Group Blog
 
All blogs
 

สรุปยอดซื้อขายต่างชาติ ณ วันที่ 25 ก.พ 2554




อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


สรุปยอดซื้อขายต่างชาติ ณ วันที่ 24 ก.พ 2554





อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


สรุปยอดซื้อขายต่างชาติ ณ วันที่ 22 ก.พ 2554





อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


สรุปยอดซื้อขายต่างชาติ ณ วันที่ 21 ก.พ 2554





อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


ได้เวลาหุ้นสหรัฐ คืนสู่เรดาร์แห่งการลงทุน


เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะ ยังดูสามวันดีสี่วันไข้ แต่เริ่มมีเสียงจากแวดวงการลงทุนว่า ตลาดหุ้นสหรัฐกำลังจะคืนสู่เรดาร์การลงทุนอีกครั้ง ทำไมเป็นแบบนั้น
ก้าวเข้าสู่ปีกระต่ายได้ เพียงไม่นาน ก็เกิดปรากฏการณ์เงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่กลับสู่ตลาดพัฒนาโดยเฉพาะ “สหรัฐ” อีกครั้ง
เล่นเอาหุ้นตลาดเกิดใหม่รวมทั้งไทยปรับตัวลงแดงเดือด ไปถ้วนหน้า ตรงข้ามกับตลาดหุ้นสหรัฐที่กลับมาเขียวขจีดูสด ใสขึ้นอีกครั้ง
“สหรัฐ” กำลังกลับมาสู่เรดาร์การลงทุนของนักลงทุนทั่วโลกอีกครั้ง หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจที่มีประกาศออกมามีสัญญาณดีขึ้นเรื่อยๆ
โดย เศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาสที่ 4/53 ขยายตัว 3.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากการ
บริโภคภาคเอกชนและการส่งออกที่ฟื้นตัว ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐมียอดการขยายตัวทั้งปีเท่ากับ “2.9%” หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ “13.4 ล้านล้านดอลลาร์” สูงที่สุดในรอบ 5 ปี
จาก ตัวเลขข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีประกอบกับสภาพคล่องในระบบที่ค่อนข้างสูงจะยังส่ง ผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ช่วงต้นปี 2011 ที่ผ่านมา
ปัจจุบัน “ตลาดหุ้นสหรัฐ” กลับมาเป็นเป้าหมายการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลกอีกครั้งรองจากตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะเอเชีย
Fundamentals สัปดาห์นี้ มีเรื่องราวของสหรัฐมาฝากกัน
................................
@ เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวแล้ว
เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ มองว่า ภาพของเศรษฐกิจโลกในปี 2011 ชัดเจนกว่าในปีก่อนมาก ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของโลกก็ปรับตัวดีขึ้นในสหรัฐก็เช่นกันปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 60.8% สูงสุดตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาสที่ 4 ปี 2010 ก็โตประมาณ 3.2% ตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคก็ขยายตัว 4.8% มีการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าคงทนมากขึ้นนั่นแสดงว่าผู้บริโภคมีความมั่นใจ ในหน้าที่การงานของตัวเองและมีความมั่นใจในรายได้ของตัวเองมากขึ้น และยังสะท้อนว่าประชาชนสหรัฐปัจจุบันเข้าถึงสินเชื่อได้ดีขึ้นเพราะการซื้อ ขายสินค้าของประชาชนชาวสหรัฐส่วนใหญ่ยังนิยมการใช้บัตรเครดิต ในแง่ของตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในระยะสั้นส่งสัญญาณ “ฟื้นตัว” แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะยั่งยืนได้ขนาดไหน แม้เศรษฐกิจสหรัฐจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นแต่อาจจะเร็วเกินไปถ้าจะบอกว่า เศรษฐกิจสหรัฐ “ดีขึ้นแล้ว” และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ยังทำให้ธนาคารกลางสหรัฐยังคงต้องใช้นโยบาย ดอกเบี้ยต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป อย่างไรก็ตามจากสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นทำให้ตลาดมีการประเมินว่าการขึ้น ดอกเบี้ยของสหรัฐเร็วสุดถ้าจะมีก็ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2011 นี้
ที่ สำคัญปัจจุบันมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดเกิดใหม่เทรดที่ สัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้มีเม็ดเงินไหลกลับเข้าไปลงทุนในหุ้นสหรัฐอีกครั้งตั้งแต่ช่วงต้น ปี 2011 ที่ผ่านมา ในภาพรวมครึ่งแรกของปี 2011 หุ้นสหรัฐยังน่าสนใจลงทุน ทำให้เม็ดเงินใหม่ได้รับการจัดสรรไปลงทุนในสหรัฐมากขึ้น ในขณะที่มีไหลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่น้อยลงและที่ไหลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ที่ น้อยลงนั้นก็ยังต้องเลือกประเทศที่จะเข้าไปลงทุนด้วย จึงทำให้เม็ดเงินใหม่ที่จะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเองในช่วงนี้อาจจะลด ลงไปด้วยเช่นกัน
“ช่วง 2 ปี ก่อน ภาพยังไม่ชัดเจน นักลงทุนทั่วโลกไม่ต้องคิดอะไรมากโยกเงินเข้าลงทุนในตลาดเกิดใหม่ที่มีอัตรา การเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกันหมด ปัจจุบันภาพต่างๆ ชัดเจนขึ้น นักลงทุนจึงเริ่มคิดมากขึ้นแม้ว่าหุ้นตลาดเกิดใหม่เศรษฐกิจจะมีการเติบโตดี แต่เมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐแล้ว สัดส่วนผลตอบแทนต่อเงินกองทุนในตลาดสหรัฐจะต่ำกว่า ในตลาดเกิดใหม่จะได้ผลตอบแทนสุทธิ 7% ต้องใช้สินทรัพย์โตขึ้นถึง 50% ในขณะที่ตลาดสหรัฐให้ผลตอบแทนสุทธิ 6% ใช้สินทรัพย์โตขึ้นเพียง 10% เท่านั้น จะเห็นว่าการลงทุนในสหรัฐมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า แล้วปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐเองก็มีคุณภาพที่ดีกว่าตลาดเกิด ใหม่จริง การลงทุนในตลาดเกิดใหม่จึงต้องใช้เงินก้อนใหญ่เพื่อที่จะสร้างผลตอบแทนให้ เกิดขึ้น กรณีของจีนต้องทำให้สินทรัพย์โตขึ้น 40% จึงจะได้ผลตอบแทนสุทธิประมาณ 11%”
@โอกาสลงทุนในแดนมะกันครึ่งปีแรก
โดย “ชัยเกษม วัฒนศิริพงษ์” หัวหน้าฝ่ายจัดจำหน่ายกองทุน บลจ.อเบอร์ดีน บอกว่าปัจจุบันเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วโดยเฉพาะสหรัฐเริ่มได้รับความ สนใจจากนักลงทุนอีกครั้ง เพราะประเทศในกลุ่มนี้ไม่มีปัญหาเรื่องเงินเฟ้อเหมือนตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะ ในเอเชียที่จะทำให้มีแนวโน้มว่าธนาคารกลางจะต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อ สกัดเงินเฟ้อซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นโดยรวม จึงไม่น่าแปลกใจว่าตั้งแต่ต้นปีมาถึงสิ้นเดือนม.ค.2554 ตลาดหุ้นเกิดใหม่ส่วนใหญ่ต่างปรับตัวลดลง ในขณะที่ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วนั้นสหรัฐมีความน่าสนใจที่สุด
จากการคาดการณ์ ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2011 ไว้ที่ประมาณ 4.4% สหรัฐโตประมาณ 2.5 - 3.0% อังกฤษโตประมาณ 1.5% และญี่ปุ่นโตประมาณ 1.6% ซึ่งจะเห็นว่าเศรษฐกิจของสหรัฐมีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีกว่ากลุ่มประเทศ พัฒนาแล้วโดยรวม ในขณะที่เงินเฟ้อก็ยังไม่ได้เป็นปัญหาเพราะอยู่ในระดับที่ต่ำโดยสหรัฐคาดว่า จะมีเงินเฟ้อในปี 2011 ประมาณ 1.5% ยุโรป 1.2% และญี่ปุ่น 0.0%
“จึงไม่ น่าแปลกใจที่ตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันที่ 21 ม.ค.2554 นั้น มีเงินลงทุนไหลเข้าสหรัฐแล้วประมาณ 13,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ 6,700 ล้านดอลลาร์ หรือมากกว่ากันเกือบเท่าตัว แม้ว่าโดยภาพรวมตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะเอเชียจะเป็นภูมิภาคที่ผู้จัดการกองทุน ชอบเป็นอันดับ 1 ก็ตาม แต่สหรัฐได้ขึ้นมาเป็นภูมิภาคที่น่าสนใจอันดับ 2 ของผู้จัดการกองทุนทั่วโลกแล้วในปัจจุบัน ซึ่งในระยะสั้นประมาณครึ่งแรกของปี 2554 นี้ ยังมองเห็นโอกาสที่ดีในการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทยในปีนี้ด้วยเช่น กัน อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงมีความเสี่ยง เช่น อัตราการว่างงานที่สูงอย่างต่อเนื่อง ราคาโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น ตลาดบ้านที่ยังซบเซาและเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และปัญหาการขาดดุลงบประมาณและขาดดุลการค้า ซึ่งทำให้ภาพเศรษฐกิจในระยะยาวของสหรัฐยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่ในระดับ หนึ่งเช่นเดียวกัน”
@ราคาหุ้นไม่แพงแถมมีคุณภาพ
ชัยเกษม ยังบอกอีกว่า ตั้งแต่ต้นปีมาตลาดหุ้นสหรัฐก็ให้ผลตอบแทนค่อนข้าง ดี (ณ วันที่ 31 ม.ค.54) ดัชนี S&P500 ให้ผลตอบแทน 1.5% ดัชนีดาวโจนส์บวก 2.0% ในขณะที่ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ติดลบ 2.0% ตลาดหุ้นอินเดียติดลบ 10.0% ตลาดหุ้นไทยติดลบ 5.0% และตลาดหุ้นอินโดนีเซียติดลบ 5.8% ในแง่ของผลตอบแทนของตลาดหุ้นสหรัฐตั้งแต่ต้นปีถึง ปัจจุบันก็ค่อนข้างดี และในแง่ของมูลค่าหุ้นเองก็ไม่แพงโดยปัจจุบันมี P/E ประมาณ 13.4 เท่า ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่เทรดกันประมาณ 14 - 15 เท่า ในขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียมี P/E ที่ประมาณ 12.9 เท่า ซึ่งส่วนต่างที่เคยกว้างของทั้ง 2 ตลาดเริ่มแคบลง และมองโดยเปรียบเทียบแล้วบริษัทในสหรัฐเองก็เป็นบริษัทข้ามชาติที่มีคุณภาพ ดีกว่าด้วย ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนประมาณ 15% โดยเป็นภูมิภาคที่ผู้จัดการกองทุนทั่วโลกให้ความสนใจลงทุนเป็นอันดับ 2 ของโลกในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามจากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจจะยังมีอยู่จึงทำให้นักลงทุนยัง ไม่กล้าที่จะเข้ามาลงทุนมากนัก ทั้งที่บริษัทในสหรัฐมีฐานะการเงินแข็งแกร่งที่สามารถจะใช้ขยายกิจการใน อนาคตหรือนำมาจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างสบาย
“สหรัฐ ผ่านวิกฤติมาตั้งแต่ปี 2008 แล้ว ย่างเข้าสู่ปีที่ 3 ปัจจุบันนักลงทุนคลายกังวลในเรื่องของการที่เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยรอบ 2 (Double Dip) ลงไปมาก ทำให้เริ่มมีเม็ดเงินไหลกลับเข้าไปลงทุนในช่วงนี้หลังจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาหลังวิกฤติเม็ดเงินลงทุนส่วนใหญ่จะไหลเข้ามาตลาดเกิดใหม่โดย เฉพาะเอเชียเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม แต่ในปีนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปลงทุนในหุ้นสหรัฐอีกครั้ง บริษัทเชื่อมั่นว่าข้อมูลเศรษฐกิจจะสนับสนุนแนวโน้มที่ดีของตลาดหุ้นสหรัฐในระยะสั้นอย่างน้อยก็ ในช่วงครึ่งปีแรก”
@ศก.สหรัฐกำหนดทิศเงินทุนโลก
ส่วน “ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์” รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.แอสเซท พลัส มองว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐมีความน่าสนใจมากขึ้น จริงโดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเช่น ยุโรปหรือญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐยังไม่ดีนักคงต้องติดตามดูกันต่อไป เพราะการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐย่อมจะช่วยกระตุ้น เศรษฐกิจในระยะสั้นได้ดีแต่อาจจะกลายเป็นปัญหาในระยะยาวของสหรัฐติดตามมาก็ ได้ แต่ถ้าในระยะสั้นสหรัฐก็ยังดูดีในแง่ของมูลค่าหุ้นในสหรัฐเองถือว่าค่อนข้าง ถูก เช่น หุ้นสถาบันการเงินส่วนใหญ่เทรดต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีทั้งนั้นประมาณ 0.6 เท่า ในขณะที่หุ้นสถาบันการเงินของไทยเทรดกันที่ PBV ประมาณ 2.0 เท่า ฮ่องกง 2.5 - 3.0 เท่า ดังนั้นถ้ามองหุ้นสหรัฐด้วยมูลค่าเทียบกับ อัตราการเติบโตของกำไรแล้วจึงมีความน่าสนใจมากกว่า แนวโน้มของเม็ดเงินลงทุนตั้งแต่ช่วงต้นปี 2011 ที่ผ่านมาจึงไหลกลับเข้าไปสู่ตลาดที่พัฒนาแล้ว หลังจากที่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเม็ดเงินลงทุนส่วนใหญ่จะไหลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะเอเชีย รวมทั้งไทยด้วย
“ถ้าเงิน QE2 (Quantitative Easing II) ที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจรอบล่าสุด หมดลงแล้ว เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตต่อเนื่องได้ โดยที่ไม่ต้องใช้ QE-3 แล้ว ก็อาจจะเป็นสัญญาณในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐต่อเนื่อง แต่ในทางตรงข้ามถ้าหมด QE2 แล้ว เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ฟื้น แล้วต้องมี QE-3 ติดตามออกมา ก็คงจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดเกิดใหม่อีกครั้ง เงินทุนน่าจะมีการไหลกลับเข้ามาในตลาดเกิดใหม่อีกรอบ รวมถึงสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ และน่าจะส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ปรับตัวขึ้นได้อีกครั้ง ดังนั้นคงต้องจับตาดูเศรษฐกิจสหรัฐอีกครั้งในช่วงกลางปีที่จะถึงนี้ แต่ในระยะสั้นภาพของเศรษฐกิจสหรัฐดูดีขึ้นจริงๆ”
@อัพไซด์ไม่มากเท่าตลาด เกิดใหม่
โดย “ธีรนาถ รุจิเมธาภาส” กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทิสโก้ ยอมรับว่า ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วสหรัฐดูดีที่สุดดีกว่ายุโรปที่ยังมีปัญหาหนี้และ ญี่ปุ่นที่เศรษฐกิจยังไม่เติบโตไปไหน ปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ใน “ช่วงฟื้นตัว” แต่ถ้าจะมอง “โอกาสในขาขึ้น (up side)” คงไม่ได้มากอะไรเฉลี่ยประมาณ 7 - 10% ต่อปี ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจแล้วสหรัฐเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้ว ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่าถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นจริง ตลาดเกิดใหม่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วก็ต้องมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจมีการส่งออกมาสหรัฐนี่ยิ่งทำให้ “ตลาดเกิดใหม่” ยังคงน่าสนใจลงทุนอยู่และมีโอกาสของ upside มากกว่าตลาดหุ้นสหรัฐด้วย ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ด้วยกันบริษัทยังชอบ “เอเชีย” และในเอเชียเองชอบ “จีน” มากที่สุดเพราะเศรษฐกิจเขามีเป้าหมายในการเติบโตระยะยาวไม่ต่ำกว่า 8% ต่อปี เป็นเป้าหมายของภาครัฐแต่ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไม่เพอร์ฟอร์มเท่าที่ควร
“ปัจจุบัน ตลาดหุ้นจีนเทรดที่ P/E ถูกมาก เรียกว่าถูกกว่าตลาดหุ้นไทยด้วยซ้ำ ทั้งที่มีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่ามาก และไม่มีใครสงสัยการเติบโตของจีนเลย แต่ถ้าใครที่สนใจจะแบ่งเงินบางส่วนไปลงทุนในสหรัฐก็ได้ตรงนี้ขึ้นกับการจัด สรรเงินลงทุนของแต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกัน”
เช่นเดียวกับ “สาห์รัช ชัฏสุวรรณ” หัวหน้าฝ่ายการลงทุน บลจ.ทิสโก้ ที่มองว่า เงินที่ไหลกลับไปลงทุนในสหรัฐอาจจะมีช่วงที่ต้องพิจารณาการจัดสรรเงินทุนอีก ครั้งในช่วงที่มาตรการ QE2 หมดลงว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเป็นอย่างไรต่อไปด้วย แต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาที่มีเม็ดเงินไหลกลับเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐนั้นเป็นผลมาจากการปรับ สัดส่วนการลงทุน (Asset Allocation) ของนักลงทุนต่างชาติใหม่อีกครั้งซึ่งเป็นการ “ปรับเชิงกลยุทธ์” ซึ่งปกติจะใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือน เพราะไม่ได้เป็นการปรับพอร์ตที่มีเหตุมาจากการที่ “ปัจจัยพื้นฐาน” เปลี่ยนเหมือนในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดเกิดใหม่ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากโดยเฉพาะเอเชียรวมทั้งไทย ในขณะที่ตลาดสหรัฐยังไม่ได้ปรับตัวไปไหนมาก เมื่อสัญญาณทางเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัวประกอบกับราคาหุ้นตลาดเกิดใหม่ก็ ค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐเพราะช่วงต้นปีมีระดับ P/E ที่ใกล้เคียงกัน จึงทำให้มีการโยกเงินกลับไปลงทุนในตลาดพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอีกครั้ง
“เศรษฐกิจ สหรัฐจะฟื้นอย่างยั่งยืนหรือไม่นักลงทุนคงต้องจับตาดู 2 ปัจจัย คือ 1) ตัวเลขการว่างงานว่าปรับตัวลงมาหรือยัง และ 2) ราคาบ้านของสหรัฐว่าเริ่มฟื้นหรือยัง ซึ่งปัจจุบัน 2 ปัจจัยนี้ยังไม่เกิดขึ้น”
@มองต่างมุมเกี่ยวกับ ศก.สหรัฐ
ในขณะที่ แนวคิดกระแสหลักของโลกกำลังมองเศรษฐกิจสหรัฐในเชิงบวก แต่ “ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ” กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวิจัย บล.ภัทร มองต่างไปว่า เศรษฐกิจสหรัฐนั้นตกอยู่ในวังวนของความขัดแย้งหลายประการ เช่น เศรษฐกิจจะต้องฟื้นตัวเพื่อที่รัฐบาลจะเก็บภาษีได้มากขึ้นเพื่อลดการขาดดุล งบประมาณ แต่เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ดอกเบี้ยก็จะต้องปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำ และภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นสำหรับทั้งภาครัฐและประชาชน การฟื้นตัวซึ่งมาจากการเพิ่มการผลิตและการบริโภคย่อมจะกดดันให้ราคาน้ำมัน และวัตถุดิบอื่นๆ ปรับขึ้นไปอีกซึ่งจะเป็นผลลบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ไม่ เพียงเท่านี้คนอเมริกันจะต้องออมเงินมากขึ้นเพราะปัจจุบันสังคมอเมริกัน กำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว (ผู้ที่เกิดในยุค Baby Boom 1947-1962 กำลังเข้าสู่วัยชรา คืออายุ 65 ปีทุกๆ วัน วันละ 10,000 คน) แต่หากอัตราการออมปรับเพิ่มขึ้นจาก 6% ไปเป็น 10% ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมในระยะยาว ก็จะทำให้การบริโภคลดลงซึ่งจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะสั้นและจะ ทำให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีกด้วย
“ปัจจุบันสื่อกระแสหลัก ประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2011 จะขยายตัว 3 - 4% มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 2 ล้านตำแหน่ง กำไรของบริษัทจะขยายตัวทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 10-15% (ทำให้เชื่อกันว่าตลาดหุ้นอื่นๆ รวมทั้งไทยจะสามารถปรับตัวได้ 15-20% ในปี 2011 เช่นกัน) แต่การฟื้นตัวในปี 2010 เป็นภาพลวงที่ก่อขึ้นมาจากการกู้เงินจำนวนมหาศาลโดยรัฐบาลและธนาคารกลาง สหรัฐ แม้ว่าความรู้สึกของคนทั่วไปในครึ่งแรกของปีนี้คงจะเห็นพ้องต้องกันว่า เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง แต่ก็จะเป็นผลมาจากการปั๊มเงินเข้าระบบโดยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลของนายเบอร์ นันเก้เดือนละ 75,000 ล้านดอลลาร์ ประกอบกับการลดภาษีและเงินอุดหนุนผู้ตกงานของนายโอบามารวมทั้งสิ้นกว่า 800,000 ล้านดอลลาร์”
ดร.ศุภวุฒิ ตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลสหรัฐกำลังเดิมพันว่าประชาชนสหรัฐจะหลงเชื่อว่าเศรษฐกิจกำลังดีวันดี คืน และหันมาใช้จ่ายทุกภาคส่วนเกิดความเชื่อมั่น มีการผลิตและจ้างงานเพิ่ม ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจบูมอีกครั้ง รัฐบาลก็จะเก็บภาษีได้เพิ่มและรายจ่ายสวัสดิการสำหรับผู้ตกงานก็จะลดลง สามารถลดการขาดดุลและลดหนี้สาธารณะได้ แต่คำถามคือการสร้างภาพลวงดังกล่าวจะประสบความสำเร็จต่อเนื่องในปี 2011 หรือไม่ เชื่อว่าการเดิมพันของผู้นำสหรัฐจะประสบความล้มเหลวในที่สุด
“ดัง นั้นการวาดภาพอันสวยหรูว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 3 - 4% การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 2 ล้านตำแหน่งและการที่ตลาดหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้น 10 -15% นั้น หากนายเบอร์นันเก้ ต้องกล่าวถึง QE-3 เมื่อใดก็แปลว่าการเดิมพันนั้นได้ถูกเปิดโปงและปัญหาใหญ่กำลังคืบคลานมาถึง แล้วนั่นเอง”
ทั้งหมดนี้คือมุมมองจากผู้รู้ในแวดวงตลาดเงินตลาดทุนที่มี ต่อเศรษฐกิจและการลงทุนใน “สหรัฐ” ซึ่งปัจจุบันได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในเป้าหมายการลงทุนของเม็ดเงินลงทุนจาก ทั่วโลก แม้จะเป็นเพียง “อันดับ 2” รองจากหุ้นตลาดเกิดใหม่ก็ตามที

แหล่งที่มา กรุงเ้ทพธุรกิจ


อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  

girdpol
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]




Friends' blogs
[Add girdpol's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.