให้สวยและใกล้ความจริงที่สุด นี่คือสิ่งสำคัญที่เราเลือกให้เขา จะบอกว่าเราภูมิใจในเรื่องของแบบก็ไม่ได้เพราะเราทำหน้าที่เหมือนสไตล์ลิสไม่เหมือนดีไซน์เนอร์ เราเป็นแค่สไตล์ลิสให้เขาไม่ใช่ดีไซน์เนอร์หรอก เพราะเราต้องไปนั่งแกะชุดให้เขาทุกอย่างเพื่อพรีเซนต์ใหม่ ตรงนี้พี่ถือว่าพี่เป็นสไตล์ลิสให้เขาเป็นช่างเสื้อให้เขา อะไรที่มันถูกคนถูกงานพี่ก็ว่าดีที่สุด แล้วปีนี้เป็นปีมงคลก็เลยเลือกสีเหลือง แล้วน้องกวางก็เกิดวันจันทร์ พี่เป็นคนสนใจเรื่องนี้ อย่างน้องชามสีขาวถูกโฉลกสีเขียวถูกโฉลก พี่ก็จะพยายามคิดอะไรที่มันช่วยให้เขามั่นใจในสิ่งที่เขารู้สึก เพราะทุกคนที่ประกวด จะมีความเชื่อเรื่องโชคลาง สมัยก่อนพี่ไม่ได้ถามน้องเจี๊ยบ น้องเอ็มมี่ หลังๆก็เลยให้น้องๆมีส่วนร่วมว่าเขาชอบสีอะไร จะได้ร่วมด้วยช่วยกัน แล้วก็แอบภูมิใจว่าชุดเขาปีนี้ เวปต่างชาติลงความเห็นว่าเหมาะกับเขาที่สุด พี่เลยแฮปปี้ในจุดของสไตล์ลิสมากกว่า ไม่ใช่การออกแบบ









ปี 2008

สำหรับปีนี้ ที่เราจะประกวด ปัจจัยหลักเลยคือ ต้องดูว่าเราจะได้นางงามยังไงบุคลิกภาพยังไง หน้าตายังไง ถ้าเราโชคดีได้นางงามค่อนข้างสูง สัดส่วนสมส่วน ชุดก็ออกมาเซ็กซี่ ถ้าเราได้นางงามหน้าตาคุณหนูก็ได้ออกมาแนวหวานๆต้องตามสไตล์เขาด้วย แต่ที่สำคัญต้องอิงเทรนด์ของมิสยูนิเวอร์ส ซึ่งเปลี่ยนไปมาก เพราะปีหลังๆมา ญี่ปุ่นที่ได้รางวัลไป ค่อนข้างจะแบรนด์เนมจ๋าเลย สมัยใหม่ไม่เน้นปัก ซึ่งพี่ก็อาจจะไม่ปัก ในปีนี้ พี่อาจจะเปลี่ยนแนวก็ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวนางงามของเราว่าจะเปลี่ยนไปได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งก็สำคัญเหมือนกันแล้วพี่ก็รับความเห็นจากน้องๆ พี่ถือว่าช่วยพี่ได้มาก ทำให้เห็นว่าเด็กๆเขามีมุมมองที่ต่างจากเรายังไงยังมีน้องอีกหลายท่านที่ส่งแบบมา แล้วในอนาคตพี่คิดว่าเขาต้องเป็นดีไซน์เนอร์ที่เก่งมาก ๆ พี่ก็เลือกเอาแบบของเขามาประยุกต์ใช้ คือให้โอกาสให้เขาได้เห็นในสิ่งที่เขาฝัน แล้วก็ได้ทำขึ้นมาจริงๆ จะเลือกประยุกต์ตามรูปร่างของตัวนางงามที่จะได้รับมงกุฎ แต่จะบอกไม่ได้ว่าสีจะเป็นยังไง รูปทรงจะยังไง ต้องขึ้นกับตัวแบบค่ะ…







ตลอด ระยะเวลาที่พี่ทำงานมาเกือบ 20 ปี พี่ยึดคำสอนจากพ่อแม่และก็ผู้ใหญ่ที่พี่เคารพรักและคำสอนพระบรมราโชวาทจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ท่านได้พร่ำสอนว่า ... ทุกคนมีหน้าที่ พี่เชื่อว่าหน้าที่สำคัญกับทุกคน พี่มีหน้าที่ที่จะต้องทำเสื้อให้ทุกๆคนใส่สวยไม่ว่าจะอะไร จะถูกบ่นถูกว่าถูกกล่าวถูกตำหนิ ถ้าเรามีหน้าที่แล้วเราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด นี่คือสิ่งที่สำคัญในการทำงาน แล้วก็เรื่องของความพอเพียง สำหรับพี่เนี่ย เราต้องมีความสุขกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ พอเพียงหมายถึงว่ามีความสุขกับสิ่งที่เราได้รับ ทุกคนได้มาไม่เท่ากัน แต่ว่าทำยังไงให้เรามีความสุขกับสิ่งที่เรามีอยู่ เรามี 10 บาทเราก็มีความสุขกับการใช้แบบ 10 บาท เรามีห้องเสื้อเล็กๆแบบนี้ เราก็มีความสุขกับห้องเสื้อเล็กๆและทีมงานเล็กๆ คีย์สำคัญที่สุดในชีวิต คือ มีความสุขกับสิ่งที่เรามีอยู่...






เก็บตก ที่น่าภูมิใจ

ปี 2005 ...ลืมเล่าไปว่า ปีน้องน้อด พี่ได้มีโอกาสพบกับเจนนิเฟอร์ นางงามจักรวาลปีก่อนหน้านั้น เขาบอกว่า อยากใส่ชุดของเรามากคือ เขาค่อนข้างอยากใส่ชุดเรามอบตำแหน่งมากแต่เนื่องจากความยาวเขาสูงมากอะไรมากเราก็ไม่สามารถ เราเข้าไปหลังเวทีไปพบเขา นี่คือความภาคภูมิใจของดีไซน์เนอร์ไทย ซึ่งพี่ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้เรามีกำลังใจทำต่อ

ปี 2006 ...หลังจบงานเรากำลังจะเดินกลับบ้านกัน พี่ก็ได้ไปเจอผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านเป็นผู้ชายผิวดำทำงานให้องค์การ ยูเนสโก้ท่านเดินเข้ามาบอกว่า ... ไอจะบอกยูนะ ว่าชุดของชาร์มเนี่ยเป็นชุดที่สวยที่สุดในการประกวด ตั้งแต่ไอเคยเห็นมา ไอเป็นเพื่อนของ แองเจลิน่า โจลี่ แล้วไออยากให้ยูเข้าไปทำเสื้อให้แองเจลิน่าโจลี่ เท่าเนี้ย... คือทุกคนอยู่ตรงนั้นหมด น้องชามน้องเชิมอยู่ตรงนั้นหมดเราก็ตะลึง คือประทับใจ ที่บุคคลคนหนึ่งเขาบอกว่าตัวเขาคือใครภูมิใจกับงานของเรา เขาบอกเขาเห็นงานระดับโลกมาเยอะ ดีไซน์เนอร์ไทยเนี่ยเก่ง เรามีความภูมิใจตรงเนี้ย โดยที่เราไม่ต้องมาบอกใคร เราเก็บมันไว้เฉพาะกลุ่มเราก็แฮปปี้ พี่คิดว่าน้องๆหลายคนคงมีฝันและทำให้มันเป็นจริงได้...





ขอบคุณบทสัมภาษณ์ดีๆจาก t-pageant.com

//www.t-pageant.com/webboard/viewtopic.php?t=58202




Create Date : 27 มีนาคม 2551
Last Update : 27 มีนาคม 2551 21:37:07 น. 0 comments
Counter : 4826 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.