Group Blog
 
All blogs
 

กลิ่นแก้วกลางใจ ตอน อวสาน


ก ลิ่ น แ ก้ ว ก ล า ง ใ จ


บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
กมลชนก ยวดยง เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์



ตอนที่ 31 (อวสาน)

ความร้อนของแสงแดดที่ส่องตรงลงมายังหลังคาสังกะสีเก่าผุของร้านอาหารชานเมืองร้านหนึ่งทำให้เด็กสาวในชุดชาวบ้านที่ผูกผ้ากันเปื้อนปาดเหงื่อ ...ที่ผ่านมา อาโปไม่เคยชินกับสภาพอากาศแบบนี้นัก แต่เมื่อต้องมาเป็นอย่างนี้ อาโปก็อดทน

หลังจากที่เธอรับรู้เรื่องราวทั้งหมดว่าตนเองเป็นเพียงลูกโสเภณี และลูกสาวที่แท้จริงของจิตตาคือพระพาย อาโปก็ทำใจยอมรับไม่ได้ เธอคิดไปเองว่าจิตตาต้องเกลียดชังตนจึงได้ย้ายมาอยู่ต่างจังหวัดกับนมแสง

แรกเริ่มอาโปยังทำใจยอมรับไม่ได้ เอาแต่นั่งเหม่อลอยและร้องไห้ แต่เพราะความรักที่นมแสงมีให้กับเธอ อาโปจึงกลับเนื้อกลับตัว มีสติและกำลังใจในการที่จะมีชีวิตอยู่อีกครั้ง

“ทำไมนมต้องรักอาโปขนาดนี้ ทำไม อาโปไม่มีอะไรแล้ว เป็นแค่ลูกโสเภณีที่แม่ทิ้งไว้ที่โรงพยาบาล” เด็กสาวเคยถามกับแม่นมของตนเองเช่นนั้น

“คุณหนูเป็นนาย แสงเป็นบ่าว เหมือนสุนัขที่รักเจ้าของ มันจะจงรักภักดีกับคุณหนูตลอดไป “
อาโปน้ำตาไหล...ไม่คิดว่าจะมีใครรักเธอได้มากมายขนาดนี้
“เหมือนสุนัขที่รักเจ้าของ ... เหมือนแม่ที่รักลูก แม่ของหนู นมคือแม่ของหนู “

นมแสงร้องไห้ออกมาด้วยความปลื้มใจ ทั้งสองกอดกันแน่น....ความรักของนมแสงที่มีต่ออาโปเป็นเหมือนพลังอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้อาโปเปลี่ยนแปลง กลับตัวเป็นคนดีอย่างเช่นทุกวันนี้

อาโปเช็ดโต๊ะ ยกจานชามไปเก็บ มองหม้อแกงที่เหลือเพียงน้ำแกงติดก้นหม้ออย่างดีใจ
“โอ้โห ขายหมดเกลี้ยงเลย แสดงว่า ฝีมือนมยังใช้ได้”

นมแสงที่บัดนี้ผันตัวมาเป็นแม่ครัวยิ้มให้อาโป
“ชีวิตมีทางออกเสมอเห็นไหมคะ ทำร้านนี้สักเดือน ก็มีเงินส่งคุณหนูเรียนต่อแล้ว ใครๆก็ใช้ชีวิตแบบนี้ ไม่ยากเกินไปใช่ไหมคะ”

“ถ้ามีแม่คนนี้อยู่ หนูจะทำให้ได้ค่ะ”
อาโปเข้าไปโอบกอดนมแสง นมแสงยิ้มปลื้มใจ

“ยังมีข้าวเหลือสักจานไหมจ๊ะ” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นที่หน้าร้าน อาโปและนมแสงหันมองอย่างแปลกใจว่าใคร แล้วอาโปก็ต้องแปลกใจที่เห็นจิตตายืนอยู่หน้าร้านกับพระพาย
“คุณแม่”
“คุณพระพาย”

อาโปรีบพาทั้งสองเข้ามาในร้าน หาน้ำท่าเข้ามาต้อนรับอย่างดี
“ใจแข็งจังนะ ฉันคิดว่าคนอย่างอาโป หนีไปสักสามวันยังไงก็ต้องเผ่นกลับบ้าน นี่หาย
กันมาเป็นเดือน”

พระพายมองไปรอบๆตัว ร้านขายข้าวแกงของนมแสงที่มีอาโปเป็นคนเสริฟ แม้จะดูธรรมดา แต่ก็สะอาดสะอ้าน

“ร้านนี้ไม่เลวเลยนะคะ.... ชุดนี้ด้วย” พระพายยิ้มให้อาโป
จิตตาเข้าไปโอบกอดอาโป

“แม่ไม่เคยเกลียดหนู ไม่เคยเลยจริงๆ แม่แค่ไม่ชอบพฤติกรรมของหนูเท่านั้นเอง ...แต่เท่าที่ดู นี่เป็นครั้งแรก ที่นมแสงเลี้ยงลูกของฉันได้ดี”

“ที่ผ่านมา เป็นความผิดของนมเองค่ะ นมขอโทษ ที่ตามใจคุณหนูมากเกินไป นมเป็นต้นเหตุให้คุณหนูเป็นอย่างนี้”

“นมขา อย่าพูดอย่างนี้สิคะ”
อาโปบีบมือนมแสง เธอรู้ตัวแล้วว่าตัวเองที่เป็นคนผิด ไม่ใช่ใครทั้งนั้น

จิตตาคุยกับอาโปอย่างจริงจัง
“หนูไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ หนูคิดมากไปเองว่าแม่จะไล่หนู คิดไปเองว่าพระพายจะมาแทนที่หนู ไม่มีใครแทนใครได้หรอก กลับบ้านกันเถอะนะ”

“คุณแม่มาชวนหนูกลับบ้านหรือคะ” อาโปถามขึ้นอย่างไม่เชื่อหู

“บ้านนั้นกว้างเกินไปสำหรับเราสองคน ห้องของคุณ ฉันก็ไม่ได้ใช้ กลับไปอยู่ด้วยกันเถอะนะ” พระพายชักชวนอาโปอีกแรง อาโปใจเต้น

“คุณสองคนไม่ได้เกลียดหนูจริงๆหรือ”
จิตตากอดอาโปอีกครั้ง

“แค่หนูพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง แม่ก็ดีใจแล้ว ให้แม่กับพระพายได้อยู่ข้างๆหนู ช่วยหนูเปลี่ยนแปลงตัวเอง ดีไหมคะ”

อาโปน้ำตาคลอ หันมองหน้านมแสงเพื่อขอความเห็น นมแสงพยักหน้าให้รับปากแม่ อาโปก็โผกอดตอบจิตตาอย่างตื้นตันใจ
“คุณแม่”

พระพายเข้าไปกอดด้วยอีกคน นมแสงว้าเหว่ เลยเข้าไปร่วมวงกอดด้วย หมอกควันแห่งความไม่เข้าใจกันคลี่คลาย ทุกคนกลับมารักใคร่กันอีกครั้ง

สิ่งแรกที่อาโปทำหลังจากกลับมาอยู่ที่สุรเยนทร์คือ การคืนอิสรภาพให้อัสนี เธอมอบเอกสารการหย่าขาดตามกฎหมายให้เขาอย่างยิ้มแย้ม

“นี่ค่ะ อิสรภาพที่คุณต้องการ”
“ขอบคุณมากครับ “ อัสนียื่นมือไปขอจับมือกับอาโป “ สำหรับเพื่อนที่ดี”

อาโปยิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือกับอัสนี ดูเหมือนปัญหาเรื่องต่างๆของอัสนีจะหมดไป เหลือเพียงแต่เรื่องที่พระพายยังไม่ยอมพูดกับเขาเท่านั้น

“หรือว่าเขาจะชอบไอ้หมอบ้านั่นหรือเปล่าครับคุณอา”
อัสนีทำหน้าหน้ายุ่งจนจิตตาอดที่จะสงสารไม่ได้ ....อัสนีขอร้องให้จิตตาช่วยพาพระพาย
กลับไปยังบ้านกลิ่นแก้ว เพราะเขาได้เตรียมอะไรบางอย่างไว้ให้เธอที่นั่น

พระพายและจิตตาเดินเล่นมองดูบ้านกลิ่นแก้วที่เวลานี้ใกล้เคียงกับสภาพเดิมมาก มีนั่งร้านซ่อมแซมคนงานกำลังทาสีปรับปรุงสถานที่อยู่

“บ้านกลิ่นแก้ว ไฟไหม้ไปแล้วไม่ใช่หรือคะ ใครคะเป็นคนสั่งซ่อม คุณแม่หรือคะ”
พระพายหันไปถามจิตตาแล้วก็ต้องแปลกใจที่จิตตาหายไปแล้ว มีเพียงอัสนีเดินยิ้มเข้ามาแทน

“ผมเอง … บ้านนี้มีความหมายกับผม เป็นบ้านแห่งความรักของพ่อคุณและของผมด้วย”
“คุณอัสนี”

พระพายเมินหน้าหนีเขาทันที อัสนีรู้สาเหตุที่พระพายโกรธแล้ว เข้าไปง้องอน
“ผมขอโทษที่หลอกคุณเรื่องตาบอด ถ้าผมไม่ทำแบบนั้น ผมคงแก้ปัญหาชีวิตไม่ได้”

“คุณบอกความจริงฉันได้นี่คะ แต่คุณหลอกให้ฉันดูแลคุณ คุณคงสนุกมากนะ เห็นฉันนั่ง
ดูแลคุณ ห่วงคุณ คงนั่งขำทุกวันใช่ไหม”

พระพายยังงอนตุ๊บป่อง อัสนียังไม่ลดความพยายาม
“ถ้าผมบอกคุณ คุณก็คงหนีผมทันที ใช่ไหมล่ะ”

พระพายอึ้งไปเล็กน้อยเพราะอัสนีพูดถูก
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่คุณก็ไม่ควรหลอกฉัน”

“เข้าใจผมหน่อยเถอะ เวลานั้น ผมถูกปองร้าย ถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่าง ผมอาจตายไปแล้ว “
พระพายยังคงทำท่าไม่สนใจ อัสนีจึงตีหน้าเศร้า น้อยใจ

“หรือคุณอยากให้ผมตายจริงๆ ได้ ผมไปตายจริงๆก็ได้” พูดจบอัสนีก็วิ่งหายออกไปทันที พระพายยังคงยืนเฉยทำเป็นไม่สนใจ แต่แล้วก็ต้องใจเมื่อได้ยินเสียงอัสนีร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด

“โอ๊ย....”
“คุณอัสนี”

พระพายหน้าตื่น รีบวิ่งตามไปดูด้วยความเป็นห่วง แต่แล้วพระพายก็ถูกคนเจ้าเล่ห์หลอกตามเคย เขาโผล่ออกมาจากที่ซ่อนเข้าไปรวบตัวพระพายมากอดไว้
“จ๊ะเอ๋ ....ได้ผลทุกทีสินะ”

อัสนีพูดอย่างอารมณ์ดี พระพายตีอัสนีด้วยความเขิน โกรธตัวเองที่ตกหลุมพรางของอัสนีจนได้
“โธ่คุณ นี่แน่ะ นี่แน่ะ นี่นี่ เมื่อไหร่จะเลิกเล่นแบบนี้เสียทีนะ “

อัสนีก้มลงกระซิบข้างหู “ก็ยกโทษให้ผมสิ คนอื่นเขารอลุ้นจะแย่อยู่แล้ว ทำทิฐิไปได้”

“คนอื่น?” พระพายหันมองหาคืนอื่นที่อัสนีว่าทันทีแล้วก็ต้องพบนมแสง จิตตา อาโป แต้ม
และถวิลแอบมองอยู่จากมุมหนึ่ง ทั้งหมดสะดุ้งเมื่อเห็นพระพายมองมา รีบพากันเฉไฉดูดอกไม้ใบหญ้า แก้เก้อกันทันที

พระพายหน้าแดง เขินอาย
“นี่มากันหมดเลยหรือ”

อัสนียิ้ม “ว่าไงล่ะ ดีกันนะ...นะ” เขายื่นนิ้วก้อยง้องอน พร้อมส่งสายตาเว้าวอน พระพาย
เห็นสีหน้าและแววตาของอัสนีแล้วอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

“ก็ได้...” เธอตอบเขาไปเบาๆ
อัสนีตาโต กระโดดตัวลอย
“ไชโย พระพายเขาตอบตกลงแต่งงานกับผมแล้วครับ เย้”

อัสนีตะโกนบอกทุกคนเสียงดัง ทุกคนโห่ร้องอย่างดีใจ พระพายหันไปจ้องอัสนีทันที
“แต่งงาน อีตาบ้า ฉันพูดเมื่อไหร่ ว่าจะแต่งงานกับคุณหา นี่เจ้าเล่ห์ไม่เลิกเลยนะ นี่นี่ มานี่เลย”

พระพายวิ่งไล่ตีอัสนีด้วยความเขิน เขาแกล้งวิ่งหนีเธอไปเรื่อยๆก่อนจะรวบตัวพระพายมากอดอีกครั้ง คราวนี้พระพายยิ้มกว้างโอบกอดเขาตอบเช่นกัน.... ต่อจากนี้ ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องราวทั้งดีและร้ายสักแค่ไหน คนทั้งคู่จะไม่ยอมแยกจากกันไปอีก......

งานแต่งงานของพระพายกับอัสนีจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายในสวนสวยที่บ้านกลิ่นแก้ว เจ้าบ่าวเจ้าสาวยืนอยู่ใต้ซุ้มดอกแก้วที่ออกดอกสีขาวบานสะพรั่ง

อัสนีกำลังให้คำสัญญาก่อนสวมแหวนที่นิ้วนางให้พระพาย
“ต่อหน้าเถ้ากระดูกของคุณพ่อคุณ และดวงดาวที่สถิตของคุณพ่อผม ผมนายอัสนี สัญญาว่าจะรักและดูแล นางสาวพระพายตลอดไป”

พระพายยิ้มปลื้ม...เธอให้คำสัญญาแก่เขาเช่นกัน
“ต่อหน้าคุณแม่จิตตา คุณแม่เมษา พระพายสัญญาว่าจะรักและดูแลคุณอัสนีจนกว่าชีวิตจะหาไม่”

ทุกคนที่มาร่วมงานปรบมือแสดงความยินดี...
เจ้าบ่าวเจ้าสาวบรรจงสวมแหวนให้แก่กัน อัสนีจูบหน้าผากพระพายอย่างรักใคร่....ในที่สุดสายฟ้าอย่างเขา ก็มีสายลมอันอบอุ่นอยู่ใกล้ชิด ไม่ให้หัวใจหนาวอีกต่อไป

จิตตาเข้าไปแสดงความยินดี
“แม่ดีใจด้วยนะ ขอให้ลูกทั้งสองมีความสุขตลอดไป”

“แล้วก็มีนายน้อยให้เราเร็วๆด้วยนะครับ” แต้มรีบเติมให้ ....ทุกคนพากันหัวเราะอย่างมีความสุข เมษาที่นั่งอยู่บนรถเข็น ร่างกายไม่แข็งแรง ยิ้มน้อยๆ แม้จะไม่ยอมพูดอะไร

บรรยากาศงานเลี้ยงฉลองงานแต่งงานของอัสนีและพระพายอบอวลไปด้วยความรัก ทุกคนต่างชื่นมื่น มีความสุขจนไม่มีใครสังเกตว่าเมษาหายจากรถเข็นไปไหน

ที่หน้าบ้านกลิ่นแก้ว....
เมษาเอามือจับที่ป้ายไม้เก่าๆฝีมือของอรชุน
หล่อนเพิ่งรู้ความหมายถ่องแท้วันนี้เอง เธออ่านป้ายนั้นด้วยเสียงอันสั่นเครือ

ความรักเปลี่ยนแปลงโลก…
ความเกลียดทำลายแม้ตัวเอง…

โลกไม่เคยเว้นว่างจากความเกลียดชัง แต่โลกหมุนไปด้วยพลังของความรัก .... ความรักเท่านั้น...




 

Create Date : 25 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 25 กรกฎาคม 2550 13:33:21 น.
Counter : 6014 Pageviews.  

กลิ่นแก้วกลางใจ ตอนที่ 29 - 30


ก ลิ่ น แ ก้ ว ก ล า ง ใ จ


บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
กมลชนก ยวดยง เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์


ตอนที่ 29


ไม่มีใครรู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เรื่องราวความวุ่นวายทั้งหมดคือเมษา
หล่อนมองความเสียใจของจิตตาและพระพายอย่างสะใจ ดูเหมือนชัยชนะจะตกอยู่ที่เมษา
หากว่าจิตตาไม่ได้ตัดสินใจเดินทางไปยังบ้านกลิ่นแก้ว

จิตตานั่งหมดอาลัยตายอยากในชีวิต เธอคุยกับเถ้ากระดูกของอรชุนที่ซุ้มต้นแก้วอย่างเศร้าหมอง
“พี่อรชุนยังอยู่ที่นี่ไหมคะ ถ้ายังอยู่ ช่วยบอกหญิงที ว่าจะไปตามหาลูกที่ไหน หญิงหมดสิ้นหนทางแล้วจริงๆ”

แล้วคืนนั้นจิตตาก็ฝันถึงเขา อรชุนกลับมาให้กำลังใจเธอ
“หญิงเคยพูดกับพระพายว่าอะไร...ความดีบอบบาง รักษายากยิ่ง แต่หอมทนทานและยาวนาน “

“แล้วต้องอดทนอีกนานเท่าไหร่คะ ตลอดชีวิตเลยไหม”
อรชุนยิ้มให้เธออย่างปลอบโยน
“ไม่หรอก อีกนิดเดียวนะคะ อีกนิดเดียว.....”

เช้าวันรุ่งขึ้น แต้มและถวิลมาดูแลจิตตา ถวิลบ่นคิดถึงอาโป จิตตาจึงเล่าความจริงให้ทั้งสองฟังว่าคนที่ถวิลคิดถึงน่าจะเป็นพระพายไม่ใช่อาโป

“แล้วคุณพระพายอะไรเนี่ยเป็นใครครับ ทำไมยอมมาเป็นเมียจอมปลอมของคนร้ายกาจอย่างคุณอัสนีได้ ไม่บ่นสักคำ” แต้มถามขึ้นอย่างสงสัย

จิตตายิ้มน้อยๆเมื่อนึกถึงพระพาย หญิงสาวยังอยู่ในใจของจิตตาเสมอ
“พระพายเขาเป็นอย่างนั้นล่ะ สวยทั้งร่างกายและจิตใจ จริงๆฉันก็ไม่รู้จักเขามากหรอก รู้แต่ว่า เขาเป็นลูกบุญธรรมคุณเมษา”

ดูเหมือนอะไรบางอย่างจะทำให้จิตตาเอะใจ เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด...พระพายเคยเป็นเด็กกำพร้าที่เมษารับมาเลี้ยง...สามีของเมษาเป็นสถาปนิก...

จิตตาวิ่งไปที่กระเป๋าของเธอ เมื่อไม่นานมานี้ มีจดหมายลึกลับฉบับหนึ่งส่งมาหาเธอ เธอมิได้เปิดอ่านเพราะมัวสนใจแต่การออกตามหาไปยังบ้านเลี้ยงเด็ก จิตตาสังหรณ์ใจว่าจะเป็นจดหมายจากพระพาย

แล้วก็เป็นจริง ก่อนที่พระพายจะร่ำลาออกไปจากบ้านของจิตตา จิตตาเคยสั่งให้หล่อน ส่งเรื่องราวของสามีเมษามาให้ พักหลังนี้ เธอสนใจประวัติส่วนตัวของเมษา เพราะเมษามีพิรุธ พยายามปกป้องความลับอะไรบางอย่างต่อหน้าเธอมาอย่างต่อเนื่อง

พระพายส่งจดหมายหาจิตตา โดยไม่ยอมบอกว่าเธอเป็นพยาบาลที่ดูแลอัสนีที่โรงพยาบาลระหว่างตาบอดครั้งที่สอง เธอรู้สึกขอบคุณที่จิตตา คอยส่งข้อความห่วงใยมาที่มือถือของเธอ แม้ว่าพระพายจะไม่เคยเปิดเครื่องเลย เพราะไม่อยากติดต่อกับคนเก่าๆ แต่เมื่อเธอเปิดเครื่องมือถือในวันนี้ และได้เห็นความห่วงใยของจิตตา เธอจึงเขียนจดหมายมาขอบคุณ แถมยังส่งสิ่งที่จิตตาต้องการมาให้

สิ่งนั้นคือรูปของสามีเมษา ที่พระพายแอบเก็บไว้ตั้งแต่ เมษาทำรูปไหม้เมื่อคราวที่แล้ว !

จิตตาจับรูปที่ไฟไหม้นั้น มือสั่น หัวใจแทบเต้นออกมานอกอก
...จิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย ปรากฏชัดเจนขึ้น

จิตตานึกทบทวน ครั้งหนึ่งเมษามีอาการทางจิตและพูดกับหล่อน
“แก แกก็มาด้วยกันหรือ ดีเลยจะได้ตายไปด้วยกันทั้งแม่ลูก ต่อหน้าผัวแกนั่นล่ะ แกสองคนตายไปด้วยกันเลย”

สิ่งที่จิตตาสงสัยกระจ่างขึ้นทันที
“พระพายคือลูกสาวของเธอ !”
หัวใจจิตตาแทบหยุดเต้น เธอเป็นลมหมดสติไปทันที

จิตตาฟื้นขึ้นมาด้วยหัวใจที่ปวดร้าว เธอรู้ดีว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจของเมษาที่คิดจะแก้แค้นเธอและลูกมาตั้งแต่ต้น จิตตาตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาเมษาทันที

“คุณหญิงหรือคะ” เมษารับโทรศัพท์ของจิตตาด้วยความแปลกใจ หลังจากจิตตารู้ว่าเธออยู่เบื้องหลังการสับเปลี่ยนตัวพระพายกับอาโป จิตตาก็ไม่โทรมาหาเธออีกเลย

“สบายดีหรือคะ” จิตตาพยายามถามด้วยน้ำเสียงปกติ
“ค่ะ โทรมาแต่เช้ามีอะไรหรือเปล่าคะ”

จิตตาพูดเข้าเรื่องทันที
“คุณคงเคยได้ยินชื่อบ้านกลิ่นแก้ว ที่อาโปกับอัสนีเคยมาอยู่ด้วยกัน”
“มาหาฉันที่นี่หน่อยสิคะ ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วย คุณหาทางมาได้ใช่ไหมคะ”
“ได้ค่ะ”

“งั้นมาให้ได้นะคะ” จิตตากำชับเมษาก่อนจะวางโทรศัพท์ไป และวันรุ่งขึ้น เมษาก็เดินทางมาหาจิตตาตามที่ได้นัดแนะกัน ไม่มีใครรู้ว่าจิตตาชวนเมษามาที่บ้านหลังนี้ทำไม

จิตตาเข้าไปต้อนรับขับสู้เมษาอย่างดี
“หมู่นี้จิตใจฉันไม่ค่อยดี เลยมาพักที่นี่สองสามวัน” จิตตาบอกกับเมษาเช่นนั้น เมษายิ้มเยาะ

“ โถ ยังไม่หายอีกหรือคะ ไม่น่าเชื่อนะคะ คนดีๆอย่างคุณหญิง จะโชคร้ายซ้ำซากขนาดนี้ ไม่รู้ไปทำกรรมเวรอะไรไว้”

จิตตาสบตากับเมษาด้วยสายตาจริงจัง ก่อนจะพูดออกไป
“นั่นสิคะ ฉันก็คิดอย่างนั้น ถ้าฉันทำเวรกรรมอะไรไว้จริงๆ ก็คงถึงเวลาเผชิญหน้าเจ้ากรรมนายเวรพวกนั้นแล้วล่ะค่ะ ถึงเวลาที่ต้องคุยกันแล้ว ได้เวลาคุยกันเสียที ! “

“หมายความว่าไงคะ”
จิตตาไม่ตอบคำถามของเมษา เธอนำเมษาเข้าบ้านไป เมษาชื่นชมความสวยงามของบ้าน

“บรรยากาศสบายดีนะคะ”
“บ้านกลิ่นแก้วเป็นบ้านเล็กๆตั้งอยู่กลางเกาะห่างไกลผู้คน ผู้ชายคนหนึ่ง สร้างบ้านหลังนี้ให้แก่คนที่เขารัก ฟังดูเหมือนนิยายรักเรื่องหนึ่งว่าไหมคะ”

“สร้างบ้านให้คนที่รักงั้นหรือ”
เมษาเสียงเครียดขึ้นมาทันที จิตตาเล่าต่อ

“ ทุกๆที่ในบ้านหลังนี้มีเงาเจ็บปวดของผู้ชายคนหนึ่ง และผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คู่รักที่ไม่เคยพบกัน ผู้ชายคนนั้นสร้างบ้านขึ้นด้วยความรับผิดชอบที่มีต่อลูกของเขา ส่วนผู้หญิง ทุกครั้งที่มาบ้านหลังนี้ เธอทุกข์ทรมาน เพราะเห็นแต่ความคิดถึง และความรักที่ไม่มีวันสมหวัง”

เมษาหยุดเดิน หันกลับไปถามจิตตา
“ บ้านนี้ไม่ใช่บ้านตากอากาศธรรมดาหรอกหรือ”
“เป็นบ้านพ่อของอาโปค่ะ”

เมษาตัวชา...อรชุนสร้างบ้านเปี่ยมรักแห่งนี้ไว้ให้นังเมียน้อยและลูกหรือนี่ เธอหันมองจิตตา ทั้งสองประสานสายตาชั่วขณะหนึ่งยาวนาน !!

“ฉันไม่เคยรับเงินค่าเลี้ยงดู ไม่ยอมพบเขาอีก และไม่ยอมให้เขาเจอลูก เขาเลยสร้างบ้านให้เรา ก่อนที่จะตายจากกัน โดยไม่มีโอกาสแม้แต่ล่ำลา….เขาเป็นรักแรกและรักเดียวในชีวิตของฉัน เราเจอกันโดยบังเอิญที่เมืองนอก ด้วยความขาดสติ เราร่วมกันทำผิดต่อภรรยาของเขา เพียงคืนเดียว ตัดสินชีวิตทั้งหมดที่เหลือ ฉันตั้งท้อง....ความผิดครั้งเดียวนั้นเกินพอ เราสัญญาจะไม่ทำผิดซ้ำ ฉันเลี้ยงเด็กไว้ แต่ไม่เคยพบเขาอีก ยกเว้นในวันที่เขาไม่มีลมหายใจแล้ว”

จิตตาพาเมษาไปที่ซุ้มต้นแก้ว
“ฉันทำตามสัญญาของเขา เอาเถ้ากระดูกมาโปรยไว้ที่นี่ ใต้ต้นแก้วที่เราชอบ”

“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม” เมษาถามจิตตาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง...เธอผิดหวังเสียใจอย่างรุนแรงที่รู้ว่าอรชุนรักจิตตามากมายขนาดนี้

จิตตาหันหน้าเผชิญกับจิตตาอีกครั้ง
“คุณคงรู้แล้ว ว่าชายลึกลับที่สร้างบ้านหลังนี้เป็นใคร”

เมษานึกถึงอรชุนอย่างเจ็บช้ำ น้ำตาไหลรินจากดวงตาทั้งสองของเธออย่างสุดกลั้น
“ คุณรู้ความจริงได้ยังไง”

“ฉันควานหาความจริงไปทั่ว เดินทางไกลเป็นเดือนๆ แต่กลับลืมปะติดปะต่อเรื่องใต้จมูกของตนเอง”

“คุณเลยคิดจะพาฉันมาเยาะเย้ยที่นี่งั้นหรือ” เมษาถามอย่างเจ็บปวด...เจ็บแน่นในอก จนแทบไม่มีแรงจะหายใจ จิตตาพยายามอธิบายให้เมษาเข้าใจ

“ไม่เลย ฉันอยากสารภาพความจริงทุกอย่าง สิ่งที่ฉันต้องการก็คือการขอโทษ ฉันอยากขอโทษ ขออโหสิ กับเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันอยากให้คุณรู้ว่าเราไม่ได้ตั้งใจ”

เมษาตาพราวด้วยความโกรธ
“คุณขอโทษด้วยการพาฉันมาดูความรักอันยิ่งใหญ่ของผัวตัวเอง กับชู้เนี่ยนะ “

“คุณอย่าเข้าใจผิด ฉันต้องการพาคุณมาดูทุกอย่าง ให้คุณรู้ว่าระหว่างฉันกับเขา เราไม่ได้มีความสุขอย่างที่คุณเข้าใจ เราอยู่กับความรู้สึกผิดทุกวัน”

“ถ้าแกอยู่กับความเลวร้ายทุกวัน แล้วฉันล่ะ ฉันอยู่กับมันทุกนาที ทุกวินาที ! ไอ้ความเจ็บปวดที่แกพูดถึงน่ะ ถึงครึ่งหนึ่งของฉันไหม !! “

“แต่คุณก็ไม่ควรเอามันไปลงกับพระพาย คุณไม่ควรเอาความแค้นไปลงกับเด็กที่ไม่รู้
อิโหน่อิเหน่ !! “ จิตตาเดินเข้าไปยืนตรงหน้าเมษา

“ ฉันอยู่นี่แล้วไงคุณเมษา” จิตตาดึงมือเมษามาตีตนเอง “อยากฆ่าฉัน อยากทำร้ายก็เอาเลย ตีฉันสิ บีบคอฉัน ฆ่าฉันเลยเอาเลย เอาเลย ! แต่ขออย่างเดียวอย่าทำลูกฉัน อย่าทำเขา ฉันทนไม่ได้ ฉันทนไม่ได้ “

จิตตาร้องไห้จนเข่าอ่อนลงไปนั่ง เธอวิงวอนเมษาอย่างน่าสงสาร แต่ดูเหมือนว่าเมษาจะไม่รับรู้ใดๆแล้ว...เมษากลับไปอาละวาดทำลายข้าวของที่บ้าน ร้องเรียกหาอรชุนอย่างไม่กลัว

“ไอ้ผัวทรยศ ออกมาสิ ไอ้ผัวเห็นแก่ตัว แกเอาความรักไปให้มันสองแม่ลูก แล้วความรักของฉันล่ะ นังเมียคนนี้ที่ทิ้งทุกอย่างในชีวิตให้แก ดูแลแกจนตาย แกมีอะไรให้บ้าง”

เมษาหยิบมีดขึ้นมาขู่ไปรอบๆ มองหาผีอรชุน
“ออกมาสิ ออกมา จะออกมาเป็นผี จะออกมาเป็นคน ฉันก็ไม่กลัวแก ออกมาสิ
ทีอย่างนี้ล่ะหายหัว บอกให้ออกมา ! “

เมื่ออรชุนไม่ปรากฏตัว เมษาก็เริ่มมีน้ำตา
“คุณทำร้ายจิตใจฉัน ทำลายครอบครัวเรา แล้วก็ชิงตายไปก่อน แล้วฉันล่ะ คุณทิ้งฉัน
ให้มีชีวิตแบบนี้ได้ยังไง คำขอโทษสักคำก็ไม่มี “

เมษาร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร เธอปล่อยมีดตกลงพื้น ทรุดตัวลงนั่งอย่างคนหมดสิ้นทุกอย่าง

“คำขอโทษไม่เท่าไหร่ คำบอกรักล่ะ คุณรักฉันบ้างไหม.....รักฉันบ้างไหม”

เมษาปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจากใจอย่างไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน เมื่อเมษาเจ็บจนเกินจุดที่จะเจ็บปวด ความแค้นก็กลับเข้ามาครอบงำเมษาอีกครั้ง ทำอย่างไรเธอถึงจะทำให้จิตตาเจ็บอย่างที่เธอเจ็บได้บ้าง

“นังพระพาย !! “
เมษารีบออกตามหาตัวพระพายทันที !

จิตตาออกเดินทางจากเกาะกลิ่นแก้วเพื่อตามหาพระพายเช่นกัน แต้มและถวิลขอติดตามจิตตาขึ้นมาด้วย จิตตาโทรศัพท์ไปหาอัสนีเพื่อสอบถามข่าวคราวของพระพาย

“คุณอาจะตามตัวพระพายไปทำไมครับ”
อัสนีถามขึ้นอย่างแปลกใจ จิตตาตัดสินใจบอกความจริงทั้งหมดแก่อัสนี

“ฟังนะ คุณเมษามีความแค้นกับอา วันที่อาคลอดลูก เขาสลับตัวลูกของอา ลูกของอาคือพระพาย ไม่ใช่อาโป”

“อะไรนะฮะ ถ้าอย่างนั้นคนที่ต้องแต่งงานกับผมที่จริงก็ต้องเป็น....”
“พระพาย เขาเป็นเจ้าของแม้แต่บ้านที่เขามาเป็นคนใช้ ! “

อัสนีหัวใจพองโต คนที่เขาต้องแต่งงานด้วยแท้จริงแล้วคือพระพาย...แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทั้ง
หมด....

“เรื่องนี้มันบ้าจริงๆ “ แล้วอัสนีก็นึกได้ว่าจิตตาถามเรื่องที่อยู่พระพาย
“เอ้อ ผมไม่ได้ข่าวเขาหรอกครับ ผมเจอตัวเขาเป็นๆแบบสวรรค์ส่งมาเลยล่ะ”

อัสนีบอกเรื่องพระพายเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลที่เขาเข้ารักษาให้จิตตารับรู้....มันบังเอิญเหลือเกินว่าภานุที่กำลังจะเข้ามาจัดการสังหารอัสนีได้ยินเรื่องนี้พอดี

ภานุโทรศัพท์รายงานข่าวเรื่องที่อยู่ของพระพายแก่เมษาอย่างรวดเร็ว
“เยี่ยมมากคุณภานุ ขอให้ความแค้นจงเจริญ !! “

เมษารีบออกเดินทางไปหาพระพายทันที...หล่อนไม่มีวันยอมให้สองแม่ลูกได้พบกันเด็ดขาด !!
“ใครน่ะ”

อัสนีที่เพิ่งวางโทรศัพท์จากจิตตาถามขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาในบ้าน เขายังแกล้งเป็นคนตาบอดเพื่อตบตาทุกคน

“ฉันเอง “ ภานุบอกกับอัสนีแค่นั้น เขาเดินตรงไปที่ลิ้นชัก
“อาภานุ “

อัสนีหันมองภานุที่กำลังค้นหาสิ่งของอะไรบางอย่างในลิ้นชักตู้ใบหนึ่ง
“อาแวะมาเอาของน่ะ...ของสำคัญ”
“ผมไม่นึกว่าคุณอาจะมีของสำคัญที่บ้านนี้อีก นึกว่าคุณอาตัดขาดพวกเราไปหมดแล้ว”
“ถามตัวเองดีกว่ามั้งว่ายังเห็นฉันเป็นอาอยู่หรือเปล่า แกแจ้งตำรวจจับฉัน ! “

ภานุจ้องอัสนีอย่างเกลียดชัง เมื่อสักครู่นี้เอง ตำรวจบุกไปจับตัวเขาไปสอบปากคำ เนื่องจากได้หลักฐานบ่งชี้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับอัสนีทั้งหมดไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา ....ภานุหนีรอดมาได้ เขาตั้งใจจะมาฆ่าอัสนีด้วยมือของเขาเอง ด้วยอารมณ์ของสุนัขจนตรอก !

อัสนีมองสายตาที่เกลียดชังของภานุอย่างเจ็บปวด
“คุณอาฆ่าพี่ชายแท้ๆของตัวเองได้ยังไง ทำได้ยังไง เพียงเพื่อทรัพย์สมบัติเพียงอย่างเดียว แค่นั้นจริงหรือครับ”

“แกไม่เคยรู้ ชีวิตที่เดินตามเงาของคนที่เก่งกว่า ฉลาดกว่า อย่างพี่อัคคี โดยที่เราไม่มีวันไปถึง มันทรมานยังไง ไม่เท่านั้น ... เขายังมีลูกชายที่เก่งและฉลาดกว่าฉัน ... แกคิดว่าฉันจะมีที่ยืนในโลกนี้ไหม”

เสียงรถตำรวจดังเข้ามา ภานุหาสิ่งที่เขาต้องการเจอพอดี เขาหยิบปืนออกมาจากลิ้นชัก จ่อยิงไปที่อัสนีทันที
“เปรี้ยง...”

ภานุลั่นไก อัสนีกระโดดหลบกระสุนปืนของภานุอย่างรวดเร็ว ภานุมองอย่างตกใจ
“นี่แก ...ตาไม่ได้บอดหรือ!”

“ยิงคนตาบอด ชาติชั่วจริงๆ”
อัสนีโกรธมากที่ภานุทำกับเขาอย่างนี้ เขาเข้าไปเตะปืนจากมือภานุ ทั้งสองชุลมุลแย่งปืนกันจนตำรวจกรูเข้ามาจับตัวภานุ

“นายครับนาย เราพาตำรวจมาแล้ว” แต้มและถวิลบอกกับอัสนีเช่นนั้น...ทั้งสองขอแยกจากจิตตาเพื่อมาดูอัสนีก่อน และเจอตำรวจตามตัวภานุอยู่ที่หน้าบ้านพอดี

ในที่สุด คนชั่วก็ไม่สามารถหนีกรรมชั่วของตนไปได้ ตำรวจใส่กุญแจมือภานุพาตัวออกไป อัสนีโล่งใจที่ทุกอย่างจบลงด้วยดี
“พ่อครับ คนที่ทำร้ายพ่อกำลังรับกรรมของตนเองแล้วนะครับพ่อ” อัสนีพูดกับพ่อในใจ เขาเพิ่งสังเกตว่าแต้มกับถวิลมากันเพียงสองคน

“จริงสิ แล้วคุณหญิงไปไหน”
“ไปหาคุณอาโป เอ๊ยคุณพระพายครับ”

อัสนียิ้มอย่างสุขใจ “อืม แม่ลูกจะได้พบกันเสียที”
ภานุบังเอิญได้ยินสิ่งที่ทั้งสามคุยกันพอดี ภานุแสยะยิ้ม

“ได้พบหรือ ใช่ ! ได้พบแน่ แต่มีลมหายใจหรือเปล่า ไม่รู้นะ “
“หมายความว่าไง”

อัสนีใจหายวาบขึ้นมาทันที ภานุหัวเราะลั่น
“ฮะฮะฮ่า ฉันบอกเมษาไปแล้วว่าพระพายอยู่ไหน พร้อมๆกับที่แกบอกจิตตานั่นล่ะ”

อัสนีไม่รีรอต่อไปอีกแม้วินาที เขาขับรถออกไปช่วยเหลือพระพายอย่างรวดเร็ว แต่พอไปถึง เขาก็พบกับจิตตาที่กำลังขวัญเสียอยู่เช่นกัน

“อัสนี แย่แล้วเมษาพาพระพายไป เขามาเจอพระพายก่อน มาได้ยังไงก็ไม่รู้”
“ใจเย็นๆครับใจเย็น เราตั้งต้องสติก่อน ต้องช่วยกันคิด ถ้าเราเป็นคุณเมษา เราจะพาพระพายไปไหน เราต้องคิดให้ออก”

อัสนีพยายามตั้งสติคิดว่าเมษาจะพาพระพายไปไหน แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก แต่แล้วจู่ๆจิตตาก็คิดขึ้นได้

“ถ้าเป็นเมษา เขาต้องพาไปในที่ที่มีความหมาย ฉันนึกออกแล้ว ...บ้านกลิ่นแก้ว !”

จิตตาและอัสนีรีบเดินทางไปยังบ้านกลิ่นแก้วทันที !!



ก ลิ่ น แ ก้ ว ก ล า ง ใ จ


บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
กมลชนก ยวดยง เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์


ตอนที่ 30



พระพายรู้สึกมึนหัวอย่างประหลาด เธอค่อยๆลืมตาขึ้นดูว่าตัวเองอยู่ที่ใด แต่ก็ดูเหมือนเปลือกตาจะหนักอึ้ง ลำบากยากเย็นเหลือเกินกว่าที่เธอจะลืมตาขึ้นดูอะไรได้ แล้วพระพายก็ต้องตกใจที่รู้ว่าตนเองถูกจอนนี่มัดตัวให้ติดอยู่กับเสาในบ้านกลิ่นแก้ว

เมษาเข้ามายืนมอง ยิ้มเหี้ยม...
“คุณแม่ นี่คุณแม่พาหนูมาที่นี่ทำไม คุณแม่ให้เขาปล่อยหนูนะคะ”

“ฉันไม่ใช่แม่แก แม่แกเป็นถึงหม่อมราชวงศ์สาวสวย จิตตาไงล่ะ”
“อะไรนะคะ” พระพายถามเสียงสูง

“ไหนๆนี่ก็เป็นวันสุดท้ายในชีวิตแกแล้ว แกก็ควรจะรู้ความจริงเสียที วันที่จิตตาคลอด ฉันเอาลูกโสเภณี ยายอาโป ไปสลับกับแก แกนั่นล่ะคือลูกสาวตัวจริงของจิตตา ส่วนอาโปน่ะไม่ใช่ !”

พระพายนิ่งอึ้งไปทันที
“หนูกับคุณอาโป....” ที่แท้เธอเป็นลูกสาวของจิตตางั้นหรือ?

“ความเจ็บปวดในชีวิตแก เกิดขึ้นเพราะแกเป็นลูกชู้ ลูกของผัวฉัน กับนังจิตตา “
เมษาตรงเข้าไปกระชากรูปวาดครอบครัวพ่อแม่ลูก ฝีมืออรชุนมาคุยด้วยอย่างโกรธเคือง

“อรชุน นี่คือบ้านแห่งความรักของคุณใช่ไหม”
เมษาชี้ไปที่พระพาย

“แล้วนั่นก็ทายาทแห่งความรักชั่วช้าของคุณ คุณดูอยู่ไหม ฉันจะเผาสองสิ่งนี้ให้กลายเป็นตอตะโก คุณรอดูมันนะ ฮะฮะฮ่า...”

เมษาหัวเราะอย่างคนเสียสติ พระพายเพิ่งจะสังเกตว่า จอนนี่กำลังราดน้ำมันไปทั่วห้อง พระพายหันกลับมามองเมษาอีกที เมษาก็จุดไฟแช็คเตรียมพร้อมแล้ว

“อรชุนคุณดูอยู่หรือเปล่า เปลวไฟสีเหลืองสวยมากเลย”
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”

พระพายพยายามดิ้นรนและร้องให้คนช่วย จอนนี่หันมองเมษาอย่างตกใจ
“เฮ้ย จุดจริงหรือ ผมนึกว่าขู่เอาเงินเฉยๆ”

เมษาโยนเช็คให้จอนนี่
“นี่ค่าจ้างแก ได้แล้วก็ไปซะ”

“ นี่ป้า เผาบ้านน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ฆ่าคนน่ะ ผมว่า...”
จอนนี่พูดไม่ทันจบ เมษาก็ปล่อยไฟแช็กตกลงที่พื้น จอนนี่ตาเหลือกรีบวิ่งหนีออกไปโดยเร็ว พระพายตะโกนลั่น

“ไม่ !!!”
ไฟลุกพรึ่บติดตามพื้นอย่างรวดเร็ว เมษาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

จอนนี่วิ่งหนีออกมานอกบ้านเจอกับกลุ่มอัสนีและจิตตาที่ตามมา
“แกทำอะไร เอาตัวพระพายมาใช่ไหม”

จอนนี่หน้าตื่น เขาหาอาวุธขึ้นมาป้องกันตัว ทั้งสองต่อสู้กัน จิตตาโดนลูกหลงลงไปกองกับพื้น จอนนี่ใช้ท่อนไม้มาฟาดอัสนีจนสลบเหมือดก่อนจะหนีไป

เสียงพระพายที่ร้องเรียกให้คนช่วยลอยดังออกมาจากบ้านกลิ่นแก้ว
“ช่วยด้วยค่ะ...ช่วยด้วย...”

จิตตามองเห็นควันและเปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากบ้านก็ตกใจ
“พระพายลูกแม่ “

จิตตาไม่รอช้า ฝืนความเจ็บปวดจะเข้าไปช่วยลูกรัก แต่แล้วจิตตาก็ต้องตกใจเมื่อเจอกับเมษาที่ถือปืนออกมาห้าม
“อย่านะ “

จิตตาหน้าซีด “เมษา....”
เมษาจ่อปืนไปที่จิตตา ขู่ไม่ให้เข้าไปหาพระพาย

“ฉลาดนี่ ตามมาจนได้ ดีแล้ว แกจะได้มีโอกาสมาส่งลูก แกไปลงนรกไงล่ะ !”
เมษาหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง จิตตาน้ำตาไหลพราก ลงไปนั่งคุกเข่าพนมมือไหว้อ้อนวอนเมษา

“ ฉันไหว้ล่ะ ปล่อยพระพายไปเถอะ นะนะ “
เมษามองจิตตาอย่างสมเพช

“แกบอกฉันเอง ฉันทำแกไม่เจ็บเท่าไหร่ แต่ถ้าทำนังพระพาย แกจะเจ็บกว่าหลายเท่า ในเมื่อแกขอร้องฉัน มีหรือ ฉันจะไม่จัดให้”

จิตตาเข้าไปเลื่อนมือเมษาให้จ่อปืนมาที่อกตัวเอง ยินดีตายแทนลูก
“ยิงฉันสิ ฆ่าฉันสิ ฆ่าฉัน แล้วปล่อยพระพายไปซะ”

“ไม่ ฉันจะปล่อยแกไว้ ถ้าไม่มีลูก ไม่มีบ้านแห่งความรักเลวชั่วของแก แกจะเป็นยังไงรู้ไหม แกจะตายทั้งเป็นเหมือนกับฉันในเวลานี้ และนี่คือสุดยอดปรารถนาของฉัน”

เมษาชักมือหนีแต่จิตตาไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ ทั้งสองยื้อแย่งกัน เมษาโกรธจัด ออกแรง ดึงปืนขึ้นมาได้ก็ตบหน้าจิตตาด้วยพานท้ายปืน จิตตาสลบเหมือดไปกองกับพื้นทันที

“ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า”
เมษาหัวเราะอย่างสะใจ ก่อนจะเดินเข้าบ้านกลิ่นแก้วที่มีแต่ควันไฟ...เธอมองดูพระพายสำลักควันไฟจนหมดสติไปอย่างสะใจ

“ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า “
เมษายังคงหัวเราะร่า บัดนี้เธอเหมือนคนขาดสติไปแล้วอย่างสิ้นเชิง เธอเดินเข้าห้องนู้นออกห้องนี้เหมือนกำลังเต้นรำในเปลวไฟ

“อรชุน ฉันจะตายที่นี่ ที่บ้านที่คุณอยากอยู่กับนังชู้และลูก นี่ ฉันจะมาอยู่ด้วยนะ จะมาอยู่เป็นก้างขวางคอคุณตลอดไป ฮะฮะฮ่า”

เมษาประกาศเช่นนั้น...เธอหารู้ไม่ว่าอัสนีได้ฟื้นจากอาการหมดสติและเข้ามาช่วยพระพายให้รอดพ้นไปแล้ว เหลือเพียงเธอกับบ้านที่ไฟลุกโชน แต่เมษาไม่กลัวสักนิด

“อรชุน ฉันจะตายที่นี่ เถ้ากระดูกของฉันจะอยู่ที่นี่ข้างๆคุณ คอยตามจองล้างจองผลาญคุณแม้อยู่ในนรก ! ฮะฮะฮ่า....แค่กๆ “

เมษาเริ่มสำลักควันไฟ เธอนั่งหมดแรงที่มุมหนึ่ง มองเปลวไฟที่ลุกโชน
“ อรชุน รอพบฉันนะอรชุน เราจะได้พบกันแล้ว”

เมษาน้ำตาไหลพราก เธอรอคอยความตายอย่างใจเย็น แต่แล้วเมษาก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆพระพายเข้ามาดึงแขนตน

“คุณแม่ มานี่ มากับหนู”
“ปล่อย ปล่อยฉัน” เมษาสะบัดมือพระพายออกทันที แต่พระพายก็เข้าไปจับเมษาแน่น

“ไม่ค่ะ หนูปล่อยแม่ตายไม่ได้ แม่เป็นแม่ของหนู แม่ต้องอยู่ มาเร็วค่ะ มาเร็ว”
พระพายพยายามลากเมษาออกมา เมษายังคงโวยวาย

“ไม่ ฉันไม่ไป นังพระพาย นี่ ใครปล่อยแกออกมา “ แล้วเมษาก็นิ่งอึ้งไป ก่อนจะหันมองหน้าพระพาย
“แกกลับมาช่วยฉันหรือ...”

เมษาหารู้ไม่ พระพายหลังจากถูกอัสนีช่วยจนออกจากบ้านไปได้แล้ว ทันทีที่ได้สติ เธอกลับดิ้นรนหนีอัสนี วิ่งกลับเข้าไปในเปลวเพลิง เธอเสี่ยงตายกลับไปช่วยผู้หญิงที่ทำลายเธอทั้งชีวิต

“เมื่อก่อนหนูหนีแม่ หนูโกรธแม่ เพราะแม่ทำร้ายหนูโดยไม่มีเหตุผล แต่ตอนนี้หนูรู้แล้ว แม่มีเหตุผล หนูขอโทษที่โกรธแม่”

“นี่แกกลับมาช่วยฉันจริงๆหรือ” เมษายังถามซ้ำอยู่อย่างนั้น

“แม่คงเจ็บมากที่ต้องเห็นหน้าหนูทุกวัน แม่ก็ยังอุตส่าห์ให้ข้าวให้น้ำ ให้หนูเรียนหนังสือ แม่ไม่ปล่อยหนูตาย หนูก็ไม่ปล่อยให้แม่ตายเหมือนกัน เราต้องอยู่ด้วยกันนะแม่นะ ไปกับหนู...ไปกับหนู”

เมษาใจอ่อนยอมให้พระพายประคองจนออกไป พระพายสำลักควัน ตาลาย แต่ก็ฝืนพาเมษาออกไปอย่างทุลักทุเล แต่ก่อนจะออกจากบ้านไป ไม้ท่อนหนึ่งที่ติดไฟก็หล่นลงมา
พระพายและเมษากรีดร้อง แล้วสติของทั้งสองก็ดับวูบไป

พระพายตื่นขึ้นมา รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่ในโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯแล้ว จิตตาเข้ามาโอบกอดพระพายอย่างดีใจที่พระพายปลอดภัน

“พระพายลูกแม่”
“แม่ของหนู หนูดีใจที่ไม่ต้องรอคำอธิษฐานอีกแล้ว”

“คำอธิษฐานอะไรจ๊ะ” จิตตาถามอย่างแปลกใจ
“คำอธิษฐานว่า หนูจะทำดีเพื่อให้ได้เกิดเป็นลูกแม่คนนี้ในชาติหน้าค่ะ หนูไม่ต้องรอนาน
ขนาดนั้นแล้ว เหมือนฝันเลยนะคะ”

‘ลูกแม่ แม่ก็ดีใจ ดีใจที่สุดเลยลูกจ๋า”
สองคนแม่ลูกโอบกอดกันอย่างรักใคร่ แล้วพระพายก็นึกถึงเมษา
“คุณแม่เมษาล่ะคะ”

จิตตาพาพระพายไปเยี่ยมเมษาที่บัดนี้กลายเป็นคนเสียสติโดยสิ้นเชิง ....เธอเหม่อลอย ไม่พูดไม่จากับใครทั้งสิ้น
“คุณแม่ไม่พูดอะไร ไม่สบตาใคร เหมือนตัดตัวเองออกจากโลกภายนอก”

พระพายมองอาการเมษาอย่างเศร้าใจ จิตตาเข้ามาโอบปลอบไม่ให้พระพายคิดมาก
“เราทำดีที่สุดแล้วลูก “

“อาโปล่ะคะ มีคนบอกว่าเขาหนีออกจากบ้าน”

พระพายยังมิวายห่วงพะวงถึงคนอื่น... จริงอย่างที่พระพายว่า อาโปเหมือนคนสติแตกเมื่อรู้ว่าลูกสาวที่แท้จริงของจิตตาคือเธอ เจ้าหล่อนหนีหายไปจากบ้านพร้อมนมแสง
จิตตาถอนใจ

“ตอนนี้เราทุกคนต้องการเวลา ไม่ว่าจะเป็นเมษา หรืออาโป”
“เรื่องทั้งหมดนี้ น่าตกใจนะคะ มันรวดเร็วมากสำหรับทุกคน”
จิตตามองลูกสาวอย่างภูมิใจ

“ท่ามกลางความมืด หนูยังมองเห็นแสงดาว ท่ามกลางความเลวร้ายของโชคชะตา หนูยังเชื่อมั่นในความดี ไม่ว่าเขาจะทำร้ายเรากี่ครั้ง หนูยังมองเห็นความดีของเมษา แม่ภูมิใจในตัวหนูมาก “

จิตตาโอบกอดลูกรัก....เธอพาพระพายกลับเข้าสู่อาณาจักรสุรเยนทร์อย่างภาคภูมิ
“ขอต้อนรับ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบุคคล คนใหม่ของสุรเยนทร์ คุณพระพายค่ะ”

กรรมการบริษัทและพนักงานทุกคนลุกขึ้นยืนปรบมือต้อนรับพระพาย อัสนีที่ยืนอยู่ใกล้ๆก้มลงกระซิบแซวหญิงสาวที่เขารัก

“ผมจะสอนงานคุณเอง รับรองน่วมแน่ กลัวไหม กลัวไหม”
อัสนีทำท่าขยับกำปั้นขู่ให้พระพายกลัวแต่พระพายไม่สนใจเขาสักนิด เธอเดินหนีเหมือนไม่ได้ยินที่อัสนีพูด ....อัสนีงงว่าพระพายโกรธตนเรื่องอะไร เข้าตามไปง้อต่อ

“นี่แม่ซินเดอเรลล่า ตั้งแต่เลื่อนจากคนใช้มาเป็นเจ้าหญิงเนี่ย ไม่มีเวลาคุยกันเลยนะ ไม่อยู่กับแม่สองแม่ ก็อยู่กับประชาชน “

พระพายเมินหน้า หันหนี หญิงสาวยังโกรธที่อัสนีแกล้งหลอกเธอว่าตาบอดครั้งที่สอง อัสนีเข้าไปมองหน้าพระพายใกล้ๆ

“เป็นอะไรไป ปากยื่นออกมาเป็นแม่มดอีกแล้ว”

พระพายลุกไปที่อื่น อัสนีงงกับท่าทีเมินเฉยของพระพายอย่างมาก แล้วเขาก็คิดแผนเรียกร้องความสนใจใหม่ได้ อัสนีแกล้งทรุดลง กุมแผลที่บาดเจ็บตอนเข้าไปช่วยพระพายจากกองเพลิงที่ยังมีผ้าพันอยู่

“โอ๊ยเจ็บๆๆ ฮือ เจ็บแผล ดูให้หน่อยสิ”
“ตอนนี้ฉันทำงานบริหาร ไม่ได้เป็นพยาบาลแล้ว”

พระพายพูดเสร็จก็เดินออกไป อัสนีไม่เข้าใจจริงๆว่าพระพายเป็นอะไร เขาตามไปดูเห็นพระพายออกไปกับโดมก็ยิ่งหงุดหงิดใจ

“เฮ้ย ….หมอคาบไปรับทานเฉยเลย…ไอ้หมอบ้า โธ่โว้ย “

อัสนีหน้าหงิกด้วยความหึงหวง เขาหารู้ไม่ว่าโดมมาแสดงความยินดีกับพระพายที่หมดเคราะห์หมดโศกเสียที และพี่โดมคนนี้พร้อมจะเป็นเพื่อนแท้ของพระพายเสมอ...

อัสนีหงุดหงิด เขาต้องรู้ให้ได้ว่าพระพายโกรธเขาเรื่องอะไร !

“นี่เป็นจดหมายเก่าที่อรชุนส่งมาถึงฉัน ตอนที่เขาสร้างบ้านกลิ่นแก้ว ในจดหมายนี้มีบางส่วนที่เขาเขียนถึงคุณค่ะ”

จิตตายื่นจดหมายเก่าฉบับหนึ่งให้เมษา ....เมษายังคงเศร้าซึม เหม่อลอย แต่จิตตาและพระพายคิดว่าสิ่งนี้อาจช่วยให้เมษาดีขึ้นได้บ้าง

เมื่อเห็นเมษายังคงนิ่งเฉย พระพายจึงเปิดจดหมายนั้นอ่านให้เมษาฟัง

“ถึงน้องหญิงที่รัก บ้านกลิ่นแก้วเหลือแค่ตกแต่งเพิ่มเติมเล็กๆน้อยๆ .... วันนี้พี่ทะเลาะกับเขาอีกแล้ว การแต่งงานทำให้ความรักจืดจางจริงหรือ ถ้าเขาตัดสินด้วยการทานข้าวด้วยกัน การพาไปดูหนัง ก็คงใช่ แต่ถ้าตัดสินด้วยการผูกพันจนชีวิตละลายกลายเป็นหน่วยเดียวกัน พี่คิดว่าพี่รักภรรยาของพี่มาก…..”

แววตาของเมษาเหมือนรำลึกบางอย่างได้ คล้ายคนถูกปลุกให้ตื่นขึ้น

จิตตาเข้าไปบีบมือเมษา ให้กำลังใจ “ความรักของอรชุนอยู่ที่เดิม ทั้งสำหรับคุณและฉัน พอทีเถอะนะคะ อย่าจมปลักอยู่กับความผิดพลาดแค่ครั้งเดียวของสามีคุณ ลุกออกมาจากตรงนั้นเสียที”

แววตาของเมษากลับไปนิ่งเหมือนเดิมอีกครั้ง จิตตากับพระพายถอนใจ
“วันนี้พอแค่นี้เถอะค่ะ เดี๋ยวแม่เมษาจะเครียดเกินไป”

ทั้งสองลุกขึ้นเดินออกไป แล้วพระพายก็ได้ยินเสียงแหบแห้งของเมษาพูดขึ้นเบาๆ
“ ลูก ... ลูกของฉัน”

พระพายและจิตตาหยุดเดินทันที ทั้งสองหันกลับมองเมษาอย่างดีใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เมษายอมเปิดปากพูด หลังจากเหตุการณ์วันนั้น
“เขาพูดแล้ว”

จิตตาและพระพายรีบกลับไปนั่งข้างเมษา ....เมษาค่อยๆเอื้อมมือมาแตะที่แก้มพระพาย มองพระพายน้ำตาคลอ

“ ทำไม ... ทำไมไม่มาเกิดเป็นลูกของฉันตั้งแต่แรก ... ทำไม”
พระพายน้ำตาไหล.... สิ่งนี้ยิ่งกว่าคำพูดขอโทษ ความพยายามตลอดชีวิตของตนมาถึงเส้นชัยแล้วในที่สุด ความดีของพระพายชนะใจคนอย่างเมษาจนได้

“คุณแม่ คุณแม่กลับมาแล้ว...คุณแม่”

พระพายน้ำตาไหลออกมาด้วยความตื้นตัน เธอโผเข้ากอดเมษาอย่างรักใคร่ จิตตามองภาพตรงหน้าอย่างปลื้มใจ พลอยร้องไห้ไปด้วย.....ความบาดหมางทั้งปวงจบสิ้นลงเสียที




 

Create Date : 25 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 25 กรกฎาคม 2550 16:55:24 น.
Counter : 1227 Pageviews.  

กลิ่นแก้วกลางใจ ตอนที่ 27 - 28


ก ลิ่ น แ ก้ ว ก ล า ง ใ จ


บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
กมลชนก ยวดยง เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์


ตอนที่ 27


พระพายรีบออกไปโทรศัพท์ขอคืนเวรกับเพื่อนที่รับงานนี้ไว้แต่ต้นทันที อัสนีโวยแหลก ร้องหาแต่เธอ

“เขาไปไหนของเขา เขาไม่เต็มใจพยาบาลผมใช่ไหม เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้ว เหมือนคนในครอบครัวผม แฟนผม ทุกคนทิ้งผมไปหมด ! ขนาดพยาบาลยังไม่อยากทำงานกับคนพิการอย่างผม ผมเป็นส่วนเกินในโลกใบนี้ ... “

อัสนีตีอกชกหัว พระพายที่เพิ่งกลับมาจากโทรศัพท์มองดูเขาอย่างแปลกใจ พยาบาลรุ่นพี่พระพายที่มาดูแลเขาแทนรีบบอกอัสนี

“เขามาแล้วค่ะ ฉันบอกแล้ว พยาบาลของคุณแค่มีธุระข้างนอก”

“ไม่จริง ! เขาต้องปฏิเสธงานนี้แน่ เขาไม่อยากทำงานกับผม ไม่เชื่อถามเขาสิ คุณถามเขาสิ ! “

พยาบาลรุ่นพี่รีบหันไปถามรุ่นน้องทันที สายตาของรุ่นพี่ตำหนิรุ่นน้องที่มีกิริยาผิดต่อจรรยาบรรณในวิชาชีพ

“เธอไม่อยากทำงานนี้หรือ”
“เอ้อ คือ…คือ...” พระพายอึกอัก ไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลว่าอะไรดี อัสนีแกล้งโวยต่อ

“เห็นไหม แม้แต่พยาบาลยังคิดจะลาออก ผมไม่มีที่ยืนในโลกใบนี้ ไม่มีคุณค่า ไม่มีคนต้องการ ผมจะอยู่ไปทำไม อยู่ไปทำไม ผมอยากตาย !”

อัสนีโวยวาย กระแทกมือลงที่เตียงปังๆๆ พระพายจึงจำต้องรับคำ
“ค่ะๆ ตกลง ตกลง ฉันจะทำงานนี้ ฉันจะดูแลคุณเอง”

อัสนีหยุดอาละวาดทันที
“คุณรับปากแล้วนะ”
“ค่ะ ฉันรับปากแล้ว”

อัสนียิ้มกว้าง อารมณ์ดีขึ้นทันตาเห็น พระพายมองอัสนี รู้สึกอ่อนใจ พยาบาลรุ่นพี่กำชับพระพายให้ดูแลอัสนีให้ดีก่อนจะเดินจากห้องไป พระพายยังรู้สึกเก้ๆกังๆทำอะไรไม่ถูก อัสนีจึงถามขึ้น

“คุณชื่ออะไรครับ”
“ชื่อ เอ้อ ชื่อแก้วค่ะ ฉันชื่อแก้ว” เมื่ออัสนีจำเธอไม่ได้ เธอก็ไม่อยากเอ่ยชื่อตัวเองออกไป

อัสนีอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“ดอกแก้วหรือ ทำไมเป็นดอกแก้วล่ะครับ หรือคุณชอบ”

พระพายหน้าตื่น เธอจะมาทำหน้าที่แล้วจากไป จะไม่ข้องเกี่ยวผูกพันกับอัสนีอีก เธอรีบปฏิเสธโดยเร็ว... หล่อนนึกโกรธตัวเอง ชื่อมีเป็นล้าน ทำไมต้องไปตั้งชื่อนั้น

“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่”
เมื่อเธอมองไปที่โต๊ะผู้ป่วยหัวเตียง แล้วรีบบอก “แก้ว เอ้อแก้วน้ำค่ะ”

อัสนีหัวเราะขัน “แก้วน้ำเนี่ยนะ”
“ทำไมคะ คนชื่อแก้วน้ำผิดตรงไหน”

พระพายหน้าบึ้ง อัสนีได้ยั่วพระพายสักนิดก็มีความสุข เขายิ้มแจ่มใส

“ผมชักชอบคุณแล้วสิ อย่างน้อยผมก็รู้สึกว่าโรงพยาบาลนี่น่าอยู่ขึ้น น่าอยู่ขึ้นจริงๆ !”

แล้วอัสนีก็ใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างมีความสุขจริงๆ พระพายเอาใจใส่ดูแลเขาเป็นอย่างดี อัสนีอยากภาวนาในแต่ละวันมีเวลายาวนานกว่า 24 ชั่วโมงเพื่อที่เขาจะได้อยู่ใกล้ชิดกับพระพาย

วันหนึ่ง พระพายกำลังป้อนข้าวเขา อัสนีเอาแต่จ้องหน้าพระพายแล้วยิ้มจนพระพายรู้สึกเอะใจเหมือนอัสนีจ้องตนอยู่ตลอดเวลา เธอยกมือขึ้นปัดไปมาซ้ายขวาเพื่อดูว่าอัสนีจะมองตามหรือไม่ แต่ดวงตาอัสนียังนิ่ง ดูปกติเหมือนคนตาบอดทั่วไป

“เอ้า อาหารหมดแล้วหรือ” อัสนีแกล้งถามขึ้นเมื่อเห็นพระพายหยุดป้อน
“เปล่าค่ะ... ฉันแค่รู้สึกว่าคุณกำลังมองฉันอยู่”

“มองคุณน่ะหรือ” อัสนีกลัวพระพายจับได้ แกล้งคร่ำครวญขึ้นมาทันที
“ผมขอโทษจริงๆ ขอโทษที่ดวงตาพิการทำให้คุณรำคาญ ขอโทษที่ตามองไม่เห็นทำให้คุณเข้าใจผิด ขอโทษที่เลือกเกิดไม่ได้ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ !”

อัสนีตีอกชกหัวเกินความเป็นจริง เสียงดังลั่นห้องจนพระพายตกใจรีบเข้าไปบอก
“เอ้อไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ ฉันอาจจะคิดมากไปเอง”

“ไม่หรอกครับ ไม่ใช่ความผิดของคุณ แต่เป็นความผิดของผม ผมต้องปรับตัวให้เข้ากับชีวิตคนตาบอดเสียที ไม่งั้นผู้หญิงเขาจะเข้าใจผิดไปว่า ไอ้บอดมันหมายปองของสูง แต่ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะครับ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ! “

อัสนีเป็นบ้าเป็นหลังมากขึ้นเรื่อยๆ พระพายต้องเขาไปสัมผัสตัวเขาเพื่อปลอบประโลม
“ค่ะ ค่ะ ฉันเชื่อแล้ว ฉันเชื่อแล้ว”

“คุณเชื่อจริงหรือครับ” อัสนีหันถามเธออย่างเศร้าใจ และพร้อมจะคร่ำครวญต่อได้ตลอดเวลา

“เชื่อจริงๆค่ะ” พระพายยืนยันหนักแน่น เธอคิดว่าเขาอารมณ์แปรปรวน และฉุนเฉียวง่ายอย่างนี้เพราะอัสนีกำลังไม่สบาย พระพายไม่เคยโกรธหรือรำคาญเขาสักนิด

“ค่อยโล่งอกไปหน่อย “
อัสนีนอนลงอีกครั้งอย่างว่าง่าย แต่สักพักนึงเขาก็เหมือนคิดอะไรออกได้ รีบหันไปบอกเธอ

“จริงสิครับ ผมมีเรื่องหนึ่งอยากขอความช่วยเหลือ ในโลกมืดอันโดดเดี่ยว ถ้าผมจะขอของบางอย่างไว้ยึดเหนี่ยว คุณจะคิดว่าผมหยาบคายกับคุณอีกไหมครับ”

“ของอะไรคะ” พระพายถามอย่างแปลกใจ
อัสนีทำท่าควานหามือของพระพายมาจับไว้ พระพายตกใจ พยายามจะดึงมือออกแต่อัสนีจับมือเธอไว้แน่น พร้อมบอกอย่างจริงใจ

“ความอบอุ่นของมนุษย์ ผมขอร้องล่ะครับ อย่าเข้าใจผิด อย่าคิดไปไกล ผมแค่อยากเดินผ่านคืนวันอันเลวร้าย ไม่มีจุดประสงค์อื่น”

“ เอ้อคือว่า” พระพายยังพยายามที่จะแกะมือตนเองออก
“นะครับ พอผมนอนหลับแล้วคุณค่อยดึงออกไป ถือว่าให้ทานกับสัตว์โลกตาดำๆ นะครับคุณแก้ว”

เจอลูกอ้อนเข้าไปอย่างนี้ คนใจอ่อนอย่างพระพายก็ยินยอมตามเคย เธอจับมือกับเขาจนเขานอนหลับไปถึงชักมือออกมา

อัสนีพลิกตัวตะแคงไปอีกข้าง อมยิ้มอย่างเป็นสุข ถ้ามีเธอเคียงข้างอยู่เช่นนี้เขาคงหลับฝันดีทุกคืน..

เช้าวันรุ่งขึ้น อัสนีตื่นขึ้นมาอย่างแจ่มใส พระพายเข้ามาเช็ดตัวให้ เขาอดที่จะมองใบหน้าพระพายยามเธอมาอยู่ใกล้ๆไม่ได้ พระพายรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาอีกครั้ง เมื่อเธอมองเขา เขาก็แกล้งหันหน้าหนีพร้อมร้องโวยวายทันที

“โอ๊ย ตาผม...”
“เป็นอะไรไปคะ เจ็บหรือคะ” พระพายรีบถามอย่างตกใจ

“มันมีแสงวูบๆวาบๆที่ตาผมนี่”
“จริงหรือคะ งั้นต้องรีบตามอาจารย์หมอค่ะ”

พระพายทำท่าจะวิ่งออกไป อัสนีรีบคว้าตัวพระพายมากอด
“ไม่ครับไม่ คุณอย่าทิ้งผมไป ผมกลัว อยู่กับผม อยู่กับผมก่อน ผมไม่อยากอยู่คนเดียว”

พระพายพยายามขืนตัวออกจากอ้อมแขนอัสนี
“คุณปล่อยก่อนค่ะ คุณต้องทำใจดีๆไว้นะคะ ฉันต้องตามหมอมาดู”

“ไม่ ผมกลัวผี ถึงจะตาบอด ก็โดนผีอำได้นะคุณ”
“ผีน่ะนะ” พระพายงง

“นั่นๆ วูบอีกแล้ววูบไปมา แย่แล้วแย่แล้ว” อัสนีแกล้งกอดเธอแน่นขึ้นไปอีก

“นี่คุณฉันจะหายใจไม่ออกแล้ว ปล่อยก่อนค่ะ ปล่อย ถ้าคุณไม่ปล่อยฉันจะกดเรียกพยาบาลคนอื่นนะ”

“ขอโทษครับขอโทษ ผมกลัวจนลืมตัวน่ะ”
พระพายเสียงเข้ม จนอัสนียอมปล่อย เธอหนีห่างจากเขาทันที อัสนีกลัวพระพายโกรธจึงแกล้งตีหน้าเศร้า คร่ำครวญ

“ฮือ ผมไม่ได้แกล้งคุณนะ สภาพอย่างผมไม่มีกะจิตกะใจไปแกล้งใครหรอก หรือว่าภาพหลอน ผมอาจจะเป็นโรคจิตไปแล้ว เฮ้อ ทำไม ทำไม”

“เอาล่ะ พอแล้ว พอแล้ว เอาเรื่องตาคุณก่อนดีกว่า คุณหมอของคุณวันนี้เข้าหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฉันจะไปเช็คให้” พระพายถอนใจก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว อัสนีแอบยิ้มขำมีความสุข เอาตัวรอดไปได้อีกหนึ่งวัน...

ทางด้านจิตตา...
“คนของพี่ พบหลักฐานที่น่าสนใจบางอย่าง น้องหญิงต้องดีใจแน่”
ผู้กำกับหนุ่มใหญ่ซึ่งเป็นญาติผู้พี่บอกกับจิตตาเช่นนั้น เขายื่นเอกสารให้เธอ

“ในช่วงเวลานั้น มีการแจ้งความจากคนในโรงพยาบาลที่คุณหญิงไปคลอดลูก มีลงบันทึกประจำวันไว้เห็นไหม ผู้หญิงคนหนึ่งคลอดเด็กแล้วทิ้งไว้”

“ทิ้งลูกไว้ที่โรงพยาบาลหรือคะ”
เขาเปิดแฟ้มรายงานให้เธอดู “ดูนี่สิ เด็กคลอดวันเดียวกับลูกของคุณหญิงเลย “

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครคะ” จิตตาถามอย่างใคร่รู้
“โสเภณีคนหนึ่ง ใช้ชื่อปลอม”

“คุณพระช่วย แม่ของอาโป...”

ผู้กำกับหนุ่มพยักหน้าว่าใช่ แม่ของอาโปเป็นโสเภณี จิตตาถอนใจ...เธอไม่ได้เสียใจที่เฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูลูกโสเภณีมา แต่จิตตาใจหายว่า หากอาโปรู้ว่าหล่อนไม่ใช่อาโป สุรเยนทร์ แถมยังมีแม่เป็นโสเภณีเจ้าหล่อนจะรู้สึกอย่างไร

คืนนั้น จิตตารอคอยการกลับมาของอาโปทั้งคืน แต่ไร้วี่แววของอาโป ในเมื่อไม่มีอะไรทำ เจ้าหล่อนกลับไปคบกับจอนนี่อีกครั้ง โดยอ้างกับตัวเองว่า ไม่ใช่ความรักเหมือนเมื่อก่อน แต่เพราะเธอต้องการเพื่อนเที่ยวฆ่าเวลา อาโปออกเที่ยว กว่าจะกลับมาบ้าน ก็รุ่งเช้าของอีกวันพอดี

“หายไปไหนมาทั้งคืน !”
“คุณแม่ “ อาโปตกใจที่เห็นจิตตาจ้องมาทางตนเขม็ง

“สามีพิการนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนภรรยาไปเที่ยวกับชายอื่น หัวใจของเธอทำด้วยอะไร ...หา....อาโป !”

อาโปไม่สนใจคำพูดของจิตตาสักนิด เจ้าหล่อนคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ในการเลือกใช้ชีวิตด้วยตัวเอง อาโปเดินหนีจิตตาอย่างไม่สนใจ จิตตาตามไปอย่างไม่ยอมแพ้

“อาโป สุรเยนทร์ หยุดเดี๋ยวนี้ ! “
“คุณแม่ จะเอาไงกับหนูอีก” อาโปหันไปหาจิตตาอย่างหงุดหงิดใจ

“อาโป สุรเยนทร์ เธอเรียกชื่อตัวเองบ่อยๆ เธอภูมิใจกับมันมากสินะ”
“ก็มันน่าภูมิใจจริงๆนี่คะ”

“เธอมันน่าสงสาร ประมาทกับชีวิตมากเกินไปแล้ว หน้าตารูปร่าง สักวันมันก็ต้องแก่
เหี่ยว หมดอายุการใช้งาน ส่วนชื่อเสียงและเกียรติยศงั้นหรือ เธอคิดจริงๆหรือว่ามันเป็นของของเธอ”

“คุณแม่หมายความว่าไง” อาโปหันถามจิตตาอย่างไม่เข้าใจ

“ดวงตาของคุณแม่ที่มองหนูเต็มไปด้วยความเกลียดชัง คุณแม่รู้ตัวไหมคะ ! “ อาโปโพล่ง
ออกไป จิตตาชะงัก รีบปฏิเสธทันที
“ไม่จริง …”

“จริงค่ะ เมื่อก่อนคุณแม่ไม่เคยเป็นแบบนี้ แต่เดี๋ยวนี้ ตั้งแต่นังพระพายเข้ามา คุณแม่ก็
เอาหนูไปเทียบกับมัน คุณแม่ไม่รักหนูแล้ว ไม่รักหนูใช่ไหม”

“พระพายไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ พอกันที ฉันจะไม่ทะเลาะกับเธออีก วันพรุ่งนี้เธอต้องไปอัสนี
ไปดูแลเขาตามหน้าที่ นี่คือคำสั่ง”

“หนูจะไม่ไปหาอัสนี หนูจะคบกับจอนนี่ ! “ อาโปเถียงเสียงดังอีกครั้งอย่างไม่กลัว
“คุณหนู ! “ นมแสงตกใจ ไม่คิดว่าอาโปจะกล้าประกาศกับจิตตาเช่นนี้

“หนูเบื่อชีวิตหลบๆซ่อนๆเต็มที ต่อไปนี้หนูควรจะมีอิสระในชีวิตของตัวเอง เพราะทั้งหมดนี้ …นายอัสนีก็ผิดด้วย ! “

จิตตานิ่วหน้าไม่เข้าใจ
“เขาน่ะหรือผิด ถูกทิ้งให้ตาบอดอยู่ตรงนั้น เขาผิดตรงไหน ไหนว่ามาซิ”

“เพราะเขารักนังพระพาย รักนังอาโปตัวปลอม ไม่ใช่อาโปตัวจริง ! “
จิตตาอึ้ง

นมแสง หน้าซีด หัวใจหล่นไปถึงตาตุ่ม
“คุณหนู ไม่ค่ะ ! “ เธอพยายามดึงอาโปกลับห้อง แต่อาโปไม่ยอม

“ปล่อยนะคะ นมแสงปล่อยอาโป … คุณแม่รู้ไว้นะคะ หนูกับอัสนีไม่เคยรักกัน อาโปน่ะใช้ให้นังพระพายไปอยู่ที่เกาะนั่น นังพระพายปลอมเป็นอาโป แล้วอัสนีก็หลงนังนั่นหัวปักหัวปำ ! “

“คุณหนูพอแล้วค่ะ พอแล้ว…”
“ปล่อยนะนม หนูจะบอกเขา …ส่วนหนูน่ะหรือคะ หนูก็ไปมีความสุขกับจอนนี่ที่พัทยา ทิ้งให้คุณแม่งมโข่งไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ที่กรุงเทพ ! “

จิตตาคลายข้อสงสัยต่างๆทั้งเรื่องบัตรเครดิตอาโปที่ถูกใช้ที่พัทยา หรือการโทรติดต่อกับอาโปไม่ได้ในหลายครั้งทันที
“แบบนี้นี่เอง เป็นแบบนี้นี่เอง”

“หมด... หมดกัน โธ่” นมแสงกลัดกลุ้ม อาโปจ้องจิตตา

“เรื่องของหนูกับนายอัสนีมันผิดที่คุณแม่นั่นล่ะ คุณแม่บังคับเราเพื่อเหตุผลทางธุรกิจ คุณแม่ไม่เคยแคร์จิตใจของหนู อาโปเกลียดคุณแม่ เกลียดคุณแม่”

จิตตาโกรธมาก ตบหน้าอาโปเปรี้ยง ตะโกนลั่น
“ลูกโสเภณี ! “

อาโปตกตะลึง ตั้งแต่เกิดมาจิตตาไม่เคยทำกับตนแบบนี้
“ลูกอะไรนะ คุณแม่ว่าลูกอะไรนะคะ”

จิตตามองอาโป โกรธถึงที่สุด
“เธอหลอกลวงฉันที่เลี้ยงดูเธอมา หลอกฉันได้เป็นเดือนๆ ไม่สำนึกบุญคุณ ไม่มีแม้ความละอาย อกตัญญูจริงๆ !”

อาโปมองหน้าจิตตาอย่างเจ็บช้ำ
“พอไม่ได้ดังใจก็ว่าหนูอกตัญญู คุณแม่ต่างหากที่สนใจแต่ตัวเอง”

แล้วอาโปก็กลับไปเป็นอาโปที่แข็งกร้าวอีกครั้ง เจ้าหล่อนประกาศกับจิตตา
“ คุณแม่ไปบอกนายอัสนีเลยนะคะ ว่าหนูจะขอหย่า อาทิตย์หน้าออกจากโรงพยาบาลแล้ว ไปเจอกันที่อำเภอ หนูจะรอเขาที่นั่น ! “

จิตตาได้แต่นิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ....คุณหญิงจิตตาเล่าเรื่องทั้งหมดให้อัสนีฟัง ซึ่งเขาก็รับฟังด้วยอาการนิ่งเฉย ไม่ตกใจแต่อย่างใด

“เธอรู้เรื่องพระพายที่อยู่บ้านกลิ่นแก้วกับเธอแล้วหรือ” จิตตาถามอย่างแปลกใจ
อัสนีพยักหน้า “แต่พระพายเขาไม่ยอมรับ ทำยังไงก็ไม่ยอม”

จิตตาถอนใจเหนื่อยหน่ายกับเรื่องที่อาโปสร้างไว้เต็มที
“อาเหนื่อยใจกับลูกคนนี้เหลือเกิน พอกันที อาจะไม่ยุ่งกับเขาอีก ...พอกันที”

“เรื่องอาโปก็เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่เรื่องคุณอาภานุ คุณหญิงเก็บความลับเรื่องตาให้ผมก่อนนะครับ”

“นี่หมายความว่าเรื่องหย่า...”
“ผมตกลง คุณอาคุยกับกรรมการบริษัทให้เราทีนะครับ ! “

จิตตาอึ้งไป ไม่คิดว่าอัสนีจะตกลง เธอกลับบ้านอย่างกลุ้มใจที่ไม่สามารถห้ามปรามทั้งอัสนีและอาโปได้เลย

วันกลับบ้านของอัสนีมาถึง พระพายพาเขามาส่งที่รถ อัสนีดูอ้อยอิ่ง ไม่อยากกลับ...เขาไม่อยากจากพระพาย เธอเองก็อดใจหายไม่ได้เช่นกัน

“ผมกลับบ้านแล้ว จ้างคุณไปเป็นพยาบาลต่อได้ไหม”
“เสียใจด้วยค่ะ ฉันมีงานแล้ว”

“นึกแล้วว่าคุณต้องปฏิเสธ “
คนขับรถเดินมาหาอัสนี

“ทุกอย่างเรียบร้อยครับ”
อัสนีพยักหน้าเข้าใจ อัสนีหันไปคุยกับพระพายอย่างจริงจังอีกครั้ง

“ตลอดหลายวันมานี้ ในขณะที่ผมไม่เหลือใคร คุณดูแลผมดีมาก ก่อนกลับบ้าน ก่อนที่เราจะจากกัน ผมขอคุณอย่างได้ไหม”

“อะไรคะ” เธอมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ
“แถวนี้มีน้ำตกสวย ผมยังไม่เคยไป ไปเที่ยวกับผมหน่อยได้ไหมครับ”

“เที่ยวเนี่ยนะ ไม่ค่ะ เป็นไปไม่ได้”
พระพายปฏิเสธหนักแน่น

“ก็นึกไว้อีกนั่นล่ะ ว่าคุณจะตอบแบบนี้ เฮ้อ….”
อัสนีถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันไปสั่งคนขับรถและคนรับใช้ที่มารอรับด้วยเสียงเจ้าเล่ห์
“จัดการได้เลย”

สิ้นเสียงสั่งของอัสนี คนทั้งสองก็เข้ามาหิ้วปีกพระพายทันที พระพายโวยวายแต่ก็ไม่
สามารถดิ้นหลุดมาได้ อัสนีหัวเราะชอบใจ แท้จริงแล้วเขาวางแผนเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่แรก เขาตั้งใจจะบอกเรื่องที่เขาจะเป็นอิสระจากอาโปให้พระพายรับรู้เป็นคนแรก แต่เมื่อเป็นเรื่องพิเศษ สถานที่ที่บอกก็ควรจะพิเศษหน่อย

รถของอัสนีแล่นออกไป.... พระพายยังคงดิ้นรนโวยวาย เธอไม่รู้จริงๆว่าเขาจะพาเธอไปยังสถานที่แห่งใด




ก ลิ่ น แ ก้ ว ก ล า ง ใ จ


บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
กมลชนก ยวดยง เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์


ตอนที่ 28


สองหนุ่มสาวเดินเล่นอยู่ที่โขดหินกว้างริมน้ำตก สถานที่เที่ยวใกล้กับโรงพยาบาล เสียงนกร้องและละอองน้ำที่กระเซ็นจากสายน้ำที่อยู่เบื้องหน้า ทำให้อัสนีอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เขาหันมองสาวคนรักที่ยังหน้าบึ้งตึง โกรธที่ถูกเขาจับมาไม่หาย

“คุณยิ้มหรือยัง ยิ้มหน่อยสิ”
อัสนีถามพระพายอย่างเอาอกเอาใจ เจ้าหล่อนยอมให้เขาเกาะแขนมาเดินเล่นอย่างนี้ก็น่าจะหายโกรธไประดับหนึ่งแล้ว

พระพายหน้างอ จ้องอัสนีตาขุ่น
“ถ้าเย็นนี้ คุณไม่กลับไปส่งฉัน ฉันเอาเรื่องคุณแน่”

“เล่าให้ฟังหน่อยสิ เล่าให้ผมฟังที....บรรยากาศที่นี่น่ะครับ”
“ท้องฟ้ามีเมฆมาก ฝนดำตั้งเค้าทะมึน ลำธารเล็กๆ มีหมาเน่าลอยมา ! “
พระพายว่าไปเรื่อย ยังไม่ยอมลงรอยกับเขาง่ายๆ

อัสนียิ้มขำ
“เหรอ แล้วหมาเน่าลอยมาใกล้หรือยัง”

“ใกล้แล้ว”
“งั้นหรือ งั้นลงไปสิ”

พูดจบปุ๊บอัสนีก็แกล้งผลักพระพายลงไปในน้ำเบาๆ พระพายเสียหลักเซตกลงไปในน้ำ พระพายร้องวี้ด “คุณนี่บ้าจริง เปียกเลยดูสิ ขึ้นข้างบนดีกว่า”

พระพายค้อนอัสนีก่อนจะเดินหนีออกไป แต่พอเดินไปได้สองก้าวก็คิดอยากเอาคืนบ้าง เธอถอยกลับมาผลักอัสนีลงไปในน้ำแทน แต่เขารู้แกว ขืนตัวไว้ เขาเกาะพระพายไว้แน่น
“โอ๊ยนี่แกล้งผมหรือ”

“ช่วยไม่ได้คุณแกล้งฉันก่อนทำไม...ปล่อยฉันนะ”
“ปล่อยก็กลัวสิ” อัสนีออกแรงดึงพระพายอีกครั้ง แล้วทั้งสองก็ตกไปอยู่ในน้ำทั้งคู่

“คนบ้า แกล้งฉันเหรอ นี่แน่ะ..” พระพายวักน้ำใส่เขา อัสนีมั่ววาดแขนสาดน้ำไปเรื่อยๆตามเสียง พระพายร้องวี้ดว้าย แต่ก็หัวเราะออกมาเพราะเริ่มสนุก ทั้งสองเล่นน้ำด้วยกันอย่างสนุกสนาน


“เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีไหมคะ เดี๋ยวไม่สบาย”
สาวใช้ของอัสนีส่งเสื้อผ้าให้พระพายที่เดินกลับขึ้นมากับอัสนีอย่างเปียกปอน พระพายมองมุมปิกนิกที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างสวยงาม อย่างประหลาดใจ

“เตรียมมาพร้อมขนาดนี้เชียวหรือนี่” แล้วเธอก็กวาดสายตาไปรอบๆ “แถวนี้ไม่มีห้องน้ำนี่นา”
“เปลี่ยนแถวนี้ก็ได้มั้งคะ พวกเราจะไปรอที่รถ”

คนขับรถและคนใช้เอาอีกชุดหนึ่งให้อัสนีเปลี่ยน แล้วเดินจากไป พระพายมองไปรอบๆ น้ำตกเล็กๆ ดูเงียบสงบในวันธรรมดาไม่มีคนมาเที่ยว เธอตัดสินใจหลบไปเปลี่ยนชุดที่หลังโขดหิน

อัสนียิ้มกรุ้มกริ่มแอบมอง....เธอไม่สนใจเขาสักนิดเพราะเข้าใจว่าอัสนีตาบอด
“คุณคะ...ถ้าได้ยินสียงคนเดินมาบอกด้วยนะคะ” เธอบอกกับเขาระหว่างที่เปลี่ยนเสื้อผ้า

“ครับ ทำตัวตามสบายเถอะ คุณอยู่กับคนที่ปลอดภัยที่สุดในโลก !”
อัสนีตอบอย่างกรุ้มกริ่ม พระพายไม่รู้สึกเอะใจสักนิดกับคำพูดของคนเจ้าเล่ห์อย่างอัสนี

เขาแอบมองไปทางร่างสวยๆที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่หลังโขดหิน
เขานึกในใจ คนเราไม่ต้องรักษาคำพูดตลอดเวลาก็ได้

เมื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเสร็จ ทั้งสองก็มานั่งพักผ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ริมน้ำตก สาวใช้ของอัสนีเตรียมขนมว่างและเครื่องดื่มไว้พร้อม พระพายมองบรรยากาศสวยงามรอบตัวอย่างมีความสุข

“คุณชวนฉันมาที่นี่ทำไม” เธอถามเขาอย่างอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว
“ผมมีเรื่องจะปรึกษา ในฐานะที่คุณเป็นผู้หญิง”

“ปรึกษาหรือคะ” พระพายทำหน้างง
“ผมมีผู้หญิงที่ผูกพันมากคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาปฏิเสธผมอย่างไม่ใยดี เวลาที่คนเราปฏิเสธใครสักคนนี่ มีเหตุผลกี่อย่างนะ”

อัสนีพูดอ้อมๆ แต่พระพายรู้ดีว่าเขาหมายถึงเธอ หญิงสาวรีบบ่ายเบี่ยงทันที
“เอ้อ ฉันไม่ถนัดเรื่องพวกนี้”

อัสนียังว่าไปเรื่อย
“ผมว่าที่เขาปฏิเสธผม เหตุผลมีสองข้อ ข้อที่ 1 ผมมีพันธะอยู่ ข้อที่ 2 เธอคนนั้นไม่ได้รักผม”
“เอ้อ คุณคะ...” พระพายพยายามบ่ายเบี่ยง แต่อัสนีทำเหมือนไม่ได้ยิน

“ผมกำลังจะหย่า เหตุผลข้อที่ 1 หมดไปเหลือแต่ข้อที่ 2 ผมจะรู้คำตอบนั้นได้ไง คุณช่วยผมคิดหน่อยสิ ”

พระพายฟังอย่างแปลกใจ อัสนีกับอาโปจะหย่ากันงั้นเหรอ ....เป็นไปได้อย่างไร พระพายพยายามตัดใจ ไม่ขอยุ่งเกี่ยวเรื่องของเขาอีกต่อไป

“ฉันช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอกค่ะ” เธอบอกเขาไปเช่นนั้น
อัสนีมองตรงไปข้างหน้า พูดอย่างจริงจัง

“คุณจำคำผมไว้นะ เมื่อไหร่ที่ผมหมดพันธะกลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง ผมจะมารอเขาที่นี่ทุกวัน จะรอจนกว่าเขาจะมาบอกผมว่า เขาคิดยังไงกับผม จำเอาไว้ ! “

พระพายอึ้งไปทันที นี่เขาจะพูดกับตนในฐานะแก้วหรือในฐานะพระพาย เขารู้มาตลอดว่าเป็นเธอหรือเขาแค่บอกเฉยๆกันแน่ ...เขาและเธอไม่พูดอะไรกันอีกเลยจนอัสนีมาส่งพระพายที่โรงพยาบาล

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ....คุณแก้ว” เขาย้ำกับเธอเช่นนั้นก่อนจะลาจากไป พระพายมองตามรถของอัสนีไปอย่างหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ...เขาตาบอดจริงไหมนะ?

จิตตาเดินทางมายังโรงพยาบาลที่เธอมาคลอดลูกอีกครั้ง ตำรวจบอกกับเธอว่า ลูกของเธอที่สลับตัวกับลูกของหญิงโสเภณีคนนั้นถูกทิ้งไว้ที่โรงพยาบาล ตามหลักการแล้ว เด็กต้องถูกส่งไปสถานสงเคราะห์ เธอจึงมาสอบถามกับทางโรงพยาบาลว่า ส่งลูกสาวของเธอไปยังสถานสงเคราะห์แห่งใด

“ถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ เราจะส่งเด็กที่ถูกทิ้งไปที่สถานสงเคราะห์เด็กภายในจังหวัด
หรือในจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งมีทั้งหมดสามแห่งค่ะ”

“สามแห่งหรือคะ”
“เรื่องเกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว คุณคงต้องลองสืบดูทีละแห่งว่ามีประวัติที่ตรงกันไหม”

จิตตาไม่รอช้าที่จะเดินทางไปสถานสงเคราะห์เด็กแห่งแรก เธอตื่นเต้นอย่างมากเมื่อคิดว่าจะได้ทราบข้อมูลของลูก จิตตารวบรวมความกล้าเข้าไปถามเจ้าหน้าที่

“ฉันอยากทราบประวัติของเด็กกำพร้าที่คุณรับมาเลี้ยงในปีพ.ศ.2528ค่ะ”
เจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือในการค้นหาประวัติของเด็กเป็นอย่างดี แต่แล้วจิตตาก็ต้องผิดหวัง
“ดิฉันเช็คหมดแล้ว เราไม่ได้รับเด็กในปีนั้นเลย”
“แน่ใจหรือคะ”
“แน่ใจค่ะ” เจ้าหน้าที่ยื่นเอกสารให้จิตตาดูเป็นการยืนยัน

จิตตาถอนใจ หน้าเศร้า แต่เธอยังไม่หมดหวัง จิตตาเดินทางไปยังสถานสงเคราะห์เด็กแห่ง
ที่สองทันที เจ้าหน้าที่ของสถานสงเคราะห์แห่งนี้บอกให้เธอทำจดหมายขออนุญาตถึงผู้อำนวยการก่อน มีคำสั่งลงมาเมื่อไหร่ฝ่ายทะเบียนถึงจะค้นหาประวัติเด็กให้จิตตาได้

จิตตาถอนใจ....ทำไมถึงต้องยุ่งผ่านหลายขั้นตอนเช่นนี้ แต่เพื่อให้ได้เจอลูกน้อย จิตตายินดี เธอรีบร่างจดหมายส่งไปยังสถานสงเคราะห์แห่งนั้นและรอคอยคำตอบอย่างกระวนกระวาย เจ้าหน้าบอกให้เธอกลับไปรอฟังเรื่องนี้ที่บ้าน พวกเขาจะแฟ็กซ์จดหมายตอบไปให้ที่กรุงเทพฯ

จิตตากลับมาถึงบ้านด้วยท่าทางอิดโรย เหนื่อยอ่อน อาโปแกล้งเข้าไปเอาใจจิตตา เพราะหลังจากวันที่เธอประกาศว่าจะหย่ากับอัสนี จิตตาก็ไม่ยอมพูดคุยกับเธออีกเลย

“กลับมาแล้วหรือคะคุณแม่”
จิตตายังงอนอาโปเรื่องอัสนี ไม่ยอมพูดด้วย ทำเหมือนอาโปไม่มีตัวตน

“เหนื่อยไหมคะ”
จิตตาคอแข็งเดินต่อไปไม่ตอบ อาโปค้อนขวับไม่พอใจ นมแสงที่ลอบสังเกตท่าทีที่เปลี่ยนไปของจิตตาอยู่แล้วมองตามอย่างครุ่นคิด...คุณหญิงจิตตาต้องมีเรื่องอะไรปกปิดอาโปและตนอยู่แน่นอน

แล้วความสงสัยของนมแสงก็กระจ่างเมื่อทางสถานสงเคราะห์แห่งที่สองส่งแฟกซ์มาถึงจิตตาที่บ้าน

“ตามที่ท่านสงสัยว่า จะเกิดการผิดพลาดในโรงพยาบาลขณะคลอดบุตร ทำให้มีการสลับตัวบุตรสาวกับเด็กคนอื่นเมื่อปี พ.ศ. 2528 และสงสัยว่าเด็กจะถูกส่งตัวมายังสถานสงเคราะห์ของเรานั้น ทางเราได้ทำการตรวจเช็คข้อมูลแล้วพบว่าในปีพ.ศ.2528 เรารับเด็กชายมาเพียงสองคน ไม่มีเด็กหญิงเลย ทางศูนย์ขอแสดงความเสียใจด้วย และจะปกปิดเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความลับตามที่คุณต้องการ...”

นมแสงได้เห็นจดหมายนี้ก่อนใครเพื่อน หล่อนหน้าซีดเผือดเมื่อรู้ว่าอาโปไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของสุรเยนทร์ ...มีการสลับตัวเด็กเกิดขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วงั้นหรือ เป็นไปได้อย่างไร

“เป็นอะไรไปคะนม” เสียงอาโปที่ดังขึ้นทำให้นมแสงได้สติ หล่อนมองอาโปอย่างสงสารจับใจ จะต้องไม่ให้อาโปรู้เรื่องนี้เด็ดขาด แสงรีบวางกระดาษลงที่เดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ไม่มีอะไรค่ะ คุณหนูอยากออกไปช้อปปิ้งไม่ใช่หรือคะ เราไปกันเถอะค่ะ”
อาโปมองท่าทีแปลกๆของนมแสงอย่างครุ่นคิด แล้วก็ทำเหมือนไม่ติดใจอะไรเดินออกจากห้องตาม

นมแสงไป แต่พอแสงเดินห่างไป อาโปก็วิ่งกลับไปดูเอกสารนั้นด้วยท่าทางร่าเริง
“ซ่อนอะไรน่ะ เสร็จอาโปแน่”

“ไม่ ! “ แสงหันไปจะคว้ากระดาษมาจากอาโปแต่ก็ไม่สามารถทำได้ อาโปได้อ่านข้อความในจดหมายแล้วได้แต่เงียบไปพักใหญ่ก่อนจะกรี๊ดสนั่นออกมา
“ไม่ .... ไม่จริง !! “ อาโปโยนจดหมายนั้นทิ้งแล้ววิ่งออกไป

“คุณหนู ... “ นมแสงวิ่งตามอาโปไปโดยไม่ลืมที่จะเก็บกระดาษแฟ็กซ์นั้นวางไว้ที่เดิมเพื่อไม่ให้มีใครสงสัย

อาโปขับรถออกจากบ้านคลาดกับจิตตาที่รีบกลับมาดูจดหมายตอบจากสถานสงเคราะห์ จิตตาไม่รู้เลยว่าอาโปได้รับรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว เธออ่านแฟ็กซ์อย่างอ่อนใจ

“สถานเลี้ยงเด็กแห่งที่สองไม่ใช่ เหลือที่สุดท้าย เฮ้อ....” จิตตารีบสะสางงาน เพื่อเดินทางไปต่างจังหวัดอีกรอบทันที

ระหว่างนี้ อาโปประสบอุบัติเหตุขับรถชนเสาไฟฟ้าข้างทางแต่ไม่เป็นอะไรมาก เจ้าหล่อนสติแตกอย่างมากที่รู้ว่าตนเองไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของสุรเยนทร์ ไม่ได้เป็นลูกสาวของหม่อมราชวงศ์หญิงจิตตาผู้สูงศักดิ์อีกต่อไป อาโปเข้าใจแล้วว่าทำไมพักหลัง จิตตาถึงได้มีคำพูดแปลกๆและทำท่าเหมือนเกลียดเธอขนาดนี้

อาโปผิดหวังกับชีวิตถึงขนาดจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย โชคดีที่เมษาและภานุมาเยี่ยมพอดีจึงเข้าไปเกลี้ยกล่อมและช่วยพาตัวอาโปลงมาได้อย่างปลอดภัย

นมแสงโปเข้าไปกอดอาโปอย่างรักใคร่.... เธอไม่ได้รักอาโปที่ความเป็นสุรเยนทร์ แต่เธอรักอาโปด้วยทั้งหมดของหัวใจ ไม่ว่าอาโปจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสุรเยนทร์หรือไม่ นมแสงก็ยังยืนยันที่จะรักอาโปอยู่ดี

ภานุเป็นผู้เล่าเรื่องน่าตกใจของอาโปให้เมษาฟัง ภานุงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมาก
“เรื่องทั้งหมดนี่มันบ้ามากๆเลยนะ สลับลูกที่โรงพยาบาลหรือ แล้วทายาทตัวจริงของสมบัติร้อยล้าน ป่านนี้มันไปอยู่ไหนวะ”
เมษาไม่ตอบ หล่อนกำลังวิตกที่ จิตตารู้ความจริงแล้ว

เมษารีบโทรศัพท์ไปหาสา เด็กในบ้านของจิตตาที่เธอจ้างไว้ให้คอยรายงานทุกอย่างแก่เธอ
“นังสา เจ้านายแกวันนี้ออกไปที่ต่างจังหวัดอีกหรือเปล่า”

“วันนี้มีประชุมสำคัญตอนเช้าค่ะ แต่ตอนนี้น่าจะประชุมเสร็จแล้ว ไม่รู้ไปไหนต่อหรือเปล่านะคะ”

เมษาวางโทรศัพท์อย่างหงุดหงิดใจ จิตตาไม่กลับบ้าน หรือว่าจะไปสืบเรื่องพระพายที่สถานสงเคราะห์ฯ จิตตาหน้าเครียด รีบหันมาเร่งภานุ ที่วันนี้อาสามาขับรถให้หล่อน เขากำลังเดินนำเมษาไปที่รถ

“นี่เร็วๆหน่อยได้ไหม ฉันต้องไปขวางมันให้ได้ ให้มันไปถึงที่ศูนย์เลี้ยงเด็กไม่ได้ ไม่งั้นฉันแย่แน่”
“ทำไมต้องแย่ด้วย คุณไปเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้หา “ ภานุบ่นอย่างไม่เข้าใจ แต่แล้วก็ชะงักหยุดเดิน เมื่อเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้

“พระพาย ! คุณเคยบอกว่าเอามาจาก ...นี่อย่าบอกนะว่าเด็กคนนั้นก็คือพระพาย ! “
“ และสามีของฉันก็คืออรชุน ! คราวนี้ชัดเจนหรือยัง ! “ เมษาบอกทุกอย่างแก่ภานุอย่างรวดเร็ว
“อรชุน คุณคือภรรยาหลวงของอรชุน ! “

“และนังจิตตาคือชู้ ที่มาแย่งผัวฉันไป ! “ เมษาบอกด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น เธอรีบให้ภานุพาเธอไปรับแตง แม่บ้านที่ไปรับตัวพระพายมาจากสถานเลี้ยงเด็กแห่งนั้น

“ไม่ได้ค่ะ ไม่ได้ พาไปไม่ได้!! “ แตงบอกกับเมษาเช่นนั้น ทั้งภานุและเมษามองหน้าแตงอย่างแปลกใจ

“ทำไมล่ะ” เมษาถามอย่างหงุดหงิดใจ
“สถานเลี้ยงเด็กนั่นเป็นของเอกชน เขาหาทุนมาทำต่อไม่ได้ ก็เลยปิดตัวไปตั้งหลายปีแล้วน่ะสิคะ”

“ หมายความว่า เอกสารต่างๆ....”
“ใครจะเก็บให้ล่ะคะ เก่าแก่เป็น20ปีแล้วนะคะ”

เมษาได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะร่า สะใจที่จิตตาหมดหนทางรู้ว่าพระพายคือลูกสาวของตนเอง
“ หาให้ตายก็หาไม่เจอ !!”

จิตตาเป็นดังที่เมษาว่า เมื่อไปถึงสถานเลี้ยงเด็กแห่งสุดท้าย ....ความหวังสุดท้าย เธอก็ทรุดตัวลงนั่งร้องไห้โฮ เสียใจอย่างยิ่งที่ความหวังสุดท้ายปิดตัวลงแล้ว
เรื่องพระพายเป็นลูกที่แท้ของจิตตา ยังคงเป็นความลับสำหรับจิตตา !

วันต่อมา เมษาเล่าเรื่องนี้ให้อาโปและนมแสงฟังอย่างอารมณ์ดี
“หมายความว่าไงคะ คุณแม่หาเด็กคนนั้นไม่เจอหรือคะ”
“ไม่เจอและไม่มีทางเจออีกแล้ว !”

เมษาตอบอย่างมั่นใจจนนมแสงชักจะสงสัย
“แล้วคุณรู้ได้ยังไง ว่าเด็กคนนั้นอยู่ที่ไหน ขนาดคุณจิตตายังต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ”

เมษาหน้าเครียดขึ้นมาทันที กลัวคนอื่นจับได้
“ก็ฉันฉลาดน่ะมีอะไรไหม “

เมษาหันไปย้ำกับอาโปอีกครั้ง
“อาโป แม่เธอยังไม่รู้นะว่าเธอน่ะรู้ความจริงแล้ว นมแสงของเธอน่ะฉลาดมาก ปกปิดทุกอย่างไว้อย่างดี ที่เธอต้องทำคือ กลับบ้าน ไปใช้ชีวิตเหมือนที่ผ่านมา”

แล้วอาโปก็กังวลขึ้นมาอีกครั้งเมื่ออัสนีโทรมานัดแนะเรื่องหย่า
“บอกเขาไป พรุ่งนี้คุณอาโปจะไปพบเขา เก้าโมง”

เมษาตัดสินใจแทนเธอ
“หนูน่ะหรือคะ” อาโปไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่เหมือนอาโปคนเดิมสักนิด แต่ก็ตัดสินใจบอกอัสนีตามที่เมษากำกับ

“ไม่มีเวลาอ่อนแอ ชีวิตต้องเดินหน้า ทำตามที่ฉันบอกแล้ว ชีวิตหนูจะดีขึ้น เชื่อฉัน !” อาโปจึงตัดสินใจบอกกับอัสนี
“วันพรุ่งนี้เก้าโมง คุณอาโปจะไปพบคุณ เตรียมตัวไว้แล้วกันค่ะ”
อัสนีวางโทรศัพท์ ยิ้มพอใจ อีกไม่นานเขาจะเป็นอิสระและได้กลับไปหาผู้หญิงที่เขารักเต็มหัวใจ
“พระพาย คุณรอผมนะครับ…”

แต่แล้วเรื่องราวก็ต้องกลับตาลปัตร กลายเป็นว่าอาโปหลอกเขาไปแถลงข่าวยืนยันความรักมั่นคง แม้ว่าอัสนีจะป่วยพิการตาบอด
เขาไม่ได้จดทะเบียนหย่า !

พระพายมองภาพข่าวในหนังสือพิมพ์ที่อาโปหอมแก้มอัสนี มีคำบรรยายใต้ภาพนั้น
“ รักมั่นอาโป อัสนี ความพิการมิอาจพราก”

พระพายอ่านข่าวนั้นอย่างคนหัวใจสลาย
“ในที่สุด คุณก็มาที่นี่ไม่ได้ คุณมาตามนัดไม่ได้ มีแต่ฉัน มีแต่ฉัน...ที่มาที่นี่คนเดียว”

พระพายน้ำตาไหลริน สมน้ำหน้าตัวเองที่หลงเชื่ออัสนีมารอเขาที่น้ำตกแห่งนี้อย่างมีความหวัง เธอปล่อยหนังสือพิมพ์นั้นลงน้ำตกให้มันลอยไปกับสายน้ำ

กระแสน้ำพัดหนังสือพิมพ์นั้นลอยมายังอัสนีที่แอบมองเธออยู่...อัสนีมองพระพายอย่างอย่างเศร้าสร้อย เขาอยากจะเข้าไปอธิบายเรื่องทั้งหมดให้เธอเข้าใจเหลือเกิน แต่เมื่อเขาผิดคำพูด เขาจะกล้าเข้าไปได้อย่างไร....น้ำตาของพระพายทำให้เขาเหมือนใจจะขาดตามไปด้วย อัสนีโกรธตัวเองที่ทำให้หญิงที่ตนรักต้องเสียใจ เขาสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้เธอเสียใจอีก

“ลาก่อนสายลม นับจากนี้ เมื่อไม่มีคุณ สายฟ้าคงอ่อนแรง ตลอดกาล.....”
อัสนีต้องบังคับตัวเองสุดความสามารถให้ละสายตาจากพระพายและเดินจากไป....
ฤาคนรักทั้งสองจะต้องแยกจากกันตลอดกาล.....




 

Create Date : 24 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 24 กรกฎาคม 2550 21:54:27 น.
Counter : 917 Pageviews.  

กลิ่นแก้วกลางใจ ตอนที่ 25 - 26


ก ลิ่ น แ ก้ ว ก ล า ง ใ จ


บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
กมลชนก ยวดยง เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์


ตอนที่ 25

คืนนั้น พระพายเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าออกจากสุรเยนทร์ เธอทนอยู่กับคนใจร้ายผิดมนุษย์
อย่างอาโปไม่ไหวอีกต่อไป พระพายเข้าไปกราบลาจิตตา จิตตารู้เรื่องที่อาโปทำทั้งหมดแล้ว เธอทั้งโกรธอาโป และโกรธตัวเองที่เลี้ยงดูอาโปไม่ดี คนดีๆอย่างพระพายถึงต้องมารับกรรมเช่นนี้

จิตตาน้ำตาคลอไม่อยากให้พระพายจากไป

“อย่าร้องไห้ อย่าเสียน้ำตาให้คนอย่างหนู คุณหญิงไม่จำเป็นต้องลดตัวเองลงมาขนาดนี้
นะคะ”

พระพายเข้าไปปลอบโยนจิตตา จิตตามองเด็กสาวตรงหน้าอย่างอาลัย

“ หนูไม่ได้เป็นแค่คนงานในสายตาของฉัน ฉันบอกไม่ถูก ทำไมฉันรู้สึกเสียใจเหลือเกินที่
จะไม่ได้เจอหนูอีก ”

พระพายหน้าเศร้า น้ำตาไหลออกมาบ้าง เธอก็ไม่อยากจากจิตตาไปไหน ทั้งสองโผกอดกันอย่างรักใคร่ ร้องไห้กันทั้งคู่

“คุณหญิง แม่พระของหนู หนูรักคุณค่ะ”
“ฉันก็รักหนู อดทนไว้นะ รักษาความดีของหนูไว้ สักวันหนึ่ง หนูจะได้เห็นผลที่ยิ่งใหญ่
ของการเป็นเด็กดี เป็นคนดี”

พระพายพยักหน้ารับคำ สองแม่ลูกต้องจำพรากจากกันอีกครั้ง....พระพายไปบอกข่าวการย้ายออกจากบ้านจิตตากับโดมเป็นคนแรก

“พี่โดม พระพายเป็นอิสระแล้วค่ะ”
พระพายหน้าเศร้า น้ำตาปริ่มตา โดมเข้าไปโอบกอดปลอบประโลมอย่างเข้าใจ

“ชีวิตเกิดใหม่บนความเจ็บปวดทั้งนั้น ไม่เป็นไรนะ จากวันนี้ เรามาเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน ตกลงไหม”

แล้วพระพายก็เริ่มชีวิตใหม่วันแรกด้วยการลาออกจากการเป็นพนักงานของธีรนัย เธอจะได้ไม่ต้องเจอทั้งอาโปและอัสนีอีกต่อไป อัสนีรับรู้ข่าวนี้ด้วยความตกใจ เขาโวยวายทันที

“ลาออกได้ยังไง ฉันไม่ได้อนุญาตสักหน่อย”
“คุณอาโปเป็นคนเซ็นอนุญาต คงไม่ทันแล้วค่ะ”

อัสนีไม่รอแม้สักนาทีที่จะไปตามพระพายกลับคืน เขาเห็นหลังพระพายขึ้นแท็กซี่ไปไวๆ
เขารีบบึ่งรถตาม


รถของอัสนีแล่นเข้าไปตีคู่กับรถแท็กซี่ของพระพาย
“จอด ๆ” อัสนีตะโกนบอกคนขับรถ พระพายหันไปเห็นเข้าก็ตกใจ
“คุณอัสนี”

“เอ๊า รู้จักกันหรือ แล้วก็ไม่บอก” คนขับแท็กซี่เกาหัว เขาพยายามขับหนีรถของอัสนีมาตลอดเพราะคิดว่าเป็นพวกชอบท้าทาย

“จอดสิ บอกให้จอด”
แท็กซี่ยอมจอดข้างทางตามคำบอกของอัสนี อัสนีลงจากรถ ตรงเข้ามาโวยพระพายทันที

“ผมยังไม่ได้เซ็นใบลาออก คุณยังเป็นลูกน้องผมอยู่ มานี่”
อัสนีจ่ายเงินค่าแท็กซี่พร้อมลากตัวพระพายให้เข้าไปนั่งในรถเขา อัสนีขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว

พระพายไม่พอใจการกระทำของเขา เธอถามขึ้นอย่างหงุดหงิดใจ
“คุณจะพาฉันไปไหน ถ้าคุณอาโปรู้เข้า ....”

“ผมจะพาคุณไปที่ที่หนึ่ง อาจจะต้องเดินทางไกลหน่อย” อัสนีบอกเสียงเรียบ
“ไปไหนคะ”

“คุณกำลังจะลาออก เราอาจจะไม่ได้พบกันอีก ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมขอเวลาคุณหนึ่งวัน
หนึ่งวันเท่านั้น”

แล้วเขาก็ไม่คุยกับเธออีกเลยตลอดการเดินทาง พระพายต้องใจหายวาบเมื่อพบว่าเขามาจอดรถที่ท่าเรือไปบ้านกลิ่นแก้ว !

“เราต้องทิ้งรถไว้แถวนี้ แล้วไปลงเรือโน่น”
พระพายพยายามคิดหาเหตุผลว่าเขาพาเธอมาที่นี่ทำไม หรือเขากำลังสงสัยเรื่องเธอกับอาโป...อัสนีมองพระพายที่กำลังครุ่นคิดอย่างจับผิด

“ยืนคิดอะไรอยู่ คุ้นหรือ ... เธอเคยมาที่นี่ไหม”
ชายหนุ่มจ้องตาหญิงสาว “ถ้าเคยมา ก็บอกมาสิ ว่าเคย”

“ไม่... ไม่เคย ! “ พระพายปากแข็ง ไม่ยอมหลุดเรื่องที่เคยสับเปลี่ยนตัวกับเขาเด็ดขาด
อัสนีหงุดหงิดใจเล็กน้อยที่ไม่ได้คำตอบอย่างที่ต้องการ

เขาเชื่อว่าพระพายคืออาโปที่อยู่กับเขาบนเกาะตั้งแต่วันที่เขาได้สัมผัสใบหน้าเธอในความมืด เขาต้องหาทางพิสูจน์ให้ได้ว่าพระพายและอาโปที่เคยอยู่กับเขาบนเกาะเป็นคนเดียวกันหรือไม่

“ที่เกาะนั่นมีบ้านหลังหนึ่งของคุณอาโป ผมเคยไปพักที่นั่น เราจะไปเที่ยวกัน”
พระพายพยักหน้ารับรู้ เขาพาเธอขึ้นเรือออกไป....

เมื่อไปถึงยังเกาะแก้ว พระพายมองบ้านกลิ่นแก้วด้วยความชื่นชมเหมือนเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
“สวยมากเลยนะคะ”

“ไม่เคยเห็นหรือ”
“ไม่เคยเห็น ไม่เคยสักครั้ง ! “ พระพายยืนยันหนักแน่น แถมประสานสายตาไม่กลัวเกรง

อัสนีหมั่นไส้เจ้าของดวงตาคู่นี้เป็นยิ่งนัก
อัสนีจะพาเธอเข้าไปในบ้าน แต่ปรากฏว่ากุญแจล๊อคไว้

ที่บ้านกลิ่นแก้ววันนี้เงียบเหงา แต้มและถวิลหลังจากถูกส่งตัวมาจากกรุงเทพ ก็ถูกนักเลงของภานุคุมตัวไว้ตลอดเวลา ภานุให้เหตุผลกับอัสนีว่า ต้องการให้แต้มและถวิลเฝ้าบ้านที่สำคัญหลังนี้ไว้ อัสนีจึงไม่อยากขัดใจ หลายวันมานี้ แต้มและถวิลพากันไปเที่ยวในหมู่บ้านชาวประมงเพื่อเยี่ยมญาติถวิล นักเลงทั้งสองได้ยินเข้าเลยพากันเดินทางเข้าเมือง เพื่อไปเที่ยวพักผ่อนเช่นเดียวกัน

“แต้มกับถวิลไม่ได้อยู่ที่นี่หรือ ไปไหนกันหมด เคยเจอแต้มกับถวิลไหม” อัสนีแกล้งหันมาถาม
“ใคร พูดถึงใครหรือ” เจ้าหล่อนทำหน้าไม่รู้เรื่องต่อไป


อัสนีกลุ้มใจที่พาพระพายเข้าบ้านไปไม่ได้ แต่แล้วก็นึกออกว่า แต้มมีนิสัยชอบซ่อนกุญแจไว้ใต้พรมเช็ดเท้า เขารีบพลิกดูทันที แล้วก็ได้เจอกุญแจสมใจ อัสนีรีบไขกุญแจพาพระพายเข้าไปในบ้าน


“ผมไปเรียนหนังสือมาทั่วโลก มีบ้านที่ใหญ่และแพงกว่านี้ แต่นี่เป็นสถานที่เดียวที่ผมเรียกว่าบ้าน….สิ่งที่รวมกันเป็นบ้าน ไม่ใช่เสาหลุยส์ราคาแพง หินอ่อนจากต่างประเทศ แต่เป็นเพราะคนในบ้าน ผู้หญิงคนนั้นเพียงคนเดียว ... อาโป”

อัสนีบอกกับเธอเช่นนั้น พระพายอดที่จะปลื้มใจไม่ได้ แต่จำต้องพูดในสิ่งตรงกันข้าม
“อาโปภรรยาคุณเขาอยู่กรุงเทพ แล้วคุณล่ะมาที่นี่ทำไม ทำไมไม่กลับไปหาเขาล่ะคะ”

อัสนีหันกลับไปจ้องหน้าพระพาย เธอผลักไสเขาเสียจริง
“ผมกลับไปหาเขาแน่ ชั่วชีวิตนี้ยังไงผมก็ต้องอยู่กับเขา แต่นั่นชีวิตผมทั้งชีวิตเชียวนะ
ขอให้ผมแน่ใจอะไรหน่อยเถอะ ! “

พระพายตัวชา ความนัยในคำพูดของอัสนีบ่งชี้ว่าอัสนีกำลังตามหาความจริง เรื่องอาโปคนที่มาอยู่บนเกาะนี้ เธอรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“เอ่อ เดินทางมานาน ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ”

พระพายเดินออกไปทันที อัสนีมองจับผิดไม่วางตา
“ห้องน้ำ ใช่ คุณรู้ว่ามันอยู่ไหน ไม่มีท่าทางเคอะเขินสักนิด ไม่มีเลย”

เขาครุ่นคิดในใจ รอที่จะจับผิดให้พระพายดิ้นไม่หลุดเมื่อเดินไปถึงห้องน้ำ แต่แล้วเขาก็ต้องหงุดหงิดใจเมื่อพระพายชะงักเท้า หันกลับมาถาม

“จริงสิคะ ลืมถาม ห้องน้ำอยู่ไหนคะ”
“ซ้ายมือ” เขาตอบไปอย่างหงุดหงิดใจ เจ้าหล่อนแกล้งทำเป็นไม่รู้งั้นหรือ

“ขอบคุณค่ะ” พระพายเดินยิ้มออกไป เธอไม่มีทางยอมพลาดให้เขาจับได้หรอก...ไม่มีทาง
อัสนีมองตามอย่างขุ่นข้องใจ

อัสนีพาพระพายเดินเล่นรอบบริเวณ จนมาหยุดที่บริเวณซุ้มดอกแก้ว เขามองดอกแก้วอย่างมีความสุข

“ดอกไม้สำคัญของเราสองคน ตอนอยู่ที่เกาะเขาชอบมันมากแต่พอกลับไปกรุงเทพเขากลับไม่ชอบ” อัสนีหันกลับมาถามพระพาย
“คุณชอบมันไหม”

“สวนนี่สวยดีนะคะ”
พระพายตอบอย่างเมินเฉย อัสนีชักโกรธ แต่ยังไม่ละความพยายาม เขาพาเธอไปดื่มน้ำ นั่งเล่นที่ระเบียงอีกด้านหนึ่งของบ้าน

“บ้านหลังนี้ร่มรื่นดีนะคะ”
“ร่มรื่นและเต็มไปด้วยความรัก “

อัสนีแกล้งก้มลงอธิบายขยายความคำพูดของเขา
“ในบ้านหลังนี้ เราสองคนพยายามจะมีลูกด้วยกันหลายครั้ง !”

พระพายหน้าตื่น พ่นน้ำพรวด แถมสำลักอีกหลายครั้ง อัสนีมองอาการของพระพายอย่างชอบใจ
เขาแทบจะหัวเราะไปด้วย

“อ้าว เธอเป็นอะไร ไม่เชื่อหรือ ดูสิหน้าแดงเชียว ผมกับอาโปเป็นสามีภรรยากันนะ มีเรื่องพรรค์นั้นไม่เห็นแปลก”

“ไม่จริงคนบ้า คนโกหก ฉันไม่เคยทำอะไรบ้าๆกับคุณสักหน่อย ! “ พระพายโวยในใจ

อัสนีแกล้งเข้าไปใกล้ ป้องปากบอกที่หูของเธอ
“จะบอกความลับให้ อย่าไปบอกใครนะ เราสองคนเข้ากันได้ดีและมีความสุขมากเลยล่ะ เราอยู่
ด้วยกันทั้งกลางวันและกลางคืน ตรงมุมนั้นมุมนี้ของบ้าน เอ…แต่แถวนี้ไม่ยังเคยแฮะ”

“คนบ้า !” พระพายผลักอัสนีออกไปอย่างแรง ทั้งโกรธทั้งอาย เธอไม่เคยทำอย่างที่เขาพูดสักนิด อัสนียิ้มพอใจที่พระพายหลุดอาการออกมาแล้ว

“โกรธอะไร ผมพูดเรื่องอาโปไม่ได้พูดเรื่องคุณสักหน่อย”
หญิงสาวหน้าตื่น พยายามแก้ตัว

“ก็…ก็คุณมันโรคจิต ใครเขาเอาเรื่องแบบนี้มาพูดให้คนอื่นฟังบ้าง”

พระพายเดินหนีเขาไปทันที อัสนีหัวเราะที่ได้เห็นท่าทีพระพายที่ชัดเจนขนาดนี้ เขารีบเดินตามไปแกล้งต่อ

“เดี๋ยวสิจะไปไหน งอนคางชี้เป็นแม่มดอีกแล้วเห็นไหม”
“ฉันไม่ใช่แม่มด” พระพายหน้าบึ้ง อัสนียังยั่วต่อ

“ทำไมจะไม่ใช่ ขี่ไม้กวาดอีกหน่อยล่ะสวย ไม่เชื่อไปถามใครดูก็ได้” แล้วเขาก็ชะงักไปกับความคิดตนเอง....ถามใครดูก็ได้งั้นเหรอ...อัสนีคิดถึงแต้ม ถวิลขึ้นมาทันที

“ถามใครๆ ...ใช่ จริงด้วย ทำไมฉันไม่ถามสองคนนั้น ! “
อัสนียิ้ม ถ้าแต้มกับถวิลได้เจอพระพาย ต้องบอกเขาได้แน่ว่าพระพายคืออาโปคนที่เคยอยู่ที่เกาะหรือไม่

เขาเข้าไปรวบตัวหญิงสาว อุ้มออกไปอย่างรวดเร็ว
“ว้าย คุณอัสนี คุณจะทำอะไร ปล่อยฉันนะ “

พระพายตกใจ ตามไม่ทันว่าเขาคิดจะทำอะไร ได้แต่ดิ้นเร่าๆอยู่ในอ้อมแขนอัสนี
“ปล่อยฉัน ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ...ปล๊อย! “

อัสนีพาพระพายเข้าไปยังห้องที่เขาเคยอาศัย ชายหนุ่มวางหญิงสาวลงบนเตียง แล้วตามลงไปกอด พระพายหน้าตื่น

“คุณพาฉันมาบนนี้ทำไม....นี่ปล่อยนะ” เมื่อรู้ตัวว่ายังอยู่ในอ้อมกอด พระพายก็ผลักไสเขาเต็มที่ แต่คนอย่างอัสนีมีหรือจะยอมใครง่ายๆ
“คุณมันปากแข็ง ผมก็ไม่ยอมแพ้ เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะชนะ”

“คุณจะทำอะไร แล้วเมื่อไหร่จะปล่อยฉันเสียที”
“เราเคยอยู่ด้วยกันบนเตียงนี้ เป็นช่วงเวลาเดียวในชีวิต ที่ผมเข้าใกล้สิ่งที่เรียกว่าความ
รัก”

“คุณพูดเรื่องอะไร ฉันไม่เคยมาที่นี่” พระพายยังคงปฏิเสธ
“รู้ไหมทำไมผมถึงจำคุณได้”

อัสนีค่อยๆลูบหน้าของพระพายด้วยวิธีที่เขาเคยทำมาตลอด
“ผมสัมผัสคุณได้ด้วยความรู้สึก ด้วยหัวใจล้วนๆ คุณเคยพูดว่า เราทุกคนมีอ้อมกอด
เฉพาะตัว ผมจำอ้อมกอดของคุณได้ จำได้ไม่เคยลืม ! “

พระพายแทบจะใจอ่อนอยู่ตรงนั้น แต่เธอยอมใจอ่อนไม่ได้
“ปล่อยนะ คุณพูดอะไรฉันไม่รู้เรื่อง”

“ในเมื่อคุณไม่ยอมรับ ผมก็จะตามคนมาช่วยยืนยัน….แต่ก่อนไป เผื่อคุณจะคิดถึงสิ่งนี้เหมือนที่ผมคิดถึงมาโดยตลอด”

“คิดถึงอะไร” พระพายงง
“ก็ไอ้นี่ไง” อัสนีหอมแก้มพระพายอย่างรวดรวดเร็ว ก่อนจะวิ่งออกไปจากห้อง กว่าพระพายจะหายตกใจเขาก็ออกไปใส่กุญแจล๊อคประตูที่หน้าห้องเรียบร้อยแล้ว พระพายจะร้องให้เขาเปิดยังไงก็ไม่เป็นผล

พระพายครุ่นคิดว่าอัสนีจับตนมาขังไว้ทำไม เธอนึกได้ที่เขาพูดถึงเรื่องตามคนมายืนยัน ใช่แล้ว แต้มกับถวิล เธอจะให้สองคนนั้นเจอเธอไม่ได้เด็ดขาด พระพายมองซ้ายมองขวา หาทางหนีออกไปจากห้องทันที

ระหว่างนี้ อัสนีขี่จักรยานออกไปตามหาแต้มกับถวิลในหมู่บ้านชาวประมงแต่ก็ไม่เจอ อัสนีกลับมาที่บ้านอย่างหงุดหงิดใจ แต่แล้วก็ต้องตกใจที่เขาเกือบจะขี่รถชนพระพายที่หนีออกมาจากบ้าน พระพายร้องวี้ดอย่างตกใจ

“คุณออกมาได้ยังไง”
พระพายหน้าตื่นที่เห็นอัสนี รีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว อัสนีทิ้งจักยาน วิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว

“พระพาย จะไปไหน กลับมาเดี๋ยวนี้.....เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ”
แล้วเขาก็เร่งฝีเท้าจนสามารถตามไปรวบตัวพระพายมาไว้ได้ทัน

“คุณจะไปไหน อย่าหนีหัวใจตัวเองอีกเลยนะ”
“ปล่อยฉันนะ.. คุณเลิกทำแบบนี้เสียที คุณแต่งงานแล้วนะไม่เกรงใจภรรยาคุณหรือไง” พระพายเสียงเข้ม อัสนีปล่อยมือจากเธออย่างน้อยใจ

“คุณรู้หรือเปล่า เราอยู่ที่ไหน เงยหน้าขึ้นดูสิ”
พระพายทำตามที่เขาบอก แล้วเธอก็ต้องใจเต้นแรงเมื่อพบว่าเธอและเขากำลังอยู่ใต้ต้นไม้ที่เธอเคยทำไว้ให้เขา ถ้วยกระดาษต่างๆยังอยู่ครบ

“ต้นไม้ของเรา เอาไว้บอกเรื่องราวกับพ่อผมที่อยู่บนฟ้าและดวงดาวต่างๆ จำได้ไหม”
สีหน้าพระพายอ่อนโยนลงช่วงหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนกลับไปนิ่งเฉยเหมือนเดิม

“ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
“ผมใช้เวลาอยู่พักหนึ่ง เพื่อปะติดปะต่อว่าคุณปลอมตัวเป็นอาโปแล้วมาอยู่กับผมที่เกาะ ทันทีที่ผมคิดได้ ผมดีใจ เพราะคุณคือผู้หญิงคนเดียวที่ผมอยากใช้ชีวิตด้วย” อัสนีตัดสินใจบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้สึกแก่เธอ

“ฉันไม่เคยทำอะไรบ้าๆแบบนั้น เข้าใจผิดแล้ว”
“ผมไม่เชื่อ” อัสนีเขย่าตัวพระพายถามอย่างหงุดหงิดใจ เจ้าหล่อนปากแข็งเหลือเกิน
“ ทำไมพระพาย เมื่อไหร่คุณจะยอมรับ และพูดความจริงกับผมสักที !”

“คุณแต่งงานกับคุณอาโปมาตั้งแต่ต้น ถึงจะเป็นเพราะถูกพ่อแม่บังคับก็ตาม แต่ตลอดมา เธอคือภรรยาคนเดียวของคุณ”

อัสนีหงุดหงิด คว้าถ้วยกระดาษมาคุย
“พ่อครับ ผมอยากจะรู้จริงๆว่าคนที่คิดโกหกแม้กับตัวเอง เขามีความสุขได้ยังไง การพูดความจริง ซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเองไม่ใช่เรื่องเสียหายไม่ใช่เหรอครับ ....”

อัสนีดึงพระพายเข้าไปใกล้ พร้อมส่งถ้วยกระดาษให้
“ถ้าสมมติว่าถ้วยกระดาษนี้สามารถส่งความลับทุกอย่างของคุณไปถึงดินแดนบนฟ้าที่ไร้คำโกหก คุณมีอะไรอยากส่งไปที่นั่นไหม”

เขาหันมองเธอ พูดอย่างตั้งใจ
“ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเราสองคนนับจากนี้ขึ้นอยู่ที่คุณแล้วนะ เพียงแค่คำตอบเดียว คำตอบเดียวจากคุณเท่านั้น …. คุณคือผู้หญิงที่อยู่กับผมที่นี่ ใช่หรือไม่ใช่ “

“ฉัน...เอ่อ ฉัน...”
พระพายลำบากใจถึงที่สุด ใจเธอร่ำร้องอยากจะบอกความจริงทุกอย่างแก่เขา แต่อีกใจหนึ่งก็ปฏิเสธ เธอจะแย่งสามีคนอื่นไม่ได้เด็ดขาด พระพายรวบรวมความกล้า ปัดถ้วยกระดาษที่อัสนียื่นให้ทิ้ง ตะโกนก้อง น้ำตาคลอ

“ฉันไม่มีความลับอะไรจะบอกคุณทั้งนั้น ! คำตอบคือไม่ ไม่ ไม่ ได้ยินไหม ! “
“พระพาย ! “ อัสนีผิดหวังอย่างมาก เขานึกไม่ถึงว่าเธอจะปฏิเสธออกมาเช่นนี้

“ฉันกับอาโปเหมือนมีชีวิตที่คู่ขนาน ถ้าฉันยุ่งกับคุณ ผู้หญิงชื่ออาโป จะไม่มีวันออกไปจากชีวิตฉัน เข้าใจไหม ฉันทนผู้หญิงคนนั้นไม่ไหวแล้ว”

“ไม่เกี่ยวกับอาโปสิ... คุณแค่คิดถึงผม คิดถึงเรา”
“ฉันรู้แต่ว่า ฉันอยากมีชีวิตที่เป็นอิสระ อิสระจากแม่เมษา อิสระจากผู้หญิงใจร้ายอย่างอาโป ฉันไม่มีแรงอดทนต่อสู้กับใครแล้ว ไม่ไหวแล้ว! “

พระพายบอกทั้งน้ำตา ก่อนจะวิ่งออกไปขึ้นเรือ....อัสนีจำยอมปล่อยพระพายไป เขาเหนี่ยวรั้งเธอไว้ไม่ไหวอีกต่อไป เขารู้ดี...การไปของเธอครั้งนี้คือการออกจากชีวิตเขาตลอดกาล

และแล้ว ...อีกครั้งหนึ่ง ...อัสนีปล่อยให้น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาอย่างไม่อายใคร



ก ลิ่ น แ ก้ ว ก ล า ง ใ จ


บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
กมลชนก ยวดยง เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์


ตอนที่ 26

อัสนีกลับมาหาอาโปอย่างคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต อาโปรู้ดีว่าอัสนีเป็นอย่างนี้เพราะเหตุใด แต่เธอก็ไม่สนใจ เจ้าหล่อนประกาศกับเขาว่า

“ฉันไม่สนหรอกนะว่าหัวใจคุณจะอยู่กับใคร แต่ในเมื่อคุณแต่งงานกับฉัน คุณก็คือของๆฉัน ร่างกายของคุณต้องอยู่กับฉันคนเดียว ! “

อัสนีเจ็บปวด เขารู้แก่ใจดี เขาไม่ได้รักอาโป แต่เมื่อคนที่เขารักเลือกที่จะจากไป ก็ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต่อต้านอาโปอีกต่อไป....ชีวิตที่เหลือของเขาต่อจากนี้คือการเป็นหุ่นยนต์ ทำทุกอย่างตามแต่อาโปจะสั่งเท่านั้น...

ส่วนพระพาย....หญิงสาวตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการใช้ชีวิตเป็นนางพยาบาลที่โรงพยาบาลต่างจังหวัด เธอตัดขาดจากบุคคลเก่าๆที่เคยรู้จัก มีเพียงโดมเท่านั้นที่พระพายยังคงติดต่อไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบตามประสา

เมษาออกตามหาตัวพระพายจนทั่วเมืองแต่ก็ไร้วี่แวว หล่อนยังทรมานยายเด็กลูกชู้นั่นไม่พอ แล้วจู่ๆมันจะหายตัวไปได้อย่างไร
“หรือมันจะอยู่กับแม่มัน”

เมษาพุ่งตรงไปหาจิตตา ทำทีว่าไปเยี่ยมเยียนตามประสาคนรู้จักตามปกติ แต่แล้วก็ต้องแปลกใจที่เห็นจิตตากำลังปรึกษาบางอย่างกับตำรวจ เธอพยายามแอบฟัง แต่จิตตาก็รอบคอบจนเมษาไม่สามารถสืบเรื่องราวอะไรได้เลย

“ทำเป็นมีลับลมคมใน หึ ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าแกกำลังทำอะไร คิดว่าคบกับคนใหญ่คนโตแล้วฉันจะไม่กล้าทำอะไรแกงั้นเหรอ…..ไม่มีอะไรที่ฉันอยากรู้แล้วไม่ได้รู้ “
เมษาโทรศัพท์จ้างนักสืบเพื่อตามเรื่องของจิตตาทันที

แท้จริงแล้ว จิตตาเชิญญาติสนิทที่เป็นนายตำรวจใหญ่มาปรึกษาเรื่องการตามหาลูก
จิตตาอยากจะฟ้องร้องโรงพยาบาลที่ทำงานผิดพลาด แต่ญาติของเธอเตือนให้จิตตานึกถึงจิตใจของอาโปว่าหญิงสาวจะรู้สึกอย่างไรเมื่อต้องรู้ว่าตนไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของสุรเยนทร์

“คุณพี่ว่าจะเป็นไปได้ไหมคะ ที่พ่อแม่ของอาโปรู้แล้วเหมือนกันว่าเด็กที่เขาเลี้ยงไม่ใช่ลูกเขา บางที เขาอาจจะแจ้งความไว้แล้วก็ได้นะคะ”

จิตตาลองคิดหาวิธีใหม่ .... ญาติผู้พี่ใคร่ครวญ
“ถ้าอย่างนั้น พี่จะลองให้ลูกน้องตรวจเช็คดูนะครับว่ามีบันทึกประจำวันเรื่องนี้บ้างรึเปล่า”

“ขอบคุณมากค่ะ”
“ทางพี่ยินดีที่จะช่วยเหลือคุณหญิงเต็มที่ยู่แล้ว คุณหญิงอย่าเพิ่งหมดกำลังใจไปเสียก่อนนะครับ”

จิตตายิ้มอย่างใจชื้น อีกไม่นานเธอคงได้ทราบข่าวลูกน้อยของเธอบ้าง แต่สิ่งที่จิตตากังวลอยู่ตอนนี้คือ อาโป....เจ้าหล่อนแสนจะภูมิใจในความเป็นอาโป สุรเยนทร์นักหนา เธอจะทำอย่างไรให้เจ้าหล่อนลดการยึดติดกับชาติตระกูลแล้วนับถือคนอื่นที่คุณงามความดี จิตตาตัดสินใจพาอาโปไปยังร้านขายผ้าไหมประจำตระกูล

“จัดผ้าสวยๆให้ฉันสักสองสามชิ้นสิจ๊ะ ให้อาโปด้วยนะ เราสองคนจะเอาไปให้ช่างเขาตัดชุด”
“ให้เราเลือกให้หรือคะ” พนักงานในร้านถามอย่างแปลกใจ

“จ๊ะ ให้เธอสองคนเลือกให้”
แล้วจิตตาก็พาอาโปไปยังมุมหนึ่งที่พนักงานในร้านมองไม่เห็น แต่คนที่อยู่ตรงนั้นสามารถได้ยินทุกอย่างที่คนในร้านคุยกัน

“อะไรกันคะคุณแม่ ผ้าไหมเชยๆพวกนี้ อาโปไม่เห็นอยากได้” อาโปโวยวายเพราะไม่ได้อยากมากับแม่สักนิด แต่จิตตาจุ๊ปากให้เจ้าหล่อนเงียบ

“แม่อยากให้ดูอะไร คอยฟังพวกเขาคุยกันนะ “
แล้วอาโปก็ได้ยินพนักงานในร้านที่กำลังเลือกผ้าไหมพูดคุยกัน

“คุณหญิงวันนี้มาแปลก ให้เราเลือกผ้าให้ เอาลายไหนดีล่ะ”
“ฉันจัดของคุณหญิง เธอจัดของคุณหนูอาโปนะ”
คนขายคนหนึ่งรีบอาสา แต่อีกคนปฏิเสธออกมาโดยไว

“ไม่เอาหรอก ฉันเกลียดยายคุณหนูนั่น เมื่อก่อนฉันทำน้ำหกรดกระโปรงหล่อนหน่อยเดียว เอาแก้วทั้งแก้วราดหัวฉัน จำไม่ได้หรือ”

“ก็เพราะจำได้น่ะสิ ฉันถึงไม่อยากทำให้ สู้คุณหญิงก็ไม่ได้ วันงานศพพ่อฉันคุณหญิงยังไปเป็นเจ้าภาพให้ แม่ฉันงี้ปลื้มน้ำตาไหลเลยล่ะ”

“งั้นเรามาช่วยจัดของคุณหญิงกันส่วนยายคุณหนูตัวแสบ เอาอะไรยัดๆไปก็ได้ หน้าสวยแต่ใจยักษ์ใจมาร ใส่อะไรก็ไม่ขึ้นหรอก”

สองพนักงานหัวเราะกันคิกคัก หารู้ไม่ว่าจิตตาและอาโปได้ยินทั้งหมด อาโปโกรธมากทำท่าจะออกไปโวยวาย แต่จิตตาห้ามอาโปไว้ เธอพยายามสอนลูกสาวอย่างใจเย็น

“ที่แม่พาหนูมา เพราะแม่อยากให้หนูเห็นว่าคนอื่นมองหนูยังไง อาโป สุรเยนทร์ตัวจริงๆในสายตาของคนอื่นน่ะน่าเกลียดขนาดไหน”

“คุณแม่ !” อาโปหงุดหงิด ไม่คิดว่าแม่แท้ๆจะพูดอะไรกับเธอแบบนี้

“ทุกวันนี้คนรอบข้างตัวหนู เขาดูแลหนู ปรนนิบัติหนู ด้วยหน้าที่หรือไม่ก็เพราะโดนข่มขู่ ทุกคนยำเกรงในความเป็นสุรเยนทร์ มีใครสักคนไหมที่จะรักนับถือ ที่ตัวตนหนูจริงๆ”

“คุณแม่เอาคนงานปากเสียสองคนนี้มาตัดสินไม่ได้นะคะ”

“ทำไมจะไม่ได้ ต่อให้ไปถามคนร้อยคนเขาก็ต้องพูดอย่างนี้ หนูเคยคิดไหม ถ้าคนที่หนูหยิบมีดไปขู่ไม่ใช่พระพาย แต่เป็นคนงานสิ้นคิดสักคน เขาอาจจะแค้นแล้วฆ่าหนู ชีวิตที่อยู่ท่ามกลางคนที่เกลียดเรา...มีความสุขตรงไหนหรืออาโป”

“คนงานเลวๆพวกนั้น ถ้าเข้ามาถึงตัวหนู แล้วแม่และนมแสงอยู่ไหนล่ะคะ แม่และนมแสงทำไมไม่ขวางเขาไว้ล่ะ หน้าที่ดูแลหนู ไม่ใช่หน้าที่แม่และนมแสงหรอกหรือ “

จิตตาถึงกับอึ้งในความคิดของอาโป แต่ยังอดทน พยายามที่จะสอนเจ้าหล่อนต่อไป

“อาโป ทำไมโลกของหนู ถึงมีแต่ตัวหนูคนเดียว ไม่เคยเลยสักครั้งหรือ ที่จะคิดถึงหัวจิตหัวใจคนอื่นบ้าง”

“หนูไม่ได้ทำอะไรผิด หนูคืออาโป สุรเยนทร์ หนูแค่ใช้สิทธิ์จากความโชคดีของหนูก็เท่านั้นเอง”
อาโปเชิดหน้า ไม่สนใจคำสอนของจิตตาสักนิด เธอออกไปเล่นงานพนักงานในร้านอย่างไม่เกรงใจใคร จิตตาหนักใจที่ไม่สามารถสอนอาโปให้กลับตัวเป็นคนดีได้เลย

จิตตาหันไปสนใจติดตามลูกรักที่หายไปของเธออีกครั้ง
“ไม่มีข่าวคราวคืบหน้าของลูกเลยเหรอคะ”

จิตตาละสายตาจากแฟ้มงานเกี่ยวกับความคืบหน้าในการหาตัวลูกที่ญาติฝ่ายพี่นำมาให้ดูอย่างเศร้าใจ จิตตาผิดหวังอย่างรุนแรง ความหวังที่จะได้พบกับลูกดับวูบลงอีกครั้ง

“คดีเด็กสับเปลี่ยนตัวผิดจากโรงพยาบาลก็มีบ้าง แต่อายุของเด็กไม่สอดคล้องกับเวลาที่
คุณหญิงบอกมา”

“แล้วคดีอื่นเกี่ยวกับเด็กอย่างเช่นเด็กถูกลักพาตัว เรียกค่าไถ่ เด็กจมน้ำตายคุณพี่เช็คให้หญิงบ้างรึยังคะ”

“เอ้อ คือ…” ญาติผู้พี่ของเธอลืมสืบเรื่องนี้เสียสนิท
จิตตาโวยขึ้นอย่างอัดอั้นตันใจ

“ฟังนะ หญิงกินไม่ได้นอนไม่หลับตั้งแต่วันที่ไม่รู้ว่าลูกอยู่ที่ไหน เป็นตายร้ายดียังไง หญิงแค่อยากรู้ว่าลูกเป็นยังไง อยู่หรือตายเท่านั้นเอง “

แล้วจิตตาก็ร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร นายตำรวจมองจิตตาอย่างเข้าใจ
“ พี่ว่าน้องหญิงใจเย็นก่อนดีกว่านะ มันต้องมีทางพบตัวหลานสิ”

“บางทีถ้าหญิงรู้ว่าลูกตายแล้ว หญิงอาจจะมีความสุขมากกว่านี้ก็ได้นะคะ เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียงทั้งหลายที่หญิงมี มันไม่ได้ช่วยให้หญิงมีความสุขในชีวิตได้เลย” น้ำตาของคนเป็นแม่ยังคงไหลริน

จิตตาพาตัวเองไปพูดคุยอรชุนที่ต้นแก้วด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
พี่อรชุน หญิงเป็นห่วงลูก ไม่รู้ป่านนี้ลูกเราจะเป็นยังไงบ้างนะคะ”

“คุณหญิงขา..คุณเมษามาเยี่ยมค่ะ” สาวใช้ในบ้านเข้ามารายงานจิตตา เมษาเดินยิ้มร่าเข้ามา วันนี้เธอตั้งใจจะมาสืบเรื่องของจิตตาเช่นเคย

“ดิฉันแวะหาคุณหญิงที่บริษัทแต่เขาบอกว่าคุณหญิงลา เอ...คุณหญิงไม่สบายรึเปล่าคะ ดิฉันว่าคุณหญิงดูซูบๆไป”

“ร่างกายดิฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่ใจนี่สิ...ดิฉันกำลังมีเรื่องทุกข์ใจที่สุดในชีวิต “
จิตตาตอบด้วยสีหน้าหม่นหมอง เมษาเห็นแล้วรู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก เธอสะใจที่เห็นจิตตาทุกข์ แต่ก็แกล้งเล่นละครเป็นคนดี เข้าไปจับมือจิตตาให้กำลังใจ

“โถ...อะไรทำให้คุณหญิงไม่สบายใจอย่างนี้คะ....ถึงคุณหญิงจะไม่ให้ฉันทำงานด้วยแล้ว แต่เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ ดิฉันจะคอยดูแลคุณหญิงเอง”

เมษาพาจิตตาไปทำบุญที่วัดเพื่อให้สบายใจ จิตตาได้แต่อธิษฐานขอให้ได้พบหน้าลูกรักโดยเร็ว ขออย่าได้รับข่าวร้ายใดๆเลย .... เมษาลอบมองอย่างสะใจ

“อรชุนคะ มาดูสภาพนังชู้ของคุณหน่อยไหม เอ..หรือจะมารับมันไปอยู่ในนรกพร้อมคุณ
ก็ดีเหมือนกันนะ ตอนนี้เวรกรรมกำลังตามสนองมัน คุณดูสิคะ ดูสิ ช่างเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ “

เธอพูดกับอรชุนในใจ....วันนี้คงเป็นวันแรกในรอบยี่สิบกว่าปี ที่หล่อนอิ่มเอิบใจที่สุด เมษากระหยิ่มยิ้มย่องในใจ...การแก้แค้นของเธอดูจะไปได้สวยทีเดียว


ภานุกลับมาที่ธีรนัยอีกครั้งเพื่อฟังมติที่ประชุมถึงเรื่องการตัดสินคดีที่เขายักยอกเงิน ก่อนหน้านี้เขาโอนเงินคืนมาแล้วสิบสองล้านบาท ที่ประชุมจึงมีมติให้เขาทยอยจ่ายเงินที่เหลือภายในระยะเวลา1ปี และภานุไม่มีสิทธิ์ในการบริหารงานของธีรนัยอีกต่อไป
ภานุโกรธมาก เขาประกาศตัดญาติกับอัสนีทันที !

แล้ววันนั้น อัสนีก็เกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำระหว่างเดินทางไปสัมนาที่ต่างจังหวัด เมษาและจิตตารู้ทันทีว่าเป็นฝีมือของภานุ ที่ต้องการกำจัดอัสนีไปให้พ้นทาง แต่ตำรวจยังไม่มีหลักฐานใดๆโยงใยไปถึง ภานุจึงรอดพ้น

อุบัติเหตุในครั้งนี้อัสนีไม่ได้เป็นอะไรมาก เขาแค่ขาหักเท่านั้น อัสนีนึกขันที่เหล่าพยาบาลพากันพูดว่าเขารอดมาได้อย่างปาฏิหารย์

“ผมรถคว่ำเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่แล้วถึงกับตาบอด นี่ก็เพิ่งผ่าตัดมา ให้ผมโชคดีบ้างเถอะครับ” เขาบอกกับทุกคนเช่นนั้น

“ถ้างั้นคุณปวดตาหรือปวดหัวไหม ควรบอกให้ละเอียดนะครับ เพราะอาจกระทบกระเทือนถึงแผลผ่าตัด”

หมอสอบถามเพื่อความแน่ใจ อัสนีทำท่าจะตอบออกไปแต่แล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ....กระทบกระเทือนถึงแผลผ่าตัดงั้นเหรอ...จริงสินะ.....
“โอ๊ยๆ “

อัสนีร้องลั่นพร้อมกับกุมที่เบ้าตา สีหน้าเจ็บปวด หมอและพยาบาลเข้าไปดูอย่างตกใจ
“คุณเจ็บที่ไหนครับ”

“ทุกอย่างมืดไปหมด ผมมองไม่เห็น ช่วยผมด้วยครับหมอ ผมมองไม่เห็น !”
ทีมหมอและพยาบาลตกใจอย่างมากที่จู่ๆอัสนีเกิดมองอะไรไม่เห็นขึ้นมาอีกครั้ง หมอเจ้าของไข้ขอร้องให้อัสนีอยู่ที่โรงพยาบาลต่อเพื่อให้หมอเฉพาะทางมาตรวจเช็คอย่างละเอียด ซึ่งอัสนียินยอมแต่โดยดี

บัดนี้...อัสนีกลับไปเป็นคนตาบอดอีกครั้ง !!

ภานุกลับขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารธีรนัยอีก เนื่องจากเขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดรองจากอัสนี จิตตาไม่เห็นด้วยอย่างมาก แต่ก็มิอาจทำอะไรได้ ไม่มีใครรู้ว่าอัสนีแกล้งตาบอดเพื่อลองใจทุกคนที่อยู่รอบตัวเขา จะมีเพียงแต่จิตตาคนเดียวเท่านั้นที่อัสนียอมเล่าความจริงให้ฟัง

“ชีวิตผมในเวลานี้แย่ยิ่งกว่าตอนตาบอดเสียอีก ถูกลอบฆ่า ชีวิตคู่ก็มีเงื่อนงำ ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ผมคงอยู่ต่อไปไม่ได้” เขาให้เหตุผลกับจิตตาเช่นนั้น

“เธอจะอาศัยที่ตาบอด จับภานุหรือ”
“ผมยกทุกอย่างให้เขาไปแล้ว ถ้าเขายังไม่พอใจคิดจะทำอะไรผมอีก เราจะได้รู้กัน คุณหญิงต้องช่วยผม อย่าบอกใครนะครับ “

“จะให้ฉันช่วยปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับงั้นหรือ“
“คนเราบางครั้งก็แปลก ตอนที่ตามองเห็นกลับไม่เห็น แต่ตอนที่ตาไม่เห็นกลับได้เห็นทุกอย่าง หลายวันมานี้ โลกผมกว้างขึ้นเยอะ”

จริงอย่างที่อัสนีพูดทุกประการ หลายวันที่ผ่านมาที่เขาแกล้งมองไม่เห็น อาโปรับรู้ข่าวนี้ด้วยความตกใจ เจ้าหล่อนจำใจมาเฝ้าดูแลอัสนีตามหน้าที่ภรรยาที่ดี

“ทำใจให้สบายนะคะ คุณเคยหายมาแล้วครั้งหนึ่ง เดี๋ยวคุณก็หายอีก” อาโปปลอบใจเขาเช่นนั้น และดูเหมือนว่ากำลังปลอบใจตัวเองอยู่เช่นกัน

อัสนีดีใจมากที่อาโปไม่ทอดทิ้งเขายามที่เจ็บป่วยเช่นนี้ เขาแกล้งเรียกร้องความสนใจจากอาโปเกินกว่าเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหาร เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ กิจวัตรประจำวันทั้งหลายแหล่จำต้องมีอาโปอยู่เคียงข้าง เจ้าหล่อนอยากจะฆ่าเขาตายวันละหลายร้อยรอบด้วยความหงุดหงิดใจ

“อาโป การแต่งงานคือสัญญาชีวิตนะลูก สัญญาที่จะดูแลกัน ไม่ว่าจะยามสุขหรือยาม
ทุกข์….อัสนีรักลูกมากนะ ถ้าสลับเปลี่ยนกัน อาโปเป็นแบบนี้บ้าง แม่เชื่อว่าอัสนีจะไม่มีวันทิ้งลูก”

คำพูดปลอบโยนของจิตตาไม่ได้ช่วยให้อาโปคลาดความเครียดลงได้สักนิด เจ้าหล่อนโวยกลับอย่างอัดอั้นตันใจ

“อย่ามาทำเป็นสั่งสอนหนูนะ แม่ไม่มาเป็นอาโปบ้างล่ะ ป่านนี้เพื่อนๆมันคงนั่งหัวเราะ
เยาะอาโป ที่จู่ก็อาภัพมีสามีตาบอด ชีวิตอาโปมาเป็นแบบนี้เพราะนายอัสนีคนเดียว มันไม่ยุติธรรมสำหรับอาโป ได้ยินไหมคุณแม่ ! “

นอกจากจะเบื่อหน่ายอัสนีแล้ว อาโปยังกลัวการเสียหน้ามากกว่าอะไรทั้งหมด เธอโกรธมากที่จอนนี่โทรศัพท์มาหา

“ผมเห็นข่าวลงเรื่องนายอัสนีกลับมาตาบอด ก็เลยโทรมาให้กำลังใจคุณ”
“แก ... แกจะเยาะเย้ยฉันหรือ !” อาโปโกรธแทบเต้น แต่จอนนี่รีบปฏิเสธและบอกในสิ่งที่เขาต้องการทันที

“ผมอยากให้กำลังใจคุณ ชีวิตเหมือนวนไปที่จุดเริ่มต้นคุณว่าไหม คราวที่แล้วที่มันตาบอด
เราหนีไปมีความสุขกันสองคน ทำไมล่ะอาโป ทำไมเราจะทำแบบนั้นอีกไม่ได้”

จอนนี่คิดว่าคนอย่างอาโปจะต้องตกลงใจไปกับเขา แต่เขาก็ต้องผิดหวังอย่างมากเมื่อได้รับคำตอบจากอาโปว่า
“จะไปตายที่ไหนก็ไป ! อย่ามายุ่งกับฉันอีก ! “

เจ้าหล่อนวางหูใส่เขาก่อนจะเข้าไปถามผลการตรวจตาของอัสนี แล้วอาโปก็แทบล้มทั้งยืนเมื่อรู้ว่าอัสนีตาบอดอย่างถาวร !

“ผมมันโชคดียิ่งกว่าคนถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง จะมีใครเหมือนผม มีชีวิตเดียว แต่ตาบอดถึงสองครั้ง หมอบอกว่าตาผมรักษาไม่หาย ผมต้องตาบอดตลอดชีวิต ! ”

อัสนีร้องไห้คร่ำครวญ เขายื่นมือสะเปะสะปะไปขอกำลังใจจากเธอ
“อาโปคุณอยู่ไหน ผมหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว มาหาผมหน่อย มาอยู่ใกล้ๆผม มาบอกผมที ผมควรทำไงต่อไป อาโป อาโป”

อาโปหน้าซีด อัสนีตาบอดถาวรงั้นหรือ เจ้าหล่อนทนไม่ได้ที่จะต้องอยู่ดูแลสามีพิการไปตลอดชีวิต ยิ่งได้ฟังอัสนีคร่ำครวญถึงความโชคร้ายของตน อาโปก็สุดจะทน เธอกรี๊ดสนั่นออกมาหลังจากที่เงียบไปนาน

“ฉันทนไม่ไหวแล้ว คุณมันเห็นแก่ตัว ความโชคร้ายของคุณก็คือเรื่องของคุณ ฉันไม่เกี่ยว มันไม่ยุติธรรมที่จะเอาชีวิตของฉันมาทิ้งไว้แบบนี้”

“อาโป ทำไมพูดแบบนี้” อัสนีแกล้งตัดพ้อ

“ฉันคืออาโป สุรเยนทร์ ชีวิตฉันต้องสมบูรณ์แบบ ฉันไม่มีวันโชคร้าย ไม่มีวันจนตรอก ใครจะว่าฉันใจร้ายยังไงก็ช่าง ฉันรู้แต่คุณไม่มีสิทธิ์ทำกับฉันแบบนี้”

“นี่หมายความว่า...”
“ลาก่อน”

อาโปสะบัดหน้าเดินออกไปจากห้องอย่างไม่สนใจใยดีอัสนีอีกต่อไป อัสนีหน้าเศร้าไป ...ในที่สุดเขาก็รู้ชัดเจนแล้วว่าอาโปไม่ได้รักเขา แล้วคนที่รักเขาอยู่ที่ไหนกัน

อัสนีเบือนหน้าไปที่หน้าต่าง คิดถึงใครบางคน
“สายลมที่หวังดี คุณอยู่ไหน ช่วยพัดมาทางนี้ทีได้ไหม...”

ดูเหมือนว่าใครบางคนจะได้ยินคำขอของเขา และได้ดลบันดาลให้พระพายถือกระเป๋า เดินเข้ามาติดต่อที่เคาน์เตอร์ดูแลห้องพักผู้ป่วยพิเศษในวันรุ่งขึ้น
“ฉันเป็นพยาบาลพิเศษ คนไข้ห้อง 301 ค่ะ”

เมื่อชั่วโมงที่แล้ว พระพายมารับงานพิเศษแทนเพื่อนโดยไม่มีเวลาศึกษามาก่อนว่าคนไข้เป็นใคร

หัวหน้าพยาบาลส่งแฟ้มประวัติข้อมูลคนไข้แก่พระพาย เธอรับมาอย่างปกติและเปิดประตูเข้าห้องไปอย่างอารมณ์ดี ไม่รู้มาก่อนสักนิดว่าคนไข้พิเศษในห้องนี้คืออัสนี

“สวัสดีค่ะ ฉันเป็นพยาบาลพิเศษที่คุณติดต่อไป “
อัสนีที่นอนหันหลังให้ประตูได้ยินเสียงคุ้นๆจึงหันกลับมามองดู แล้วเขาก็ต้องใจเต้นแรงตาพราวด้วยความดีใจ
“ขอบคุณพระเจ้า !” อัสนีแทบจะตะโกนออกมา

พระพายเงยหน้ามองเห็นว่าคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงคืออัสนีก็มือไม้อ่อน ทำของร่วงทันที !
อุตส่าห์หนีกันไกลสุดฟ้า ทำไมหนอ...โชคชะตายังส่งเจ้าชายสายฟ้าฟาดกลับมาหาหล่อนอีก




 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 21 กรกฎาคม 2550 1:12:56 น.
Counter : 957 Pageviews.  

กลิ่นแก้วกลางใจ ตอนที่ 23 - 24


ก ลิ่ น แ ก้ ว ก ล า ง ใ จ


บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
กมลชนก ยวดยง เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์


ตอนที่ 23


อาโปที่บัดนี้อาการดีขึ้นมาก เอนหลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงคนไข้ แสงคอยดูแลเอาใจไม่ห่าง อาโปดีใจมากที่เห็นจิตตาและอัสนีกลับจากที่ทำงานมาเยี่ยมตน

“คุณแม่ ทำไมเพิ่งมาล่ะคะ” อาโปดูเวลา วันนี้มารดาหล่อนมาช้ากว่าทุกวัน
“เพิ่งประชุมเสร็จน่ะจ๊ะ”

“หนูไม่สบายขนาดนี้ ยังห่วงแต่งาน คุณอัสนีก็เพิ่งมาเหมือนกัน เฮ้อ ทำไมคนรอบตัวอาโปมีแต่คนบ้างานก็ไม่รู้“

เจ้าหล่อนบ่นกระปอดกระแปด ต้องการเรียกร้องความสนใจ แต่จิตตากลับไม่โอ๋เอาใจอะไรสักนิด กลับตอบลูกอย่างจริงจัง

“ในเมื่อรู้อย่างนั้นทำไมหนูไม่เอาอย่างแม่ล่ะจ๊ะ ทำไมไม่ทำงานหนัก ไม่ใจเย็นให้เหมือน
แม่ หนูรู้ไหม ว่าหนูไม่มีอะไรเหมือนแม่สักอย่างเดียว…ไม่มีเลย”

“คุณแม่ ! นี่คุณแม่พูดอะไรออกมา หนูเป็นลูกของคุณแม่นะคะถ้าหนูไม่เหมือนคุณแม่แล้วหนูจะเหมือนใคร !”

จิตตาถูกอาโปโวยกลับก็ถึงกับอึ้งไป ....อาโปมองแม่อย่างหงุดหงิดใจ มารดาหล่อนเป็นอะไร ทำไมถึงพูดจากแปลกๆเช่นนี้

“ว่าไงคะคุณแม่ คุณแม่พูดแบบนั้นทำไม พักหลังหนูทำอะไร ก็ผิดไปหมดในสายตาของคุณแม่ คุณแม่ไม่เห็นหนูเป็นลูกแล้วหรือคะ”

คำพูดของอาโปบาดใจจนจิตตาคิดได้ เธอไม่น่าพูดกับเด็กสาวที่ครั้งหนึ่งเธอเคยรักเหมือนลูกเช่นนั้น...เจ้าหล่อนไม่ได้ทำผิดอะไร
“แม่ขอโทษ”

จิตตาเดินออกไปจากห้องเพื่อระงับสติอารมณ์ อาโปหน้างอไม่พอใจขึ้นมาทันที
“คุณแม่นะคุณแม่ ฮึ”

อัสนีรีบรินน้ำส้มที่เขาซื้อมาไปให้อาโปอย่างเอาอกเอาใจ หวังให้ที่รักของเขาอารมณ์ดีขึ้น
“ทานน้ำส้มก่อนนะจ๊ะ”

อาโปปัดแก้วน้ำออกอย่างหงุดหงิดใจ
“น่าเบื่อ ทุกอย่างน่าเบื่อไปหมด อาโปเบื่อได้ยินไหมคะคุณอัสนี”

“ได้ยินแล้วจ๊ะ แล้วคุณต้องการอะไรล่ะ” เขาถามเธอด้วยเสียงหวานอย่างเอาใจ อาโป
ครุ่นคิด

“อาโปอยากกลับบ้านค่ะ”
“แต่ผมว่า...”
“อย่าทำให้อาโปหงุดหงิดเหมือนคุณแม่ได้ไหมคะ “

เจอไม้นี้เข้า อัสนีเงียบสนิท เด็กที่เติบโตมากับพ่อที่บ้างานอย่างเขาเข้าใจความรู้สึกของอาโปดี เธอคงจะเหงาและเบื่อที่ต้องนั่งๆนอนๆอยู่ในโรงพยาบาลแบบนี้

เขาจัดการพาเธอกลับมาพักผ่อนที่สุรเยนทร์ โดยเปลี่ยนให้หมอเดินทางมาตรวจแผลเธอที่บ้านแห่งนี้แทน อาโปมองอัสนีที่ประคับประคองเธอมาพักผ่อนบนห้องอย่างพอใจ เธอชื่นชอบทุกคนที่เอาใจใส่เธอ

“คุณแม่เริ่มน่าเบื่อ หรือว่าอาโปจะย้ายไปอยู่บ้านคุณดี” อาโปแกล้งถามเขาเพื่อลองใจ
“บ้านผมก็เหมือนบ้านคุณ จะอยู่ที่ไหนก็ตามใจ จะอยู่มันทั้งสองบ้านก็ได้ทั้งนั้น”

อัสนีไม่เคยเรื่องมากกับอาโปสักครั้ง เธอยิ้มพอใจ และค่อยๆเอนศีรษะซบกับไหล่กว้างของ
เขา อัสนีปลื้มใจที่อาโปยอมอยู่ใกล้ๆเขาอย่างนี้

“คุณนี่ดีกับอาโปจัง ตอนคุณเพิ่งหายใหม่ๆ คุณบอกว่าเราเคยใกล้ชิดกัน เราใกล้ชิดกัน
ขนาดไหนคะ”

“ถามออกมาได้ คุณทำอะไรลงไป คุณไม่รู้หรือไง” อัสนีเขินแทนเมื่อคิดถึงความรักหวาน
ชื่นบนเกาะ อาโปหันมองอัสนีอย่างนึกขัน

“ความจริงคุณก็น่ารักดีเหมือนกันนะ อาโปชักชอบคุณแล้วสิ”
เธอหอมแก้มอัสนีฟอดใหญ่

“วันนี้อาโปไม่มีความสุขเลย คุณช่วยเติมเต็มวันแย่ๆของอาโปหน่อยสิคะ”

ลมหายใจอุ่นๆของอาโปที่ปะทะตรงแก้มเขา ไม่ได้ทำให้อารมณ์ของอัสนีกระเจิดกระเจิงตามสักนิด เขานิ่วหน้าแปลกใจกับท่าทีของอาโป...อาโปที่เขารู้จักขี้อายมากกว่านี้มากนี่นา

อาโปเห็นอัสนีนิ่งไปก็แปลกใจ
“ทำไมคะ”

“เปล่า เพียงแต่ถ้าเป็นเมื่อก่อน คุณจะดู เอ้อ ช่างเถอะ …”

อาโปเลื่อนตัวมากอดอัสนีอย่างออดอ้อน เขากอดเธอตอบ แต่แล้วก็ต้องตัวแข็งไปเหมือนอ้อมกอดของอาโปไม่ใช่อ้อมกอดที่เขาคุ้นเคยเมื่อครั้งอยู่บนเกาะ อัสนีเริ่มแปลกใจ อ้อมกอดของคนเราจะเปลี่ยนไปได้อย่างไร...

“คุณอัสนีทำไมตัวแข็งทื่ออย่างนั้นล่ะคะ”
เสียงของอาโปทำให้เขารู้สึกตัว อัสนีตัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป นานมากแล้วที่เขาไม่ได้กอดเธอ บางที เขาอาจจะจำความรู้สึกผิดไปก็ได้

“ขอโทษจ๊ะ”
อัสนีก้มลงจูบที่หน้าผากอาโป ก่อนจะค่อยๆกดตัวเธอลงสัมผัสที่นอนนุ่มอย่างแผ่วเบา อัสนีหลับตาใช้มือจับไล้ที่หน้าอาโป อาโปมองอาการของอัสนีอย่างแปลกใจ

“เดี๋ยวๆ คุณทำอะไรของคุณ”
อัสนีชะงัก “ผมเคยทำแบบนี้ คุณจำไม่ได้หรือ”

อาโปกลัวอัสนีสงสัย รีบเออออ
“อ๋อๆ ค่ะจำได้แล้ว”

อาโปยินยอมให้อัสนีสัมผัสใบหน้าเธอแต่โดยดี อัสนีหลับตา เริ่มไล้ใบหน้าของอาโปอีกครั้ง หน้าผาก...คิ้ว...ตา...และปาก

นาทีนั้น ใจของอัสนีกระตุกวูบ !
อัสนีลืมตา และลุกขึ้น ถอยห่างจากอาโปทันที ประสาทสัมผัสบอกเขาว่าอาโปหน้าตาไม่เหมือนกับอาโปที่เขาเคยสัมผัสบนเกาะสักนิด แต่...มันจะเป็นไปได้อย่างไร

อาโปมองท่าทางตื่นตระหนกของอัสนีอย่างไม่เข้าใจ
“เป็นอะไรไปคะ”

อัสนีหันมองหน้าอาโปอย่างพินิจ เธอคนนี้คือผู้หญิงที่อยู่ที่บ้านกลิ่นแก้วจริงหรือ
“คุณคิดอะไรอยู่ ทำไมมองฉันอย่างนั้น”

อัสนีหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้จึงสลัดความคิดต่างๆทิ้งไป เขาลุกจากเตียง
“ผมว่าวันนี้ไม่เหมาะ แผลคุณเพิ่งหาย เอาไว้วันหลังดีกว่านะ”

“อะไรนะคะ” อาโปแปลกใจกับท่าทางของอัสนีเป็นอย่างมาก เขาก้มลงหอมแก้มหล่อนก่อนจะเดินออกไป

“นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์นะครับ”

อัสนีออกไปเดินเล่นที่สวนหน้าบ้านสุรเยนทร์ ครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ อัสนีไม่เข้าใจ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน...อัสนีเดินคิดไปเรื่อยจนมาพบกับพระพายที่ออกมาเดินเล่นชมดาวเพียงลำพัง เขาตกใจเล็กน้อยที่ได้เจอเธอ

“ตกใจหมด มืดๆแบบนี้ นึกว่าโดนผีเจ้าที่เสียแล้ว”
พระพายขำ “คุณยังกลัวผีเหมือนเดิม”

“ใช่ …” อัสนีตอบเสร็จก็นึกได้ เขามองเธออย่างแปลกใจ “เอ๊ะ คุณรู้ได้ยังไงว่าผมกลัวผี”
พระพายหน้าซีด คิดหาทางแก้ตัวทันที

“เอ้อ ใครๆก็กลัวทั้งนั้น ฉันก็กลัว”
“ก็จริงนะ”

อัสนีไม่ติดใจอะไร เขาแหงนหน้ามองดาวบนฟ้า
“เฮ้อ ฟ้ามืดแบบนี้ คิดถึงทะเลจัง “

“คุณอยู่ที่นี่ มีงาน มีครอบครัว น่าจะอบอุ่นกว่าที่ทะเลนะคะ”

“ฉันมีชีวิตที่ดีที่สุดที่นั่น มีความสุขและความทรงจำที่ดีที่สุดที่นั่น”

อัสนีเล่าด้วยแววตารำลึก พระพายแอบดีใจ แท้จริงอัสนีไม่ได้ลืมเธออย่างที่เขาเคยพูด อัสนีหันมองเห็นพระพายยิ้มก็แกล้งแซว

“ยิ้มทำไม ยังไม่เลิกคิดกับฉันแบบนั้นอีกหรือ ถ้าเธอไม่ควบคุมใจตัวเอง ฉันจะไม่คุยกับเธออีกแล้ว”

พระพายชักจะหมั่นไส้ สวนกลับ
“คิดอะไร คุณคิดเองเออเองทั้งนั้น …เชอะ หล่อตาย”
ประโยคหลังแม้จะเสียงต่ำ แต่อัสนีก็ยังมิวายได้ยิน

“แล้วเธอล่ะ สวยตาย”
พระพายชักโกรธ เม้มปาก อยากจะต่อว่าอัสนีเหลือคณา

“ดูสิ ยิ่งโกรธ คางยิ่งยาว แก่ๆหน้าจะเหมือนแม่มดนะนี่”
อัสนีหัวเราะ รู้สึกคุ้นเคยที่จะต่อล้อต่อเถียงกับพระพาย เธองงที่จู่ๆเขาก็อารมณ์ดีขึ้นมา

“ค่อยอารมณ์ดีขึ้นหน่อย กลับบ้านดีกว่า”
พูดจบเขาก็เดินยิ้มจากไป พระพายแปลกใจ ไหนใครบอกว่าอัสนีจะค้างกับอาโป

“เอ้าแล้วคุณ… ไม่ค้างที่นี่หรือคะ”
อัสนีเดินไปแล้วไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น พระพายแอบยิ้มดีใจที่อัสนีไม่ค้างกับอาโป

วันรุ่งขึ้น งานเอกสารต่างๆที่กองอยู่ตรงหน้า รวมถึงแผนประชุมที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้อยู่ในสายตาของอัสนีสักนิด เมื่อคืนเขากลับไปครุ่นคิดเรื่องอาโปทั้งคืน แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ อัสนีเก็บความสงสัยนั้นมาคิดต่อจนไม่เป็นอันทำการทำงาน

ผู้หญิงคนเดียวกัน จะไม่เหมือนกันได้ยังไง??

ไม่มีเหตุผลอื่นใด ที่ทำให้เขาเชื่อได้ว่า อาโปไม่ใช่คนที่เคยอยู่กับเขา อัสนีละสายตาไปที่คอมพิวเตอร์เห็นว่าพระพายกำลังออนไลน์โปรแกรมคุยผ่านอินเตอร์เน็ต อัสนียิ้ม เขาเขียนข้อความชวนเธอไปเดินเล่นที่สวนพักผ่อนด้านล่าง

“เธอว่าคนเราควรเชื่อในสิ่งที่เรารู้สึก หรือสิ่งที่เรามองเห็น มากกว่ากัน “
พระพายยังงงกับคำถามของเขา อัสนีใจร้อน ถามซ้ำ

“ว่ายังไงล่ะ “
“คุณไม่สบายใจเรื่องอะไรคะ”

อัสนีหน้ายุ่ง พยายามอธิบายแบบอ้อมๆ เพราะไม่รู้จะบอกพระพายอย่างไร

“ถ้าฉันจะบอกว่า ตอนนี้...ฉันรู้สึกสับสนล่ะ เหมือนกับว่า สิ่งที่ฉันเห็นมันไม่เหมือนกับสิ่งที่รู้สึก เหมือนไม่แน่ใจ ใช่...ฉันไม่แน่ใจเลย”

พระพายปะติดปะต่อเรื่องไม่ถูก แต่เดาว่า อัสนีคงเริ่มมีปัญหากับอาโป
“ส่วนใหญ่...ความไม่แน่ใจเกิดขึ้น เพราะขาดความเชื่อมั่นและไว้ใจ คู่รักหลายคู่เลิกร้างกันเพราะสิ่งเหล่านี้ “

อัสนีมองหน้าเธออย่างแปลกใจ
“เธอรู้หรือว่าฉันจะถามอะไร”

นั่นไง... เธอรู้ทันทีว่าเขากับอาโปอาจจะมีเรื่องไม่เข้าใจกัน พระพายจำใจเป็นศิราณีให้เขาทั้งที่ใจเจ็บปวด

“ความรักทำให้คนตาบอด แต่เพราะเราตาบอด เราจึงรักษาความรักไว้ได้”
“หมายความว่ายังไง”

“เวลาเราอยู่กับใครสักคนนานๆ เราคงต้องเห็นข้อเสียของเขา ถ้าเราไม่แกล้งตาบอดกับข้อเสียเหล่านั้น เราจะรักเขาต่อไปได้ยังไง”

“หมายความว่าฉันควรเลิกคิดเล็กคิดน้อยแล้วเดินหน้าต่อไปงั้นหรือ”

พระพายพยักหน้าแทนคำตอบ อัสนีไม่ได้สังเกตถึงแววตาเศร้าสร้อยของเธอแม้แต่น้อย เขามัวแต่ครุ่นคิดตามที่เธอพูด

“ก็จริงนะ วันนี้ฉันทำงานไม่ได้เลยก็เพราะคิดมากนี่ล่ะ “ เขาหันมายิ้มให้ “ เธอฉลาดนะนี่”

พระพายยิ้มตอบ อัสนีเข้ามาใกล้ชิดเธอ ค่อยๆก้มหน้าลงมาใกล้...พระพายใจเต้นแรงที่ได้อยู่ใกล้เขาอีกครั้ง
“เอ้อ อะไรคะ”

อัสนีจ้องไปที่จมูกและคางของเธอ
“อืม เธอฉลาดเพราะอย่างนี้นี่เอง ปากกับจมูกมันยื่นออกมาแล้วน่ะ เธอมัน…ยัยแม่มด...จริงๆด้วย ! “

แล้วเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะร่า พระพายอดใจไม่ไหว ยกมือขึ้นตีอัสนีป้าบหนึ่ง ด้วยความหมั่นไส้
“นี่แน่ะ ว่าฉันหรือ ! “

อัสนียิ้มสดใส เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงมีความสุขทุกครั้งที่ได้แหย่พระพาย
“ขอบใจนะ เธอทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น ไม่รู้ทำไม ฉันรู้สึกเหมือนเรารู้จักกันมานานแล้ว “

เขามองเธออย่างลึกซึ้ง เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นขัดจังหวะ ไม่ให้อัสนีคิดอะไรไปมากกว่านั้น เขารีบรับโทรศัพท์จากอาโปอย่างยินดี พระพายมองตามอัสนีแล้วต้องถอนใจ ในที่สุดอัสนีก็กลับไปคืนดีกับอาโป

“เฮ้อ ฉันมันบ้าหรือโง่กันแน่นะ จะช่วยเขาทำไมกัน”
พระพายหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้เหมือนกัน คงเพราะคำว่า”รัก” คำเดียวสั้นๆคำนั้นกระมัง !!







ก ลิ่ น แ ก้ ว ก ล า ง ใ จ


บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
กมลชนก ยวดยง เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์


ตอนที่ 24


ปัญหาเรื่องหัวใจของอัสนีหมดไปไม่เท่าไหร่ เขาก็ต้องพบกับปัญหาเรื่องภานุอีกครั้ง คราวที่แล้วโชคเข้าข้างภานุเมื่อลูกน้องที่เขาจ้างวานไปเก็บอัสนีสามารถหนีรอดพ้นการจับกุมไปได้ ไม่มีหลักฐานใดๆสืบมาถึงตัวเขา

แต่ครั้งนี้ ภานุกลับทำพลาด...พลาดด้วยความโลภของเขาเอง...
อัสนีพบหลักฐานว่าภานุยักยอกเงินบริษัทไปเกือบสามสิบล้าน !! เขายื่นคำขาดให้ภานุนำเงินมาคืนภายในสามสิบวัน มิเช่นนั้นเขาจะดำเนินคดีตามกฏหมาย

อัสนีกลับบ้านด้วยหัวใจที่เหนื่อยล้า เขาไม่คิดเลยว่าคนที่เขาไว้ใจมากที่สุด จะทำกับเขาเช่นนี้ เวลานี้เขาต้องการใครสักคนปลอบประโลมเขา แล้วเขาก็นึกถึงอาโป อัสนีขับรถไปหาเธอทันที

“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”
“คุยมาได้เลยค่ะ อาโปกำลังยุ่ง…ที่จริงงานเลี้ยงคืนนี้คุณควรไปกับอาโปนะ เปลี่ยนใจยัง
ทัน ”

อาโปไม่สนใจดวงหน้าที่เศร้าสร้อย เสียงที่หม่นหมองของอัสนีแม้แต่น้อย
อาโปกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัวไปงานเลี้ยงรุ่นนักเรียนเก่าอังกฤษ

อัสนีถอนใจ ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมา อาโปก็กลับเข้าสู่แวดวงคนชั้นสูง เธอสนุกสนานกับการเป็นคนเด่นคนดังที่มีแต่คนมาสนอกสนใจ เธอไม่สนใจเขาเหมือนเคย

“อาโป ผมรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก” เขาตัดสินใจบอกเธอไปเช่นนั้น
“หมายความว่าไง” หญิงสาวงงว่าเขาพูดเรื่องอะไร

“เขาเป็นญาติคนเดียวของผม เขาทรยศผม ผมรู้สึกแย่ แย่มากๆมันอธิบายไม่ถูก”
อาโปแค่นยิ้ม

“ฉันเข้าใจนะ”
“คุณเข้าใจหรือ” อัสนีหัวใจพองโต ในที่สุดผู้หญิงคนนี้ก็เข้าใจเขา

“อื้อ เพราะวันนี้คุณทิ้งให้อาโปไปงานเลี้ยงคนเดียว เลือกซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับคนเดียว
อาโปก็เหมือนอยู่คนเดียวในโลกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคุณก็สมควรโดนบ้าง ถูกต้องแล้วล่ะ”

อัสนีนิ่งอึ้งไปทันที ทำไมภรรยาของเขาพูดเอาประโยชน์เข้าตนแบบนี้ แต่อัสนีก็ยังเข้าไปง้องอนเธออีกครั้ง

“อาโป ผมอยากคุยกับคุณจริงๆนะ เรื่องแบบนี้ คุณก็รู้ ผมพูดกับคนอื่นไม่ได้….
คุณเป็นคนใกล้ชิดคนเดียวที่ผมเหลืออยู่”

อาโปแสนจะหงุดหงิดที่อัสนีเซ้าซี้ตนไม่เลิกสักที เธอดันตัวอัสนีออกไปจากห้อง

“ก็บอกแล้วไงว่าวันนี้อาโปยุ่งมาก ในเมื่อคุณไม่เห็นว่าเรื่องของอาโปสำคัญ แล้วทำไมอาโปต้องเห็นเรื่องของคุณสำคัญด้วย ไปไป๊ ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาคุยกัน”
อาโปปิดประตูใส่หน้าเขา!

อัสนีคอตกผิดหวังอย่างมาก...ทำไมภรรยาเขาถึงทำกับเขาเช่นนี้ อาโปคนเดิมที่แสนดี คนที่เคยให้กำลังใจ เคยปลอบประโลมใจเขาหายไปไหน


อัสนีกลับมาที่บริษัทอีกครั้งอย่างคนไม่มีที่ไป เขาเห็นพระพายยังทำงานอยู่จึงชวนเธอออกไปทานข้าวเย็นกับเขา พระพายคิดหนักว่าเหมาะสมหรือไม่ แต่พอเห็นสีหน้าอันหม่นหมองของเขา เธอก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้

อัสนีพาเธอไปยังร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งที่ตกแต่งอย่างมีสไตล์ เมื่ออัสนีเดินเข้าไป เจ้าหน้าที่ของร้านก็นำป้าย “closed” มาติดไว้ที่ประตูด้านหน้าทันที

“คืนนี้ฉันเหนื่อย…อยากฟังเพลงเงียบๆ นี่โรงแรมเพื่อนฉันเอง คืนวันนี้เป็นวันธรรมดา
แขกไม่มี เขาก็เลยยกห้องนี้ให้ฉัน”

“ปิดร้านอาหารให้ตัวเองคนเดียว ว้าว… นี่ล่ะคนรวย”
น้ำเสียงตื่นเต้นของพระพายทำให้เขาอดที่จะยิ้มขันออกมาไม่ได้
“ฉันไม่ได้ทำแบบนี้บ่อยๆหรอก เฉพาะในวันที่แย่จริงๆเท่านั้น”

บริกรพาอัสนีและพระพายไปนั่งที่โต๊ะอาหารมุมหนึ่งที่ค่อนข้างมิดชิดเป็นส่วนตัว ที่บริเวณใกล้ๆ นักดนตรีกำลังบรรเลงเพลงหวานซึ้ง พระพายยิ้มให้กับบรรยากาศสวยงามรอบตัว แต่สีหน้าและท่าทางของอัสนียังเหมือนคนหมดแรง

“คุณมีเรื่องอะไรหรือคะ”
อัสนีถอนใจ พระพายเป็นแค่พนักงานทั่วไป คงไม่เหมาะที่เขาจะเล่าเรื่องคนในครอบครัวให้เธอฟัง

“ถ้าเล่าได้ …ฉันคงเล่าไปแล้ว”
“ค่ะ” พระพายพยักหน้าเข้าใจ

อัสนีทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน
“ตอนนี้ฉันรู้สึกโดดเดี่ยว คนรอบตัวทำให้ฉันหวาดระแวง ฉันเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางคนที่พร้อมจะหลอกลวงและทรยศ เธอคงไม่ได้เป็นพวกเดียวกับคนเหล่านั้นใช่ไหม”

พระพายก้มหน้าหลบสายตาของเขาทันที....ความจริงตนก็เป็นคนหลอกลวงอัสนีคนหนึ่ง
“เอ้อ ก็ ก็…เปล่าค่ะ”

เธอตอบเขาไม่ได้เต็มปากเต็มคำเท่าใดนัก
“ทุกคนรอบตัวพร้อมจะปิดบังและมีความลับกับฉัน ตอนนี้ฉันไม่รู้แล้วว่าอะไรจริงอะไรหลอก ทุกอย่างสับสนไปหมด “

อัสนีถอนใจ เขาหลับตานิ่งเพื่อฟังเพลง...เสียงเปียโนบรรเลงเพลงจังหวะช้าๆแสนเศร้าสร้อย พระพายเห็นว่าอัสนียิ่งฟังเพลงแบบนี้น่าจะยิ่งแย่ เธอจึงเดินเข้าไปหานักดนตรี

“คุณคะ เปียโนก็สร้างความสนุกสนานได้ใช่ไหมคะ โชว์ฝีมือให้เราดูหน่อยสิคะ”

คนเล่นเปียโนพยักหน้าเข้าใจ เขาเปลี่ยนมาบรรเลงเพลงจังหวะสนุกสนาน พระพายยิ้มออก เธอเริ่มขยับแขนขาเต้นสนุกสนานไปตามเพลง อัสนีลืมตามองเสียงดนตรีที่เปลี่ยนไปอย่างแปลกใจ แล้วเขาก็ต้องแปลกใจยิ่งกว่าที่เห็นพระพายกำลังเต้นอย่างสนุกสนาน


“เธอนี่มีลูกบ้าแบบนี้ด้วยหรือ “
พระพายเข้ามาดึงอัสนีให้ลุกขึ้นไปเต้นด้วยกัน
“มาเร็วค่ะ ลุกขึ้นเต้นกัน โว้วๆ”

อัสนีส่ายหน้า พระพายแกล้งเต้นท่าทางประหลาดๆจนอัสนีอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาเริ่มขยับแขนขยับขาตามพระพาย และในที่สุดทั้งสองก็เต้นรำกันอย่างสนุกสนาน อัสนีหัวเราะออกมาอย่างสุขใจ

“คุณหัวเราะออกแล้ว” พระพายดีใจที่ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างแจ่มใสของเขาอีกครั้ง
“ขอบใจจริงๆนะ”

พระพายยิ้มให้ “ผู้คนรอบตัวเราอาจโกหก แต่ดนตรีและสายลม จริงใจเสมอ”
อัสนีสะดุดใจกับพูดของพระพาย

“สายลม…ชื่อของเธอ…ส่วนชื่อของฉันคือสายฟ้า น่าแปลกนะ”
“แปลกตรงไหนคะ”

“ใครๆนึกว่าสายฟ้าเกิดจากเมฆ เมฆมาปะทะกันน่ะ แต่จริงๆแล้ว สิ่งที่ทำให้เมฆปะทะกันก็คือสายลม สายลมต่างหากที่อยู่เบื้องหลัง และคงเป็นสายลมที่หวังดีด้วย”

อัสนีพูดขำๆ แต่พระพายเศร้าไปเมื่อคิดถึงความรักของตนที่ดูเหมือนเป็นบุคคลไร้ตัวตนสำหรับอัสนี

“สายลมอยู่เบื้องหลัง คอยหวังดีกับคนอื่น สายลมไม่สามารถปรากฎกายให้เห็น ได้แต่พัดผ่านมาแล้วผ่านเลยไป”

อัสนีมองตาของพระพายอย่างพยายามค้นหาสิ่งที่เธอซ่อนเร้นอยู่ภายใน ดนตรีเปลี่ยนกลับมาเป็นเพลงจังหวะหวานซึ้งอีกครั้ง อัสนีโอบกอดพระพายเต้นรำช้าๆ แต่แล้วไฟในร้านก็ดับ
พรึ่บลง คงเหลือแต่แสงเทียน ซึ่งทำให้บรรยากาศโรแมนติกมากขึ้นไปอีก

นักดนตรีตกใจ หยุดบรรเลงเพลง
“ไฟดับ…ต้องขอโทษด้วยนะครับ เดี๋ยวผมไปดูก่อน” นักดนตรีออกไปอย่างรวดเร็ว

อัสนียิ้มให้กับบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกรอบๆตัว
“ ดูสิสวยจังเลย”

พระพายไม่ชอบใจบรรยากาศแบบนี้นัก เธอกลัวความมืด ...ซึ่งอัสนีสังเกตได้
“กลัวหรือ ฉันเคยอยู่ในความมืดมานาน ความมืดน่ะไม่น่ากลัวหรอก”
“จริงสิ คุณเคยตาบอด”

อัสนียิ้ม เขาคิดจะหาวิธีที่จะทำให้เธอคลายความกลัว
“นี่ฉันจะเล่นอะไรให้ดู เวลาที่อยู่ในความมืด ฉันรู้จักทุกอย่างด้วยการสัมผัส เช่นการจะรู้จักใครสักคน ฉันก็จะทำแบบนี้....”

อัสนีหลับตา เขาค่อยๆเอื้อมมือไปสัมผัสหน้าพระพาย ไล่ลงมาเรื่อยๆ เธอเองก็มิได้ขัดขืนเพราะไม่คิดอะไร แต่แล้วอัสนีก็ชะงักมือ เขาผละออกจากพระพายอย่างตกใจ
“นี่เธอ ! “

ไฟทั้งห้องสว่างขึ้นพร้อมกับความตกใจของอัสนี …เหมือนความทรงจำที่สว่างวาบขึ้นของอัสนี ! ใบหน้าของพระพายเหมือนกับอาโปที่อยู่บนเกาะกับเขาไม่มีผิด !

“คุณอัสนี มีอะไรหรือคะ”

พระพายมองทีท่าอันแปลกไปของอัสนีอย่างแปลกใจ แล้วเธอก็ใจหายวาบเมื่อนึกได้ว่าอัสนีเคยทำเช่นนี้กับตน เธอพยายามจะอธิบาย
“เอ้อคือว่า…”

อัสนียกมือขึ้นให้พระพายหยุดพูด เขาไม่อยากฟังอะไรอีกแล้ว ชีวิตเขาตอนนี้ดูสับสนไปหมด
“กลับกันเถอะ ! “


อัสนีวางเงินและหมุนตัวกลับออกไปอย่างรวดเร็ว เขาขับรถไปส่งเธอที่บ้านอาโปด้วยสีหน้าตึงเครียด ไม่ปริปากพูดจาอะไรทั้งสิ้น พระพายมองอาการของอัสนีอย่างกลุ้มใจ ยิ่งเขาเงียบ เธอก็ยิ่งเครียดเพราะไม่รู้ว่าอัสนีคิดอะไร....พระพายได้แต่ภาวนาให้เขาปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้ และลืมสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้

อัสนีมองพระพายเข้าบ้านไปอย่างครุ่นคิด เป็นไปได้อย่างไรที่ผู้หญิงคนนี้จะเป็นคนที่เขาเคยใกล้ชิด แล้วอาโปตัวจริงคือใครกันแน่...ยิ่งคิด อัสนีก็ยิ่งสับสน ชีวิตเขาตอนนี้เหมือนมีฝุ่นควันลอยวนเวียนปกคลุมจนเขามองไม่เห็น ไม่ว่าเขาจะปัดออกเท่าไหร่ก็ไม่พบความจริง… อัสนีกลุ้มใจ ...เขาควรทำอย่างไรต่อไปดี???


ข่าวของผู้ช่วยเลขาฯสาวไปดินเนอร์สองต่อสองกับเจ้าของบริษัท ณ โรงแรมสุดหรูกระจายไปทั่วบริษัท พระพายประหลาดใจอย่างมากกับทีท่าที่เปลี่ยนไปของวิไล หล่อนจัดโต๊ะทำงานให้เธอใหม่

“นี่ค่ะ พี่จัดโต๊ะให้ใหม่แล้ว เก้าอี้เบิกมาใหม่เอี่ยมเลยเห็นไหมคะ”
วิไลลงทุนพูดคะ ขา เพื่อประจบเอาใจพระพายในฐานะกิ๊กคนใหม่ของบอส

เพื่อนเลขาฯอีกคนหนึ่ง ถือถาดน้ำส้มและขนมว่างมาให้
“เมื่อก่อนน้องเสริฟกาแฟให้พี่ พี่เสริฟน้ำส้มให้น้อง พร้อมของว่างด้วยค่ะ”

พระพายงงกับทีท่าประหลาดๆของคนเหล่านี้
“นี่อะไรกันคะ”

วิไลยิ้มหวาน
“ได้ดีแล้วอย่าลืมพี่นะคะ บอกคุณอัสนีของน้องด้วยว่าพี่สองคนผิดไปแล้ว อย่าไล่เราออกเลยค่ะ....คน “รวยเลือกได้” อย่างคุณอัสนีเนี่ย จะเลือกมีกิ๊กกี่คนก็ไม่แปลกหรอกค่ะ น้องพระพายเองก็แสนดี มีน้ำใจ ใครจะอดใจไหว…จริงไหม”

“ใช่ค่ะ …ขอย้ำอีกครั้ง … ได้ดีแล้วอย่าลืมเราสองคนนะคะ”
พระพายอยากจะพูดปฏิเสธ แต่เสียงอาโปดังแทรกขึ้นเสียก่อน

“ทำอะไรกันน่ะ !”
“คุณอาโป “

ทุกคนหันมองอาโปอย่างตกใจ กลัวอาโปจะได้ยิน รีบแยกย้ายกันไปทำงาน มีเพียงวิไลที่
เข้าไปประจบประแจงเอาใจ แต่แล้วอาโปก็ได้รู้เรื่องราวของพระพายกับอัสนี จากการคาดคั้นวิไล
อัสนีชวนพระพายออกไปทานข้าวเย็นอย่างนั้นหรือ ….

อาโปนั่งนิ่ง แต่หัวใจเต็มไปด้วยความเคียดแค้น เจ็บใจที่อัสนีทำกับตนได้ลง….
คนที่ทำให้อาโป สุรเยนทร์ เจ็บได้ ถ้าไม่สวยมากก็ต้องรวยมาก แต่ต้องไม่ใช่นังคนใช้นั่น

หล่อนครุ่นคิด....จะจัดการกับพระพายอย่างไรดี !!!

วันต่อมา
“มีอะไรจะให้พระพายรับใช้คะคุณหนู”
พระพายที่ถูกเรียกตัวให้ขึ้นไปพบอาโปบนห้อง เดินเข้าไปหาอาโปที่นั่งอยู่หน้ากระจก อาโปหันไป

ยิ้มหวานหยดให้พระพาย
“ฉันกำลังลองเครื่องสำอางค์ที่ซื้อมาใหม่ เธอมานั่งนี่สิ ฉันจะให้ดู”

นมแสงช่วยดึงพระพายมานั่งหน้ากระจก ในขณะที่อาโปเปลี่ยนไปยืนข้างๆ
“เครื่องสำอางค์พวกนี้ ราคาคงแพงกว่าเงินเดือนเธอซะอีก”

“นั่นสิคะ คุณหนูลองไปเถอะนะคะ พระพายไปคั้นน้ำส้มให้ดีกว่า”

พระพายจะลุกขึ้น อาโปกดไหล่พระพายลงไปนั่งอย่างเดิม พระพายชักสังหรณ์ใจในท่าทีที่แปลกไปของอาโป แต่ยังไม่กล้าทำอะไร

“เธอกับฉัน เราสองคนเหมือนมีชีวิตคู่ขนาน ฉันมีแม่แสนดีแต่เธอกำพร้า ฉันรวยแต่เธอจน ฉันมีคุณอัสนี ในขณะที่เธอไม่มีใคร…นี่ลองใช้รองพื้นตัวนี้ดูนะ ฉันจะแต่งให้ดู”

“คุณหนูคะ ไม่ต้องหรอกค่ะ” พระพายจะลุกขึ้นแต่ก็ถูกแสงจับไว้
“อื้อ เฉยเถอะน่ะ”

อาโปบรรจงเกลี่ยรองพื้นที่บนใบหน้าพระพายอย่างใจเย็น พระพายรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติ เธอไม่เข้าใจสักนิดว่าอาโปกำลังจะทำอะไร

อาโปรองพื้นที่หน้าของพระพายจนเสร็จ มองผลงานตัวเองอย่างพอใจ
“สวยเนียนดีว่าไหม” เจ้าหล่อนส่งรองพื้นนั้นให้พระพาย” อะ… ฉันให้เธอ เก็บไว้สิ”

“ของมีค่าแบบนี้ พระพายรับไม่ได้ค่ะ”
นมแสงจับมือพระพายมารับรองพื้นไป

“เธอต้องรับไว้เพราะเธอต้องใช้แล้วจ๊ะที่รัก รองพื้นหนาๆแบบนี้เหมาะกับเธอที่สุด”
เจ้าหล่อนพูดจบก็หยิบคัตเตอร์ขนาดใหญ่ขึ้นมามองพระพายด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม พระพายมองอย่างตกใจ
“คุณอาโป ! “

พระพายจะลุกหนีแต่ก็ดิ้นไปไหนไม่รอดเมื่อถูกนมแสงจับกดตัวไว้แน่น
“มานี่ นั่งนิ่งๆ”

อาโปค่อยๆเลื่อนใบมีดขึ้นมาอย่างช้าๆ พระพายมองอย่างตกใจ
“เธอเคยปลอมเป็นอาโป สุรเยนทร์นานเป็นเดือน ชีวิตช่วงนั้นของเธอคงมีความสุขมากใช่ไหม”

“ไม่…ไม่เลยค่ะ อาโป สุรเยนทร์มีคนเดียว มีได้คนเดียวเท่านั้น”
พระพายตอบอย่างตะกุกตะกัก เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

อาโปตวาดลั่น
“โกหก สิ่งที่เธอทำมันตรงข้าม เธอแย่งแม่ของฉันแล้ว นี่เธอยังคิดจะแย่งคุณอัสนีไปอีก เธอกำลังท้าทายฉัน เธอตั้งใจจะเทียบรัศมีอาโป สุรเยนทร์ เธอคิดว่าเธอทำได้ใช่ไหม ! “

อาโประบายออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ หล่อนเกลียดพระพายที่ชอบทำตัวให้แม่ของหล่อนสงสารอยู่บ่อยๆ อาโปคิดว่าพระพายมารยา เสแสร้งเป็นคนดีให้ทุกคนเห็นใจ และหล่อนโกรธมากเมื่อรู้ว่าอัสนีเป็นหนึ่งในหลายคนที่ตกหลุมพรางของพระพายด้วย

อาโปเลื่อนใบคัตเตอร์ขึ้นจนสุด ใบมีดคมกริบสะท้อนกับแสงไฟ
“อย่านะคะ คุณหนู” พระพายพยายามห้มปราม แต่อาโปกลับยิ่งเดินเข้ามาใกล้

“แกไม่มีชื่อแสียง ไม่มีเงินทอง ไม่มีเกียรติยศ สิ่งเดียวที่แกมีคือหน้าสวยๆและตอนนี้ฉันจะทำลายมัน ในที่สุด แกจะไม่เหลืออะไรเลย !ฮะฮะฮ่า “

“อย่าค่ะ อย่า…ช่วยด้วย”
พระพายพยายามร้องเรียกให้คนอื่นช่วย แต่ก็ดูเหมือนไม่เป็นผล อาโปยังคงเข้ามาใกล้ตน พระพายเหงื่อแตก

แสงยึดตัวพระพายแน่น
“กรีดเป็นตัวเอ ชื่อของอาโปดีกว่า ทุกครั้งที่เห็นหน้าตัวเอง จะได้รู้ว่าอย่ามาสะเออะแย่งของๆฉัน”

“เอาเลยค่ะ มันจะได้หลาบจำ เมื่อไหร่ที่แกเห็นแผลนี้ แกจะได้รู้ถึงความอกตัญญูของตนเอง คิดจะแย่งครอบครัว แย่งสามีคนอื่นต้องเจอแบบนี้” แสงพูดอย่างสะใจ

อาโปกดใบมีดเข้าใกล้ใบหน้าขาวของพระพายมากขึ้นเรื่อยๆ ....พระพายคิดว่าเธอคงเสียโฉมแน่ๆ แต่แล้วอัสนีก็เปิดประตูผัวะเข้ามาพร้อมกับบรรดาสาวใช้

“ทำอะไรกันน่ะ”
อัสนีเข้าไปแย่งคัตเตอร์จากมืออาโปมาได้สำเร็จ เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาเห็นเมื่อสักครู่เลยสักนิด หญิงสาวที่เขารักกำลังจะทำร้ายคนได้อย่างเลือดเย็น !

พระพายและทุกคนออกไปจากห้องด้วยความกลัว เหลือเพียงอัสนีและอาโปอยู่คุยกันเพียงลำพัง
อัสนีหน้าเครียด เขามองดูอาโปที่นั่งเล่นเครื่องสำอางค์อย่างมีความสุขสบายใจเหมือนเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เมื่อชั่วโมงที่แล้ว คุณกำลังจะเอามีดกรีดหน้าคนอื่น ตอนนี้ คุณทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หัวใจคุณทำด้วยอะไรหรืออาโป”

อาโปกระแทกเครื่องสำอางค์ลงบนโต๊ะทันที เจ้าหล่อนหันมามองอัสนีด้วยแววตาดุดัน
“ฉันเคยบอกคุณแล้ว ให้คุณลืมเรื่องที่เกาะ แล้วเริ่มต้นใหม่กับฉันคนนี้ คุณจำได้ไหม คุณบอกว่าอะไร”

เมื่ออัสนียังนิ่ง เจ้าหล่อนจึงตะคอกเสียงเข้ม
“บอกว่าอะไร ตอบมาสิ ! “

“ผมรักได้แต่คุณคนเดียว” อัสนีตอบเสียงเครียด อาโปยิ้มเยาะ

“แล้วตอนนี้ล่ะ คุณทำอะไรอยู่ ...ใครกันแน่ที่ผิด คุณทำตัวสนิทสนมกับมัน ไปดินเนอร์กับมัน
คุณเป็นคนทำให้ฉันต้องกรีดหน้ามันคุณนั่นล่ะที่เป็นคนถือมีดอันนี้ ไม่ใช่ฉัน ! “

“อาโป “อัสนีตกตะลึงกับความคิดของเจ้าหล่อนเป็นอย่างยิ่ง

“รู้เอาไว้นะ ถ้าคุณไปยุ่งกับมันอีก ฉันก็จะทำร้ายมันอีก ส่วนคุณน่ะหรือ ฉันจะเก็บไว้ให้อยู่กับความรู้สึกผิดและเจ็บปวด ยิ่งคุณแคร์มันเท่าไหร่ คุณจะยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น ทนได้ก็ให้มันรู้ไป ! “

อัสนีมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างผิดหวังและเหนื่อยใจจนบอกไม่ถูก เขาออกไปพบกับนมแสงที่แอบฟังทุกอย่างอยู่หน้าห้อง อัสนีพูดขึ้นเรียบๆ

“ชายคนหนึ่งพิการตาบอด ไม่มีทั้งเงินและอำนาจ ถูกคนทั้งโลกขับไล่ไสส่งให้ไปอยู่ที่
เกาะคนเดียว ผู้หญิงคนหนึ่งไม่รู้จักเขา เดินเข้ามาดูแลให้ทั้งกำลังกายและกำลังใจ และให้ชีวิตใหม่ ผู้หญิงแบบนี้คุณคิดว่าเขาจะหยิบมีดทำร้ายใครได้หรือเปล่า”

นมแสงหน้าตื่น หรือว่าอัสนีจะรู้ความจริง
“นี่คุณหมายถึง...”

“อาโปที่เกาะ กับอาโปปัจจุบัน ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง นมแสงว่าไหม”
“เอ้อคือ” นมแสงเริ่มพูดอะไรไม่ถูก

“คนที่เคยจนตรอกสุดๆแล้วผ่านมันมาได้อย่างผม คงไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆหรอก … สิ่งที่ผมไม่รู้ สักวันผมต้องรู้ให้ได้”

อัสนีพูดทิ้งท้ายให้นมแสงกระวนกระวายใจเล่นก่อนจะเดินออกไป.....นมแสงหน้าเครียดขึ้นมาทันที ถ้าอัสนีและทุกคนรู้ความจริง คุณหนูของเธอจะเป็นเช่นไร นังพระพายจะได้เป็นสะใภ้ของตระกูลธีรนัยแทนเจ้านายของเธองั้นหรือ
นมแสงยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด !!




 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 21 กรกฎาคม 2550 0:03:12 น.
Counter : 879 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

แม่มดมีฤทธิ์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์ (บ๊วย)
นักเขียนบทละครโทรทัศน์

เจ้าของบทประพันธ์...>>>>>
ทาสรัก สวรรค์สร้าง
เพลงรักข้ามภพ
สู่แสงตะวัน อธิษฐานรัก
ดั่งดวงตะวัน เพียงผืนฟ้า
กลิ่นแก้วกลางใจ เปลวไฟในฝัน

ผลงานเขียนบท...>>>>>
บ่วง ทวิภพ สาปภูษา
ดั่งดวงตะวัน กลิ่นแก้วกลางใจ
เปลวไฟในฝัน หัวใจช็อคโกแล็ต
คลื่นรักสีคราม เล่ห์รตี

ผลงานกับละลิตา ฉันทศาสตร์โกศล ...>>>>>
ทางผ่านกามเทพ สามีตีตรา สายรุ้ง
ยอดชีวัน สามี บังเกิดเกล้า
หนึ่งในดวงใจคือเธอ สี่ไม้คาน
เลื่อมสลับลาย พรหมไม่ได้ลิขิต
ก้านกฤษณา ปลาหนีน้ำ ฯลฯ

ผลงานกับ ช่างปั้นเรื่อง...>>>>>
รักในม่านเมฆ เพียงผืนฟ้า ปิ่นมุก พลิกดินสู่ดาว อุ่นไอรัก
เบญจาคีตาความรัก รุ่งทิพย์ ต่างฟ้าตะวันเดียว
ปิ่นไพร ฯลฯ




Friends' blogs
[Add แม่มดมีฤทธิ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.