ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

เฉลยแล้ว…ทำไมสายชาร์จและหูฟัง iPhone ถึงเปื่อยและพังง่าย!??



ถือว่าเป็นเรื่องชวนหงุดหงิดสำหรับอุปกรณ์ของ Apple ที่เรียกว่าสายชาร์จไม่ว่าจะเป็นสายชาร์จ Lightning, MagSafe รวมถึงหูฟังของ iPhone (iPod iPad - iPad ไม่มีหูฟังมาให้) ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ทั้งเปื่อยง่ายและพังง่าย จนกลายเป็นเรื่องหนึ่งของ Apple ที่ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ต่างติเตียนกันและยังเป็นคำถามกันว่าทำไม Apple ถึงไม่ทำสายให้ทนกว่านี้? Apple ไว้ในเพจส่วน Environment หรือสิ่งแวดล้อมเอาไว้แล้วครับ

Apple ระบุในหน้า Apple Environment ว่า สสารหลายอย่างที่ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิคส์นั้นมีผลกระทบที่ร้ายแรงทั้งผู้ใช้งานและโลก ดังนั้น Apple จึงออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความสะอาด ใช้วัสดุที่ปลอดภัยเพื่อลดสารพิษที่จะเกิดขึ้น



เราเลือกที่จะไม่ใช้ส่วนผสมที่จำเป็นด้วยเหตุผลที่ดี

3 ดี
ดีต่อธรรมชาติ: กระบวนการผลิตที่ดีและการรับผิดชอบ รักษาธรรมชาติด้วยกรรมวิธีแบบรีไซเคิลเพื่อลดมลพิษที่จะเกิดในพื้นดิน อากาศ และน้ำให้เหลือศูนย์ นอกจากนี้มาตรฐานอุตสาหกรรมการผลิตในเรื่องการรับผิดชอบต่สภาพแวดล้อมของเราก็สูงกว่าที่กฎหมายบังคับด้วย ไม่ใช่แค่บริษัทเรา แต่ยังรวมถึงผู้ผลิตที่มีสัญญากับเราก็ต้องใช้กฎเดียวกัน

ดีต่อผู้ใช้: ไม่มีใครจะใช้เวลากับผลิตภัณฑ์ของ Apple มากกว่าลูกค้าของ Apple โดยการลดมลพิษที่เป็นอันตรายจำนวนมาก เรามั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของเรามีความปลอดภัยในการใช้งานไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีแล้วก็ตาม อย่างเช่น สายชาร์จต่างๆ เราไม่ใช้ส่วนผสมของ PVC และ phthalate ทัชสกรีนไม่มี Arsenic เคสและวัตถุใกล้เคียงปลอด BFR

ดีต่อผู้ผลิต: Apple มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้สภาพการทำงานหรือการผลิตนั้นปลอดภัยต่อผู้ผลิต (บุคคล) นอกจากตัวผลิตภัณฑ์จะไม่มีสารพิษแล้ว แน่นอนว่ากระบวนการผลิตจะต้องไม่มีสารพิษเช่นเดียวกัน และแน่นอนว่าผู้ผลิตของเราทราบดีว่า Apple เข้มงวดมากในเรื่องนี้



สารต่างๆ ที่ Apple ไม่เลือกใส่ในผลิตภัณฑ์

Apple ออกแบบผลิตภัณฑ์โดยใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ Apple ยังมีแลบสำหรับการทดสอบเรื่องสารพิษ มอลพิษของตัวผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นจนจบกระบวนการการผลิต

กล่าวคือ Apple เลือกที่จะไม่เป็นศัตรูกับสิ่งแวดล้อมโดยเลือกใช้วัสดุที่ไม่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม อย่างเช่น การไม่ใช้วัสดุ PVC กับผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์อย่างเช่นสายชาร์จคงทนกว่าเดิม นอกจากนี้ วัสดุที่นำมาใช้จะต้องสามารถนำมารีไซเคิลได้ใหม่ได้ด้วยครับ


ขอขอบคุณที่มา ::: ::: Apple




 

Create Date : 18 มิถุนายน 2558   
Last Update : 18 มิถุนายน 2558 8:45:58 น.   
Counter : 2077 Pageviews.  

อึ้ง!! เด็ก 12 มือใหญ่มากกว่า 1 ฟุต หนักกว่า 8 กิโล



อึ้ง!! เด็ก 12 มือใหญ่มากกว่า 1 ฟุต หนักกว่า 8 กิโล

Kaleem เป็นเด็กชายชาวอินเดีย อายุ 8 ปี มือ ของเขาใหญ่ผิดปกติ โดยแต่ละข้างหนักถึง 8 กิโลกรัม ขนาด 13 นิ้ว เลยทีเดียว เขาใช้ชีวิตได้ลำบากมาก แม้แต่การจะผูกเชือกรองเท้าตัวเอง ยังไม่สามารถทำได้

ด้วยความผิดปกติของเขา ทำให้เขาถูกเด็กๆด้วยกันรังเกียจและกลั่นแกล้งเขาสาระพัด เด็กชายเล่าว่า “ผมไปโรงเรียนไม่ได้เพราะครูที่โรงเรียนบอกว่าเด็กๆคนอื่นๆกลัวมือ ของผม เด็กหลายคนชอบรังแก ด้วยการมาตี มือ ของผม” “ผมไม่สามารถติดกระดุมเสื้อและใส่กางเกงเองได้”


พ่อแม่ของเขายากจนมากมีรายได้เพียง £15 ต่อเดือน พวกเขาพยายามหาทางช่วยเหลือลูกชายของเขาแต่ไม่สามารถทำได้ Haleema อายุ27 ปี แม่ของเขาเล่าว่า “เมื่อตอนที่ Kaleem เกิดมี มือ ใหญ่เป็น 2 เท่าของเด็กปกติ และค่อยๆใหญ่ขึ้น นิ้วยาวขึ้น”

Shamim พ่อของเขาเป็นห่วงลูกชายมากและเฝ้าโทษตัวเองที่ไม่มีเงินมากพอจะพาลูกไปรักษา โดย Shamim เล่าว่า “เขาต้องลำบากมากไม่สามารถตักอาหารกินเองได้ เพราะกำปั้นไม่โค้งอย่างที่ควรจะเป็น พวกเราจึงต้องป้อนเขา เราต้องการรักษาเขา จนหลายครั้งภรรยาของผมบังคับให้ผมไปขอทาน” “ผมพยายามให้ลูกไปโรงเรียน แต่ครูก็บอกให้ผมฝึกลูกหัดเขียน และทางโรงเรียนจะไม่รับผิดชอบหากว่าเขาโดนเด็กๆแกล้ง”


ดร.Krishan Chugh หัวหน้ากุมารแพทย์แห่งศูนย์การแพทย์ Rajouri Garden ตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นเคสที่หายากมาก อาจจะจะเกิดจากระบบน้ำเหลืองทำให้เกิดการอักเสบรุนแรงมีผลต่อร่างกาย หรืออาจจะเป็นเนื้องอกก็เป็นได้ ซึ่งเขาไม่สามารถยืนยันได้ 100%

พ่อแม่ของเขาเชื่อว่าจะต้องมีทางรักษาอย่างแน่นอน โดยตั้งใจจะหาเงินให้ได้สองเท่าเพื่อรักษาลูกชายให้กลับมาเป็นปกติให้ได้


ที่มา: //thairats.com/ข่าวเด่น_ประเด็นร้อน/ตะลึง-เด็กชาย-มือ-ใหญ่-8-ขว





 

Create Date : 18 มิถุนายน 2558   
Last Update : 18 มิถุนายน 2558 8:45:08 น.   
Counter : 1669 Pageviews.  

เมื่อรู้ว่าน้องสาววัย12 แอบไปนอนกับคนงานข้างบ้าน!! ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์ ของทุกๆครอบครัว



สำหรับบ้านไหนที่มีลูกสาววัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ขอให้อ่านเรื่องราวนี้ไว้ และเป็นไว้เป็นอุทาหรณ์ชั้นดี เพื่อปรับใช้กับบุตรหลานท่านด้วยนะคะ


สืบเนื่องจากกระทู้เตือนภัยของหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งระบุว่าครอบครัวของเธอสามารถจับพฤติกรรมของน้องสาว วัยเพียง 12 ปีได้ว่า ลับลอบปีกออกจากบ้านไปแคมป์คนงานข้างบ้าน เพื่อหลับนอน และได้เสียกับคนงานวัย 20 ปี และได้มีการแจ้งความเอาผิดเป็นที่เรียบร้อย แต่สิ่งที่ไม่สามารถย้อนกลับคืนได้เลย นั่นก็คือความบริสุทธิ์และแนวคิด ทัศนะคติของน้องสาว

เมื่อรู้ว่าน้องสาวตัวเองแอบไปนอนกับคนงานข้างบ้าน เตือนภัย อุทาหรณ์
สวัสดีค่ะ เราขอยืมไอดีเพื่อนมาตั้งกระทู้ อยากได้คำแนะนำและความคิดเห็นจากหลายๆความเห็น ขอเกริ่นแบบคร่าวๆนะคะ เราอายุ 24 ปี เรียนจบแล้ว มีน้องสาวอายุ12 ครอบครัวอยู่กันครบ พ่อ แม่ ลูกค่ะ
เหตุเกิดคือ ไม่กี่วันที่ผ่านมาบ้านเราจับได้ว่า น้องสาวเราแอบไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนงานก่อสร้างข้างบ้านค่ะ ย้ำว่าข้างบ้านเลยค่ะ ข้างๆบ้านมีผู้รับเหมามาเช่าที่ เพื่อสร้างแคมป์ให้คนงานก่อสร้าง ชายคนนั้นอายุ20 น้องเราเป็นคนเต็มใจไปหาเค้าเองค่ะ(แต่ก็ผิดกฎหมายอยู่ดีนั่นแหล่ะ)
ต้องบอกก่อนเลยว่าบ้านเราไม่เคยเลี้ยงน้องแบบกดดัน ไม่เคยคาดหวังเรื่องผลการเรียน ไม่เคยให้อดอยาก อยากกินอะไรก็ได้กิน ถึงจะมีฐานะปานกลางก็เถอะ ปล่อยให้เล่นเฟสให้คุยโทรศัพท์ได้แต่อยู่ในสายตา
คุณพ่อคุณแม่ไปรับไปส่งตลอด กลับบ้านมาน้องก็อยู่กับเรากับแม่ตลอด นอนห้องเดียวกับแม่(คืออยู่กับแม่ตลอดเวลานอกจากตอนไปโรงเรียน แม่ไปตลาดมันก็ขอไปด้วยทุกวัน) ดูทีวีทำกิจกรรมปกติช่วงย็น 

แต่หลังๆเราเริ่มสังเกตความผิดปกติค่ะ บ่นร้อนๆพยายามจะออกนอกตัวบ้าน แต่ก็ไม่ได้ออกรั้วบ้านนะคะ เราก็เข้าใจว่าอาจจะอยากออกไปคุยโทรศัพท์แบบไม่ให้แม่กับเราได้ยิน ตามประสาวัยรุ่น

เริ่มต้นเมื่อตั้นเดือนพฤษาคม ทั้งสองคนแอบจีบกัน แลกเฟสบุ๊คพูดคุยกัน และปลายเดือนพฤษภาคมก็เพิ่งได้เสียกัน จนล่วงเลยมาถึงวันที่จับได้ เพราะน้องเราเผลอหลับที่แคมป์ยันเช้า แอบเข้าบ้านไม่ทัน แม่เราตื่นตีห้าตื่นมาไม่เจอน้อง คือทั้งที่นอนอยู่ข้างๆแม่(ห้องแม่กับน้องอยู่ชั้นล่าง) เราหาทั่วบ้าน นางกลับเข้ามาเราก็ไม่ทันเห็นว่ามาจากตรงไหน(มันปีนกำแพงข้ามมา) มันบอกก็หลับอยู่หน้าบ้านเนี่ยข้างในมันร้อน -,- จนเราแย่งมือถือน้องมาดู น้องดูรนๆแต่ก็ไม่กล้าขัดเรา เราอ่านแชทล่าสุด เราจับใจความได้ว่าผู้ชายคนนั้นต้องอยู่แถวนี้ และอาจเป็นข้างบ้านด้วย ห๊ะ!ข้างบ้าน 

เราออกตามทันที เข้าไปคุยกับผู้รับเหมาเอารูปให้เค้าดูว่าใช่คนงานที่นี่มั้ย(ตอนแรกเราคิดว่าคนพม่า จริงแล้วเป็นคนไทย ยังดีหน่อยสืบประวัติง่าย ถ้าหนีก็ยังตามจับง่าย) เค้าบอกใช่ เราอึ้ง อึ้ง อึ้ง ถามผู้ชายคนนั้นว่าทำอะไรน้องเรารึเปล่า เค้าบอกไม่ได้ทำคุยกันเฉยๆ แต่เรามาคาดคั้นน้องหนักๆ น้องยอมรับว่าหลังจากรอให้ทุกคนในบ้านหลับ ก็แอบปีนหน้าต่างในห้องนี่แหล่ะ(ชั้นล่าง)ออกไป และปีรั้วอีกทีเพื่อหาผู้ชายคนนั้น 

แม่เราเป็นคนหลับสนิทค่ะ จะหลับแค่ห้าทุ่มถึงตีสาม เสียงอะไรนิดหน่อยแม่ไม่ได้ยินหรอก และก่อนที่แม่จะตื่นน้องสาวเราก็จะแอบปีนเข้ามา ตัวเราอยู่ชั้นสองไม่ได้ยินเลย) เราเอาแชทให้ตำรวจอ่าน ตำรวจบอกว่าถ้าขึ้นศาลก็บอกว่าถูกล่อลวงได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นชักชวนพาไปซื้อขนมที่เซเว่น หรือเติมตังโทรศัพท์ให้

เราสอนน้องตลอดว่าความสาวรักษาให้ถึงวันแต่งงานได้ก็ดี ถ้ารักษาไม่ได้ก็สัก 17-18 ปีพยายามยื้อเอาไว้ นี่เราสอนแบบพี่สอนน้องอ่ะ เพราะเราก็เสียตัว17-18เหมือนกัน5555 แต่มันก็โตเต็มวัยแล้ว สอนใส่ถุงยางนะถ้าเผลอมีอะไร คือว่าเราขอน้องเลยอ่ะให้พ้นช่วงม.ต้นไปก่อน เพราะร่างกายยังเด็กและสังเกตเพื่อนๆส่วนใหญ่ ที่มีอะไรกันในช่วงเด็กๆ เดี๋ยวก็เลิกกันอยู่ดี เราเป็นผญ.เสียตัวฟรี และมันเสี่ยงมาก (เราคบกับแฟนมาตั้งแต่ม.3 แต่ไม่ได้มีอะไรกันเลย คบกันมาเรื่อยๆ เราไม่เคยหนีออกจากบ้าน พ่อแม่มาจับเราได้เรื่องเรากับแฟนช่วงมหาลัย แต่ก็แค่ดุและให้คบกันต่อไป) นี่น้องเราตัวเล็กมากกกก ตามวัยเด็ก12 เรานี่สงสารน้องเลย มีอะไรกันเข้าไปได้ไงคะคู้ณณณ 

-คือเราดำเนินคดีตามกฎหมายกับผช.คนนั้น และมาทราบภายหลังว่าไม่ได้คบกับน้องเราคนเดียว เด็กคนอื่นก็อายุ11-12ปี (มันเหมือนนักล่าความสาวเด็กเลย แต่ไม่ได้ข่มขืนนะ) เราไม่ได้เรียกร้องเงิน ทางเราไม่ยอมไกล่เกลี่ยใดๆทั้งสิ้นแต่อยากให้คุมขัง ถ้าให้การในชั้นศาลน้องเราควรพูดอย่างไร
-ตำรวจใช้วิธีโทร.ตามผช.ในเบื้องต้น (เรากลัวมันหนีอ่ะ) ทำไมตำรวจไม่มาพูดคุยถึงบ้านเลย ขอผู้รู้แนะนำด้วยค่ะ
-มีบางคนบอกว่าแม่เราดูแลน้องไม่ดี ปล่อยให้คลาดสายตา แบบนี้เราว่าก็ใกล้ชิดน้องสุดแล้วนะ น้องมันพยายามจะออกไปเอง
-มีบางครั้งตั้งแต่เกิดเรื่องนี้มา แม่เราโทษเราว่าชอบพูดเรื่องเพศให้น้องฟัง น้องเลยทำตามแบบอย่าง เช่น เตือนน้องเรื่องถุงยาง หรือข่าวประเภทข่มขื่น เราชอบยกกรณีตัวอย่าง(นินทา)เพื่อนเราที่ชอบมั่ว และมีแฟนหลายคนให้ฟัง หรือคนที่อยู่ละแวกบ้านที่ท้องไม่มีพ่อ แต่งงานตอนอายุ13 แต่เราเล่าให้ฟังและเตือนเสมอว่ามันไม่ถูกนะ ทำแบบนี้แล้วจะได้รับผลยังไง เสียอนาคตไรงี้ เราก็เถียงแม่ว่าเรื่องแบบนี้น้องควรรู้ได้แล้ว โตแล้วจะได้รู้ภัยสังคม รู้เรื่องเพศ เราทำผิดหรือถูก


ขอขอบคุณที่มา ::: ::: pantip ::สมาชิกหมายเลข 1611803





 

Create Date : 18 มิถุนายน 2558   
Last Update : 18 มิถุนายน 2558 8:44:06 น.   
Counter : 2130 Pageviews.  

ไขปมดราม่าดัง Slow life คืออะไรแน่?



โดย...วรรณโชค ไชยสะอาด


ทันทีที่มีการเผยแพร่บทสัมภาษณ์ตอนหนึ่งของโน้ส อุดม แต้พานิช ที่วิพากษ์ถึงแนวคิดการใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ (Slow life) ของวัยรุ่นไทย ทำนองว่า "ถ้าคุณไม่ขยัน ยังไม่มีกิน อย่าดัดจริตสโลว์ไลฟ์"

คำๆนี้ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกันอย่างสนั่นหวั่นไหวอีกครั้ง ทั้งยังก่อให้เกิดกระแสถกเถียงใหญ่โตว่า แท้จริงแล้วคำว่าสโลว์ไลฟ์มันหมายความว่ายังไงกันแน่

หัวใจคือเรียบง่ายไม่ซับซ้อน

ย้อนกลับไปหลายปีก่อนหน้านี้ ลีโอ บาบัวต้า บล็อกเกอร์ชื่อดังชาวอเมริกัน ผู้ก่อตั้ง Zen Habits เว็บบล็อกยอดนิยมอันดับ 1 ของโลกประจำปี 2010 จากการจัดอันดับของนิตยสารไทม์ ได้สถาปนาคำว่าของ Slow life เป็นครั้งแรก โดยอธิบายไว้ดังนี้

"การใช้ชีวิตที่ย้อนกลับไปสู่ความเรียบง่าย เบรกตัวเองจากความเร่งรีบ ถอยห่างจากระบบอุตสาหกรรมและโลกทุนนิยม หันมาพึ่งพิงสิ่งใกล้ตัว เพื่อตัวเองและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ซึ่งเหมารวมทุกอิริยาบถของชีวิต เปลี่ยนมากินอาหารที่ใส่ใจสุขภาพ เรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเอง อย่างปลูกผักกินเอง หรือการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น"


ลีโอ บาบัวต้า


เขาย้ำว่าหัวใจหลักคือ ใช้ชีวิตอย่างช้าๆ เพื่อความเพลิดเพลินในชีวิต ไม่ยอมให้ความสุขในชีวิตหายไปเพราะเร่งรีบตามกระแสสังคม ซึ่งความเรียบง่ายของชีวิตในรูปแบบต่างๆ ครอบคลุมตั้งแต่การกินอาหารเพื่อสุขภาพ การใช้ชีวิตอย่างประหยัด ความสุข แรงจูงใจ การออม และการบรรลุจุดมุ่งหมายของชีวิต

"คำว่า Slow Life ประกอบด้วยตัวอักษรทั้งหมด 8 ตัว อันหมายถึงการดำเนินชีวิตอย่างลึกซึ้ง

S - Sustainable ใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนด้วยการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาจเริ่มจากการพกถุงผ้าเพื่อลดการใช้ถุงพลาสติก เรียนรู้วิธีการแยกขยะที่ถูกวิธี หรือลงมือปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่ร่มเงาและออกซิเจน

L - Local ปรับชีวิตให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม เช่น ทำอาหารกินเองจากวัตถุดิบที่มีในท้องถิ่น เลือกกินผักผลไม้ตามฤดูกาล อุดหนุนสินค้าจากท้องถิ่น

O - Organic พอใจในสิ่งไม่ปรุงแต่ง หันมาเลือกใช้สินค้าที่ไม่พึ่งสารเคมี เช่น ผักออร์แกนิค แชมพูหรือสบู่ที่ทำจากธรรมชาติ รวมถึงเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้ถูกเลี้ยงแบบใช้ยาปฏิชีวนะ เพื่อลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคต่างๆ ที่ได้รับมาจากสารเคมี

W - Wholesome รักษาสุขภาพของตัวเองเพื่อให้มีความสุขทั้งร่างกายและจิตใจ โดยยึดหลัก 4 อ อารมณ์ดีแจ่มใส ทานอาหารปลอดสารเคมี ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และอยู่ในที่ที่อากาศบริสุทธิ์

L - Learning เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่าให้อคติมาปิดกั้นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยทดลอง ลองเข้าร่วมกิจกรรมที่ตัวเองสนใจ เช่น ออกไปเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อให้รู้จักโลกใบนี้มากขึ้น

I - Inspiring มีแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิต อาจตั้งเป้าหมายที่จะทำภายใน 1 ปี แล้วทำให้สำเร็จตามนั้น

F - Fun มองโลกอย่างสดใส ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ลดความกังวล และมีความสุขอยู่กับปัจจุบัน

E - Experience ฝึกฝนทักษะที่ถนัดจนเชี่ยวชาญกลายเป็นประสบการณ์ที่บอกต่อคนอื่นได้ เช่น เล่นโยคะเป็นประจำ แล้วชวนพี่น้องเพื่อนฝูงมาร่วมเล่นให้สุขภาพดีไปพร้อมกัน หรือใช้เวลาว่างฝึกทำขนมสูตรตัวเอง แล้วแบ่งปันความอร่อยให้คนใกล้ตัว"

เนิบช้าแต่ไม่ล้าหลัง

"ชีวิตมันเป็นเรื่องง่ายๆ แต่เราทำให้มันยากเอง..."

ประโยคสั้นๆแต่กินความหมายลึกซึ้งของ โจน จันได ผู้ก่อตั้งศูนย์การเรียนรู้เพื่อการพึ่งตนเอง และศูนย์เมล็ดพันธ์ หรือพันพรรณ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เกษตรกรชื่อดังรายนี้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในฐานะผู้ใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างเป็นรูปธรรม อยู่บ้านดิน กินพืชผักที่ปลูกเอง ห่างไกลจากความศิวิไลซ์ทั้งปวง

โจนบอกว่า สำหรับเขาคำว่าสโลไลฟ์ คือการทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองมากขึ้น ลดความเร่งด่วนอันนำไปสู่ความยุ่งยากซับซ้อนในชีวิต

"คุณรู้ไหม หลายสิ่งหลายอย่างที่เรากำลังทำในชีวิตที่เรารู้สึกว่าทำด้วยความเร็ว จริงๆ แล้วมันช้ามาก อย่างเช่น เวลาไปซื้ออาหารฟาสต์ฟู้ดทั้งหลาย เหมือนมันเร็วมาก แต่จริงๆ แล้วมันช้า เพราะลองย้อนกลับไปมองสิว่าเราทำงานมามากเท่าไหร่กว่าจะได้เงินมาซื้ออาหารพวกนั้น การหันกลับมาทำอะไรเองมากขึ้น หรือทำอะไรที่มีความละเมียดละไม และถูกต้องมากขึ้น นั่นคือการดำเนินชีวิตแห่งความสุข เพราะชีวิตเร่งด่วนแบบคนทั่วไป ไม่มีความละเมียดละไม ไม่มีความงาม และมีแต่การสูญเสีย เราต้องยุติสิ่งที่ทำร้ายตัวเองเหล่านั้นลง เพื่อทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้น จากปกตินั่งกินฟาสต์ฟู้ดเราก็หันมาทำอาหารกินเอง แทนที่จะดื่มน้ำอัดลม เราก็เลือกกินน้ำสมุนไพรที่ทำขึ้นมาเอง นอกจากสุขภาพแล้วยังได้ความภาคภูมิใจและเกิดความเจริญก้าวหน้าในการพัฒนาตัวเองด้วย"


โจน จันได


จุดเปลี่ยนจากชีวิตคนเมืองไปสู่ความเนิบช้าของเกษตรกรรายนี้คือ การเริ่มตั้งคำถามต่อการดำเนินชีวิตของตัวเองว่า เราจะดิ้นรนไปทำไม ดิ้นรนไปเพื่อใคร

"คำถามนี้ทำให้ผมเปลี่ยน ตั้งสติหันกลับมามองดูตัวเอง ทำงานแทบเป็นแทบตาย ทำไปเพื่อใคร เราตอบว่า ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำไมเรากลับไม่เห็นสิ่งที่ตัวเองได้รับ เราไปซื้ออาหารขยะ ซื้อของมึนเมามาเลี้ยงตัวเอง หรือกาแฟแก้วละ 100 บาท แล้วเราจะพูดได้หรอว่า สิ่งนี้คือความสำเร็จ ถ้าเราถามตัวเองแบบนี้ ก็จะพบว่าที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตแบบโง่เขลามาก พอเราเห็นว่าโง่ เราก็อยากจะเปลี่ยนแปลงให้มันง่ายและเป็นประโยชน์กับตัวเองมากขึ้น เราอาจจะเริ่มง่ายๆ จากการทำอาหารเอง แทนที่จะไปจ่ายเงินกินข้าวในร้านอาหารแพงๆ"

กระนั้นคนทั่วไปมักมองว่าชีวิตแบบนี้มันช้า ไม่ทันกิน ไม่ทันคนอื่นหรือไม่เจริญก้าวหน้า แต่โจนมองว่านี่แหละคือชีวิตที่ก้าวหน้าที่สุด

"เราไปไกลกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ ในขณะที่คนอื่นกำลังทำงาน 8 ชั่วโมงเพื่อที่จะหาอาหารเลี้ยงชีวิต เรากลับทำงานไม่ถึงชั่วโมง ท้องก็อิ่มและมีเวลาพักผ่อนที่มากกว่า ได้นั่งฟังเสียงนกเสียงกา ฟังเสียงใบไม้พัดไหว ได้พูดคุยกับครอบครัวและไปไหนมาไหนตามที่เราอยากไป แบบนี้เจริญกว่าหรือเปล่า ทั้งง่าย สบายและสวยงาม ผมย้ำว่า ทั้งหมดมันอาจจะดูเป็น slow life แต่จริงๆ แล้วมันเร็วกว่า เร็วกว่ามาก ผมใช้ชีวิตแบบนี้มากว่า 20 ปี และไม่คิดว่าจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตในแบบที่คนส่วนใหญ่เป็นได้อีกแล้ว เพราะผมพบกับความสบาย"

เลิกกระแนะกระแหนคนอื่นเสียที

"สำหรับผม slow life คือการผ่อนจังหวะชีวิตให้ช้าลง และสนใจรายละเอียดหรือรื่นรมย์กับสิ่งเล็กๆน้อยๆมากขึ้น เป็นวิถีแบบหนึ่งที่อาจจะควบตามมาด้วยความหลากหลายของสิ่งที่เราสนใจหรือสิ่งที่เรากระทำมากขึ้น เช่น ครุ่นคิดถึงที่มาที่ไปของผักออแกนิคส์ ละเมียดละไมกับรสชาติของกาแฟ คือให้เวลากับสิ่งต่างๆ และเลือกสิ่งที่ดีกว่าให้ชีวิตตัวเอง"

เป็นมุมมองของ เบนซ์-ธนชาติ ศิริภัทราชัย นักเขียนชื่อดัง ผู้เขียนหนังสือสุดฮิต "นิวยอร์ค เฟิร์ส ไทม์"

เบนซ์บอกว่า Slow life เป็นวิถีการดำเนินชีวิตแบบหนึ่งซึ่งไม่ใช่ด้านลบ และเป็นคนละเรื่องกับความขี้เกียจและความไม่มุ่งมั่น อย่างไรก็ตาม ทุกคนมีทางเลือกดำเนินชีวิตของตัวเอง และไม่สมควรที่ใครจะไปตัดสินการกระทำของคนๆนั้นว่าถูกหรือผิด

"การไปบอกคนอื่นว่า เฮ้ยมึง slow life จังเลย ทำไมไม่ขยันแบบนี้ก็ไม่ถูกต้อง เพราะจุดมุ่งหมายไปสู่ความสุขของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บางทีเขาอาจจะพอใจกับความเรียบง่ายตรงนั้นก็ได้ อาจจะขยันในแบบของเขา โดยทุ่มเทกับการทำงานในสัดส่วนที่แตกต่าง เพราะมันเป็นวิถีของแต่ละคน ไม่สามารถตัดสินได้ว่าเขาไม่กระเสือกกระสนเท่าเราหรือไม่รีบรวยเท่าเรา ขณะเดียวกัน วิถีชีวิต slow life ใช่ว่าจะมีความหมายครอบคลุมทั้งชีวิตของคนทั้งหมด บางคนทำงานหนักมาหลายวัน วันหยุดก็อาจจะใช้ชีวิตแบบสโลไลฟ์ได้ มันเป็นแค่เฉพาะห้วงเวลาก็ได้"


เบนซ์-ธนชาติ ศิริภัทราชัย

นักเขียนหนุ่มยืนยันด้วยว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปกระแนะกระแหนคนอื่น

"โลกโซเชียลมันยั่วยวนเหลือเกินให้เราไปยุ่งเรื่องคนอื่น โอเคมันมีคนที่ไม่เอาถ่านและอยากจะเท่ ด้วยการอ้างว่าตัวเองสโลไลฟ์ แต่อีกจำนวนไม่น้อยเขาก็เป็นคนที่เลือกวิถีนั้นจริงๆ มันไม่สามารถไปตัดสินทุกคนได้ว่ามึงไม่เอาไหน เราว่าพวกการกระแนะกระแหนนี่อีเดียดนะครับ คนเรามีความสุขกับหนทางของแต่ละคน ดีไซน์ชีวิตได้ไม่เหมือนกัน อารมณ์เป็นทรัพยากรอย่างหนึ่ง ฉะนั้นใช้มันในอะไรที่ฉลาดดีกว่า

การหมั่นไส้คนอื่นนั้นง่าย แต่ว่าการไม่สนใจและทำการทำงานของตัวเองไปนั้นสำคัญกว่า อย่าไปตัดสินใครว่าไอ้นี่ดี ไอ้นี่ไม่ดี คือปล่อยๆเขาไปเถอะ แล้วถ้าเขาผิดจริงๆ ถ้าไม่เหมาะกับชีวิตของเขา เขาจะรู้เองแหละ ไม่เห็นต้องไปกระทืบไปเตะประตูหน้าบ้านแล้วบอกว่า "เฮ้ยมึงเท่นักหรอ เลิกซะแล้วออกไปทำงาน ไปขยันแบบที่กูเป็นโน่น"

สุดท้ายแล้ว ดราม่าเรื่องสโลว์ไลฟ์คงเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน เป็นเรื่องที่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะตัดสินใจและรู้ได้ด้วยตัวเองว่าดีหรือไม่ดี เพราะชีวิตเป็นของเรา



ขอขอบคุณที่มา ::: ::: posttoday:: วรรณโชค ไชยสะอาด





 

Create Date : 18 มิถุนายน 2558   
Last Update : 18 มิถุนายน 2558 8:43:21 น.   
Counter : 2014 Pageviews.  

ฮาลั่นอีกแล้ว!! กับ 22 ภาพเสียดสี เหตุการณ์ดัง ณ ตอนนี้























//variety.teenee.com/foodforbrain/69753.html




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2558   
Last Update : 17 มิถุนายน 2558 8:54:38 น.   
Counter : 3115 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  119  120  

ข่าวดี
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add ข่าวดี's blog to your web]