Group Blog
 
All blogs
 

สรุปยอดซื้อขายต่างชาติ ณ วันที่ 1 ก.ย 2553

การซื้อขายหลักทรัพย์แยกตามกลุ่มนักลงทุนในตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)



อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


คำพูดอมตะของนักลงทุน โดย ดร.นิเวศน์


การลงทุนนั้นเป็นศิลปะ “ชั้นสูง” อย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงมี “คำพูด” ของกูรูมากมายที่พูดถึงการลงทุน ลองมาดูว่ามีคำพูดที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงและใช้อ้างอิงจนกลายเป็นคำพูดคลา สิกหรือเป็นคำพูดอมตะที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาอะไรบ้าง

คำพูดแรกคงต้องยกให้เป็น ของเบน เกรแฮม ในฐานะที่เป็น “บิดา” ของการวิเคราะห์การลงทุนอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ นั่นก็คือ “ตลาดหุ้นในระยะสั้นเป็นเสมือนเครื่องลงคะแนน แต่ในระยะยาวเป็นเสมือนเครื่องชั่ง” ความหมายก็คือ ในระยะสั้น ๆ นั้น ราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจซื้อขายของนักลงทุน ถ้าคนเชื่อและลงความเห็นว่ามันจะขึ้นมากกว่าคนที่คิดว่ามันจะลง ราคาก็จะขึ้นตามการ “ลงคะแนน” ของนักลงทุน แต่ในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทว่ามันจะมีกำไรมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีกำไรมากหรือเทียบกับว่ามีน้ำหนักมาก ตลาดก็จะให้ราคาหุ้นสูงขึ้นตามกำไรหรือน้ำหนักนั้น

คำพูดที่สองผมคงต้องยกให้ กับ วอเร็น บัฟเฟตต์ ในฐานะที่เป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก บัฟเฟตต์บอกว่า “หลักการรวบยอดสำหรับนักลงทุนก็คือ การเลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่” นอกจากนั้น เขายังมีคำพูดต่อเนื่องจากหลักการนี้ว่า “มันเป็นเรื่องดีกว่ามากที่จะซื้อบริษัทที่ดีเยี่ยมในราคาที่ยุติธรรม แทนที่จะซื้อบริษัทที่ดีพอควรในราคาที่ถูกมาก”

ความหมายของคำพูดแรกก็ คือ เวลาจะซื้อหุ้นนั้น นักลงทุนจะต้องดูเสียก่อนว่ามันเป็นกิจการหรือบริษัทที่ดีหรือเปล่า ถ้าไม่ดีก็ไม่ต้องไปลงทุน ถ้าดีแล้วก็ต้องดูต่อว่าราคาหุ้นในขณะนั้นเหมาะสมหรือเปล่า ถ้าราคาแพงก็อย่าซื้อ ถ้าไม่แพงหรือถูก ก็ซื้อ หลังจากนั้นก็เก็บหุ้นไว้ ไม่ต้องคิดว่าจะขายแม้ว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือตก จะขายต่อเมื่อกิจการนั้นเริ่มจะไม่ดีแล้ว ส่วนคำพูดที่สองนั้นบอกว่า การซื้อหุ้นของกิจการที่ดีในราคาที่เหมาะสมนั้นอาจจะมีสองแบบ และแบบที่ดีก็คือ ซื้อกิจการที่ดีมาก ๆ ดีกว่าซื้อกิจการที่ดีธรรมดา แม้ว่าราคาหุ้นของกิจการที่ดีมากจะแพงกว่ากิจการธรรมดา ๆ มาก

คำพูดที่สี่ผมคิดว่าต้อง ยกให้กับ จอร์จ โซรอส นักเก็งกำไรที่น่าจะประสบความสำเร็จสูงระดับต้น ๆ ของโลก เขาพูดว่า “สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าคุณถูกหรือผิด แต่สิ่งสำคัญก็คือ คุณกำไรเท่าไรเมื่อคุณถูก และคุณขาดทุนเท่าไรเมื่อคุณผิด” ความหมายก็คือ สำหรับโซรอสแล้ว เขาจะคิดผิดกี่ครั้งก็ไม่สำคัญตราบที่เขาไม่ได้ “พนัน” หรือลงทุนมาก หรือคิดผิดแต่ขาดทุนไม่มากเพราะเขา “ขายทิ้งทัน” นั่นก็คือ คุณต้องรู้ตัวเร็วว่าคุณคิดผิด แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าโอกาสชนะสูงมากคุณจะต้องกล้า “เดิมพัน” และทำกำไรมโหฬาร หรือกล้าที่จะ let profit run หรือถือทำกำไรมาก ๆ ก่อนที่จะขายได้

คำพูดที่ห้าผมยกให้กับนัก เก็งกำไร “ระดับตำนาน” อีกคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้วคือ Jesse Livermore เขาพูดว่า “ตลาดหุ้นคือที่ที่อันตรายมากสำหรับคนที่ไม่ชอบทำการบ้าน คนโง่ และคนที่ชอบรวยทางลัด” นี่เป็นคำพูดของนักเก็งกำไรที่มีชีวิตขึ้น ๆ ลง ๆ พอ ๆ กับราคาหุ้นและความมั่งคั่งของเขา และเป็นคำเตือนที่มีค่ายิ่งสำหรับนักเก็งกำไรว่า การเก็งกำไรนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้คนรวยได้ในชั่วข้ามคืน การเป็นนักเก็งกำไรที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องทำงานหนักและต้อง “ฉลาด” ด้วย มิฉะนั้นคุณอาจจะเจ๊งได้ง่าย ๆ

คำพูดที่หกผมขอยกมาจาก ปีเตอร์ ลินช์ นักบริหารกองทุนรวมที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก เขาพูดว่า “ราคาหุ้นกับกำไรจะไปด้วยกันเสมอ ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ” ความหมายของลินช์ก็คือ ในระยะยาวแล้วราคาหุ้นกับกำไรต้องไปด้วยกันเสมอ อย่ากลัวว่าหุ้นจะลงมาหากกำไรของบริษัทยังดีอยู่ ยิ่งหุ้นลงยิ่งเป็นโอกาสที่จะซื้อหุ้นเพราะไม่ช้าก็เร็วหุ้นก็จะต้องวิ่ง กลับมาตามกำไรที่เพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น ในอีกด้านหนึ่ง ถ้าราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเกินกำไรที่เพิ่มขึ้น ก็เป็นไปได้ว่าในไม่ช้า ราคาก็อาจจะต้องปรับตัวลงมาหาเส้นกำไรเช่นกัน มองในแง่นี้เขาจะต่างจากบัฟเฟตต์ที่ลงทุนแล้วไม่ค่อยขายในขณะที่ของลินช์ นั้น มีโอกาสที่เขาจะขายหุ้นมากกว่าเพราะแม้ว่ากิจการยังดีอยู่แต่ถ้าราคาหุ้น วิ่งขึ้นไปสูงเกินไปเขาก็อาจจะขายหุ้นเหมือนกัน

คำพูดที่เจ็ดเป็นของ บัฟเฟตต์อีกครั้งคือ “จงพยายามกลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภ และโลภเมื่อคนอื่นกำลังกลัว” นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากในบางสถานการณ์ที่ในชีวิตการลงทุนของเราจะต้องประสบ อยู่เป็นครั้งเป็นคราวโดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดดีมากหรือยามที่เกิดวิกฤติ การกลัวเมื่อคนอื่นโลภนั้นทำยาก แต่มันอาจจะช่วยให้เรารอดจากหายนะได้ ในทางตรงกันข้าม ในยามวิกฤติที่ทุกคนกลัวและถอนตัวออกจากตลาดนั้น มันเป็นเรื่องที่ยากมากที่เราจะรู้สึกโลภ อย่างไรก็ตาม ถ้าเราทำได้ มันอาจจะทำให้เราได้กำไรมหาศาลได้

คำพูดที่แปดผมขออ้างถึง ลอร์ด เคน นักเศรษฐศาสตร์ระดับตำนานของโลกและเซียนหุ้นที่ “โลกลืม” เขากล่าวคำอมตะว่า “ในระยะยาวแล้ว ทุกคนก็ตายหมด” ความหมายก็คือ อย่ารอเวลาโดยอ้างว่าเป็นเรื่องระยะยาว ถ้าจะมีผลมันก็ต้องเห็นในเวลาอันสั้น ถ้าจะประยุกต์ใช้กับการลงทุนก็คือ ถ้าคุณลงทุนมาหลายปียังไม่เห็นมรรคผล โอกาสก็คือ วิธีหรือกลยุทธ์ที่ใช้คงผิดพลาด ต้องเปลี่ยนแปลง อย่าคิดว่าต่อไปมันจะดีโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ

สุดท้ายผมขออ้างหลักธรรม ที่คนไทยทุกคนรู้จักดีแต่อาจจะไม่ตระหนักว่ามันเกี่ยวข้องกับการลงทุนนั่นก็ คือ คำพูดที่ว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ซึ่งแปลว่า ความไม่เที่ยงแท้ ความทุกข์ และความไม่มีตัวตน นั่นก็คือ การลงทุนนั้นมีความเสี่ยงสูงไม่แน่นอนและมันอาจจะก่อให้เกิดความทุกข์ได้แสน สาหัส ดังนั้น อย่ายึดมั่นถือมั่นกับมัน ปล่อยวางเสียและเตือนตัวเสมอว่า สิ่งต่าง ๆ มันไม่เที่ยง อย่าประมาทเวลาลงทุน
แหล่งที่มา ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


ค่าของเงิน โดย ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ


เงินบาทที่แข็งค่า ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทางการ “เป็นห่วง” จนต้องออกมากล่าวว่า ค่าเงินบาทเป็นเรื่องที่จะต้องดูแลให้ “เหมาะสม”

ครั้งนี้ผมจึงขอเขียนถึง เรื่องค่าของเงินว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เป็นการเขียนในเชิงทฤษฎีมากกว่าการให้คำตอบว่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับใด ท่านที่ต้องการคำตอบในเรื่องนี้ คำตอบสั้นๆ คือเงินบาทน่าจะแข็งค่าจนกว่าไทยจะขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง

เงินนั้นโดยตัวของมันเองไม่ได้มีค่า เพราะเป็นเพียงกระดาษซึ่งพิมพ์ขึ้นมาด้วยคำนิยามว่า “ธนบัตรเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย” หมายความว่าผมรับก๋วยเตี๋ยวมาหนึ่งชามจากร้านขายก๋วยเตี๋ยว ผมมีหนี้เป็นก๋วยเตี๋ยว 1 ชามซึ่งผมชำระหนี้ดังกล่าวได้ตามกฎหมายโดยใช้ธนบัตร (สมมติว่า) มูลค่า 30 บาท ถามว่าผมจะใช้อย่างอื่นชำระหนี้ได้หรือไม่ ก็ต้องบอกว่าได้แต่คงจะลำบากกว่าใช้ธนบัตร เพราะผมต้องทราบว่าเจ้าของร้านต้องการอะไร สมมติว่าต้องการปากกาหนึ่งด้ามผมก็จะต้องไปหาปากกามาให้ ซึ่งหากร้านปากกาไม่ต้องการบทวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ (ซึ่งเป็นสิ่งหลักที่ผมผลิตได้) ก็จะทำให้การบริโภคก๋วยเตี๋ยวของผมยากลำบากขึ้น ดังนั้นเงินจึงมีประโยชน์ เพราะเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ (medium of exchange)

นอกจากนั้นเงินมีประโยชน์ในฐานะเป็นหน่วยวัดทางบัญชี (unit of account) เช่น เราพูดได้ว่าจีดีพีของไทยมูลค่า 10 ล้านล้านบาท หากไม่มีหน่วยวัดก็จะต้องร่ายยาวว่าจีดีพีไทยมีการผลิตรถยนต์ออกมาใหม่ 1.5 ล้านคัน ข้าว 20 ล้านตัน ฯลฯ และยังไม่สามารถทราบได้ว่าข้าว 20 ล้านตันมี “มูลค่า” เท่าไหร่ แต่จะต้องเปรียบเทียบว่ารถยนต์หนึ่งคันสามารถแลกเปลี่ยนข้าวได้ 20 ตัน เป็นต้น ทำให้ต้องหาหน่วยวัดทางบัญชีอยู่ดี เช่น เปรียบเทียบทุกสินค้ากับข้าว เป็นต้น จะเห็นได้ว่าราคาสินค้าและบริการนั้นแท้จริงแล้วสามารถคำนวณเป็นราคาเมื่อ เปรียบเทียบกัน (relative price) ได้ แต่การใช้เงินเป็นหน่วยวัดทางบัญชีเพิ่มความสะดวกได้อย่างมาก

ประโยชน์ข้อที่ 3 ของเงินคือสามารถเก็บรักษาได้โดยง่าย (store of value) เพราะธนบัตรกระดาษนั้นเก็บรักษาให้คงสภาพได้สะดวกสบายกว่า ก๋วยเตี๋ยวหรือข้าวสาร ในปัจจุบันเทคโนโลยีและระบบการเงินได้พัฒนาไปอีกระดับหนึ่งคือ “เงิน” เป็นเพียงหน่วยความจำในคอมพิวเตอร์ของธนาคารที่มีบัญชีฝากเอาไว้

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะเห็นว่าเงินไม่ได้มี “ค่า” อะไรเลย เพราะเป็นเพียงกลไกที่กำเนิดขึ้นและวิวัฒนาการให้เกิดความสะดวกในการทำธุรก รรมต่างๆ สมมติระบบเศรษฐกิจมีการผลิตก๋วยเตี๋ยว 10 ชามและพิมพ์เงินออกมาหมุนเวียน 300 บาท ราคาก๋วยเตี๋ยวก็จะเท่ากับ 30 บาทต่อชามนั่นเอง หากพิมพ์เงินออกมา 600 บาทแต่ยังผลิตก๋วยเตี๋ยว 10 ชามเท่าเดิม ราคาก๋วยเตี๋ยวก็จะปรับขึ้นเป็นชามละ 60 บาท แต่ความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ไม่เปลี่ยนเพราะยังผลิตก๋วยเตี๋ยว 10 ชามเท่าเดิม ในกรณีของไทยนั้นปัจจุบันมีการพิมพ์ธนบัตรประมาณ 1 ล้านล้านบาทและจีดีพีของไทยมูลค่า 10 ล้านล้านบาท ดังนั้นหากจีดีพีไทยขยายตัว (มีการผลิตสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น) ปีละ 5% และธนาคารแห่งประเทศไทยพิมพ์ธนบัตรเพิ่มปีละ 8% ก็จะทำให้ราคาสินค้าปรับขึ้นโดยเฉลี่ยปีละ 3% หรือเงินเฟ้อเฉลี่ย 3% ต่อปีนั่นเอง

ทำไมจึงต้องให้มีเงินเฟ้อ 3%? ทำไมไม่ทำให้เท่ากับ 0%? คำตอบคือเป็นการสร้างความยืดหยุ่นให้กับกลไกตลาดในกรณีที่สินค้าบางประเภท ราคาสูงขึ้นอย่างมาก เช่นปีนี้ราคายางพาราปรับเพิ่มขึ้น 20% หากราคาเฉลี่ยโดยรวมต้องไม่เพิ่มขึ้นเลยก็จะต้องมีสินค้าที่จะต้องลดราคาลง ซึ่งอาจทำให้รู้สึกว่าเงินตึงสภาพคล่องฝืดเคืองได้ อย่างไรก็ดีหาก ธปท.เพิ่มปริมาณเงินปีละ 15% แต่จีดีพีขยายตัว 3% ก็จะเสี่ยงต่ออัตราเงินเฟ้อที่สูงถึง 12% ต่อปี ทำให้ค่าของเงินเสื่อมถอยลง คงไม่มีใครอยากเก็บเงินเพราะเสื่อมค่าเดือนละ 1% เป็นต้น ผู้ที่จะได้เปรียบคือรัฐบาลที่จะเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น เช่นสมมติว่าภาษีเงินได้บุคคลเท่ากับ 10% สำหรับคนที่เงินเดือน 20,000-30,000 บาท และเพิ่มเป็น 15% สำหรับคนที่เงินเดือน 30,000-40,000 บาท หากต้องเผชิญกับเงินเฟ้อ 12% ต่อปี 2 ปีและเงินเดือนเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อ คนที่มีเงินเดือน 25,000 บาทจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 15%

ประเด็นสำคัญที่อยากเน้นอย่างยิ่งคือ สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นซึ่งเป็นที่มาที่ไปของ “ค่าของเงิน” นั้นไม่ได้กล่าวถึงการตรึงราคาของกระทรวงพาณิชย์หรือการต้องนำเงินตราต่าง ประเทศมาหนุนหลังเงินบาทแต่อย่างใด ในกรณีของการตรึงราคาสินค้านั้น กล่าวได้ว่าเป็นการบิดเบือนราคา (distorting relative price) นั่นเอง เพราะเมื่อราคาสินค้าปรับขึ้นตามสภาวการณ์ไม่ได้ ก็อาจจะทำให้เกิดการขาดแคลนได้เพราะผู้ประกอบการอยากจะปรับเปลี่ยนการผลิตไป ผลิตสินค้าที่ไม่ถูกควบคุมราคามากกว่า ทั้งนี้หากปัญหาเกิดขึ้นเพราะผู้ผลิต “ฮั้ว” กันผูกขาด ก็จะเป็นการผูกขาดสินค้าในทุกราคาต้องจัดการกับการผูกขาดอย่างเบ็ดเสร็จไม่ ใช่การขอความร่วมมือตรึงราคาเป็นครั้งคราวกันไป

สำหรับเรื่องของค่าเงินนั้นสามารถทำความเข้าใจได้อีกระดับว่า ทุกประเทศจะต้องมีนโยบายการเงินของตน โดยธนาคารกลางจะกำหนดปริมาณเงินและการขยายตัวของปริมาณเงินของตนให้เหมาะสม เช่นหากประเทศ ข. กำหนดให้ปริมาณเงินขยายตัวปีละ 10% ในขณะที่จีดีพีขยายตัว 5% ก็จะมีอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 5% ต่อปี ในขณะที่ไทยมีอัตราเงินเฟ้อ 3% ต่อปีแปลว่าโดยเฉลี่ยเงินบาทจะแข็งค่าเทียบกับเงินของประเทศ ข. เฉลี่ยปีละ 2% เป็นต้น

ดังนั้นการที่กฎหมายไทยกำหนดให้เงินบาทต้องมีเงินตราต่างประเทศหรือทองคำ หนุนหลังอยู่นั้นจึงไม่มีความหมายอะไรในเชิงเศรษฐศาสตร์ สมัยที่ประเทศไทยยังไม่พัฒนาและ ธปท.ถูกแทรกแซงทำให้อาจเข้าใจได้ว่าไม่มีอิสระและขาดความน่าเชื่อถือ ก็เหมาะสมที่จะต้องไป “ขอยืม” ความน่าเชื่อถือของเงินสกุลหลัก (เช่น ดอลลาร์) มาหนุนหลังเงินบาท แต่คำว่าหนุนหลังดังกล่าวนั้นยังต้องตีความอีกว่ามากน้อยเพียงใด เช่น เรามีเงินบาทหมุนเวียนอยู่ 1 ล้านล้านบาท หากมีทุนสำรองระหว่างประเทศหนุนหลังอยู่ 50,000 ล้านดอลลาร์ ก็แปลว่าอัตราแลกเปลี่ยนน่าจะเป็น 20 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ (ปัจจุบันไทยมีทุนสำรองอยู่ 150,000 ล้านดอลลาร์ หากแบ่งเพื่อขาดดุลการค้า 80,000 ล้านดอลลาร์และสำรองหนี้ระยะสั้นอีก 20,000 ล้านดอลลาร์ ก็จะมีเงินเหลือหนุนหลังพอดี เป็นต้น) แต่ดังที่กล่าวข้างต้น ค่าของเงินบาทนั้นเป็นผลมาจากการมีวินัยทางการเงินของ ธปท.มากกว่าเงินดอลลาร์ที่ไทยตุนไว้ เพราะในปัจจุบันธนาคารกลางสหรัฐกดดอกเบี้ยไว้ที่ 0 แปลว่าสหรัฐเกือบพิมพ์ดอลลาร์แจกอยู่แล้ว เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างกระท่อนกระแท่น

ดังนั้นจึงไม่แปลกอย่างใดที่เงินบาทแข่งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อ เปรียบเทียบกับเงินดอลลาร์ เพราะเงินบาทมีความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นขณะที่เงินดอลลาร์จะมีความน่าเชื่อ ถือลดลงไปเรื่อยๆ หากเศรษฐกิจไม่ดีขึ้น ดังที่เห็นใน 2-3 เดือนที่ผ่านมาครับ

แหล่งที่มา ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ - กรุงเทพธุรกิจ



back to school deal
kindle reader
cheap ipod touch
external hard drive
cheap digital cameras
cheap laptops
cheap LCD tv
cheap play station3
cool math games
blood pressure monitors
home decorators outlet
vacuum cleaners
best wireless router
blu ray players
Blow Dryer
litter boxes
Cast Iron Wok
Cat Scratchers
carpet sweeper
Electric Wok
Ipod Headphones
office furniture
buy gps
buy printers
cheap cell phones
jewelry store
discount pet supplies
cheap refrigerators
cheap desktop computers
cheap kitchen cabinets
guitars for sale
bicycle for sale
full pc game down loads
womens shoes
mens watches
women clothings
mp3 downloads
cheap gps
cheap ipad
cheap netbooks
home theater systems
rice cooker
usb flash drive
wireless reading device
cheap desktop computers
cheap refrigerators
buy ipad
Battery Charger
Cast Iron Griddle
Cat Litter Boxes
Chapin Sprayers
Hdmi Cables
Ipod Earphones
Laptop Cooler




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2553    
Last Update : 30 สิงหาคม 2553 20:02:55 น.
Counter : 1078 Pageviews.  

สรุปยอดซื้อขายต่างชาติ ณ วันที่ 30 ส.ค. 2553

การซื้อขายหลักทรัพย์แยกตามกลุ่มนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ แห่ง ประเทศไทย (SET)



อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


ดาวโจนส์พุ่ง165.37จุด ตัวเลขศก.ดีกว่าที่คาด


ดาวโจนส์คึกคักปิด พุ่ง 165.37 จุด หลังตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2 ไม่แย่อย่างที่คาด ด้านราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 1.81 ดอลลาร์สหรัฐ

ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ปิดเมื่อวานนี้ (27 ส.ค.) ที่ระดับ 10,151.18 จุด เพิ่มขึ้น 165.37
จุด แนสแดค ปิดที่ระดับ 2,153.63 จุด เพิ่มขึ้น 34.94 จุด และเอสแอนด์พี ปิดที่ระดับ 1,064.59 จุด เพิ่มขึ้น 17.37 จุด

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 1.81 ดอลลาร์สหรัฐ ไปปิดที่ระดับ 75.17 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สำหรับบรรยากาศการซื้อขายเป็นไปอย่างคึกคักหลังข้อมูลตัวเลขจีดีพีใน ประเทศช่วงไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นที่ระดับ 1.6% ไม่แย่อย่างที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่นายเบน เบอร์นานกี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็ยืนยันว่า เฟดพร้อมดำเนินมาตรการต่าง ๆ เท่าที่จำเป็น เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
แหล่งที่มา กรุงเทพธุรกิจ



back to school deal
kindle reader
cheap ipod touch
external hard drive
cheap digital cameras
cheap laptops
cheap LCD tv
cheap play station3
cool math games
blood pressure monitors
home decorators outlet
vacuum cleaners
best wireless router
blu ray players
Blow Dryer
litter boxes
Cast Iron Wok
Cat Scratchers
carpet sweeper
Electric Wok
Ipod Headphones
office furniture
buy gps
buy printers
cheap cell phones
jewelry store
discount pet supplies
cheap refrigerators
cheap desktop computers
cheap kitchen cabinets
guitars for sale
bicycle for sale
full pc game down loads
womens shoes
mens watches
women clothings
mp3 downloads
cheap gps
cheap ipad
cheap netbooks
home theater systems
rice cooker
usb flash drive
wireless reading device
cheap desktop computers
cheap refrigerators
buy ipad
Battery Charger
Cast Iron Griddle
Cat Litter Boxes
Chapin Sprayers
Hdmi Cables
Ipod Earphones
Laptop Cooler




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2553    
Last Update : 28 สิงหาคม 2553 8:54:11 น.
Counter : 641 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  

girdpol
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]




Friends' blogs
[Add girdpol's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.