Group Blog
 
All blogs
 
หุ้นไทย 1,000 จุด ใครว่าแพง (ยกมือขึ้น)


เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2553 เรียบร้อยแล้ว สำหรับ “แฟนพันธุ์แท้-กองทุนประหยัดภาษี” ที่ยังไม่ได้ลงทุนใน “กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)” หรือ “กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)” ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นก็คงคิดหนักเช่นเดียวกัน ถ้ายังลังเลสงสัยในทิศทางตลาดหุ้นไทยอยู่นั้น Fundamentals สัปดาห์นี้ มีมุมมองของผู้เชี่ยวชาญในแวดวงตลาดทุนพร้อมคำแนะนำดีๆ มานำเสนอ
.............................
@ หุ้นไทย 1,000 จุด ใครว่าแพง?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ” ประธานกรรมการบริหาร บมจ.หลักทรัพย์เอเซีย พลัส บอกว่า หากมองย้อนกลับไปเมื่อต้นปี 2553 คงไม่มีใครคาดคิดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะขึ้นมาถึงระดับ 1,000 จุด ได้ และในวันนี้ที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1,000 จุด ก็เริ่มมีคนตั้งคำถามว่า “ตลาดหุ้นไทยแพงไปหรือยัง” อยากให้ดูข้อมูลในอดีตสมัยดัชนีตลาดหุ้นไทย 1,700 จุด นั้น สัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) อยู่ประมาณ 30 เท่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ประมาณ 5.0% อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 10.0% ฟองสบู่จะเกิดขึ้นเมื่อทุกคนเข้าไปซื้อขายหุ้นโดยไม่มีเหตุผล แต่ปัจจุบันยังไม่เรียกว่าฟองสบู่เพียงแต่เริ่มมีสัญญาณที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำทำให้มีเงินบางส่วนที่ย้ายเข้าไปลงทุนใน สินทรัพย์เสี่ยงเพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมี P/E ประมาณ 15 เท่า มีอัตราการเติบโตของกำไร (EPS) ประมาณ 24% มองไปในปีหน้า EPS ก็ยังคงเติบโตได้ ซึ่งจะทำให้ P/E ตลาดหุ้นไทยในปีหน้าอยู่ประมาณ 13 เท่า การที่จะมีเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยแล้วทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาจึงไม่ใช่ เรื่องแปลกแต่ประการใด ด้วยข้อมูลในปัจจุบันมองว่าตลาดหุ้นไทยในปีหน้าจะมีเป้าหมายอยู่ ที่ 1,200 จุด
ทั้งที่ในเดือนพ.ค. 2553 ที่ผ่านมา ในช่วงที่ประเทศไทยมีปัญหาความวุ่นวายในประเทศนั้น ต่างชาติขายหุ้นไทยเพียงเดือนเดียวถึง 58,000 ล้านบาท ทั้งที่ช่วงก่อนหน้ายังมียอดซื้อสุทธิอยู่ประมาณ 44,000 ล้านบาท เรียกว่าหายออกมาเป็นยอดขายสุทธิในเดือนเดียวเลย แต่ปัจจุบันต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยอีกครั้งและมียอดซื้อ สุทธิอยู่ประมาณ 51,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นเพราะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งเป็นแกนอ้างอิงของค่าเงินทั่วโลก มีการอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วกว่าที่คิดไว้ ทำให้เงินต้องหาที่ไปเพื่อลงทุน
“ใน ปีค.ศ. 1997 ก่อนที่ฟองสบู่จะแตกนั้น สภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแตกต่างจากในปัจจุบันนี้ ตอนนั้นนักลงทุนซื้อหุ้นตัวไหนก็ได้กำไร ส่วนจะกำไรมากหรือน้อยเป็นอีกเรื่องหนึ่งแต่ใครที่ลงทุนในหุ้นช่วงนั้นไม่ ได้กำไรถือว่าแย่มากแล้ว แต่วันนี้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังไม่มากในระดับนั้น ความกังวลของนักลงทุนยังมีอยู่มากพอสมควร ซึ่งก็น่าจะเป็นสัญญาณหนึ่งว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่เป็นฟองสบู่และยัง มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ เพราะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า เงินจึงต้องกระจายไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นแทนซึ่งถูกต้องแล้ว เพียงแต่ในปีหน้านักลงทุนคงต้องเลือกหุ้นเพื่อลงทุนมากขึ้น โดยหุ้นในกลุ่มพลังงาน ถ่านหิน อาหาร รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลายน่าจะยังได้ประโยชน์จาก การที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีการปรับฐานนั่นเอง”

@ เงินต่างชาติหนุนหุ้นเอเชีย-ไทยต่อเนื่อง
“วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล” กรรมการบริหาร บล.ทรีนีตี้ บอกว่า ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงต้องได้รับการแก้ไขต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันตลาดคาดการณ์ว่าเม็ดเงินที่ทางการสหรัฐจะมีการอัดฉีดเข้าระบบ นั้นยังมีอีกประมาณ “1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ” หลังจากที่ QE2 ออกมาแล้วประมาณ 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเม็ดเงินใน QE2 จะใช้หมดประมาณมิ.ย. 2554 ซึ่งคาดว่าจะมี “QE3” ตามมาอีกครั้ง ซึ่งเงินที่จะอัดฉีดเข้าระบบเหล่านี้จะทำให้เกิดสภาพคล่องส่วนเกินในระบบ ที่ไม่ได้ไหลเข้าสู่ภาคการผลิตที่แท้จริงแต่จะไหลเข้ามาในตราสารทางการเงิน เป็นส่วนใหญ่ โดยเป้าหมายของเม็ดเงินเหล่านี้ยังคงเป็นตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะในเอเชียไม่ ว่าจะเป็นตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ที่ปัจจุบันให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตร รัฐบาลสหรัฐอยู่ประมาณ 3.7% และมีโอกาสจะได้อัพไซด์จากการลงทุนอีกประมาณ 2.00% รวมถึงหุ้นตลาดเอเชียซึ่งรวมทั้งประเทศไทยด้วย โดยมีการคาดว่าเม็ดเงินที่จะไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียนั้นจะมีต่อเนื่อง ไปอีกอย่างน้อย “20 ปี ข้างหน้า”
“ปัจจุบัน ในปีค.ศ. 2010 ประเทศในเอเชียมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) รวมกันประมาณ 37% ของ GDP โลก แต่ตลาดหุ้นในเอเชียมีมูลค่าตลาดรวมกันประมาณ 31% ของตลาดหุ้นโลกเท่านั้น โดยแนวโน้มของเม็ดเงินที่จะไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียอย่างต่อเนื่องใน อีก 20 ปีข้างหน้า นั้น จะทำให้ GDP ของเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 49% และ 59% ของ GDP โลก ในปีค.ศ. 2020 และ ปี ค.ศ. 2030 ตามลำดับ และจะทำให้มูลค่าตลาดรวมของหุ้นเอเชียเพิ่มขึ้นเป็น 44% และ 55% ของตลาดหุ้นโลก ในปี 2020 และ 2030 ตามลำดับ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเอเชีย ในอีก 20 ปีข้างหน้าที่จะมีบทบาทเพิ่มขึ้นในโลกทั้งในแง่ของ GDP และมูลค่าตลาดรวมของหุ้นที่จะมีขนาดเกิน 50% ของโลกเลยทีเดียว และมาตรการควบคุมเงินไหลเข้ามาในเอเชียจะไม่มีผลกระทบต่อการไหลเข้าของเงิน แต่ประการใด จากข้อมูลที่ผ่านมาเมื่อมีมาตรการควบคุมค่าเงินในเอเชียประกาศใช้ อาจจะทำให้ตลาดหุ้นในเอเชียปรับลงเล็กน้อยโดยเฉลี่ยประมาณ 2.5% ก่อนที่จะปรับขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งไม่นาน”
ตลาดหุ้นไทยก็เช่นเดียวกัน ในช่วงที่ผ่านมาต่างชาติให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ระดับ “เป็นกลาง (Neutral)” เท่านั้น หากมีการปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยขึ้นในอนาคตก็เชื่อมั่น ว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติจะไหลเข้ามาได้อีกเป็นจำนวนมากทีเดียว และจากข้อมูลในอดีตที่ผ่านมาพบว่าหากรัฐบาลมีอายุเกิน 2 ปี ตลาดหุ้นไทยมักจะให้ผลตอบแทนที่ดี กว่ารัฐบาลที่มีอายุสั้น ซึ่งปัจจุบันปัจจัยการเมืองของไทยค่อนข้างนิ่ง โอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะได้มีการปรับน้ำหนักให้ ขึ้นไปซื้อขายที่สัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เท่ากับตลาดภูมิภาคก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน จากปัจจุบันที่ตลาดหุ้นไทยมี P/E ประมาณ 13 - 14 เท่า ในขณะที่ตลาดเอเชียอยู่ที่ 15-16 เท่า ยังมีส่วนลดจากตลาดภูมิภาคประมาณ 10%
“โดยตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่ส่วนต่างตรง นี้จะค่อยๆ ลดลงในอนาคตด้วย โดยบริษัทมองเป้าหมายดัชนีในปีหน้าไว้ที่ระดับ 1,200-1,400 จุด”

@ เงินกองทุนประหยัดภาษีดันหุ้นไทยสิ้นปี
การลงทุนในกอง ทุนประหยัดภาษี ทั้ง “กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)” และ “กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)” ถือเป็น “การลงทุนตามฤดูกาล” ไปแล้วสำหรับคนไทย เพราะจากข้อมูลย้อนหลังพบว่าเม็ดเงินลงทุนในกองทุนประหยัดภาษีส่วนใหญ่ ประมาณ 80% จะเข้าลงทุนในช่วงเดือนสุดท้ายของปี
เกี่ยวกับเรื่องนี้ “สมชัย บุญนำศิริ” กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย บอกว่า ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของทุกปีถือเป็นฤดูกาลลงทุนในกองทุนประหยัดภาษีทั้ง RMF และ LTF อย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2 อาทิตย์สุดท้ายของปี ซึ่งจากข้อมูลสถิติขอเม็ดเงินลงทุนใหม่สุทธิของกองทุนประหยัดภาษีในปีปกติก็ ยืนยันข้อเท็จจริงนี้ด้วยเช่นกัน โดยในปี 2552 มี “เม็ดเงินใหม่สุทธิ” เข้าลงทุนในกองทุน RMF ตลอดทั้งปีเป็นเม็ดเงินประมาณ 10,289.85 ล้านบาท แต่เป็นเม็ดเงินสุทธิที่เข้ามาลงทุนในช่วง 2 เดือนสุดท้าย ประมาณ 8,823.60 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 85.75% ของเม็ดเงินสุทธิที่เข้าลงทุนตลอดทั้งปี เช่นเดียวกับกองทุน LTF ที่ตลอดปี 2552 มีเม็ดเงินสุทธิไหลเข้ามาลงทุนรวมกันประมาณ 16,790.14 ล้านบาท โดยเป็นเม็ดเงินสุทธิที่ไหลเข้ามาลงทุนในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีประมาณ 15,191.78 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 90.48% ของเม็ดเงินลงทุนสุทธิตลอดทั้งปีเลยทีเดียว
แม้ว่าในปี 2553 ที่ผ่านมา จะมีกองทุนประหยัดภาษีบางส่วนที่ครบตามเงื่อนไขและสามารถไถ่ถอนได้ ทำให้มีเม็ดเงินไหลออกจากกองทุนประหยัดภาษีไปบางส่วน และด้วยการกลับเข้ามาลงทุนใหม่อีกครั้งนั้นก็ยังคงถูกจำกัดให้ลงทุนได้ตาม สิทธิเท่าเดิม แนวโน้มที่เม็ดเงินไหลออกจะมากกว่าเม็ดเงินไหลเข้าก็มีอยู่ อย่างไรก็ตามในแง่ของเม็ดเงินลงทุนสุทธิที่จะไหลเข้ามาลงทุนในกองทุนประหยัด ภาษีทั้ง RMF และ LTF นั้น คาดว่าจะมากกว่าในปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
“โดย ปกติการลงทุนในกองทุนประหยัดภาษีก็เป็นฤดูกาลเช่นเดียวกันที่ปกติจะมีเม็ด เงินลงทุนไหลเข้ามากในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี คือ เดือนพ.ย. - ธ.ค. ของทุกปี ตัวเลขเม็ดเงินลงทุนโดยภาพรวมก็ไม่น่าจะลดลง สำหรับนักลงทุนที่จะเข้าลงทุนในกองทุน LTF และ RMF ในช่วงนี้ โดยเฉพาะผู้ที่ลงทุนในหุ้นอยากให้มองมุมกลับว่าหากฐานภาษีคุณอยู่ที่ 20% เข้าซื้อที่ดัชนีประมาณ 1,000 จุด ตลาดหุ้นต้องลงไปที่ระดับ 800 จุด คุณถึงจะเท่าทุน ถือเป็นแต้มต่อที่น่าสนใจ และอยากให้มองในมุมนี้ด้วยเช่นกัน”

@ ดัชนี 1,000 จุด ยังห่างไกลภาวะฟองสบู่
“ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.อยุธยา มองว่า หากมองสัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ของตลาดหุ้นไทยในปี ค.ศ. 2011 อยู่ประมาณ 12-13 เท่า หุ้นเอเชียประมาณ 12-13 เท่า หุ้นสหรัฐประมาณ 12 เท่า หุ้นจีนประมาณ 12 เท่า หุ้นญี่ปุ่นประมาณ 12 เท่า โดยภาพรวมก็ยังไม่เห็นสัญญาณฟองสบู่ในตลาดหุ้น เพราะจะเกิดฟองสบู่ในตลาดหุ้นค่า P/E ต้องสูงขึ้นไปในระดับหนึ่ง เหมือนหุ้นไทยในอดีตก็ต้องระดับ 20-30 เท่า แล้วฟองสบู่ตลาดหุ้นจะแตกได้ใน 2 ช่วง คือ 1) ดอกเบี้ยสูงมาก กับ 2) ดอกเบี้ยต่ำมาก ปัจจุบันดอกเบี้ยต่ำมากก็จริงแต่ P/E ของหุ้นก็ต่ำด้วย โอกาสที่จะเกิดฟองสบู่แตกเป็นไปได้ยากในปัจจุบัน
“แต่ถ้าใช้สัดส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) มาดู ปัจจุบันไทยอยู่ประมาณ 2.1 เท่า ใกล้เคียงกับภูมิภาคที่ประมาณ 2.1 เท่า ซึ่งระดับที่เคยสูงสุด คือประมาณ 3 เท่า มองไปข้างหน้าอีกประมาณ 2 ปี ถ้าดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปอีก 50% ใน 2 ปี ที่ดัชนีประมาณ 1,500 จุด P/BV ประมาณ 3 เท่า ก็คงเป็นสัญญาณฟองสบู่ลูกโตแล้ว ซึ่งก็เป็นไปตามปกติของช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตลาดหุ้นจะเติบโตไปเป็นฟองสบู่ใน ปีที่ 5 โดยประมาณ ตลาดหุ้นไทยผ่านมาแล้ว 2 ปี ก็อีกประมาณ 3 ปี ถึงจะเรียกว่าฟองสบู่ได้บนการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ประมาณ 10-15% และหุ้นมีการปรับขึ้นไปปีละ 10-15% เช่นเดียวกัน แต่ที่ห่วงคือตลาดปรับตัวขึ้นเร็วกว่าปีละ 20-30% จนกำไรโตไม่ทัน ฟองสบู่ก็อาจจะมาเร็วกว่าที่คิดได้เช่นกัน”
เช่นเดียวกับ “ยืนยง เทพจำนงค์” ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนงานลงทุนตราสารทุน บลจ.กรุงไทย มองว่า บริษัทมองความเสี่ยงในขาลง (Downside) ของตลาดหุ้นไทยในปีนี้มีไม่มากอยู่ บริเวณแนวรับ 950 จุด ดังนั้นที่ดัชนีปรับฐานลงมาต่ำกว่า 1,000 จุด นี้ จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุนในกองทุน LTF และ RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น โดยบริษัทมองเป้าหมายดัชนีในปี 2554 ไว้ที่ 1,200 จุด ที่สัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ประมาณ 13 เท่า ซึ่งจุดสูงสุดของดัชนีหุ้นไทยในปีหน้านั้นอาจจะเกิด ขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปีได้เช่นกัน ในส่วนของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันยังห่างไกลจาก ภาวะฟองสบู่ค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะโครงสร้างของตลาดหุ้นในปัจจุบันที่แตกต่างจากในช่วง วิกฤติต้มยำกุ้งด้วย ในช่วงนั้นหุ้นที่มีสัดส่วนในตลาดค่อนข้างมากจะเป็นหุ้นสถาบันการเงินหรือ หุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มี P/E ค่อนข้างสูง ทำให้ตลาดหุ้นไทยในช่วงนั้นซื้อขายกันที่ P/E ค่อนข้างสูงเช่นเดียวกัน แต่ในปัจจุบันหุ้นที่มีน้ำหนักในดัชนีมากเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงานที่มี P/E ค่อนข้างต่ำ และการที่ P/E จะขึ้นไปสูงมากก็คงไม่ง่ายนัก ทำให้ภาพตลาดหุ้นไทยในตอนนี้อาจจะต่างกับช่วง ก่อนวิกฤติต้มยำกุ้งพอสมควร
“อีกหนึ่งประเด็นที่ต่างกัน คือ การกำกับดูแลของหน่วยงานภาครัฐทำให้โอกาสที่จะเกิดภาวะการเก็งกำไรอย่างมาก มายในตลาดหุ้นไทยเกิดขึ้นได้ยากต่างจากภาพ ในอดีตช่วงก่อนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งที่การเก็งกำไรในตลาดหุ้นมีมากมายมหาศาล เมื่อระดับการเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันมีโอกาสจะไปถึง จุดนั้นยากในปัจจุบันโอกาสที่จะเกิดฟองสบู่ในตอนนี้ก็ยังห่างไกลพอสมควร จุดสังเกตที่น่าจะเรียกว่าตลาดหุ้นเริ่มเป็นฟองสบู่ได้นั้นน่าจะเป็นตลาดที่ มี P/E ประมาณ 17 เท่า ซึ่งหากคำนวณในปัจจุบันก็จะเป็นระดับดัชนีประมาณ 1,500 จุด ถ้าถึงระดับนั้นน่าจะเรียกว่าฟองสบู่ได้เช่นกัน”

@ แนะกลยุทธ์ลุยหุ้นโค้งสุดท้าย
“สานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล” นักวิเคราะห์กองทุนรวม บมจ.หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในระยะยาวยังเป็นแนวโน้ม ขาขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีแนวต้านสำคัญถัดไปที่ประมาณ 1,100-1,200 จุด ถ้าผ่านขึ้นไปได้ก็มีโอกาสขยับเดินหน้าต่อไป แต่หากไม่ผ่านก็มีโอกาสที่จะได้เห็นดัชนีมีการปรับฐานใหญ่ได้เช่นกันซึ่งหาก มองทางเทคนิคแนวรับในการปรับฐานใหญ่จะอยู่ประมาณ 825 จุด อย่างไรก็ตามถ้ามองภาพตลาดหุ้นไทยในระยะยาว 3-5 ปี จากข้อมูลในปัจจุบันซึ่งพื้นฐานทางเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนของไทยยัง เติบโตดีนั้น ตลาดหุ้นก็ควรจะปรับตัวขึ้นเพื่อสะท้อนพื้นฐานที่ดีนี้ด้วยเช่นกัน
ในช่วงเดือนสุดท้ายของปี 2553 นี้ ผู้ที่จะลงทุนในกองทุนประหยัดภาษีโดยเฉพาะที่ลงทุนในหุ้นอาจจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) “มองภาพระยะยาว” เลือกกองทุนที่เหมาะสมกับตัวเองแล้วลงทุนไปเลย กับ 2) “มองภาพระยะสั้น” แล้วห่วงว่าตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาสูงแล้ว กังวล ก็อาจจะจัดพอร์ตการลงทุนใหม่โดยลงทุนในกองทุนประหยัดภาษีที่เป็นหุ้นในสัด ส่วนประมาณ 30-40% แล้วที่เหลือไปลงในกองประหยัดภาษีที่ลงทุนในสินทรัพย์ไม่เสี่ยง หรือในกรณีของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ก็ไปลงทุนในกองทุนที่ใช้อนุพันธ์บริหารความเสี่ยงไว้ก่อน ซึ่งปัจจุบันมี 3 บลจ.ที่มีกองทุน LTF ลักษณะนี้ ได้แก่ บลจ.วรรณ บลจ.กสิกรไทย และ บลจ.ไทยพาณิชย์ เพื่อรอจังหวะหุ้นปรับฐานแล้วค่อยสวิตช์กลับเข้าในหุ้นอีกครั้งก็ได้
“ใน ช่วงสุดท้ายของปีก็จะเป็นเทศกาลลงทุนของกองทุนประหยัดภาษีซึ่งเชื่อว่าเม็ด เงินลงทุนที่จะเข้ามาในตลาดหุ้นปีนี้จะไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นมามากแล้วก็ ตาม ดังนั้นภาพตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปีก็น่าจะเป็น ภาพในเชิงบวกอยู่ เพราะเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นปัจจุบันก็ยังไม่ได้หนี หายไปไหน”
สำหรับนักลงทุนที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะลงทุนกองทุน LTF หรือ กองทุน RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นดีหรือไม่นั้น ข้อมูลเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์แก่คุณอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
แหล่งที่มา กรุงเทพธุรกิจ โดยสรวิศ อิ่มบำรุง

อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ



 
ขอบคุณค่ะ


โดย: nunan (nunan@u ) วันที่: 5 ธันวาคม 2553 เวลา:21:55:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

girdpol
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]




Friends' blogs
[Add girdpol's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.