Group Blog
 
All blogs
 

รู้เท่าทัน ป้องกันโรคกระดูกพรุน

รู้เท่าทัน ป้องกันโรคกระดูกพรุน

หลายคนอาจเคยสงสัยว่า ทำไมคนเราเมื่อมีอายุมากขึ้นถึงมีปัญหาเรื่องตัวเตี้ยลง หลังค่อม ขาโก่งงอ หรือกระดูกหักง่าย วันนี้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีคำตอบมาให้ค่ะ



สาเหตุของอาการดังกล่าว มาจากความขยันขันแข็งของเจ้า “กระดูก” นั่นเอง มันจึงไม่เคยหยุดพัก วันๆ เอาแต่สร้างเซลล์กระดูกใหม่และสลายเซลล์กระดูกเก่าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้เนื้อกระดูกส่วนที่หมดอายุถูกกำจัดออกไปเพื่อให้กระดูกที่สร้างใหม่ขึ้นมาแทนที่ โดยเฉพาะในช่วงวัยเด็กถึงวัยหนุ่มสาว อัตราการสร้างกระดูกจะเร็วกว่าอัตราการสลายกระดูก ทำให้กระดูกต่างๆ ในร่างกายของคุณแข็งแรงทนทาน ไม่ก่ออาการเจ็บป่วยง่ายๆ



แต่!!!เมื่อคุณย่างก้าวเข้าสู่วัยที่มีเลข 3 นำหน้าขึ้นไป อัตราการสลายกระดูกจะเร็วกว่าอัตราการสร้างกระดูก ซึ่งเป็นผลทำให้ปริมาณมวลกระดูกลดลงและโครงสร้างภายในของกระดูกถูกทำลาย ทำให้รูพรุนที่คล้ายฟองน้ำของกระดูกชั้นในมีขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้กระดูกบางลงและอ่อนแอ จนเกิดภาวะ “กระดูกพรุน” ขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ปริมาณเนื้อกระดูกจะลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ตลอดชีวิตผู้หญิงจะสูญเสียเนื้อกระดูกมากกว่าผู้ชายถึง 2 - 3 เท่า



เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นพ.ธนา ธุระเจน เลขาธิการมูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย เล่าให้ฟังว่า โรคกระดูกพรุน คือ ภาวะความผิดปกติของกระดูกซึ่งทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลงซึ่งโดยทั่วไปจะไม่มีอาการ ผู้ป่วยจึงไม่ได้ใส่ใจที่จะป้องกันและดูแลรักษาจนหลายครั้งเมื่อตรวจพบหรือเกิดอุบัติการณ์กระดูกหักก็มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตแล้ว สำหรับในประเทศไทย ในปี 2552 พบว่ามีประชากรอายุมากกว่า 50 ปี ประมาณ 15 ล้านคน โดยประมาณ 15% ของประชากรผู้หญิงอายุมากกว่า 50 ปี หรือ 2.25 ล้านคนเป็นโรคกระดูกพรุน ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูง



สำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้ ได้แก่ ผู้สูงอายุ หญิงวัยหมดประจำเดือน ผู้ป่วยโรคทางเดินอาหารที่มีความผิดปกติในการดูดซึมแคลเซียม คนที่ดื่มสุรา กาแฟ สูบบุหรี่จัด ผู้ป่วยที่ต้องนอนบนเตียงคนป่วยเป็นเวลานาน ผู้ป่วยโรคมะเร็งกระจายไปที่กระดูก ผู้ที่มีประวัติว่าคนในครอบครัวกระดูกหักง่าย นอกจากนี้ การได้รับยาบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น ยาเสตรียรอยด์ ยากันชัก ยาไทร็อกซิน ฯลฯ รวมทั้งคนที่เป็นโรครูมาตอยด์

โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ฯลฯ ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากเป็นพิเศษอีกด้วย



เมื่อกระดูกในร่างกายเริ่มบางลง จนเริ่มเข้าสู่ภาวะกระดูกพรุน ผู้ป่วยจะไม่มีอาการใดๆ ปรากฏเลยถ้ากระดูกไม่หัก ดังนั้น ผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุน จะดำรงชีวิตได้อย่างปกติ แต่หากวันดีคืนดีเดินสะดุดก้อนหินหกล้ม หรือถูกคนวิ่งมาชน ภัยเงียบที่แอบแฝงในร่ายกายอย่างเจ้าโรคกระดูกพรุนก็จะสำแดงฤทธิ์เดชทำให้กระดูกหักได้ทันที โดยกระดูกบริเวณที่พบว่าหักบ่อย ได้แก่ กระดูกหลัง กระดูกสะโพก กระดูกข้อมือ ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นเมื่อกระดูกสะโพกหักนั้นทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถเดินได้ ต้องนอนบนเตียงเป็นเวลานานทำให้เสี่ยงการเกิดแผลกดทับ ผู้ป่วยไม่สามารถยกของที่มีน้ำหนักได้ตามปกติ รวมทั้งต้องเป็นภาระในการดูแลระยะยาวและอาจเสียชีวิตในที่สุด

นอกจากนั้นภาวะกระดูกพรุนยังส่งผลต่อโครงสร้างของกระดูกสันหลังอีกด้วย เพราะจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหลังเฉียบพลันและเรื้อรัง มีรูปร่างเปลี่ยนไป เตี้ยลง หลังโก่ง ไหล่งุ้มกว่าปกติ พุงยื่น หลังแอ่น ไม่มีเอว ฟันหลุดง่าย และการทำงานของอวัยวะภายในด้อยลง การย่อยอาหาร และการหายใจลำบาก เพิ่มความเสี่ยงกระดูกหัก ส่งผลให้อัตราตายสูงขึ้น


หากใครสงสัยว่าจะป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน ก็สามารถไปตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกด้วยวิธีการเอกซเรย์ที่โรงพยาบาล เพื่อคำนวณหาความหนาแน่นของกระดูกเมื่อเทียบกับค่ามาตรฐานโดย

กระดูกปกติ จะค่าความหนาแน่นกระดูกมากกว่า -1 เมื่อเริ่มเป็นกระดูกบางจะมีค่าความหนาแน่นกระดูกน้อยกว่า -1 ถึงมากกว่า -2.5 หากเข้าสู่ภาวะกระดูกพรุนจะมีค่าความหนาแน่นกระดูกน้อยกว่าหรือเท่ากับ -2.5 และหากป่วยโรคกระดูกพรุนอย่างรุนแรง จะมีค่าความหนาแน่นกระดูกน้อยกว่าหรือเท่ากับ -2.5 และมีกระดูกหักร่วมด้วย



โรคกระดูกพรุน มีอันตรายสูงมาก ดังนั้น ผู้ป่วยจึงต้องป้องกันและรักษาโดยเร่งด่วน เพราะเมื่อกระดูกหักอันแรก ก็มักจะนำไปสู่กระดูกหักอันต่อไป…แต่การที่จะรักษากระดูกที่พรุนแล้วให้กลับเข้าสู่สภาพเดิมนั้นมักจะไม่ค่อยได้ผล ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุด คือ การดูแลตัวเองไม่ให้ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนนั่นเอง...



โรคกระดูกพรุนสามารถป้องกันได้ ถ้าเราให้ความสนใจดูแลรักษา โดยรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ เพราะร่างกายต้องการแร่ธาตุที่สำคัญเพื่อมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หรือเติมเต็มสิ่งที่มีอยู่ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ร่างกายจึงควรได้รับสารอาหารต่างๆ ดังนี้...



แคลเซียม ในวัยผู้ใหญ่ที่อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ควรรับประทานแคลเซียมให้ได้ 1200 – 1500 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะแคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในร่างกาย เพราะร้อยละ 99 ของแคลเซียมจะอยู่ในกระดูก ที่เหลือจะกระจายอยู่ตามของเหลวต่างๆ ในร่างกาย หน้าที่ของแคลเซียมคือ ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง กล้ามเนื้อและประสาททำงานเป็นปกติ กระตุ้นการแข็งตัวของเลือดหลังการบาดเจ็บ และควบคุมการทำงานของ เอ็นไซม์และการเต้นของหัวใจ แหล่งอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม คือ นม โยเกิร์ต ถั่วเหลือง ถั่วเขียว งา ปลาตัวเล็กที่รับประทานทั้งกระดูก และผักใบเขียวที่ปลอดสารเคมี เป็นต้น



แมกนีเซียม พบมากในร่างกายเป็นอันดับสองรองจากแคลเซียม หน้าที่ของแมกนีเซียมคือ ช่วยควบคุมการทำงานของร่างกาย ผลิตพลังงาน สร้างโปรตีน และช่วยการหดตัวของกล้ามเนื้อ แหล่งอาหารที่อุดมด้วยแมกนีเซียม ได้แก่ ถั่วต่างๆ ธัญพืช แป้ง และอาหารทะเล นอกจากนี้ร่างกายยังต้องการทองแดง แมงกานีส สังกะสี เข้ามาช่วยในการทำงานของเอ็นไซม์ในกลไกการสร้างกระดูก และช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกระดูกสันหลังในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน นอกจากนี้ยังควรงดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และการบริโภคชนิดอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการอีกด้วย



ไม่เพียงเท่านั้น...“วิตามินดี”...ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความแข็งแรงของกระดูก เพราะหากได้รับวิตามินดีไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะไม่สามารถดูดซึมแคลเซียม ซึ่งเป็นธาตุที่สำคัญต่อกระดูกได้ เรียกได้ว่า การขาดวิตามินดีเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิด "โรคกระดูกพรุน" เลยทีเดียวค่ะ...



แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการป้องกันโรคกระดูกพรุน คือ การออกกำลังกายอย่างน้อย 15 - 20 นาที เป็นประจำทุกวัน ดังที่ สสส. ได้รณรงค์มาโดยตลอด เพราะการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรงไม่แตกหักได้ง่าย



เมื่อรู้วิธีป้องกันแล้วอย่านิ่งเฉย เพราะการที่คุณเริ่มต้นบำรุงกระดูกได้เร็วเท่าใดก็จะทำให้คุณสะสมปริมาณมวลกระดูก ชะลออัตราการสูญเสียมวลกระดูก ซึ่งจะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคกระดูกพรุนเมื่อสูงอายุขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ



สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องสร้างเอง...



ที่มา : สสส.

เรื่องโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์ Team content //www.thaihealth.or.th




 

Create Date : 11 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2553 21:10:45 น.
Counter : 549 Pageviews.  

รางจืด ยาถอนพิษ...โดย หมอมา

รางจืด ยาถอนพิษ
เขียนโดย หมอมา เมื่อ 09 กรกฎาคม 2007 - 03:52pm

หญิงสาวอายุใกล้ ๕๐ ปีคนหนึ่ง ถ้าไม่บอกอายุ ดูจากผิวพรรณและหน้าตา คงต้องบอกว่าอายุประมาณ ๓๕ ปี และยิ่งรู้ลึกไปถึงประสบการณ์โรคภัยไข้เจ็บที่เธอประสบก็จะยิ่งแปลกใจว่าเธอ รักษาตัวมาได้อย่างไร

เธอเล่าให้ฟังว่า เธอทำงานในตำแหน่งเลขานุการในบริษัทต่างประเทศที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ได้รับเงินเดือนสูง สามีก็ทำงานในตำแหน่งดีเช่นกัน แต่ไม่มีบุตร เมื่อมีเงินมาก จึงใช้จ่ายในการกิน ดื่ม เที่ยว เต็มที่ สถานเสริมความงามที่ใดที่มีเสียงเล่าลือว่ารักษาผิวหน้า ผิวตัวได้ดี เธอจะต้องแวะเข้าไปใช้บริการไม่มีเว้น เครื่องสำอาง เครื่องบำรุงผิว แพงเท่าใด เป็นต้องหาซื้อมาใช้ เพราะเธอมีปัญหาที่ผิวซึ่งแพ้ง่าย ตัวคัน เธอเล่าให้ฟังว่า เพราะกลัวอ้วน มื้อเย็นไม่เคยทานข้าว แต่จะทานไก่ เป็นอาหารหลักทุกเย็น

จนกระทั่งวันหนึ่ง ไปหาหมอ หมอบอกให้นอนโรงพยาบาลทันทีเพื่อผ่าตัดมดลูกออก เนื่องจากก้อนมดลูกโตมาก เธอไม่อยากผ่าตัด กลับไปหาแม่ที่ต่างจังหวัด แม่บอกว่าไม่ต้องผ่า จะรักษาด้วยสมุนไพรพื้นบ้านเอง

เธอกลับบ้านพร้อมกับทานรางจืด ๒ แคปซูลพร้อมกับน้ำซาวข้าว วันละ ๒ ครั้ง พร้อมกับเลิกอาหารเนื้อสัตว์ทุกชนิด หันกลับมาทานข้าวกล้องและอาหารผักผลไม้สด ทานรางจืดได้ไม่นาน เธอต้องลงมานอนข้างล่างเพราะผิวหนังของเธอเต็มไปด้วยตุ่ม หนอง น้ำเหลือง ไหลออกมานอกตัว เหมือนคนเป็นโรคเรื้อน แต่เธอก็อดทนทานยาต่อไปจนครบ ๑ เดือน ผิวหนังที่เป็นตุ่ม เป็นหนองก็แห้งลง จนไม่เหลือร่องรอยอีก เมื่อไปพบแพทย์ที่เคยวินิจฉัยตอนแรกว่าเธอมีเนื้องอกในมดลูก ตรวจอีกครั้ง หมอยังแปลกใจว่า ก้อนเนื้องอกนั้นยุบเล็กลง จนไม่จำเป็นต้องผ่าตัดออกแล้ว

นับจากวันที่เริ่มทานรางจืด เธอได้เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่หมด เลิกทานเหล้า เลิกกินเนื้อสัตว์ใหญ่ ทานข้าวกล้อง และผักผลไม้เป็นหลัก ออกกำลังกาย ฝึกสมาธิ อบตัวเป็นประจำด้วยสมุนไพรไทย ขัดตัวด้วยมะขามผสมผงขมิ้น เธอเลิกใช้เครื่องสำอางราคาแพงที่เคยแสวงหามาใช้ ผลปรากฏอย่างที่ผู้เขียนพบเธอนั่นเอง

ตำราสมุนไพรไทย สรรพคุณของรางจืดเป็นที่เลื่องลือมากว่าเป็นตัวยาถอนพิษที่ได้ผลชงัดนัก อาการมีตุ่ม มีหนองไหลออกมานอกตัว อาจเกิดจากการขับพิษของรางจืดก็ได้ เพราะเธอได้สะสมพิษไว้ในตัวมากเกินกว่าคนธรรมดาปกติจะมีกัน เนื่องจากชีวิตการกิน การดื่มในวงสังคม

โดยปกติร่างกายเราจะได้รับสารพิษจากอาหาร น้ำดื่ม และอากาศอยู่แล้ว ร่างกายจะสามารถชำระชะล้างสารพิษออกไปได้ในระดับหนึ่ง แต่เพราะวิถีชีวิตที่เร่งรีบ และการกินอาหารขยะมากจนร่างกายขับออกไม่ทัน สารพิษจึงสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อ เป็นผลให้ร่างกายเสื่อมและแก่เร็ว ทั้งยังกีดกันไม่ให้รับสารอาหารเข้าไปเลี้ยงร่างกายได้เต็มที่ ซึ่งสามารถเห็นได้จากความเหี่ยวแห้งของผิวหนังและเส้นผม

ข้าว

ท่านทราบไหมว่าข้าวที่เราทานอยู่ทุกวันนี้นั้นเป็นยาแก้พิษ เส้นใยของข้าวซ้อมมือหรือข้าวกล้องเป็นตัวดูดซับสารพิษอย่างดี และขับออกมาทางอุดจาระ นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราควรกินข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือแทนข้าวขาว

ในตำรับยาไทยบางตำรับจะใช้น้ำซาวข้าวเป็นน้ำ กระสายยา เพื่อให้ฤทธิ์ยาแล่นเร็ว น้ำซาวข้าวจะนำตัวยาจับเม็ดเลือดเข้าสู่กระแสเลือดเร็วเช่นเดียวกับการใช้ ดีงูเหลือมเป็นน้ำกระสายยา แต่ต้องใช้ข้าวซ้อมมือนำมาถูกับมือในน้ำ จึงจะได้น้ำซาวข้าวที่ใช้เป็นกระสายยา ถ้าหากเราถูกพิษ หากไม่มีรางจืด ก็สามารถใช้น้ำซาวข้าวช่วยล้างพิษได้ แก้พิษร้อนใน พิษอักเสบ แก้ผื่นคัน

นอกจากนี้ ในหน้าร้อน ทานอาหารไม่สะอาด อาจทำให้ท้องเสีย ถ้าไม่มียาแก้ท้องเสีย เราก็ใช้ข้าวสุก ๑ ทัพพีล้างน้ำออกหลายๆครั้ง แล้วกินข้าวสุก จะช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้

ถ้าเป็นฝี แล้วอยากจะบ่มหัวฝี ก็ให้เอาข้าวสุก (ข้าวเหนียวจะดีกว่า) มาบดแผ่เป็นแผ่น แล้วปิดหัวฝี จะทำให้หัวฝีแตกเร็วขึ้น

ข้าวสารเอาแช่น้ำแล้วตำ เรียกว่าข้าวเบือผสมสุราทาแก้พิษผื่นคัน แก้ปวดบวม

ข้าวตาก คือข้าวที่หุงสุกแล้ว นำไปตากแห้ง แล้วเอามาคั่ว ใช้ขับประจำเดือนสตรี ซังข้าวหลังการเก็บเกี่ยวก็ใช้ขับประจำเดือนสตรีเช่นเดียวกัน

ข้าวยาคู หรือน้ำนมข้าว ใช้บำรุงกำลังอย่างดี มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล น้ำนมข้าวผลิตจากรวงข้าวอ่อนที่เม็ดข้าวยังเขียวอยู่ ต้องเป็นข้าวอ่อนก่อนเก็บมาทำข้าวเม่า และควรเป็นข้าวปลอดสารพิษ นำข้าวทั้งรวงมาล้างน้ำ แล้วเอารวงข้าวมาทุบให้แหลก เสร็จแล้วผสมน้ำคั้นออกมา จะได้น้ำสีเขียวอ่อน อาจผสมใบเตยด้วยก็ได้ น้ำที่ได้เอาไปต้มจนเดือด จะได้ข้าวยาคูที่มีความหอมข้นและหวานเล็กน้อย

รางจืด

เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง มีสองชนิด คือ รางจืดดอกม่วง และรางจืดดอกขาว แต่ที่นิยมใช้กันคือรางจืดดอกม่วง ใบคล้ายใบย่านาง แต่ดูนิ่มนวลกว่า รางจืดเป็นตัวยารสเย็น ใช้ได้ทั้ง ใบ ราก เถา ตำคั้นน้ำ หรือฝนกับน้ำฝน น้ำซาวข้าว กินเพียงสองครั้งก็เห็นผลในการใช้ดื่มถอนพิษ ทั้งที่เป็นพิษจากยาฆ่าแมลง อาหารเป็นพิษ พิษจากเมาสุรา หรือกินยานอนหลับเกินอัตราส่วนที่แพทย์กำหนด ทั้งนี้เพราะสรรพคุณของรางจืดจะเปลี่ยนกรดหรือด่างในร่างกายที่เป็นพิษให้ เป็นกลาง และเมื่อสารยาของรางจืดซึมเข้าไประบบประสาท ในเส้นเลือด ไปปะทะกับพิษยา หรือสารพิษต่างๆในร่างกาย มันจะทำลายพิษเหล่านั้นให้เป็นกลางในเวลาอันรวดเร็ว ไม่เกิน ๔๕ นาที แต่ไม่ควรทานรางจืดเป็นประจำทุกวัน เพราะจะทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่พอเพียง ใบรางจืดยังใช้ตำพอกแก้ปวดบวมได้

ตำรับยาล้างพิษของไทย ใช้กินก่อนกินยารักษาโรค เช่น จะรักษายาเสพติด ก็ให้กินยาล้างพิษก่อน ประกอบด้วย รางจืด เหงือกปลาหมอ และเถาย่านาง อย่างละ ๑๕ กรัม ต้มดื่มล้างพิษ

ต้นรางจืดปลูกง่าย เพียงใช้เถาชำก็ขึ้นแล้ว ปลูกเป็นไม้ประดับก็ได้ น่าจะปลูกไว้ประจำบ้าน

=================================
ขอขอบคุณ //thaiherbclinic.com/node/78




 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 15 กรกฎาคม 2552 20:35:03 น.
Counter : 466 Pageviews.  

ย้ำคิดย้ำทำ ใช่ความรอบคอบหรือไม่ ?

ย้ำคิดย้ำทำ ใช่ความรอบคอบหรือไม่ ?
โดย พญ.สมรัก ชูวานิชวงศ์?

ขอยกกรณีตัวอย่างบางส่วนให้ท่านผู้อ่านพิจารณา


ส้ม เป็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารัก และรับผิดชอบดี แต่มีอยู่หนึ่งเรื่องที่ทำให้เกิดความเอือมระอา ไม่สามารถเป็นที่เข้าใจได้ของพ่อแม่ เพราะเธอมักจะเหลือข้าวไว้ในจาน ไม่เคยเลยที่จะรับประทานให้เกลี้ยง สิบกว่าปีผ่านมาคุณแม่ต้องทำใจว่าตนไม่สามารถอบรมฝึกฝนลูกในเรื่องนี้ได้ คุณพ่ออุตส่าห์เข้ามาช่วยทางอ้อมโดยการยกเรื่องของชาวนาต้องยากลำบากขนาดไหน จึงจะสามารถผลิตข้าวมาให้เรารับประทานได้ ซึ่งส้มก็จะรีบเลี่ยงเอาจานข้าวไปไว้ในครัวโดยแอบเหลือเศษข้าวติดจานเอาไว้เช่นเคย


ปอม อายุ 7 ขวบ อยู่ในครอบครัวปกติธรรมดา เคยเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันบ้าง ปอมก็เคยโดนคุณพ่อดุอยู่ๆ เขาก็หลุดคำพูดด่าพ่อด่าแม่ ถึงแม้ปอมจะมาสารภาพว่าไม่ได้อยากพูดแบบนี้กับพ่อแม่ แต่ก็หยุดตัวเองไม่ได้ จนช่วงหลังปอมยังขอร้องไม่ให้พ่อแม่เปิดทีวีในช่วงมีข่าวในพระราชสำนัก บางทีก็จะปิดหูตัวเองหรือวิ่งหนี ถ้าพ่อแม่ไม่ยอมปิดทีวี


ธิดา เป็นสาวรุ่นๆ ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องความสะอาดเรียบร้อยของตนเอง แต่เธอกลับปักใจมุ่งอยู่กับการจัดรองเท้าให้วางเป็นคู่ๆ เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดที่เธอเห็นคนถอดร้องเท้าไว้ไม่เรียงกัน เธอต้องแอบไปจัดหรือแอบเขี่ยให้มันเข้าคู่กันให้ได้ทุกทีไป


พิมพ์ เป็นทุกข์มากที่เมื่อโดยสารรถหรือเดินอยู่บนสะพานลอย จะต้องมีความคิดผุดขึ้นมาสั่งให้เธอกระโดดเธอต้องพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ทำตามความคิดนั้น เธอกลัวว่าวันหนึ่งเธอจะควบคุมตัวไว้ไม่ไหว อยากจะเลี่ยงการโดยสารรถ แต่ทำได้ยากเพราะต้องเดินทางไปทำงานทุกวัน


ชิด เรียนอยู่ปี 3 มีโอกาสไปค่าย บังเอิญไปเกี่ยวหนามข้างทาง พอกลับมาไม่นานก็มีความกังวลอย่างมากว่าตนเองจะติดโรคเอดส์ที่อาจมีคนป่วยเคยไปเกี่ยวหนามจากต้นไม้ต้นนี้มาก่อน ชิดไปขอเจาะเลือดเพื่อตรวจเชื้อเอดส์หลายครั้ง ได้รับคำยืนยันว่าผลเลือดเป็นลบ และไม่ติดเชื้อแน่นอน แต่ชิดก็ไม่สามารถคลายความหวาดกลัวนี้ได้ปัง


ยังมีอีกหลายรูปแบบที่ทำให้เกิดความทุกข์แก่เจ้าตัว เกิดความกดดันกับคนรอบข้างในอาการรูปแบบต่างๆ ของการย้ำคิดย้ำทำไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ หญิงหรือชาย เขาเหล่านี้พยายามต่อสู้ที่จะหยุดยั้งความคิดที่แปลกไปจากคนทั่วไป หรือความคิดที่เขารู้ว่าไม่สมเหตุสมผล บางคนก็ต้องพยายามกำจัดหรือควบคุมพฤติกรรม ที่รบกวนการงาน การใช้ชีวิตตามปกติ หรือแม้แต่บางการกระทำก่อให้เกิดปัญหาสัมพันธภาพกับคนรอบขาง เป็นการต่อสู้ที่ต้องใช้พลังงานทางจิตใจ และเวลา แต่ผลลัพธ์กลับเป็นการเพิ่มความเครียดความกังวลซ้ำหนักไปอีก


ข้อมูลทางการแพทย์

โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive Compulsive Disorder : OCD) เป็นโรคทางจิตเวชโรคหนึ่ง ที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก และเข้าใจของคนในสังคม หลายปีก่อนถูกเข้าใจว่าเป็นโรคที่พบได้น้อย แต่เมื่อมีการศึกษาใหม่จึงพบว่าเป็นโรคที่มีความชุกประมาณครึ่งหนึ่งของโรคซึมเศร้าทีเดียว คือ ในหนึ่งร้อยคนจะเป็นโรคย้ำคิดทำได้ 2 – 3 คน แต่คนเหล่านี้มักไม่ค่อยเปิดเผยให้คนอื่นทราบ เพราะอายหรือไม่รู้ว่ามีการรักษา เฉลี่ยแล้วต้องทนทุกข์แอบซ่อนอาการเอาไว้ 5 – 10 ปี จึงค่อยมาขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ บางคนมีอาการเพียงย้ำคิด หรือย้ำทำเท่านั้น บางคนมีทั้งย้ำคิดร่วมกับย้ำทำ แต่บางคนอาจเป็นอาการทำอะไรจะทำช้ามากๆ จนคน รอบข้างหัวเสียบ่อยๆ กับพฤติกรรมของเขาหรือเธอ บางคนก็มีพฤติกรรมเป็นแบบแผน คล้ายเป็นเคล็ด เช่น เดินหน้าสองถอยหนึ่งและเคาะๆ ๆ

ประเด็นการย้ำคิดย้ำทำที่พบบ่อยจะเกี่ยวกับเรื่องเพศ เช่น ชอบมองเป้ากางเกงผู้ชาย คิดว่าคนอื่นคิดว่าตนชอบมองหน้าอกผู้หญิง
ความรุนแรง เช่น คิดจะทำร้ายตนเองหรือคนอื่น
ศาสนา เช่น คิดลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์
ความสกปรก เช่น กลัวความสกปรกมาก ไม่ยอมจับเงินไม่กล้ากลืนน้ำลาย ต้องล้างมือบ่อยๆ
ความปลอดภัย เช่น ตรวจเช็คเตาแก๊ส ล็อคประตู


อาการของโรคสะท้อนถึงแก่นลึกๆ ของจิตใจที่มีความกลัวต่อความมั่นคงของชีวิต ยากต่อการเข้าถึง รับรู้ และจัดการได้ จึงมีการใช้กลไกทางจิตซับซ้อนหลายทอด สิ่งที่ปรากฏต่อการรับรู้ของตนเองและผู้อื่น จึงดูเหมือนไม่สมเหตุสมผล

บางกรณีอาจอธิบายด้วยทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีเงื่อนไข คือ ตัวกระตุ้นที่เป็นกลาง จับคู่กับตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดความกลัว หลังจากนั้น หากมีตัวกระตุ้นที่เป็นกลางเพียงลำพัง ก็ทำให้เกิดความกลัวได้

- คิดเรื่องพ่อป่วย ทำให้เกิดความกังวลว่าพ่อจะตายจากไป

- คิดว่าพ่อป่วยพร้อมๆ กับกินข้าวเกลี้ยงจาน กังวลว่าพ่อจะตายจากไป

- กินข้าวเกลี้ยงจาน พ่อจะต้องตายจากไป จึงพยายามกินข้าวไม่ให้เกลี้ยงจานเพื่อไม่ต้องเผชิญกับการตายของพ่อ อ่านดูแล้วท่านคิดเห็นอย่างไร


ไม่ใช้เรื่องไร้สาระแน่ เพราะสมองของคนเราในระหว่างการพัฒนาการที่ยังไม่ถึงวุฒิภาวะเซลล์สมองได้บันทึกประมวลผลไว้เรียบร้อยหากไม่มีการแก้ไขการบันทึกของสมองสิ่งเหล่านี้ก็จะคงอยู่แม้กาลเวลาจะ ผ่านไปนานแค่ไหนก็ตามทิ้งไว้แต่ช่องว่างระหว่างความจริง และสิ่งที่บันทึกไว้ในหน่วยความจำและการตีความ


ปัจจุบันมีการตรวจพบความผิดปกติในโครงสร้างและการทำงานของสมองของผู้ป่วยโรคย้ำคิดย้ำทำ พบความผิดปกติในระบบการทำงานของสารสื่อประสาทซีโรโทนิน พบว่ายาที่ออกฤทธิ์ในการปรับการทำงานของซีโรโทนินในสมองสามารถรักษาอาการย้ำคิดย้ำทำได้ พบว่าโรคนี้มีความเกี่ยวพันกับกรรมพันธุ์ด้วย


ในการรักษาโรคย้ำคิดย้ำทำในปัจจุบัน ที่ได้ผลดีคือยาประมาณครึ่งหนึ่งจะได้ผลดีทั้งผู้ป่วยและคน รอบข้างไม่ต้องเหนื่อยล้ากับความคิดและการกระทำซ้ำๆ เหล่านั้น บางส่วนต้องเสริมด้วยการบำบัดอื่นที่สำคัญอีกอย่าง คือ สิ่งแวดล้อมที่ก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์และความยุ่งยากต่อจิตใจของผู้ป่วยเป็นปัจจัยที่ซ้ำเดิม ค้ำยันให้อาการนี้คงอยู่ต่อไป ได้แก่

- การที่สมาชิกในครอบครัวเข้ามาช่วยเหลือเกื้อหนุนผู้ป่วยมากเกินไป

- ปฏิสัมพันธ์ที่ทำให้เกิดความกังวลก็จะเพิ่มความรุนแรงของอาการ เช่น พ่อแสดงท่าทีเข้มงวดแข็งกร้าวกับลูกชาย แม่ที่บ่นมาก และเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของลูกสาว เป็นต้น


การเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ อาจเป็นอย่างคงเส้นคงวาต่อไป ยาวนาน บางคนมีอาการขึ้นๆ ลงๆ อาจสงบไปนาน และเป็นขึ้นมาใหม่ บางคนอาจเกิดภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้าซ้ำซ้อนขึ้นมาได้ บางคนเป็นโรคซ้ำคิดย้ำทำอย่างเดียว บางคนก็พบร่วมกับโรคทางจิตเวชอื่นๆ เช่น พบร่วมกับโรคจิตเภท โรคแพนิก โรคกลัวสังคม โรคออทิสติก Tics Tourette’s disorder บางคนอาการไม่รุนแรง แต่บางคนรุนแรงรักษายาก


ท่านที่มีประสบการณ์กับโรคย้ำคิดย้ำทำ ท่านสามารถขอรับการบำบัดรักษาจากจิตแพทย์ได้ ไม่จำเป็นต้องรอจนทนไม่ไหวค่ะ




 

Create Date : 07 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 7 พฤษภาคม 2552 20:09:05 น.
Counter : 608 Pageviews.  

อาหารบำรุงสมอง

สมองเป็นอวัยวะ ที่สำคัญยิ่ง ในร่างกายมนุษย์ การบำรุงสมองถือเป็นสิ่งสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม ซึ่งอาหารที่เราทานอยู่ทุกวันนี้ คุณรู้หรือไม่ว่า อาหารประเภทใดที่มีประโยชน์ และช่วยบำรุงสมอง ประเภทใดที่ส่งผลในทางตรงกันข้าม

กินแป้งมากนัก... สมองเฉื่อย

นักวิจัยด้านอาหาร กล่าวว่า คนที่ชอบ รับประทาน ขนมขบเคี้ยว เช่น มันฝรั่งแผ่น ข้าวโพด ฯลฯ

เมื่อรวมกับ อาหารหลัก ในชีวิตประจำวัน จะมีผลทำให้ได้รับอาหารประเภทแป้ง และน้ำตาลมากเกินไป ทำให้เกิดอาการ ง่วงเหงาไม่ตื่นตัว หากไม่อยากสมองทึบหรือมีอาการง่วงเหงาหาวนอนบ่อย จึงควรลดอาหาร ประเภทแป้ง ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น โดนัท เค้ก กล้วยทอด มันทอด ขนมที่ทำจากแป้ง เช่น ไข่นกกระทา ปาท่องโก๋ รวมทั้งไอศกรีม ทำใจแข็งเลี่ยงได้ ก็ควรเลี่ยงเสีย หากเลี่ยงไม่ได้ก็ขอแนะนำ ให้รับประทาน อาหารแป้ง ควบคู่กับโปรตีนเพราะโปรตีนช่วยลดปัญหาที่เกิดจากแป้งลงได้

สารเคมีในสมอง

สารเคมีในสมอง มีอยู่หลายชนิด ในที่นี้จะขอกล่าวถึง เซโรโทนิน (serotonin) ที่ทำให้สมองสงบ ลดความตื่นเต้น และ โดพามีน (Dopamine) ทำให้สมองตื่นตัวกระปรี้กระเปร่า

สารเคมีทั้งสองชนิดนี้ จะทำงานร่วมกัน ความสมดุล ของสารเคมี ทั้งสองจึงมีความสำคัญ ต่อความคิด ความอ่าน และอารมณ์ ของคนเราอย่างมาก อาหารที่เรารับประทานจะเป็นตัวสร้างและปรับสมดุลสารเคมีทั้งสองชนิดนี้

ไขมัน... อาหารที่ควรเลี่ยง

อาหารที่มีไขมันสูง ประเภททอด น้ำมันท่วมทั้งหลาย หนังไก่ หรือ สะเต๊ะหมูติดมัน ฯลฯ จัดเป็นอาหาร กลุ่มที่ย่อยได้ช้า ร่างกายต้องใช้พลังงานไปกับการย่อยอาหาร ประเภทนี้มากเกินความจำเป็น ทำให้เหลือ พลังงานที่จะ แบ่งปันให้สมองได้ไม่มากนัก

ไข่ลวก... ยอดอาหารราคาถูก

ไข่ลวกช่วย ทำให้สมอง โปร่งสดชื่น เพราะไข่มีโปรตีน ย่อยง่าย ทั้งยังมีสาร เลซิติน ซึ่งมีวิตามินบี ที่ชื่อว่า โคลีน (choline) ช่วยในการ ทำงานของ ระบบประสาท ไข่ไก่ให้คุณค่า โปรตีนมากกว่าเครื่องดื่ม บรรจุขวด ประเภทซุปไก่สกัด หรือรังนก ที่มีราคาแพง

ในการทำ ไข่ลวกนั้นไม่ควรให้ดิบจนเกินไป เพราะอาจมีเชื้อ แบคทีเรียชนิดซาลโมเนลลา (Salmonella) ซึ่งทำให้ท้องร่วงได้ รวมทั้งยังมี สารโปรตีนเอวิดิน (avidin) ที่ขัดขวางการดูดซึม วิตามินบี ที่ชื่อไบโอติน (biotin) อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม คนที่ห่วง เรื่องปริมาณ โคเลสเตอรอล ในไข่ หรือผู้ที่มีปัญหา เรื่องไขมัน ในเลือดสูง ไม่ควรทานไข่มากกว่าวันละหนึ่งฟอง

ผลไม้กับถั่ว... แหล่งแร่ธาติ

ผลไม้กับถั่ว มีแร่ธาตุ ที่สำคัญตัวหนึ่งคือ โบรอน (Boron) ซึ่งทำหน้าที่ เกี่ยวกับ การส่งกระแสประสาทของสมอง คนที่ รับประทาน โบรอนต่ำ การตอบสนอง ของประสาทจะเชื่องช้าลงบางคนมีปัญหา ถึงขนาดใช้นิ้วมือ ไม่ถนัด เกิดอาการ เงอะงะ มือไม้สะดุดกึกกักไปหมด เพียงให้ร่างกาย ได้รับธาตุโบรอน เสริมจากผลไม้ และถั่ว สมองจะทำงานฉับไวขึ้นอย่างทันตาเห็น

ร่างกายมนุษย์ ต้องการธาตุ โบรอนเพียงเล็กน้อย

ธาตุชนิดนี้พบได้ในพืชผัก หลายชนิด อาทิ พวกถั่วเปลือกแข็งทั้งหลาย (เช่น เกาลัด มาคะเดเมีย ฯลฯ) รวมทั้งถั่วเมล็ดแห้ง (เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ฯลฯ) ผลไม้ไทย หลายชนิด มีโบรอน พอสมควร ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่ง พุทรา ชมพู่ องุ่น ฯลฯ

นม... สร้างความกระปรี้กระเปร่า

ขณะที่อาหาร ประเภทแป้ง ทำให้เซื่องซึม โปรตีนที่ย่อยง่าย เช่น นมสด กลับให้ผลในทางตรงข้าม การดื่มนม ทำให้สมดุลของสารเคมีในสมองเปลี่ยน

โปรตีนบางชนิดในนมจะกดให้สารเซโรโทนินลด ปริมาณลงทำให้สัดส่วนของสารโดพามีน สูงขึ้น ส่งผลให้สมองตื่นตัว กระฉับกระเฉงในตอนเช้า และเย็น ขณะท้องว่าง แทนที่จะง่วนอยู่กับของขบเคี้ยวประเภทแป้ง ควรดื่มนมสักแก้ว จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มากขึ้น

ปลาทะเล... สุดยอดเพื่อสมอง

แร่ธาตุอีกชนิดหนึ่งที่ น่าจะเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองคือ สังกะสี (Zinc) ซึ่งพบมาก ในอาหารทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปลาทะเล คนที่มักมีอาการใจเหม่อลอย อาจเกิดจากการขาดธาตุสังกะสี ในปลาทะเล ยังมีแร่ธาตุ ไอโอดีน (Iodine)

หลายคนคงสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับความฉลาดจริงหรือ เพราะได้ยินเจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้ข้อมูลว่าเด็กที่ได้รับการเสริมธาตุไอโอดีนจะฉลาดขึ้นข้อมูลเช่นนี้ เป็นเพียงเทคนิคการนำเสนอเท่านั้นในข้อเท็จจริงมิได้หมายความว่า เด็กปรกติ ได้รับไอโอดีน จะฉลาดขึ้นแต่เด็กที่ได้รับไอโอดีน ไม่เพียงพอจะเกิดปัญหาสมองไม่พัฒนาเกิดเป็นโรคเอ๋อ คือปัญญาอ่อน และมีปัญหาพิการทางร่างกายร่วมด้วย หญิงตั้งครรภ์จึงควรได้รับไอโอดีนจากอาหารให้เพียงพอ เด็กที่คลอด ออกมาจะได้มีการพัฒนาของสมองเป็นปกติ

นอกจากนี้ ไขมันของ ปลาทะเลหลายชนิด เช่น ปลาทู ปลากะพง ปลาโอ ปลาอินทรี ยังมีกรดไขมันดีเอชเอ (DHA หรือ Docoda Hexaenoic Acid) อยู่ไม่น้อยซึ่งกรดไขมัน ชนิดนี้เป็น กรดไขมันโอเมกา 3 ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของสมองเด็กที่สมองกำลังพัฒนา หากได้รับประทานปลาทะเลบ้าง น่าจะเป็นผลดี

ส่วนผู้ใหญ่เสริมน้ำมันปลาที่มีกรดไขมันดีเอชเอสูงแล้วจะฉลาดขึ้นหรือไม่ยังไม่มีข้อพิสูจน์




 

Create Date : 27 สิงหาคม 2551    
Last Update : 27 สิงหาคม 2551 21:59:02 น.
Counter : 437 Pageviews.  

นิ่วในไตและทางเดินปัสสาวะ (kidney stone)

นิ่วในไตและทางเดินปัสสาวะ(kidney stone)
วัน เสาร์ 04 ก.ย. 04 @ 10:10
หัวข้อ: โรคไตและการปลูกถ่ายอวัยวะ



หลาย ๆ ท่านคงเคยได้ยิน คำว่านิ่วในไต และน่าจะมีหลายท่านที่มีประสบการณ์การปวดของนิ่ว หรือแม้กระทั่งปัสสาวะออกมาเป็นก้อนนิ่ว

//www.bloggang.com/data/zeri/picture/1218554661.gif>

ไตเป็นอวัยวะที่ขับถ่ายของเสีย ถ้าดูตามรูป ระบบทางเดินปัสสาวะ จะเริ่มจากไต (kidney)ที่มีรูปร่างคล้ายถั่ว อยู่สองข้างบริเวณชายโครง ด้านหลัง และมีท่อไต (ureter) ลงมาถึงกระเพาะปัสสาวะ(Bladder) นิ่ว ส่วนใหญ่จะเกิดอยู่ที่ไต และไหลลงมา อาจติดอยู่ที่ท่อไต หรือถ้าก้อนเล็ก ก็ลงมาเรื่อย ๆจนออกมากับปัสสาวะ

นิ่วไต (Renal calculus/kidney stone)

นิ่วไต (นิ่วในไต ก็เรียก)
เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบมากในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และพบมากในช่วงอายุ 30-40 ปี

ในบ้านเราพบมากทางภาคเหนือและภาคอีสาน นิ่วอาจมีขนาดต่างๆ กัน อาจมีเพียงก้อนเดียว หรือหลายก้อนก็ได้ ส่วนมากมักเป็นที่ไตเพียงข้างเดียว ที่เป็นทั้งสองข้างอาจพบได้บ้าง บางรายอาจเป็นซ้ำๆ หลายครั้งก็ได้

สาเหตุ

ก้อนนิ่วที่เกิดขึ้นในไตประกอบด้วยหินปูน (แคลเซียม) กับสารเคมีอื่นๆ เช่น ออกซาเลต, กรดยูริก เป็นต้น การเกิดนิ่วจึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะที่มีแคลเซียมในปัสสาวะมากผิดปกติ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการกินอาหารที่แคลเซียมสูง การดื่มนมมากๆ หรือมีภาวะผิดปกติอื่นๆ (เช่น ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกินไปซึ่งทำให้แคลเซียมในเลือดสูง)

นอกจากนี้ ยังพบเป็นโรคแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคเกาต์ ซึ่งมีการขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ

ส่วนกลไกของการเกิดนิ่วนั้น ในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าคงมีปัจจัยร่วมกันหลายอย่างด้วยกัน เช่น การอยู่ในเขตร้อนที่ร่างกายสูญเสียเหงื่อง่าย แล้วดื่มน้ำน้อย ทำให้ปัสสาวะมีความเข้มข้นของแคลเซียม, การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ, ความผิดปกติทางโครงสร้างของไต เป็นต้น

คนที่ชอบกินอาหารที่มีสารซาเลตสูง หรือกินวิตามินซีขนาดสูงๆ (ซึ่งจะกลายเป็นสารออกซาเลตสูง) ก็มีโอกาสเป็นนิ่วมากกว่าคนปกติ

อาการ


รูปแสดงบริเวณที่ปวดจากนิ่ว


ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดเอวปวดหลังข้างใดข้างหนึ่ง ลักษณะปวดแบบเสียดๆ หรือปวดบิดเป็นพักๆ อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะอาจมีลักษณะขุ่นแดง หรือมีเม็ดทราย

ถ้าก้อนนิ่วมีขนาดเล็ก อาจตกลงมาที่ท่อไต ทำให้เกิดอาการปวดบิดในท้องรุนแรง

บางรายอาจไม่มีอาการแสดงเลยก็ได้

อาการแทรกซ้อน

อาจทำให้เกิดการติดเชื้อกลายเป็นกรวยไตอักเสบ และถ้าปล่อยไว้นานๆ มีการติดเชื้อบ่อยๆ ก็ทำให้เนื้อไตเสีย กลายเป็นไตวายเรื้อรังได้

การรักษา

หากสงสัยควรส่งโรงพยาบาล

มักจะวินิจฉัยโดยการตรวจปัสสาวะ (พบมีเม็ดเลือดแดงจำนวนมาก) ตรวจเลือด เอกซเรย์ อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์ไตด้วยการฉีดสี (intravenous pyelogram หรือ IVP) และอาจตรวจพิเศษอื่นๆ ถ้าจำเป็น

ถ้านิ่วก้อนเล็กอาจหลุดออกมาได้เอง แต้ถ้าก้อนใหญ่อาจต้องผ่าตัดเอาออก



หรือใช้เครื่องสลายนิ่ว (extracorporeal shock wave lithotripsy/ESWL)



สลายนิ่วโดยการใช้เสียงความถี่สูงทำให้นิ่วระเบิดเป็นผงโดยไม่ต้องผ่าตัด


ถ้ามีอาการปวดให้ยาแก้ไข้ หรือแอนติสปาสโมดิก

ถ้ามีอาการติดเชื้อให้ยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน, โคไตรม็อกซาโซล หรือนอร์ฟล็อกซาซิน เช่นเดียวกับการรักษากรวยไตอักเสบเฉียบพลัน
ในรายที่มีสาเหตุชัดเจน ควรให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น ให้ยารักษาโรคเกาต์ในรายที่เป็นโรคเกาต์ เป็นต้น

ข้อแนะนำ


1. โรคนี้แม้ไม่มีอาการแสดง ก็ควรจะรักษาอย่างจริงรัง ถ้าจำเป็นอาจต้องผ่าตัดเอาออก หรือใช้เครื่องมือสลายนิ่ว หากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดแทรกซ้อนเป็นอันตรายได้

2. ผู้ป่วยควรดื่มน้ำมากๆ และลดอาหารที่มีกรดยูริก แคลเซียม และสารออกซาเลตสูง

ถ้าเป็นนิ่วก้อนใหญ่ ควรรักษาด้วยการใช้เครื่องสลายนิ่วหรือการผ่าตัด

+++++++++++++++++++++++++++++


ทีมา : บทความนี้มาจาก สุขภาพ thaihealth ข่าว ดูทีวี โรค
//www.thaihealth.net/h

URL สำหรับเรื่องนี้คือ:
//www.thaihealth.net/h/article521.html




 

Create Date : 12 สิงหาคม 2551    
Last Update : 12 สิงหาคม 2551 22:37:02 น.
Counter : 2151 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

npmail
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต
.....ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า, พระองค์นั้น

อะระหะโต
.....ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส

สัมมาสัมพุทธัสสะ
.....ตรัสรู่ชอบได้โดยพระองค์เอง

~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~

Blog นี้เอาไว้เก็บเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ เอาไว้อ่านเองค่ะ ไว้ว่าง ๆ ค่อยกลับมาอ่าน ส่วนใหญ่ก็ก็อป ๆ มากจากคนอื่นค่ะ ต้องขอขอบคุณ ณ ที่นี้นะคะ

ขอขอบคุณสมาชิกทุกท่าน ที่แบ่งปันของแต่งบล็อกสวย ๆ ให้มาแต่งบล็อกนี้

และขอขอบคุณทุกท่านที่ Vote ให้ด้วยนะคะ
โหลดเพลง นิยาย คลิปวีดีโอ การ์ตูน โหลดเพลง คลิปวีดีโอ นิยาย การ์ตูน โหลดเพลง คลิปวีดีโอ นิยาย การ์ตูน โหลดเพลง คลิปวีดีโอ นิยาย การ์ตูน ดูดวง โครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสมหามงคล 60 ปีราชาภิเษก และ 84 พรรษามหาราชา โครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสมหามงคล 60 ปีราชาภิเษก และ 84 พรรษามหาราชา โครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสมหามงคล 60 ปีราชาภิเษก และ 84 พรรษามหาราชา
Friends' blogs
[Add npmail's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.