| คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น |
| | |  | เวทีขาอ่อนมิสไทยแลนด์เวิลด์ของช่อง 3 เคยสร้างความฮือฮาไปทั่ววงการ ในคราที่จัดการประกวดปีที่ 2 (2529) เมื่อผู้ที่ได้ครองตำแหน่งอย่าง แสงระวี อัศวรักษ์ ถูกเพื่อนนางงามกระชากมงกุฎกลางเวที เพื่อนำมาสวมให้กับรองอันดับ 1 อย่าง ดวงเดือน จิไธสงค์มาในปีนี้ เมื่อเวทีจากช่องคู่แข่งอย่างมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ข้ามแดนตาม คุณนายหน้าม้า-สุรางค์ เปรมปรีดิ์ มาอยู่ช่องเดียวกันเป็นปีแรก ก็สร้างความฮือฮาเป็นปฐมบท เมื่อผู้ที่ได้ครองมงกุฎอย่าง ฝ้าย เวฬุรีย์ ดิษยบุตร เพิ่งประกาศสละตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
เพียงชั่วข้ามคืนที่ปรากฏชื่อของ ฝ้าย เวฬุรีย์ ดิษยบุตร ในฐานะมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ปีล่าสุด กระแสเสียงในเชิงลบก็กระหน่ำซ้ำซัดมาที่เธอทันที ด้วยข้อหาได้ตำแหน่งชนิดค้านสายตาประชาชน ทั้งเรื่องความสวย รูปร่าง ซึ่งจะว่าไปแล้ว ฝ้ายเองไม่ใช่นางงามคนแรก ที่ครองมงกุฎแบบค้านสายตาคนดู แต่ที่ผ่านมา ยังไม่มีครั้งไหนที่กระแสต่อต้านจะโหมแรงมากมายขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะความเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ ที่มีการตอบโต้กันด้วยถ้อยคำที่เผ็ดร้อนว่อนอยู่ในโซเชียลมีเดีย มิไยที่ฝ้ายจะออกปากขอโทษขอโพย และสัญญาว่าจะปรับปรุงตัว
โดยเฉพาะในเรื่องของสัดส่วนรูปร่าง ในฐานะที่จะต้องเป็นตัวแทนประเทศไปฟาดฟันกับเพื่อนนางงามจากต่างแดนในเวทีขาอ่อนระดับโลก
กระนั้นแล้ว กระแสเสียงในเชิงลบ ก็หาใช่จะสร่างซาลงไป ความกดดันจากกระแสสังคม และถ้อยคำเชิงปรามาส ยังคงถาโถมเข้าใส่สาวน้อยวัย 22 ปี ที่เพิ่งมีสถานะเป็นมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ เพียงแค่ 24 วัน จนเธอมิอาจทานทนได้อีกต่อไป งานแถลงข่าวครั้งที่ 2 ของเธอ จึงเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงสะอื้นและหยาดน้ำตา เมื่อเธอตัดสินใจประกาศสละมงกุฎมิสยูนิเวิร์ส ไทยแลนด์ และไม่ขอเรียกร้องสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น ย้ำว่าเป็นการตัดสินใจของตนเองและให้เหตุผลว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อตัวเองและครอบครัว โดยเฉพาะเป็นห่วงความรู้สึกของแม่ ที่เครียดจนนอนไม่หลับ
หลังการแถลงข่าวทั้งน้ำตา หลากหลายคำถามจึงพรั่งพรูมาว่า แล้วผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินให้ฝ้ายรับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ ไปอยู่ที่ไหนหรือ ? ไฉนเลยจึงปล่อยให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมแบบตัวคนเดียว ทั้งที่ว่าไปแล้วหาใช่ความผิดของเธอแต่อย่างใด
เธออาจจะรูปร่างไม่สูงโปร่ง สะโอดสะองเท่าผู้ที่ได้ตำแหน่งรอง แต่ใครกันหนอ ? ที่เป็นคนตัดสินชี้ขาดให้เธอเป็น ผู้คว้ามงกุฎนี้มาครอง อาจจะเป็นเพราะผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ ก็ตาม เพราะการที่เลือกเธอมาครองมงกุฎ อาจจะหมายถึงการต่อยอดทางธุรกิจ ที่จะผันเธอมาเป็นนางเอกในสังกัด เหมือนผู้ครองตำแหน่งจากปีก่อนๆ ซึ่งถ้าวัดจากคุณสมบัติในข้อการเป็นนักแสดง การเป็นนางเอก เธอมีครบถ้วนกระบวนความมากกว่าคนที่ได้ตำแหน่งรองแน่นอน ลึกลงไปภายในใจของ คุณแดง-สุรางค์ นั้น ส่อเจตนาว่าจะจัดประกวดเพื่อเฟ้นหานางเอก มากกว่าเฟ้นหานางงามโลกมาตั้งแต่ต้น
ท้ายที่สุด เมื่อเลือกให้เธอเป็นผู้ชนะ เลือกให้เธอเป็นผู้สวมมงกุฎ และสายสะพาย แต่เมื่อโดนกระแสสังคมโจมตีอย่างหนักหน่วง กองประกวด และเหล่ากรรมการกลับเลือกที่จะเงียบ และโยนบาปให้เธอออกมารับหน้าสื่อคนเดียว ด้วยถ้อยแถลงว่าสละสิทธิ์
คิดในทางกลับกัน ถ้ากองประกวดเป็นคนแถลงยอมรับว่าเลือกคนผิด และขอถอดถอนชื่อฝ้ายออกจากตำแหน่ง นั่นหมายถึงบรรทัดฐานในการคัดกรองนางงามของกองประกวดนี้ จะเชื่อถือไมได้อีกต่อไป คนระดับ คุณแดง มีหรือจะยอมทุบหม้อข้าวตัวเอง ฉะนั้นจึงไม่แปลก ที่ฝ้าย จะกลายเป็น เหยื่อ ที่ยอมถูกแล่เนื้อกลางสื่อสาธารณะด้วยสภาพน้ำตาท่วมไมค์
จริงๆ แล้วฝ้ายสามารถทำเนียนครองตำแหน่ง ปล่อยให้คนวิจารณ์ไป อีกไม่นานก็ลืม เธอก็ย่อมทำได้ เหมือนกับเหตุการณ์ในวงการภาพยนตร์ เมื่อผลการประกาศรางวัลนักแสดงนำฝ่ายหญิง ประจำปี 2529 ปรากฏชื่อของ ใหม่ เจริญปุระ เป็น ผู้คว้ารางวัล จากเรื่อง ดวงยิหวา ขณะที่กรรมการส่วนใหญ่ท้วงว่า ผลการประชุมสรุปกันว่า คนที่ได้รับรางวัล คือ ลินดา ค้าธัญเจริญ จาก ผู้หญิงคนนั้นชื่อบุญรอด ครานั้นทุกคนขอให้ใหม่แสดงสปิริตคืนรางวัล แต่ใหม่ปฏิเสธ อ้างว่าเธอน้อมรับคำตัดสินของคณะกรรมการเป็นสำคัญ ฉะนั้นใหม่จึงได้ตัวรางวัลไป ขณะที่ลินดาได้รางวัลชนะใจคนดูไปครอง แต่ท้ายที่สุดในทำเนียบดาราตุ๊กตาทอง ก็มีแต่ชื่อของใหม่ แต่ไม่ปรากฏชื่อของลินดา เพราะสังคมเราวัดจากคนที่ถูกประกาศชื่อ ไม่ได้วัดจากคนที่สมควรได้
อย่างไรก็ตามการประกาศสละตำแหน่งของฝ้าย ทำให้ตำแหน่งมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2014 ว่างลง โดยไม่มีการเลื่อนใครขึ้นมาเป็นแทน ขณะที่ แอลลี่ พิมบงกช จันทร์แก้ว จะครองตำแหน่งรองอันดับ 1 ตามเดิม แต่จะได้สิทธิ์ไปประกวด มิส ยูนิเวิร์ส 2014 แทนตามกติกา
ขณะที่ยังแอบคิดไม่ได้ว่า ถ้านี่คือการสร้างกระแส !? แลกกับการที่ คุณแดง อาจจะกำนัลเธอด้วยตำแหน่งนางเอกละครก่อนข่าวสักเรื่องหรือ 2 เรื่อง เพื่อให้เวทีนี้มีพื้นที่สื่อ ครองหน้า 1 นสพ.ทุกฉบับ เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในแวดวง จนกลบกระแสการจัดประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ที่อยู่ยงอยู่กับช่อง 3 มาตั้งแต่แรก และกำลังดำเนินการคัดเลือกอยู่ในขณะนี้เงียบสนิท แผนนี้ก็ถือว่าสำเร็จสมประสงค์ และออกจะเกินคาดด้วยซ้ำไป
การแข่งขันทางการตลาด ที่เข้มข้นขึ้น และมีกลยุทธ์ใหม่ๆ มาช่วงชิงพื้นที่สื่อกันอยู่เนืองๆ ทำให้บ่อยครั้งที่เราก็แยกไม่ออกระหว่างข่าวไหน คือ เรื่องจริง ข่าวไหน อิงโปรโมต อย่างกรณีที่เจ้าของหนัง ศรีธนญชัย 555 ร่ำไห้ฟูมฟายน้ำตา จวนเจียนจะฆ่าตัวตาย เพราะลงทุนทำหนังไป 40 ล้าน (ตามข่าว) แต่กลับถูกเจ้าของโรงถอดจากโปรแกรมหลังจากเข้าฉายไปได้ไม่นาน
ขนาดเดิมพันกันด้วยชีวิตขนาดนี้ ก็ยังมีคนมองว่าโปรโมตหนัง ? เพราะถ้าไม่มีข่าวเจ้าของหนังฆ่าตัวตาย จะมีกี่คนเชียวที่รู้ว่ามีหนัง ศรีธนญชัย 555 เข้าฉายอยู่ในโปรแกรม อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ทุกคนที่ไม่เคยรู้ ก็ได้รู้พร้อมๆ กับข่าวนี้
สังคมบันเทิงเปลี่ยนไป จากที่ต้องปกปิดเรื่องแฟน กลายเป็นถ้าอยากให้ตัวเองมีกระแส ต้องขยันอัปรูปคู่ อัปสเตตัส ตั้งแต่หวานเลี่ยน ยันก่นด่า ลงไอจี เพื่อแสดงสถานะ ทุกครั้งที่เจอหน้าสื่อ บรรดานักข่าวจะได้มีประเด็นมาซักถาม ยิ่งลามจนมีข่าวต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ยิ่งดี เพราะนั่นหมายถึงการมีพื้นที่สื่อ การมีกระแส บรรดางานอีเวนต์ โชว์ตัวทั้งหลาย ย่อมไหลมาเทมา
ขึ้นต้นด้วยเรื่อง ปีกมงกุฎ ลงท้าย กลายเป็นเรื่อง เมืองมายาไปได้ยังไงไม่รู้
...ที่มา นิตยสารASTV สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 245 วันที่ 14 มิถุนายน - 20 มิถุนายน 2557 | | |
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [
