|
เ ปิ ดใ จ มื อ ปื น -●- มารู้จักเอ็ม 79 ถล่ม "เดลินิวส์"
อาวุธปืนที่ใช้สำคัญไฉน
ข่าวคราวการสังหารเหยื่อของ มือปืน มักจะระบุว่า คนร้ายใช้ปืนขนาด .357 บ้าง ขนาด 9 ม.ม.บ้าง ขนาด 11 ม.ม. บางข่าวรุนแรงถึงขั้นใช้อาวุธสงครามตั้งแต่เอ็ม 16 อาก้า หรือ เอ็ม 79 ถล่มกันเลยทีเดียว
มือปืนรายนี้ ได้บอกถึงความสำคัญของการใช้อาวุธของมือปืนโดยรวมว่า สมัยก่อนนั้น การเป็นมือปืน จะต้องใช้ 11 ม.ม.สังหารเหยื่อเท่านั้น แต่ปัจจุบันนี้ มือปืน ทั่วๆ ไปไม่ได้คำนึงถึงปืนขนาด 11 ม.ม.อย่างเดียว แต่จะมองถึงปัจจัยเรื่องของความสะดวกในการพกพา การยิงแล้วมีความแม่นยำ การบรรจุกระสุนได้ครั้งหลายๆ นัด กันเสียมากกว่า
สำหรับซุ้มมือปืนที่ยังนิยมใช้ 11 ม.ม.นั้น ยังมีอยู่บ้าง โดยเฉพาะมือปืนที่มาจาก จังหวัดเพชรบุรี
ข้อดีสำหรับอาวุธปืนรุ่นนี้ จะเป็นปืนพกที่มีกระสุนใหญ่ที่สุด เมื่อเหยื่อรายใดถูกคมกระสุนรุ่นนี้เข้าไปแล้ว จะไม่ค่อยรอด พูดง่ายๆ ตายเกือบทุกราย และบางยี่ห้อมีคุณสมบัติพิเศษ ซองกระสุนสามารถบรรจุได้มากกว่า 10 นัด
ข้อเสียมีอยู่บ้าง คือ "ยิงยาก" เนื่องจากแรงสะท้อนถอยหลัง หรือชาวบ้านเรียกว่า แรงถีบ มีมาก ทำให้ความแม่นยำหายไป จะต้องอาศัยคนข้อแข็งๆ และสิ่งสำคัญไม่สะดวกต่อการพกพา ถ้าเป็นประชาชนทั่วไปแล้ว ไม่สามารถพกพาได้ จะต้องเป็นนักกีฬา หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้น
อาวุธปืนที่นิยมใช้ในกลุ่มมือปืนปัจจุบันคือ 9 ม.ม. โดยเฉพาะมือปืนในจังหวัดเพชรบูรณ์ และมือปืนแถบภาคกลาง
สาเหตุที่ มือปืน นิยมใช้อาวุธขนาดนี้กัน คงหนีไม่พ้นความเป็นปืน ลูกดก ปืนบางยี่ห้อมีแม๊กกาซีนสามารถบรรจุกระสุนถึง 18 นัด
ส่วน แรงถีบขนาด 9 ม.ม.นั้น มีน้อยกว่า 11 ม.ม.แน่นอน ทำให้ความแม่นยำในการยิงมีสูงกว่า
ทำไมต้องใช้ปืน ลูกดก ..??
มือปืนได้อธิบายว่า มือปืนสมัยใหม่นี้ ใจ แตกต่างกัน บางคนใจถึง บางคนขี้ขาด มีความกลัวสารพัดอย่าง ประการแรกกลัวเหยื่อไม่ตาย ต้องยิงซ้ำหลายๆ นัดเอาไว้ก่อน
ประการต่อมากลัวเหยื่อยิงสู้ ขอยิงซ้ำให้ตายสนิทไปเสียก่อน
ประการต่อมากลัวคนรอบข้าง หรือมือปืนติดตามยิงตอบโต้ จึงขอพกปืนลูกดกเอาไว้ก่อน
แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับ ใจ ถ้าใจนิ่ง ใจถึง เป็นอันว่าสามารถฆ่าคนได้ก่อนลั่นไกแล้ว
ส่วนคนลอบข้างหรือมือปืนติดตามนั้น มือปืนบอกว่า ไม่น่ากลัวเท่าไร เนื่องจากคนเหล่านั้นก็ "กลัวตาย"เหมือนกัน เมื่อได้ยินเสียงปืนดังใกล้ๆ มักจะต้องวิ่งหลบเอาตัวรอดเอาไว้ก่อน ส่วนนายจะตายหรือไม่ ไม่มีใครอยากรู้ เมื่อตั้งสติได้ มือปืนก็สังหารเป้าหมายเผ่นหนีไปเรียบร้อยแล้ว
ผมเองตั้งแต่เป็นมือสังหารมาไม่รู้กี่ปี ผมไม่เคยเจอผู้ติดตามกล้ายิงตอบโต้ขณะลั่นไกฆ่านายเขาเลย มือปืนน้อยรายมากที่ถูกคนใกล้ชิดของเหยื่อที่ถูกสังหารยิงตาย ถ้าเป็นมือปืนถูกคนใกล้ชิดยิงตายแสดงว่า ใจ ของมือปืนคนนั้น ใช้ไม่ได้ เมื่อเข้าไปยิงเหยื่อจะเกิดความลังเล ตัดสินใจไม่ถูก สุดท้ายถูกยิงตาย หรือถูกจับตัวเอาไว้ได้
ส่วนอาวุธปืนขนาด .357 นั้น เป็นอาวุธปืนลูกโม่ ที่มีดินขับกระสุนแรงมากที่สุดในบรรดาปืนพก ประชาชนทั่วไป ไม่สามารถพกพาหรือครอบครองได้ ต้องเป็นคนพิเศษเท่านั้น
มือปืนทั่วไปนิยมใช้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะ รุ่นเก๋า ที่เรียกว่า โป้งเดียวจอด ซึ่งเป็นปืนที่ไม่ค่อยแม่นยำเท่าไรนัก
เนื่องจาก โม่บรรจุกระสุนเป็นส่วนหนึ่ง ทำให้เกิดแรงเหวี่ยงให้พลาดเป้า มีโอกาสพลาดสูงมาก และที่สำคัญปืนขนาดนี้ จะบรรจุกระสุนได้ประมาณ 6 นัดเท่านั้น
แต่มือปืนที่นิยมใช้ ส่วนมากจะเป็นมือปืนประเภทไม่ต้องการทิ้งหลักฐานเอาไว้ในที่เกิดเหตุ เพราะเมื่อยิงกระสุนออกไปแล้ว ปืนลูกโม่ จะไม่สลัดปลอกทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุ เหมือนปืนแม๊กกาซีน ให้ตำรวจเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ส่วนปืนขนาด .38 นั้น เป็นปืนที่มีคุณสมบัติคล้ายกับ .357 เป็นปืนลูกโม่เหมือนกัน แต่กระสุนจะแรงน้อยกว่าเท่านั้นเอง ซึ่งปืนขนาดนี้ จะสะดวกต่อการพกพาเป็นอย่างมาก
เคยใช้อาวุธปืนรุ่นไหนบ้าง ..??
คำตอบที่ได้รับจากมือปืนรายนี้คือ ไม่เลือกขนาด เคยใช้มาทุกขนาดแล้ว ตั้งแต่ .38 ไปจนถึงอาวุธสงครามร้ายแรง แต่ละกระบอกที่ใช้ยิงคนตายด้วยกันทั้งนั้น ข้อดีสำหรับการใช้ปืนหลากหลายขนาดนี้ เป็นเทคนิคในการสร้างความไขว้เขวให้กับตำรวจ บางครั้งอยากจะหัวเราะดังๆ ให้กับข่าวที่ลงไปเหมือนกัน บางฉบับลงข่าวการให้สัมภาษณ์ของตำรวจไปว่า เป็นซุ้มมือปืนเมืองเพชรบ้าง ซุ้มบ้านไผ่ เพชรบูรณ์บ้าง ตำรวจหลายคนให้ข่าวอย่างผิดๆ ก็มี
Clip VDO :::เ ปิ ด ใ จ มื อ ปื น::: ขอขอบคุณ คุณปรีชา oknation.net ผู้สัมภาษณ์มือปืน / 6:31 นาที
________________________________________________
มารู้จักเอ็ม 79 ถล่ม "เดลินิวส์" :::P r e e c h a::: by ปรีชา
ลักษณะอาวุธสงครามปืน M 79 หรือที่รู้จักกันว่า เครื่องยิงลูกระเบิด ที่ใช้ถล่ม "หนังสือพิมพ์เดลินิวส์" ในครั้งนี้ เป็นปืนลำกล้องเดี่ยว ขนาดความยาวไม่เกิน 2 ฟุต ในการยิงจะมีเสียงเบา แต่เมื่อระเบิดทำงานจะมีเสียงดังคล้ายระเบิดทั่วไป รัศมีการยิงแต่ละครั้งจะสามารถยิงไปได้ไกลถึง 400 เมตร ระยะหวังประมาณ 200 เมตร ใช้กระสุนขนาด 40 มม.
ลักษณะการยิงจะยิงได้ทั้งวิถีกระสุนโค้ง และยิงขนานไปกับพื้น อยากให้นึกภาพง่ายๆ เหมือนกับการยิงลูกระเบิดออกไป มือยิงลูกระเบิด จะต้องใช้ปืนประเภทนี้มาประทับบ่าเหมือนปืนลูกซอง เมื่อลั่นไกยิงออกไป เสียงจะไม่ดังมากนัก แต่เมื่อลูกกระสุนไปตกยังเป้าหมายแล้ว จะมีเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ไม่แตกต่างอะไรกับระเบิดสังหารทั่วๆ ไปเลยทีเดียว
อำนาจการระเบิดคล้ายกับระเบิดขว้างสังหาร เปลือกที่ทำด้วยตะกั่ว หรือทองแดง หรือส่วนประกอบกลไกในลูกระเบิด จะกลายเป็นสะเก็ดอย่างดี มีรัศมีทำลายล้าง 15 เมตร ถ้าใครอยู่ในรัศมี 5 เมตร มีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก
ถ้าคนร้ายรายนี้นั่งยิงในรถ ลงมาจาก "ดอนเมืองโทรลเวย์" เป้าหมายเพื่อระเบิด "เดลินิวส์" ต้องยอมรับว่า การบังคับกระสุน ให้พุ่งไปหาเป้าหมาย นั้นทำได้ยาก เนื่องจากมีอุปสรรคดังต่อไปนี้
1.ลำกล้องปืนเอ็ม 79 ค่อนข้างสั้นบังคับยาก
2.มีแรงถีบที่มากพอสมควรบังคับยาก
3.คนยิงยังต้องระมัดระวังกระสุนปืนจะถูกประตูรถ โอกาสระเบิดใส่ตัวคนยิงได้
4.คนยิงยังระมัดระวังว่าจะถูกกำแพงทางด่วน โอกาสระเบิดใส่ตัวคนยิงได้เหมือนกัน
5.รถที่ใช้เป็นพาหะนะไม่ได้จอดอยู่นิ่งๆ พุดง่ายๆ ขับไปยิงไป
อุปสรรคดังกล่าว จะลดน้อยลงก็ต่อเมื่อ ผู้ใช้อาวุธ เอ็ม 79 นี้ จะต้องมีความชำนาญในการใช้อย่างมาก จะจึงสามารถยิงได้อย่างแม่นยำ
สำหรับอาวุธที่ใช้กระสุนลูกระเบิดขนาด 40 มม.นี้ จะมีอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า "เอ็ม 203" เป็นปืนที่ดัดแปลงมาจากเอ็ม 79 เพื่อนำมาติดอยู่ใต้ลำกล้องปืนของ เอ็ม 16 โดยใช้กลไกการทำงานเหมือนกัน รัศมีการทำรายเท่าๆ กัน แต่การมีปืน เอ็ม 203 ติดกับปืนเอ็ม 16 เท่ากับมีอาวุธปืน 2 กระบอกติดตัว คือมีทั้งปืนสงครามชนิด เอ็ม 16 กับปืนยิงลูกระเบิด
เอ็ม 203 ติดกับปืนเอ็ม 16
ระยะหลังนี้มีการพัฒนากระสุนปืนของ เอ็ม 79 มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนากระสุนให้เป็น "กระสุนกระสุนส่องแสง" เมื่อต้องการแสงสว่างมาก เพื่อให้มองเห็นคนร้ายนั้น จะใช้เครื่องยิง เอ็ม 79 ยิงกระสุนชนิดนี้ขึ้นไปบนฟ้า และกระสุนนี้จะแตกกลางอากาศกลายเป็นพลุส่องสว่างขึ้นมา
นอกจากนี้ยังพัฒนากระสุนให้เป็น "กระสุนแก๊สน้ำตา"ได้ เมื่อเข้าไปเผชิญเหตุกับม็อบ หรือคนร้ายอยู่ในมุมอับ จะสามารถใช้กระสุนยิงเข้าไปให้ระเบิดเป็นแก๊สน้ำตาได้
พัฒนากระสุนให้เป็น "กระสุนลูกยิงแห" บ้านเรามีใช้แล้ว เมื่อมีคนร้ายวิ่งหนี หรือจับตัวประกัน เขาจะใช้เครื่องยิงเอ็ม 79 บรรจุกระสุนแหเข้าไป เมื่อยิงออกไปแล้ว จะสามารถคุมคนร้ายให้ล้มลงได้ โดยไม่จำเป็นต้องจับตายเลย 56398/1718/1106/01.02.07
Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2550 | | |
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2550 0:34:04 น. |
Counter : 559 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เดรัจฉานพันธุ์ใหม่-สิงกะโปโตก -●- เ ด รั จ ฉ า น พั น ธุ์ ใ ห ม่ - ไ ร้ สำ นึ ก บุ ญ คุ ณ
เสียดายแผ่นดินแผ่นฟ้า-ให้ฝึกทหาร สิ ง ค โ ป ร์ อยู่ไปก็หนักเปล่า-ไล่ไปเสีย! โดย สปาย หมายเลขหก
เมื่อ สิงคโปร์ หอกข้างแคร่ของไทย หรืออาจจะเป็นมากกว่านั้น คือเป็น ห น า ม ย อ ก อก ของเราทีเดียว โดยหนามที่เข้ามายอกอกนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่มหามิตรของเขา คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ในอำนาจ โดยระบอบทักษิณนั้นเกื้อกูลต่อสิงคโปร์เหมือนกับเอาประเทศไปวางไว้ข้างหน้าอย่างข้าทาส หรือเป็นทรัพย์สินของสิงคโปร์ในหลายๆ ด้าน แต่วันนี้ ลึก-หกสิบ, ลับ-สี่สิบ จะกล่าวถึงแต่ทางด้านของความมั่นคง ซึ่งน่าจะเป็นอันตรายอย่างสุดขีด เพราะจะมีอะไรที่อยู่เหนือความมั่นคงของชาติได้อีกเล่า? อย่างแรก-เทมาเส็ก ได้หุ้นจากชินวัตรไปหมด ก็เท่ากับว่า ดาวเทียม ไทยคม ทุกดวงก็เป็นของสิงคโปร์ด้วย โดยสิทธิวงโคจรของดาวเทียมนั้นเป็นของชาติ มิใช่ของส่วนตัวที่หน้าเหลี่ยมจะขายได้ วงจรของดาวเทียมถูกกำหนดมาให้เป็นของแต่ละชาติว่าจะอยู่จุดใดในอวกาศ ช่องสัญญาณดาวเทียมสำหรับการสื่อสารนั้นก็เป็นของเทมาเส็ก รวมทั้งช่องสัญญาณเฉพาะสำหรับการสื่อสารทหารที่กรมสื่อสารทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้ใช้และควบคุมเครือข่าย ก็ตกอยู่ในมือของเทมาเส็ก ชื่อเป็นของรัฐบาลสิงคโปร์ ศูนย์สื่อสารทหาร ที่ทุ่งสีกัน ดอนเมืองนั้น จะเหลืออะไรอีกที่เป็นความลับทางทหาร และการใช้สัญญาณผ่านดาวเทียมนั้น ก็หมิ่นเหม่มากในเวลาฉุกเฉิน ที่อาจจะถูกตัดสัญญาณ หรือเกิดการขัดข้องทางเทคนิค แล้วเมื่อนั้นการติดต่อสื่อสารสั่งการ/บัญชาการ ก็จะเป็นอัมพาตหมดไปทุกเหล่าทัพ เพราะการสื่อสารนี้เป็นการสื่อสารแบบรวมการ แต่เรื่องนี้มีการพูดกันมามากแล้ว โดยแสดงความอุ่นใจว่า ถึงอย่างไรสถานีควบคุมสั่งการดาวเทียมก็ยังตั้งอยู่ในเมืองไทย ไม่ได้ย้ายไปสิงคโปร์ ในการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา ทหารได้เข้าควบคุมการปฏิบัติงานที่ศูนย์ดาวเทียม นนทบุรีด้วย และสามารถใช้สื่อสารทางทหารสั่งการได้ตลอดเวลา ไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิวัติ ทักษิณ นั้น สิงคโปร์-ผู้หักหลังไทยกรณี ทักษิณ ไปใช้สิงคโปร์เป็นเวทีสำหรับการกล่าวร้ายต่อรัฐบาลไทยอย่างชัดเจน เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองและก่อให้เกิดผลทางการเมืองในไทย รวมทั้งการใช้สิงคโปร์เป็นเวทีสำหรับการล้างคราบโสมม โดยสิงคโปร์เป็นผู้ให้น้ำและสบู่, สิงคโปร์ทำเหมือนกับว่าหน้าเหลี่ยมผู้นี้ คือผู้ที่เขายอมรับ และเป็นผู้วางอำนาจอย่างชั่วคราว สิ ง ค โ ป ร์ เ ห ยี ย บ เ รื อ ส อ ง แ ค ม จั บ ป ล าส อ ง มื อ แ ล ะ มี เ ล่ ห์ เ ห ลี่ ย ม ม า ก พ อๆ กับ ทักษิณ จึงคบกันได้อย่างมหามิตร หรือถ้าไม่เป็นมหามิตร ก็ต้องเป็นผู้รับใช้ที่ว่านอนสอนง่าย ใช้ไทยเสมือนเป็นดินแดนหรือเมืองออกของสิงคโปร์ แทนที่สิงคโปร์จะเกลียดชัง หรือรังเกียจที่คนผู้นี้ขายหุ้นให้แล้วก็เกิดความเสียหายในหุ้นที่ซื้อไปนับแสนล้านบาท คือมากกว่าราคา 7 หมื่น 3 พันล้านที่ซื้อ (แต่ยังจ่ายไม่หมด) กลับให้การต้อนรับเป็นอย่างดี เหมือนกับว่าจะช่วยเหลือหรือให้โอกาสสำหรับการกลับมาสู่อำนาจ เพื่อที่จะแก้ตัวหรือแก้ไขปัญหานั้น สิงคโปร์มองว่า- ทั ก ษิ ณ ยั ง มี ป ร ะ โ ย ช น์ อ ยู่ สำ ห รั บ สิ ง ค โ ป ร์ ใ น อ น า ค ต จึ ง ต้ อ ง ขุ น ไ ว้ แ ล ะ ใ ห้ เ ชื่ อ ง ยิ่ ง ก ว่ า เ ก่ า สิงคโปร์เป็นประเทศทะเยอทะยาน คิดอะไรเล็กๆ ไม่เป็น คือต้องคิดใหญ่ไว้ก่อนแบบ THE MAGIC OF THINKING BIG ทั้งๆ ที่เป็นประเทศเกาะเล็กๆ ขนาดนั้น ความคิดทางทหารของเขาในการป้องกันประเทศ เพื่อป้องกันเศรษฐกิจความมั่งคั่ง การสร้างเสริมความมั่นคงของเขาจึงทำอย่างเต็มที่ให้น่าเกรงขาม เป็นประเทศเดียวในย่านนี้ที่มีเครื่องบินลาดตระเวนระยะสูงในการตรวจจับเป้าหมายภาคพื้นดิน แบบที่เราเคยเห็นจากภาพในสงครามของสหรัฐฯ ที่ใช้เครื่องบินโบอิ้งทั้งลำติดอุปกรณ์ตรวจจับอิเล็กทรอนิกส์ไว้เต็มลำ มีจานเรดาร์ขนาดใหญ่ตรึงติดอยู่หลังเครื่องบิน ที่สามารถใช้ระบบ MULTI-SENSOR FUSION และ AUTOMATIC TAROET RECOGNITION (ATR) ที่ส่งภาพเป้าหมายที่เกิดขึ้นจริงไปยังศูนย์บัญชาการได้, รวมทั้งโครงการเฮลิคอปเตอร์ไร้นักบิน แต่สามารถใช้อาวุธโจมตีที่หมายได้ ซึ่งกองทัพสหรัฐฯ กำลังอยู่ในการดำเนินการขั้นที่ 3 สำหรับโครงการที่มีชื่อว่า UCAR ทางสิงคโปร์ก็เข้าประกบแล้วที่จะได้มาประจำการ สิงคโปร์มีเรือดำน้ำ 3 ลำ มีกองเรือขนาดเล็กแต่เป็นเรือติดขีปนาวุธทั้งสิ้น เรือยามฝั่งของสิงคโปร์ติดอาวุธดีกว่ากองเรือตามฝั่งของสหรัฐฯ ด้วยซ้ำไป, สิงคโปร์มีกำลังทางบก คือทหารบกอยู่ 4 กองพล มีปืนใหญ่แต่ไม่มีรถถัง เพราะมาเลเซียที่เป็นเพื่อนบ้าน (ซึ่งเคยรวมเป็นประเทศเดียวกันด้วยซ้ำ เมื่อได้เอกราชจากอังกฤษใหม่ๆ) ได้ยื่นคำขาดว่า ปืนใหญ่นั้นคุณมีได้ เพราะใช้เป็นอาวุธรักษาฝั่ง แต่ถ้าหากว่ามีรถถัง มียานเกราะ ก็จะถือว่า เป็นการจัดอาวุธเชิงรุกต่อมาเลเซียโดยตรง สิงคโปร์จึงหันไปหนักทางกองทัพอากาศ ถือว่าเป็นกองทัพใหญ่สุด และลงทุนมากที่สุด ทั้งกองทัพบกและกองทัพอากาศนั้น สิ ง ค โ ป ร์ เ ป็ น ผู้ พึ่ ง พ า ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ม า ก ที่ สุ ด (เพราะหันไปพึ่งพาคนอื่นไม่ได้แล้ว) เนื่องจากประเทศเป็นเกาะขนาดเล็ก พื้นที่สำหรับการฝึกของทหารบก และทหารอากาศไม่มีเพียงพอ สิงคโปร์ใช้แผ่นดินเพื่อการค้าโดยตัวเองเป็นประเทศนายหน้าค้ากำไร ต้องมาขอใช้ดินแดนประเทศไทย ที่เขาคิดว่าเป็นของ ทักษิณ ทั้งหมด สำหรับการทหาร เป็นเวลานานแล้ว-ประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา กองทัพบกสิงคโปร์ได้ขอใช้พื้นที่การ ฝึ ก สำ ห รั บ ท ห า ร ของเขาที่ ก า ญ จ น บุ รี พื้นที่ฝึกอยู่บริเวณชายแดนไทย-พม่า ซึ่งเป็นเขตยึดครองของกองทัพกะเหรี่ยงอิสระ ที่มี พล.ต.โอลิเวอร์ เป็นผู้บัญชาการ บริเวณนั้นเรียกว่า บ้านกะเหรี่ยงโตถะ บ้านหนองศรีมงคล บ้านห้วยน้ำขาว อ ยู่ ใ น เ ข ต อำ เ ภ อ ไ ท ร โ ย ค จั ง ห วั ด ก า ญ จ น บุ รี ใช้พื้นที่เดียวกับที่โรงเรียนสงครามพิเศษ ศูนย์สงครามพิเศษใช้ในการฝึกหลักสูตรจู่โจม (ภาคป่าภูเขา) และหลักสูตรการรบ การดำรงชีพในป่า โดยศูนย์สงครามพิเศษ มีค่ายฝึกชื่อ ค่ายเพ่งผล ตั้งอยู่ที่นั่น บริเวณริมแควน้อยใกล้กับปราสาทเมืองสิงห์ ค่ายของสิงคโปร์แยกออกต่างหาก ชาวบ้านเรียกกันว่า ค่ายสิงคโปร์ อาวุธกระสุนที่ใช้ในการฝึกเป็นของเขาทั้งหมดที่ส่งมาจากสิงคโปร์ ในปีหนึ่งๆ มีการฝึกรวม 3 รุ่น รุ่นหนึ่งใช้เวลา 2 เดือน หรือบางปีก็มีถึง 4 รุ่น นายกรัฐมนตรีลีเซียนลุงของสิงคโปร์ มียศทางทหารเป็นพลจัตวา ผู้บัญชาการทหารบกสิงคโปร์ก่อนจะมาเป็นทายาททางการเมืองต่อจากลีกวนยูผู้พ่อ, เขาเป็นทหารผู้มีประสบการณ์สูง คือหลังจากที่จบมาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกอังกฤษ ที่เซ็นเฮิร์ส เขามียศร้อยโทได้เข้ารับการเรียนหลักสูตร จู่โจม ที่โรงเรียนสงครามพิเศษพร้อมกับเพื่อนนายทหารสิงคโปร์ อีกคนหนึ่งจนจบหลักสูตรครบทั้งภาคที่ตั้งภาคสนาม ภาคป่าภูเขา ภาคทะเล เมื่อ พ.ศ. 2509 เมื่อประมาณ พ.ศ. 2535 หลังจากที่กองบิน 2 โคกกระเทียม ลพบุรี ได้ปรับเปลี่ยนกำลังทางอากาศ โดยให้กองบิน 2 เป็นที่ตั้งของอากาศยานเฮลิคอปเตอร์ (ฮ.) โดยเฉพาะ กองทัพอากาศสิงคโปร์ได้ขอใช้กองบิน 2 เป็นที่ฝึกบินเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งสิงคโปร์ใช้ ฮ.ของพูม่า ฝรั่งเศส อย่างเต็มหลักสูตร ก่อนหน้านั้น ก็เคยขอใช้มาแล้วเป็นระยะสั้นๆ ในบางห้วงเวลา โดยจัด ฮ.และครูฝึกตลอดจนชุดซ่อมบำรุงมาเอง ไทยสนับสนุนเรื่องการใช้อาคารสถานที่ อุปกรณ์ช่วยฝึกบางประเภท หอบังคับการบิน และการกู้ภัย สำหรับการใช้ไทยเป็นที่ฝึกทหารครั้งสำคัญ คือการขอร่วมใช้ กองบิน 23 จังหวัดอุดรธานี และ สนามบินน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นสนามบินที่สหรัฐฯ สร้างไว้สมัยสงครามเวียดนามเป็นฐานฝึกของเครื่องบินขับไล่ F-16 แบบ AB และ CD การนำเครื่องบิน F-16 เข้ามานี้ เป็นไปตามข้อตกลงในสมัยระบอบทักษิณ เมื่อ 2 ปีก่อน สิงคโปร์มี F-16 อยู่ 5 ฝูง และจะมีการจัดหาเพิ่มเติมอีก 2 ฝูงในปีหน้า เครื่องบินดังกล่าวได้สับเปลี่ยนกันเข้ามาอยู่ในไทยครั้งละฝูง โดยที่กองบิน 23 อุดรธานีนั้น กองทัพอากาศไทยมีแต่เครื่องบินรบแบบอัลฟ่า เจ็ต ที่ชาวอุดรธานี และขอนแก่นเห็น F-16 บินฉวัดเฉวียนอยู่นั้นเป็นของกองทัพอากาศสิงคโปร์ทั้งสิ้น แต่มาใช้น่านฟ้าไทย นอกจากจะใช้ไทยเป็นที่ฝึกบินหาความชำนาญ หรือการบินทางยุทธวิธีแล้ว F-16 ของสิงคโปร์ยังใช้แผ่นดินของเราเป็นสนามใช้อาวุธทางอากาศอีกด้วย ในการใช้สนามใช้อาวุธทางอากาศที่น้ำพอง ขอนแก่น และที่บ้านม่วงค่อม อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี อาวุธที่ใช้แผ่นดินไทยเป็นสนามทดสอบฝีมือนั้น มีทั้งการใช้ปืนกลอากาศ จรวดแบบต่างๆ และลูกระเบิด ตารางการบินและการใช้อาวุธทางอากาศของ F-16 สิงคโปร์นั้น เต็มแน่นตลอดทั้งปี มีความถี่ในการขึ้นบินมากกว่า F-16 ของไทย ที่นครราชสีมา (กองบิน 1) และตาคลี นครสวรรค์ (กองบิน 4 ด้วยซ้ำ) สิงคโปร์ไม่มีพื้นที่พอสำหรับการฝึกบิน ทั้งการหาความชำนาญ และยุทธวิธี เมื่อเครื่องบินวิ่งขึ้นก็แทบจะพันเกาะแล้ว ทางด้านเหนือเป็นพื้นที่ปิดอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นน่านฟ้าของมาเลเซีย ส่วนทางตะวันตกก็เป็นพื้นที่แคบน่านฟ้าไม่มากนัก เพราะเป็นน่านฟ้าของอินโดนีเซีย ด้ ว ย ข้ อ จำ กั ด ดั ง ก ล่ า ว จึ ง ต้ อ ง ม า ใ ช้ พื้ น ที่ ก า ร ฝึ ก ใ น ป ร ะเ ท ศ ไ ท ย สิงคโปร์มีการฝึกร่วมทางอากาศกับไทยปีละครั้ง คือการฝึกแอร์ไทย-ลิงค์ และสิงคโปร์ได้เข้าร่วมการฝึกคอบร้าโกลด์ ซึ่งเป็นการฝึกร่วมระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ด้วยความยินยอมของไทย ที่ให้สิงคโปร์เข้าฝึกร่วมด้วยได้ สิงคโปร์ส่งทหารบกและอากาศเข้าร่วมฝึกทั้งในส่วนการฝึกการบังคับการ และการฝึกภาคสนาม โดยมี F-16 เข้าร่วมการฝึกทางยุทธวิธีกับกองทัพอากาศไทย-สหรัฐฯ มีการฝึกเติมน้ำมันกลางอากาศ จากเครื่องบิน KC แทงเกอร์ ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ซึ่งโอกาสที่จะได้รับการฝึกเช่นนี้มีน้อยมาก สิงคโปร์ก็ได้รับการฝึกรับน้ำมันกลางอากาศโดย F-16 ด้วย จะเห็นได้ว่าไทยเอื้ออารีต่อสิงคโปร์ และมีบุญคุณอยู่กับสิงคโปร์มิใช่น้อยทางด้านการทหาร การสร้างความมั่นคงให้กับประเทศสิงคโปร์ แ ต่ สิ ง ค โ ป ร์ ไ ม่ ไ ด้ ต อ บ แ ทน อ ะ ไ ร แ ก่ เ ร า เ ล ย ใ น ย า ม ฉุ ก เ ฉิ น ห รื อ แ ม้ แ ต่ ก า ร แ ส ด ง น้ำ ใ จ เช่นครั้งหนึ่ง กองกำลังบูรพา ที่ผันการประชิดของทหารญวนและเขมรฝ่ายเฮงสัมรินไว้ เมื่อครั้งญวรส่งทหาร 7 กองพลมาจ่อที่ชายแดนด้านอรัญประเทศและตาพระยา กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 102 ของกองกำลังบูรพา เจ้าของฉายา บูรพาพยัคฆ์ ได้ใช้อำนาจการยิงของปืนใหญ่ 155 มม. ข่มการเคลื่อนไหวของยานเกราะฝ่ายตรงข้ามไว้นานหลายชั่วโมง การศึกครั้งนั้น คาดว่าจะต้องใช้กระสุนปืนใหญ่มากเกินอัตราที่มีอยู่ในกองพัน ป. 102 จึงมีการขอสนับสนุนกระสุนปืนใหญ่จากหน่วยปืนใหญ่ต่างๆ ทั้งที่กรุงเทพฯ ปราจีนบุรี ลพบุรี แม้แต่นครราชสีมายังต้องขนกระสุนปืนใหญ่ 155 มม. มาสำรองไว้ ปรากฏว่าการใช้กระสุนปืนใหญ่ในครั้งนั้น ต้องยิงอย่างต่อเนื่องอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง อัตราสำรองของกระสุนปืนใหญ่ที่มีเหลืออยู่ต่ำกว่าเกณฑ์แล้ว และหากว่ามีความจำเป็นตามสถานการณ์จะต้องใช้ปืนใหญ่อีก กระสุนปืนใหญ่ขาดแคลนแน่นอน ได้มีการติดต่อสายด่วนไปยังประเทศเพื่อนบ้านมี อินโดนีเซีย ตอบรับมาเป็นประเทศแรก ว่าจะลำเรียงกระสุนปืนใหญ่ 155 มม. มาเสริมให้ แต่ปรากฏว่า ปืนใหญ่ของกองทัพบกอินโดนีเซียเป็นอีกแบบหนึ่งใช้กับปืนใหญ่ของเราไม่ได้ อินโดนีเซียก็ตอบกลับมาว่า ถ้าหากมีปัญหาเช่นนั้น เขาจะส่งทั้งปืนใหญ่และกระสุนของเขาเต็มอัตรามาให้ ต่อมา, ทางไทยได้ขอขอบคุณไป เพราะ มาเลเซีย ได้แสดงน้ำใจตอบมาว่า กระสุนปืนใหญ่ของเขาที่มีอยู่ใช้กับของไทยได้เพราะเป็นปืนใหญ่แบบเดียวกัน ขอให้ไทยหาทางลำเรียงกระสุนปืนใหญ่มาทางมาเลเซียได้ นำออกจากคลังมารอไว้แล้ว กองทัพอากาศได้ใช้ เครื่องบินลำเรียงซี-130 บินไปมาเลเซีย และบรรทุกขนกระสุนปืนใหญ่มาลงที่สนามบินอู่ตะเภา แล้วลำเรียงต่อไปที่อรัญประเทศโดยรถยนต์ การขนกระสุนปืนใหญ่ทางอากาศเช่นนี้ ถือเป็นอันตรายมาก ไม่มีใครเขาทำกัน แต่ไทยต้องทำ โดยคิดว่ามีบินออกจากมาเลเซียก็อยู่เหนือทะเลอ่าวไทย มาที่สนามบินอู่ตะเภาก็อยู่ชายทะเล เส้นทางบินไม่ผ่านเมืองหรือบ้านเรือนผู้คน หากจะระเบิดกลางอากาศก็เป็นอันตรายเฉพาะทหาร ในขณะเดียวกัน ร.ล.ช้าง ซึ่งเป็นเรือลำเรียงของกองทัพเรือก็ออกเรือทันที ข้ามอ่าวไทยไปบรรทุกกระสุนปืนใหญ่กลับมา สิงคโปร์ซึ่งใช้ปืนใหญ่แบบเดียวกับของไทย มีแต่ความเงียบ ในยามฉุกเฉินเช่นนั้น การที่สิงคโปร์แสดงออกต่อไทยในกรณี ทักษิณ ครั้งนี้ ก็เหมือนกับจะเป็นการซ้ำเติมในช่วงที่ไทยอยู่ในภาวะไม่ปกติเช่นกัน มาตรการตอบโต้ที่ว่า ไทยงดกรอบการประชุมในโครงการความร่วมมือระหว่างพลเรือนไทย-สิงคโปร์ ยกเลิกการประชุมในวันที่ 29-31 มกราคมนี้ และถอนคำเชิญที่เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ ที่จะมาประชุมดังกล่าว เป็นมาตรการที่อ่อนไปสำหรับสิงคโปร์ - ควรจะต้องยกเลิกค่ายฝึกสิงคโปร์ที่กาญจนบุรี - ยกเลิกการฝึกบินเฮลิคอปเตอร์ที่กองบิน-2 ลพบุรี และ - ให้ถอนกำลังนำเครื่องบิน F-16 ออกไปจากกองบิน 23 อุดรธานี และสนามบินน้ำพอง จังหวัดขอนแก่นทันที จึงจะสาสมกับการกระทำครั้งนี้ หากว่าชาตินี้ ทักษิณ ได้กลับมามีอำนาจใหม่ค่อยกลับมาใหม่-แต่จะได้กลับมาหรือ?
ที่มา ::://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9500000006793CommentComment::::
มติครม.ให้ทักษิณคายเรดาร์จากยุทธศาสตร์ชาติคือสินค้า... :::://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9500000003626:::: โดย สปาย หมายเลขหก
ท๊ากกกกก สิน ตายยยยยยยยยย ซะ
Create Date : 21 มกราคม 2550 | | |
Last Update : 21 มกราคม 2550 1:00:49 น. |
Counter : 830 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
-●- เ ด็ ก ที่ โง่ ที่ สุ ด ใ น ป ร ะ เท ศ ไ ท ย- หรื อ -ใ น โ ล ก -●- ไ อ้ ตี๋ โ อ๊ ค เ อ๋ อ
::://www.manager.co.th/Pjkkuan/ViewNews.aspx?NewsID=9500000003956CommentComment:::
ผู้จัดกวน - คตส.มึนงงเป็นไก่ตาแตกท่านอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณเลี้ยงลูกยังไง สอนลูกแบบไหน อายุปาเข้าไปเกือบจะ 30 ปี อยู่แล้ว พูดได้แค่ 2 คำสั้นๆว่า"ไม่ทราบ" ไม่เชื่อลองอ่านคำให้การต่อคตส.ของนายพานทองแท้ เมื่อวันพุธที่ 11 มกราคม 2550 ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้จัดกวนแกะทุกคำพูดละเอียดยิบแม้กระทั่งเสียงถอนหายใจ โดยไม่มีการบิดเบือน เสริมเติมแต่งแม้แต่น้อย ทุกถ้อยคำล้วนแล้วแต่หลุดออกจากปากนายพานทองแท้ทั้งนั้น แอ่น แอน แอ้น คตส. : ชื่ออะไร? โอ๊ค : ไม่ทราบ
คตส. : อายุเท่าไร่? โอ๊ค : ไม่ทราบ
คตส. : พ่อ-แม่ชื่ออะไร ? โอ๊ค : ไม่ทราบ
คตส. : มีพี่น้องทั้งหมดกี่คน ชื่ออะไรบ้าง และแต่ละคนมีอาชีพอะไร โอ๊ค : ไม่ทราบ คตส.เริ่มหงุดหงิดถามอะไรก็ตอบว่า ไม่ทราบ ไม่ทราบ แต่ต้องกัดฟันอดทน เพื่อจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี จึงพยายามถามนำเพื่อให้เจ้าตัวตอบง่ายขึ้น คตส. : บ้านอยู่ไหน ชื่อบ้านจันทร์ส่องหล้า อยู่แถวถนนจรัญฯใช่หรือไม่ โอ๊คตอบว่าใช่ หรือไม่ใช่เท่านั้น โอ๊ค : ไม่ทราบ คตส.อุตส่าห์ถามนำและพยายามหาคำถามที่ง่ายที่สุดระดับเด็กอนุบาลมาถาม ก็ยังตอบไม่ได้ คนถามเริ่มมีอาการเครียดจัด ถึงขนาดเส้นเลือดบริเวณศีรษะเริ่มปูดโปนขึ้นเป็นลำ พลิกหาคำถามที่ง่ายและเป็นการผ่อนคลายอีกครั้ง คตส. : ขอถามเรื่องส่วนตัวหน่อยนะระหว่างน้องหยาด กับน้องปิ่น ที่เป็นข่าวอยู่หน้าจีนของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการใครคือแฟนตัวจริง โอ๊คทำหน้าตาแน่นิ่ง กะพริบตาปริ๊บๆ ดั่งชะนีแล้วตอบว่า : ไม่ทราบ คตส.หน้าแดงก่ำเขียวคล้ำเพราะอาการเครียด ควักบุรี่ออกมาอัดทีเดียวครึ่งซองควันโขมง ไปทั่วห้อง จนทำให้เจ้าหน้าที่ ที่รักษาความปลอดภัย และบรรดากองทัพนักข่าวที่เฝ้ารออยู่ด้านนอกพากัน แตกตื่นนึกว่า พวกคลื่นใต้น้ำ ที่เผาโรงเรียจนเกลี้ยง แล้วหันมาเผาสตง.แทน ไม่ลดละความพยายามวี๊ดบุหรี่ หนึ่งปี๊ดแล้วถามต่อ คตส. : มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้นแอมเพิล ริชอย่างไร? โอ๊ค: ไม่ทราบ
คตส.หลุดปากอุทานคำหยาบๆออกมาว่า : บ๊ะเอ็งนี่ มันอายุตั้งเกือบ 30 แล้วนะ ทำไม่พูดได้อยู่แต่ประโยคเดียววะ? โอ๊ค : ไม่ทราบ คตส. : ไม่ได้ถาม โอ๊ค : ไม่ทราบ คตส.เหลืออีกแค่ไม่กี่คำถาม เป็นคำถามที่อาจจะตอบยากแต่จำเป็นต้องถาม เพราะสอบเครียดนานเกือบ 3 ชั่วโมงแล้ว ยังไม่ได้คำตอบที่เป็นประโยชน์ต่อคดีแม้แต่น้อย คตส. : ใครเป็นคนให้ขายหุ้นจากแอม เพิล ริชให้คุณก่อนขายให้เทมาเส็ก โอ๊ค : ไม่ทราบ
คตส. : เพิ่มทุนหุ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ จากทุนหมื่นล้าน เป็น5 หมื่นล้านตอนไหน? โอ๊ค : ไม่ทราบ
คตส. : ทำไมไม่ขายในราคาตลาดอยู่ที่ 40 กว่าบาท ทำม้ายทำมาย มาขายคืนแค่ บาทเดียว โอ๊ค : ไม่ทราบ
คตส. : เอ้า!หมดเวลาแล้ว ตั้งแต่สอบถามมานี่ปาเข้าไป 3 ชั่วโมงกว่าๆ แล้ว พักเที่ยงพอดี เดี๋ยวทางคตส.เราจะเลี้ยงข้าวสักมื้อ จะทานอะไรดี เป็นแฮมเบอร์เกอร์ หรือว่า เอาไก่อย่างเคเอฟซีดี โอ๊ค : ไม่ทราบ
สิ้นคำตอบสุดท้ายที่หลุดออกจากปากนายโอ๊คว่า "ไม่ทราบ"ทางเจ้าหน้าที่คตส.ไม่ว่าจะเป็นท่านประธานนาม ยิ้ม แย้ม หรือคณะกรรมการอีกหลายต่อหลายคนพากันมึนงง บางท่านถึงกับเป็นลมล้มคว่ำไปก็มี ส่วนที่เหลือพอประคับประครองร่างของตนเองออกมาจากห้องสอบสวน ต่างก้บ่นอุบเป็นเสียงเดียวกันว่า"ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีเลี้ยงลูกมายังไง อายุปาเข้าไปเกือบ 30 ปีแล้วพูดได้น้อยกว่าเด็กอนุบาล พูดได้แต่คำว่า ไม่ทราบ ไม่ทราบ โอ๊ยมึน
ที่มา ผู้จัดกวน //www.manager.co.th/Pjkkuan/ViewNews.aspx?NewsID=9500000003956CommentComment
-เพิ่มเติม- ก็มานจาตอบได้ยางงาย โง่ซะขนาดต้องถือโพยเข้าห้องสอบ ม รามฯ O_o โธ่! อย่ามาสร้างภาพใสซื่อ ไอ้เลว ไอ้ขี้โกง ไอ้เสียชาติเกิด
Create Date : 14 มกราคม 2550 | | |
Last Update : 22 มกราคม 2551 6:38:23 น. |
Counter : 755 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ITV -●- อุ๋ย เตรียมประเมินความเสียหายในตลาดหุ้น -●- เจ๊งแน่ไอทีวี
♥ คลิปวีดีโอ -ดู-ฟัง-: เมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งที่ 28 ::://www.uthaisak.net/15dec28a.htm::: 15.12.06
__________________________________________
คำขวัญวันนี้ ฮาๆ
คำขวัญท้ายรถเต่า -รุ่นเก่า- - ไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก - ขับเร็วด้วยแรงม้า ขับช้าด้วยแรงเต่า - ไม่แรงอย่าแซงเต่า - อะไหล่มันแพง ขับแรงไม่ได้ - ตอนนี้หมดแรง แซงได้เล้ยยย __________________________________________
คำขวัญใน-ห้องน้ำ- - ยืนให้ชิด อย่าคิดว่าแม่น - เห็นงานเป็นลม เห็นนมสู้ตาย - รักเสมอ เผลอมีใหม่ - วันนี้กะบะ วันหน้ากะเบนซ์ __________________________________________
อุ๋ย เตรียมประเมินความเสียหายในตลาดหุ้น :::://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9490000155250::::
คาดตลาดหุ้นเจ๊งกว่า 5 แสนล้าน ดัชนีรูดไปกว่า 100 จุด รัฐบาลเตรียมประเมินผลเสียหายหลังปิดตลาด เย็นวันนี้ "หม่อมอุ๋ย" ปลื้ม มาตรการธปท.ได้ผลเกินคาด เย้ยนักลงทุนตปท. ผลกระทบขาดทุนในตลาดหุ้น อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว ชี้เม็ดเงินนอกกว่าแสนล้าน กำลังไหลกลับตลาดหุ้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า ผลกระทบกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ที่เกิดจากมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว โดยทางการจะประเมินผลกระทบทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังจากตลาดหุ้นปิดทำการในวันนี้ เนื่องจากต้องการให้ผลที่เกิดจากการใช้มาตรการดังกล่าวได้แสดงออกมาให้เต็มที่ก่อน อย่างไรก็ดี ในภาพรวมแล้วเห็นว่าทั้งค่าเงินบาทและตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าเชื่อถืออยู่ "การที่ดัชนีหุ้นลดลงกว่า 100 จุด ผลที่เกิดขึ้นจากเรื่องนี้ เราคาดกันไว้อยู่แล้ว ส่วนจะมีมาตรการดูแลอะไรหรือไม่นั้น รอให้ตลาดฯ ปิดก่อนจึงจะประเมินอีกครั้ง" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว และเพิ่มเติมว่า การออกมาตรการของ ธปท.ก็เพื่อต้องการให้เงินบาทอ่อนค่าลง ซึ่งก่อนหน้านี้เงินที่ไหลเข้าประเทศส่วนมากจะไปอยู่ที่ตลาดหุ้น แต่ในเดือนธ.ค.เงินที่ไหลเข้าประเทศส่วนใหญ่ ไปอยู่ที่ตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อหวังเก็งกำไรจากค่าเงินบาท หากธปท.ไม่นำมาตรการสกัดกั้นเงินทุนระยะสั้นออกมาใช้ ก็จะยิ่งทำให้ต่างชาติเข้ามาเก็งกำไรกับเงินบาทมากขึ้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ระบุว่า สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยยังไม่น่าเป็นห่วง แม้นักลงทุนต่างชาติจะเทขายหุ้นออกมา แต่ยังไม่มีการซื้อดอลลาร์เพื่อเอาเงินออกนอกประเทศ นอกจากนี้เชื่อว่ายังมีเงินลงทุนของผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ (non-resident) อีกกว่าแสนล้านบาทที่พร้อมกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นได้ ทั้งนี้ มีการประเมินเบื้องตนว่า การที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับลดลงไปกว่า 100 จุด ส่งผลให้มูลค่าตลาดหายไปกว่า 5 แสนล้านบาทแล้ว ซึ่งความเสียหายของตลาดหุ้นทั้งหมด รัฐบาลจะมีการประเมินตัวเลขเย็นวันนี้
ความคิดเห็นที่ 125 คิดดีแต่ไม่รอบคอบ ทำให้ตลาดหุ้นชิปหาย 5 แสนล้าน มันไม่ใช่กระทบต่างชาติอย่างเดียว คนไทยรายย่อยก็มี ต้องพลอยย่อยยับไปด้วย ถ้าจะป้องกันคนต่างชาติมา กอบโกยผลประโยชน์จากเรากลับไป ก็สร้างมาตรการ ให้ขายหุ้นให้คนไทยก่อน ไม่ต้องไปง้อมัน พวกต่างชาติ บีบไม่ให้ต่างชาติถือหุ้นเกิน 10 % หุ้นตกแบบวิกฤตสุด ๆ เป็นเพราะผู้ถือหุ้นต่างชาติทุกที อย่างมหาจำลองว่า เปิดขายหุ้นให้คนไทย ไม่ถึง 2 นาที ก็ขายเกลี้ยง มาตรการนี้ของ ธ.ป.ทวย แย่มาก ๆ ผู้ว่า ธ.ป.ทวย ลูก กระโป.... หม่อยอ๋วย ทบทวนให้ดี ควรลาออกได้แล้ว คิดได้แต่มาตรการตื้น ๆ เรื่องการเงินการธนาคาร มันมี แฟ๊คเตอร์ที่ต้องนำมาพิจารณาให้หมด แบบสมการเชิง ซ้อน
คุณธาริษา ไปได้แล้ว ธ.ป.ทวย
__________________________________________
ศาลปกครองสูงสุด-ตัดสินแล้ว-ในที่สุดก็หนีไม่พ้นความจริงและความถูกต้อง -●- เจ๊งแน่ไอทีวี
ไอทีวี ออกแถลงการณ์รับคำสั่งศาลปกครองสูงสุด อ้างที่ผ่านมาทำตัวเป็นสื่อที่เป็นกลาง นำเสนอข่าวสารเพื่อประโยชน์สังคมมาตลอด และที่ไม่โวยวายเรื่องเปลี่ยนเจ้าของ เพราะไม่อยากตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง พร้อมเตรียมปรับผังค่ำนี้ทันที ขณะที่พนักงานบางส่วนจับกลุ่มพูดถึงอนาคตตัวเอง ส่วนผู้ผลิตรายการบันเทิงขอรอฟังนโยบายของช่อง สืบเนื่องจากคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด ที่ยืนยันต่อคำพิพากษาของศาลปกครองกลางที่ให้เพิกถอนคำสั่งของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งเคยชี้ขาดให้สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ลดค่าสัมปทานให้ไอทีวี จากปีละ 1,000 ล้านบาท เหลือเพียงปีละ 230 ล้านบาท นอกจากนั้น ยังให้ สปน.จ่ายค่าชดเชยให้ไอทีวีอีกเป็นจำนวน 20 ล้านบาท...ซึ่งมีผลทำให้ไอทีวีต้องกลับมาจ่ายเงินค่าสัมปทานให้กับรัฐในอัตรา 1,000 ล้านบาทต่อปี รวมถึงการปรับสัดส่วนของรายการจากรายการข่าวต่อบันเทิงเป็น 70 : 30 ตามเดิมนั้น ทันทีที่มีคำตัดสินออกมา ก็ได้ทำให้หุ้นไอทีวีตกชนิดดิ่งลงเหวโดยปิดตลาดที่ 2.10 บาท ลดลง 0.70 บาท หรือลดลง 25.00% ขณะเดียวกันทางไอทีวีเองก็ได้มีแถลงการณ์ออกมาทันที โดยมีใจความว่า...พนักงานไอทีวีจำนวน 1,070 คน ขอน้อมรับต่อคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดด้วยความเคารพ และพร้อมปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดทุกประการ ...............................
คลิกอ่านต่อได้ที่ลิงค์นี้ค่ะ :::://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9490000152922::::
__________________________________________
มาลองอ่านความคิดเห็นกันดู
ความคิดเห็นที่ 241 ถึงพนักงานไอทีวี ความเป็นทีวีเสรี อยู่ที่จิตวิญญาณของคุณ ไม่ได้อยู่ที่ใครคือเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ การกระทำของพวกคุณที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าพวกคุณไม่มีจิตวิญญาณของการเป็นสื่อสาธารณะ ไม่ว่าจะอ้าง หรือ แก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น
แม้แต่วันนี้ที่แพ้คดีแล้ว ความผิดชัดแจ้ง ยังออกมาเสนอข้อมูลและความเห็นเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจของตนเอง ทั้งๆที่เจ้าของธุรกิจเป็นต่างชาติไปแล้ว คุณยังเห็นแก่เจ้าของธุรกิจ มากกว่าผลประโยชน์ของชาติ จิตวิญญาณของไอทีวีในยุคแรกๆ ที่เคยขุดคุ้ยความไม่ถูกต้องออกมาตีแผ่ ได้สูญสลายไปหมดสิ้นแล้ว ตั้งแต่พวกคุณขายจิตวิญญาณของตัวเอง ขายจรรยาบรรณของวิชาชีพเพื่อความอยู่รอด ยอมทำงานตามคำสั่งของผู้มีอำนาจมากกว่าจะเห็นแก่ความถูกต้อง แม้กระทั่งวันนี้ เรายังมองไม่เห็นจิตวิญญาณของสื่ออิสระในตัวพวกคุณ เราไม่ไว้ใจคุณอีกต่อไป
พวกคุณไม่มีทางจะเป็นสื่อเสรีได้อีกต่อไป เพราะว่าความเป็นสื่อเสรีอยู่ที่จิตวิญญาณ ซึ่งไม่มีอยู่ในตัวพวกคุณมานานแล้ว ตั้งแต่เมื่อคุณละทิ้งอุดมการณ์
พึงระลึกว่า การขาดทุนกำไรของสื่อสารมวลชน อยู่ที่ความเชื่อถือของประชาชนที่มีต่อพวกคุณ ไม่ใช่อยู่ที่การยอมทำตามอำนาจเงิน หรืออำนาจของนายเงิน แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นเจ้าของกิจการ แต่เขาไม่ใช่เจ้าของอุดมการณ์ ไม่ใช่เจ้าของจิตวิญญาณอันเป็นเสรี ไม่ใช่เจ้าของจรรยาบรรณ เมื่อใดที่คุณคิดว่าต้องทำสื่อตามความต้องการของผู้มีอำนาจ เมื่อใดที่คุณเกรงกลัวอำนาจ ต้องการอยู่รอด มากกว่าต้องการเสนอความเป็นจริง มากกว่าต้องการรักษาผลประโยชน์ของชาติ และประชาชน พวกคุณก็ควรเลิกเป็นสื่อเสรี ควรไปเป็นลูกจ้างทำงานรณรงค์หาเสียงให้นักการเมือง พวกคุณควรเลิกเป็นสื่อเสรี เพราะว่า ความเป็นสื่อเสรี อยู่ที่จิตวิญญาณ ไม่ว่าใครคือเจ้าของธุรกิจหรือผู้ถือหุ้นใหญ่
ชาลี ความเป็นสื่อเสรี อยู่ที่จิตวิญญาณ ไม่ว่าใครคือเจ้าของ
__________________________________________ 51991/50057/959/201206
Create Date : 14 ธันวาคม 2549 | | |
Last Update : 11 มิถุนายน 2552 23:53:08 น. |
Counter : 634 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|