Group Blog
 
All blogs
 

ทางของเซียน - ฉาย บุนนาค


วิธีการลงทุนที่ หวือหวา กล้าได้กล้าเสีย เป็นคนใจถึง ฝีปากกล้า ทำให้ ฉาย บุนนาค ก้าวขึ้นเป็นนักลงทุนที่มีชื่อเสียงในตลาดหุ้นในเวลาอันรวดเร็ว

เขาเป็นเพื่อนรักต่างวัย กับ "เสี่ยโต้ง" กมล เอี้ยวศิวิกูล เจ้าพ่อไมด้า แอสเซ็ท และมีเพื่อนร่วมก๊วน รัตนพล วงศ์นภาจันทร์ ลูกชายเยาวเรศ ชินวัตร จังหวะก้าวที่หวือหวาทำให้ฉายติดอยู่ในกลุ่มบุคคลที่ถูกตลาดหลักทรัพย์ และก.ล.ต.ติดตามตรวจสอบพฤติกรรมอยู่บ่อยครั้ง

กรณีเข้าซื้อหุ้นโรงพิมพ์ตะวันออก (EPCO) ของ "พ่อ" ยุทธ ชินสุภัคกุล คณะกรรมการตรวจสอบและที่ปรึกษาการเงินอิสระของบริษัทเห็นว่า ผู้ถือหุ้นซันไชน์ คอร์เปอเรชั่น ไม่ควรอนุมัติให้บริษัทซื้อหุ้น EPCO เนื่องจากต้องใช้เงินซื้อหุ้นและทำ Tender Offer หุ้นทั้งหมดต้องกู้เงินจำนวนมาก จะส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินและสภาพคล่องของ บริษัทอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต

เขาบอกว่า ดีล EPCO คีย์หลักราคา 1.94 บาทสมเหตุสมผลรึเปล่า! ส่วนผู้บริหารเขาจะไปหาเงินมายังไง ก็เป็นหน้าที่ของผู้บริหาร พอตีเรื่องราคาไม่ได้ก็มาตีเรื่องเงินกู้ ดอกเบี้ย 5% ไม่อยากได้หรอก ผมเอาเปรียบบริษัทหรือเปล่า เงินกู้แม่ 150 ล้านบาท ผมหาผลตอบแทน 5% ได้มากกว่านี้อีก ซื้อหุ้นไม่กี่เดือนก็ได้เกิน 5% แล้ว

ฉายวิจารณ์หน่วยงานตรวจสอบภาครัฐอย่างแรง พร้อมระบุว่าต้องเสียโอกาสขายหุ้น TRUE ราคาถูกออกไปจำนวนมาก (มากกว่า 10 ล้านหุ้น) เพื่อสำรองเงินมาใช้ในดีลซื้อหุ้น EPCO ต้นทุนหุ้น TRUE ที่ซื้อมา 3 บาทปลายๆ มาขายเกือบๆ 5 บาท พอขายปุ๊บ! หุ้นก็วิ่งขึ้นไปเลย

"ตอน 4 บาทก็กล้าๆ กลัวๆ คนที่ลงทุนเยอะมักจะอ่อนไหวยิ่งต้องเตรียมเงินมาใช้ในดีลซื้อ EPCO ใช้เงินเยอะมาก ยืนยันว่าไม่ได้จ่ายแพง ไม่ได้ใช้เงินตัวเองไปซื้อของพ่อ เพราะพ่อก็ไม่ได้ขาย ซื้อจาก บมจ.เอส.แพ็ค แอนด์ พริ้นท์ และกองทุน ผมไม่รู้จะหาดีลดีขนาดนี้ที่ไหนแล้ว ข้อตำหนิเดียวคือ "มันโอเวอร์ไซส์" ถ้ามองในแง่ดีซื้อของคนรู้จักย่อมดีกว่าซื้อของคนไม่รู้จัก พ่อคงไม่เอาของไม่ดีมาขายให้ลูกหรอก"

ฉาย บอกว่า เป้าหมายของซันไชน์ จะเป็น "โฮลดิ้ง คัมปานี" ลงทุนระยะยาวใน EPCO และ บมจ.อควา คอร์เปอเรชั่น และเป็นเวนเจอร์แคปปิตอลคือลงทุนหุ้นที่จะเข้าตลาดด้วย ตอนนี้เงินลงทุนของบริษัทแทบจะไม่มี เพราะต้องเอาทั้งหมดไปใช้ซื้อ EPCO ถ้ามีเงินเหลือก็จะแบ่งมาลงทุนระยะสั้นด้วย เป็นการบาลานซ์ระยะสั้น-กลาง-ยาว ตลาดหุ้นบ้านเราเป็นตลาดเก็งกำไรคงลงทุนระยะสั้น การบริหารพอร์ตมีคนรับผิดชอบ "ผมเป็นแค่ผู้ถือหุ้น"

"หน้าที่บริหารยกให้ "อาเล็ก" ชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์ เต็มที่ ผมอยู่ข้างนอกสะดวกและสบายใจกว่า ส่วนคุณกมลก็ยังเป็นที่ปรึกษาที่ดี สำหรับภาพลักษณ์ "หุ้นปั่น-นักปั่นหุ้น" ภาพลักษณ์ที่คนมองมันแก้ไม่ได้แต่มันจะพิสูจน์ด้วยผลประกอบการ"

ส่วนการ "ถอนทุน" จากหุ้น SSE ฉายพูดไม่ชัดบอกว่า ที่ผ่านมาซื้อหุ้นเข้าแทบไม่เคยขายออก มีขายก็ขายนิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ซื้อกลับคืนตลอดมีหุ้นเกือบ 200 ล้านหุ้น ต้นทุน 1.80 บาท พอซื้อหุ้นราคา มันก็ลงมาเรื่อยๆ ส่วนตัวไม่เคยคิดว่าขาดทุน ตราบใดที่ยังลงทุนอยู่ และเชื่อว่า SSE จะต้องมีกำไร บริษัทยังมี Tax Shield มีกำไรก็ไม่ต้องจ่ายภาษี

"ผมจะไม่ขายออกจนกว่า SSE จะประสบความสำเร็จจริงๆ ธุรกิจดีขึ้นจริงๆ จนกว่า SSE จะจ่ายเงินปันผลได้แล้ว (ค่อยว่ากัน) ปัจจุบันถือหุ้นอยู่กว่า 30%"

ถามถึงมุมมองต่อตลาดหุ้นในขณะนี้ "เซียนหุ้นรุ่นจูเนียร์" มองว่า ถ้าเงินบาทยังแข็งค่าหุ้นลงก็คงลงไม่เยอะ แต่ส่วนตัวมองราคาหุ้นส่วนใหญ่มัน "โอเวอร์" ไปแล้ว ราคาขึ้นมาเยอะ พี/อีก็ค่อนข้างสูง ตลาดหุ้นปี 2553 กับตลาดหุ้นปี 2546 ต่างกันมากตอนนั้นวอลุ่ม 6-7 หมื่นล้านบาท มีหุ้นไอพีโอเยอะแยะ เดี๋ยวนี้วอลุ่มเต็มที่ 3-4 หมื่นล้านบาท หุ้นไอพีโอราคาก็โอเวอร์หมด (เก็งกำไรไม่คล่อง) ตอนนี้พอร์ตหุ้นมีไม่เยอะ มาร์จินก็ไม่กล้าเล่นเสี่ยงเป็นหนี้เพิ่ม

"ตลาดหุ้นผมว่าไปได้อีกไม่ไกลส่วนใหญ่ราคาแพงแล้วแต่ก็คงลงไม่เยอะ ที่ผ่านมากองทุนขายทุกวัน โดยเฉพาะ กบข.ขายทุกวันๆ ละ 200-300 ล้านบาท"

ฉาย บอกว่า หุ้นที่เล่นเก็งกำไรส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่มี "สตอรี่" ช่วงที่ตลาดพีคๆ ก็เล่น TMB และ TRUE อย่างรอบที่ผ่านมาลงทุนหุ้น TRUE ค่อนข้างมาก "เจ็บใจ" พอขายหมดราคาวิ่งขึ้นไป 6 บาทกว่า หุ้นไซส์ ใหญ่ก็เล่นขอให้มี "สตอรี่-วอลุ่ม" แต่วิธีการลงทุนอาจเข้าออกช้ากว่าเดิม (ซื้อแล้วถือ) ไม่เร่งรีบเหมือนสมัยก่อน ส่วนใหญ่จะดูเทคนิคเป็นหลัก และมองพื้นฐานเป็นส่วนประกอบ

อย่างช่วงนี้หุ้นกลุ่มสื่อสาร "น่าสนใจ" เพียงแต่ตอนนี้แพงไปหน่อย กลุ่มยานยนต์ก็ดี วันนี้ยังยกให้หุ้น IHL โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม แต่ขายออกไปหมดแล้วเพราะต้องการใช้เงิน

"ผมรู้จักคุณองอาจ ดำรงสกุลวงษ์ (เจ้าของ IHL) เคยไปขอซื้อบริษัทแก แกเป็นมนุษย์โรงงานตัวจริงลองคิดดูจะมีเจ้าของสักกี่คนที่รู้จักชื่อพนักงาน หมดทุกคน ที่สำคัญเขายังเดินตรวจโรงงานกับภรรยา (ชุติมา บุษยโภคะ) แทบทุกวัน ใจจริงไม่ได้อยากจะขายแต่ช่วงนั้นจำเป็นต้องใช้เงินขายราคา 7-8 บาท ถือว่าขายขาดทุน ติดหุ้น IHL อยู่นานพอเห็นมีสภาพคล่องตกใจ..ขายเลย (หัวเราะ)"

การลงทุนในตลาดหุ้น ฉายบอกว่า ขาดทุนไม่กลัว ซื้อแพงก็ไม่กลัว ขอให้ซื้อแล้วออกของได้เป็นพอ คุณองอาจถามว่าขาย IHL แล้วไม่กลัวซื้อกลับแพงเหรอ..สำหรับผมซื้อแพง "ผมไม่มายด์" กลัวซื้อแล้วขายไม่ได้ (ถูกจับขัง) มากกว่า

"ตอนนี้เล็งๆ อยากซื้อสำนักข่าวออนไลน์ //www.efinancethai.com ของคุณศิริธัช โรจนพฤกษ์ เพราะชื่นชอบธุรกิจสื่อที่เกี่ยวข้องกับคอนเทนท์ อย่างตอนนี้ก็ช่วยภรรยาดูเว็บไซต์ springnewstv.com อยากซื้อหุ้นเนชั่นฯ มติชน เหมือนกันแต่กลัวขายไม่ได้"

ฉาย ยังวิจารณ์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ถ้าเปรียบเป็นห้างสรรพสินค้าคงเหมือน "พาต้า ปิ่นเกล้า" (ห้างเก่าแก่ไม่ปรับตัวเอง) อยากให้คนมาซื้อของเยอะๆ แต่ไม่มีการโปรโมท และควรผ่อนกฎเกณฑ์บางอย่างบ้าง ผมซื้อหุ้น SSE แค่ 100,000 หุ้นยังโทร.มาเลย ถ้าดูแลหุ้นราคาไม่ลงอย่างนี้หรอก

ถามเรื่องที่ SSE นำเงินไปลงทุนธุรกิจต่างๆ ที่ไม่เชี่ยวชาญก็คือ "ความเสี่ยง" ตรงนี้ก็ได้รับคำตอบไม่ชัดนัก แต่เขายืนยันว่าตั้งใจจะทำให้ "มันดี" ไม่อยากให้เปรียบเทียบกับกลุ่มไออีซี ไม่ได้ถือหุ้นไขว้กันแล้วบริษัทก็ไม่มีหนี้ และซันไชน์ก็มีธุรกิจหลักชัดเจน เชื่อว่าคุณชวนพิศจะพาบริษัทไปในแนวทางที่ดีได้

"อยากฝากบอกทางการว่าอย่าพยายามดิสเครดิตผมมากนัก" เซียนหุ้นฝีปาก กล้ายังบอกให้โค้ดคำพูดได้ทุกคำ "ผมไม่กลัวหรอก" นี่คือบทพิสูจน์ศรัทธาบนเส้นขนานของ "นักเก็งกำไรตัวพ่อ" เวลาเท่านั้นคือกุญแจไขความจริง

แหล่งที่มา กรุงเทพธุรกิจ

อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


ดาวโจนส์-ปิดหลุด 1หมื่นจุด ตามความวิตกเศรษฐกิจ







อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


ดาวโจนส์-น้ำมันบวกแรงหนุนจากซื้อเก็งกำไร


ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดตลาดเมื่อวานนี้ (25 ส.ค.) ปรับขึ้นจากแรงซื้อเทคนิคหนุนดาวโจนส์ปิดบวก 19.61 จุด ขณะที่น้ำมันดิบบวก 0.89 ดอลล์

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับตัว ขึ้นเมื่อวานนี้ (25 ส.ค.) หลังร่วงลง 4 วันติดต่อกัน โดยได้รับแรงซื้อทางเทคนิคกระตุ้นบดบังข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซา

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 19.61 จุดหรือ 0.20% ปิด 10,060.06, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับขึ้น 3.46 จุดหรือ 0.33% ปิด 1,055.33 และดัชนี Nasdaq ปิดเพิ่มขึ้น 17.78 จุด หรือ 0.84% ปิด 2,141.54 ปริมาณการซื้อขายอยู่ที่ราว 8.14 พันล้านหุ้นในตลาดนิวยอร์ค, ASE และ Nasdaq ซึ่งต่ำกว่าปริมาณเฉลี่ยต่อวันของปีก่อนที่ 9.65 พันล้าน

ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือน ต.ค. บวก 0.89 ดอลล์ ปิดที่ 72.52 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนต์ ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือน ต.ค. บวก 1.10 ดอลลาร์ ปิดที่ 73.48 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ทีมา กรุงเทพธุรกิจ


อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


สรุปยอดซื้อขายต่างชาติ ณ วันที่ 25 ส.ค. 2553

การซื้อขายหลักทรัพย์แยกตามกลุ่มนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ แห่ง ประเทศไทย (SET)



อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


ทฤษฎีเล่นหุ้นของนักลงทุน โดย ดร.นิเวศน์


ผมเรียนจบปริญญาเอกทางด้านการเงินในสาขาการลงทุน และได้เรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฎีการเงินต่างๆ มากมาย ทฤษฎีเหล่านั้น แน่นอน ก่อนที่จะเป็นที่ยอมรับต้องได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจริงโดยใช้ตัวเลขทาง สถิติ แต่พอมาเป็นนักปฏิบัติ เป็นนักลงทุนจริงๆ ผมก็พบว่า ยังมีทฤษฎีอีกมากมาย ที่มีการพูดกันโดยที่ไม่มีการพิสูจน์ ไม่มีการใช้สถิติ แต่เป็นเรื่องที่มาจากประสบการณ์ของคนในวงการที่พูดแล้วมีคนเห็นด้วย และเชื่อว่าน่าจะเป็นความจริง ผมเองเห็นว่าเป็นเรื่องน่าสนใจ และอาจจะเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงนำเสนอทฤษฎีการลงทุนสักสองเรื่องดังต่อไปนี้

ทฤษฎีแรก คือ ทฤษฎี "งานคอกเทล" ซึ่งเสนอโดย ปีเตอร์ ลินช์ ทฤษฎีนี้บอกว่าภาวะหรือดัชนีตลาดหุ้นนั้น สามารถทำนายได้จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงแบบคอกเทลที่ตัวเขา ซึ่งเป็นผู้บริหารกองทุนรวมจะประสบ นั่นคือ

ในช่วงที่ 1 ซึ่งมักจะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นได้ตกลงมาระยะหนึ่งแล้ว และไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะขึ้นมาได้อีก คนในงานจะไม่มีใครพูดถึงตลาดหุ้น ที่จริงถ้าพวกเขารู้ว่าลินช์เป็น "ผู้บริหารกองทุนรวม" พวกเขาก็จะพยักหน้าอย่างสุภาพแล้วก็จะรีบเดินจากไป หรือไม่อย่างนั้น ก็จะเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วไปเป็นเรื่องการแข่งฟุตบอล หรือเรื่องการเลือกตั้งที่กำลังมาถึงในไม่ช้าก็จะหันไปคุยกับหมอฟันเรื่อง ฟันผุมากกว่า ถ้าลินช์เจอสถานการณ์แบบนี้ ที่คนยินดีที่จะพูดกับหมอฟันมากกว่าผู้จัดการกองทุน เขาบอกว่าเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นกำลังจะขึ้นแล้ว เตรียมเก็บหุ้นได้

ช่วงที่ 2 เมื่อลินช์แนะนำตัวว่าทำมาหากินอะไรแล้ว คนหน้าใหม่จะอ้อยอิ่งอยู่กับเขานานขึ้นเล็กน้อย บางทีอาจจะนานพอที่จะพูดกับเขาว่าหุ้นนั้นมีความเสี่ยงแค่ไหนก่อนที่จะย้าย ไปพูดคุยกับหมอฟัน อย่างไรก็ตาม คนก็ยังอยากพูดคุยกับหมอฟันมากกว่า “เซียนหุ้น” ขณะนั้น หุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้นมาแล้วจากช่วงที่หนึ่งประมาณ 15% แต่คนก็ยังไม่ค่อยใส่ใจ ช่วงนี้หุ้นก็น่าจะยังดีอยู่

ช่วงที่ 3 ขณะนี้ ดัชนีหุ้นอาจจะปรับตัวขึ้นไป 30% แล้วจากช่วงที่หนึ่ง กลุ่มคนที่สนใจจะเลิกสนใจหมอฟันและหันมาล้อม ปีเตอร์ ลินช์ คนแล้วคนเล่าจะพยายามดึงเขาออกมาอยู่ข้างๆ ห้อง เพื่อที่จะคุยกับเขาเกี่ยวกับหุ้น แม้แต่หมอฟันก็ยังถามเขาว่าควรจะซื้อหุ้นตัวไหน ทุกคนในงานดูเหมือนจะได้ใช้เงินซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งไปแล้ว และต่างก็สนทนากันว่าเกิดอะไรขึ้น

ช่วงที่ 4. นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ ปีเตอร์ ลินช์ จะถูกแขกในงานห้อมล้อม แต่ครั้งนี้ จะเป็นคนอื่นที่จะบอกกับลินช์ว่าหุ้นตัวไหนที่เขาควรซื้อ แม้แต่หมอฟันก็ยังมี "หุ้นเด็ด" ให้เขา 3-4 ตัว และในเวลา 2-3 วันต่อมา เมื่อเขาเปิดหนังสือพิมพ์ดูก็พบว่าหุ้นที่แนะนำทุกตัวนั้นขึ้นกันหมด ลินช์บอกว่าเมื่อเพื่อนบ้านหรือคนในงานเลี้ยงบอกว่าควรจะซื้อหุ้นตัวไหน และเขาหวังว่าตนเองจะได้เชื่อคำแนะนำนั้น มันก็เป็นสัญญาณที่แน่ชัดว่า ตลาดหุ้นได้ขึ้นไปถึงยอดดอยและพร้อมที่จะตกแล้ว รีบขายหุ้นเสียถ้าคุณเป็นนักเล่นหุ้น

ถ้าถามว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยเราในช่วงนี้เป็นอย่างไร ผมวิเคราะห์โดยใช้ประสบการณ์ส่วนตัวในฐานะที่เป็นคนที่อยู่ในแวดวงการลงทุน มานาน และมักได้สัมผัสกับนักลงทุนเป็นจำนวนมาก ผมคิดว่าตลาดหุ้นไทยกำลังอยู่ในช่วงที่สามช่วงท้ายๆ นั่นก็คือ มีคนสนใจและถามเรื่องตลาดหุ้น และตัวหุ้นกับผมเป็นจำนวนมาก บางคนก็เริ่มแนะนำหุ้นให้ผมและผมพบว่าหุ้นเหล่านั้นปรับตัวขึ้นเร็วมากและผม เสียดายที่ไม่ได้ซื้อไว้ ซึ่งนี่เป็นสัญญาณของช่วงที่สี่ อย่างไรก็ตาม คนที่แนะนำผมนั้น ยังไม่ใช่ "หมอฟัน" หรือคนที่เป็นมือใหม่อย่างในทฤษฎีของ ปีเตอร์ ลินช์

ทฤษฎีที่สองผมขอเรียกว่า ทฤษฎี "ปลาใหญ่-ปลาเล็ก" นี่เป็นทฤษฎีของใครผมไม่ค่อยแน่ใจ แต่ถ้าจำไม่ผิด คุณไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีตผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเคยพูดไว้ เขาพูดว่าการเล่นหุ้นในตลาดนั้น บางทีก็เหมือนกับการหากินของฝูงปลา ที่มักไปกันเป็นฝูง นั่นคือ ปลาตัวใหญ่จะว่ายนำ ส่วนปลาตัวเล็กจะว่ายตาม ในยามที่อาหารอุดมสมบูรณ์ ปลาทุกตัวต่างก็อิ่มหมีพีมันกันหมด แต่เมื่ออาหารร่อยหรอไปจนหมด สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ ปลาใหญ่ก็จะหันกลับมากินปลาเล็กเป็นอาหารแทน

เปรียบไปก็เหมือนกับการเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ "ขาใหญ่" หรือนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดนั้น ในยามที่ภาวะตลาดดี พวกเขาก็มักจะเป็นผู้ "ซื้อนำ" ในหุ้นบางตัวที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเก็งกำไร เช่น กำลังมีผลประกอบการที่ดีเยี่ยม มีข่าวน่าตื่นเต้น และเป็นหุ้นที่มีขนาดเล็ก หรือไม่ใหญ่เกินไป เป็นต้น การซื้อนำพร้อมๆ กับการกระจายข่าวออกไปในตลาดนั้น ทำให้นักเล่นหุ้นรายย่อยจำนวนมากแห่ซื้อตาม ผลก็คือ ราคาหุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้นไปอย่างโดดเด่น คนที่เข้ามาลงทุนเกือบทุกคนต่างก็ "อิ่ม" หรือได้กำไรกันหมด ทุกคนมีความสุข

พอถึงจุดที่ตลาดตกต่ำหรือหุ้นที่ถูกนำมาเล่นตกลงมาอย่างแรง เนื่องจากเหตุผลอะไรก็ตาม รายย่อยต่างก็ขาดทุนกันจำนวนมาก แต่รายใหญ่ซึ่งเป็นคนซื้อนำนั้น มักจะขายหุ้นทำกำไรไปก่อนแล้ว นี่เท่ากับว่า ในท้ายที่สุด นักลงทุนรายใหญ่ก็ "กิน" นักลงทุนรายย่อยหลายๆ คนที่ "หนี" หรือขายหุ้นไม่ทันก่อนที่มันจะตกลงมา

ถ้าถามว่าผมเชื่อในทฤษฎีทั้งสองหรือไม่ คำตอบ ก็คือ ผมคิดว่ามันมีส่วนที่เป็นจริงอยู่พอสมควรทีเดียว แต่ถ้าถามว่าผมจะมีปฏิกิริยาอย่างไรคำตอบสำหรับทฤษฎีของ ปีเตอร์ ลินช์ ก็เช่นเดียวกับความคิดของตัว ปีเตอร์ ลินช์ เอง นั่นก็คือ ผมไม่สนใจเรื่องภาวะตลาดหุ้น ผมคิดว่าหากหุ้นที่ผมถือนั้นเป็นกิจการที่ดีเยี่ยม มันก็มักดูแลตัวมันเองได้ไม่ว่าในภาวะตลาดไหน ส่วนในทฤษฎีที่สองนั้น ผมก็ต้องสร้าง "วินัย" ให้กับตัวเองว่า เราจะไม่เป็น "ปลาเล็ก" จริงอยู่ เราอาจจะ "อิ่มท้อง" หรือทำกำไรได้ง่ายๆ จากการ "หากิน" หรือซื้อหุ้นตาม "ปลาใหญ่" หรือรายใหญ่ที่กำลัง "โปรโมท" หุ้น เพราะผมคิดว่าการทำแบบนี้มีความเสี่ยงพอสมควร และถ้ามันเกิดขึ้น คุณก็จะกลายเป็น "อาหาร" นั่นก็คือ เสียหายหนักจากการลงทุนได้
แหล่งที่มา ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร - กรุงเทพธุรกิจ



back to school deal
kindle reader
cheap ipod touch
external hard drive
cheap digital cameras
cheap laptops
cheap LCD tv
cheap play station3
cool math games
blood pressure monitors
home decorators outlet
vacuum cleaners
best wireless router
blu ray players
Blow Dryer
litter boxes
Cast Iron Wok
Cat Scratchers
carpet sweeper
Electric Wok
Ipod Headphones
office furniture
buy gps
buy printers
cheap cell phones
jewelry store
discount pet supplies
cheap refrigerators
cheap desktop computers
cheap kitchen cabinets
guitars for sale
bicycle for sale
full pc game down loads
womens shoes
mens watches
women clothings
mp3 downloads
cheap gps
cheap ipad
cheap netbooks
home theater systems
rice cooker
usb flash drive
wireless reading device
cheap desktop computers
cheap refrigerators
buy ipad
Battery Charger
Cast Iron Griddle
Cat Litter Boxes
Chapin Sprayers
Hdmi Cables
Ipod Earphones
Laptop Cooler




 

Create Date : 24 สิงหาคม 2553    
Last Update : 25 สิงหาคม 2553 19:53:24 น.
Counter : 2420 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  

girdpol
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]




Friends' blogs
[Add girdpol's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.