ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

แชร์ประสบการณ์หลอนบ้านเช่า เกาะสมุย

ขอแตกยอดมาจากกระทู้ //board.postjung.com/843029.html ของคุณ  I sea u  นะครับ

      เรื่องนี้ เป็นประสบการณ์จริงของผมเองนะครับ ก่อนอื่น ต้องออกตัวก่อนว่า ผมไม่ค่อยเชื่อถือเรื่องผีสางเท่าไหร่นัก แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็น 1 ใน 2 เรื่องที่ผมยังหาคำนิยามให้กับมันไม่ได้จนถึงทุกวันนี้

    เริ่มเรื่องเมื่อปลายปี 2553 ผมได้มีโอกาสไปทำงานที่เกาะสมุย เป็นงาน Setup ระบบ Server ระบบใหญ่ ซึ่งตามแผนงาน ผมต้องอยู่ทำงานที่เกาะประมาณ 1 - 2 เดือน ผมเดินทางไปกับน้องชายที่ทำงานด้วยกันอีก 1 คน และมีเจ้าของ บ. เดินทางไปส่ง พร้อมไปดูหน้างานกับผมด้วยอีก 3 - 4 คนโดย ทาง บ.คู่ค้า ได้เช่าบ้านพักไว้ให้ และ ได้เก็บของที่ใช้ในงานไว้ด้วยส่วนหนึ่ง

    เมื่อเดินทางไปถึง ประมาณช่วงเย็นมากแล้ว ตัวบ้าน เป็นเหมือนบ้านแถว ชั้นครึ่ง หลังเล็กๆ มีห้องติดๆกันน่าจะประมาณ  5 - 6 ห้อง เรียงๆกัน ตัวบ้านค่อนข้างครึ้ม ทั้งๆที่แดดแรงมาก เมื่อมาถึง พี่ที่เป็นหัวหน้างาน ได้มาเปิดบ้านให้ พอเข้ามาในบ้าน มันรู้สึกอับๆ แปลกๆ เข้าไปแล้วรู้สึกแปลกๆ และ อึดอัดนิดหน่อย จากนั้นจัดแจง ช่วยกันเปิดประตูหลัง เปิดหน้าต่าง เพื่อระบายความอับชื้น

     นั่งพัก นั่งคุยกัน พอหายเหนื่อย ผมก็เริ่มเดินสำรวจตัวบ้าน... 

     เริ่มจากประตูหน้า พอเดินเข้ามา จะมองเห็นชั้น 2 ของบ้าน มีหน้าต่างเป็นบานเลื่อน สามารถเปิด และมองลงมาที่โถงชั้น 1 ได้ (บ้านหลังเล็กนะครับ โถงกว้างไม่น่าจะเกิน 4 เมตร) ระหว่างชั้น 2 กับ ชั้น 1 มีหิ้งพระเก่าๆ หันหน้าออกมาทางประตู มีพวกมาลัยสภาพไม่แห้งมาก น่าจะมีคนมาไหว้ก่อนหน้านี้ได้ไม่นาน 

     เดินผ่านโถงไป จะเจอครัวเล็กๆ และประตู พอออกไปหลังบ้าน มีรั้วรอบขอบชิด มีห้องเก็บของเล็กๆ เหมือนห้องใต้บันไดอยู่ข้างนอกบ้าน ประตูไม่ได้ล๊อค ผมได้ลองเปิดดู เจอกองหมอน กองผ้าห่ม หนังสือเก่าๆ เปียกๆ แฉะๆ ชื้นๆ และที่สำคัญ เหม็นอับมาก (คงเป็นกลิ่นของพวกนี้เน่าน้ำ) เลยปิดมันไว้อย่างเดิม...

     ต่อมา ผมเดินเข้ามาในบ้านและเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง เป็นห้องเล็กๆ และเหลือบไปเห็น พวกมาลัย แขวนไว้ที่ใต้หน้าต่างที่ฝาห้องด้านนึง สภาพพอๆกับที่หิ้งพระ ตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แล้วก็เดินไปเปิดประตู หน้าต่าง เพื่อช่วยระบายกลิ่นอับๆ ชื้นๆ อีกแรงนึง และปัดกวาดอีกนิดหน่อย

     ตกเย็น พลพรรคก็ได้ออกเดินทางไปทานอาหารเย็นแถวที่พัก และ ตระเตรียมเบียงยามดึก หลายดีกรี หลายระดับ พร้อมกับแกล้มเสร็จสรรพ...

     คืนที่ 1... เนื่องจากเหนื่อยจากการเดินทางไกล และ เหนื่อยจากสารพัดเบียง และจัดการเสบียงกันจนดึกดื่น จึงทำให้ทั้งทีมหลับไปอย่างง่ายดาย...

     วันรุ่งขึ้น ตื่นแต่เช้า  หลังจากเจ้าของ บริษัทได้ตรวจงาน ดูงาน และ สั่งงานเป็นที่เรียบร้อย ช่วงบ่าย ก็ได้ขอตัวเดินทางกลับ โดยเหลือไว้เพียง ผม และ น้องชายอีกคน...

     คืนที่ 2... เนื่องจากคืนแรก นอนดึก ตื่นแต่เช้ามาก ผมเลยรู้สึกเพลียๆ เลยขอตัวน้องชายขึ้นไปนอนก่อน พอหัวถึงหมอน ก็หลับสนิทยันเช้า ซึ่งผมเองก็แปลกใจ เพราะธรรมดาผมเป็นคนนอนดึกมาก และยังหลับยากมาก และชอบตื่นตอนดึกๆอีกด้วย ส่วนน้องชายนอนตอนไหน ไม่ได้คุยกัน  ...

     คืนที่ 3... หลังจากเลิกงาน ก่อนกลับมาที่พัก เจ้าน้องชาย มันซื้อเบียร์มาเสียหลายขวด ค่ำๆน้องมันก็ชวนผมดื่ม แต่ผมไม่ได้ดื่ม เพราะผมคุยโทรศัพท์กับแฟนผมนาน พอหันกลับมาดู เห็นน้องมันซัดเบียร์หมดเกลี้ยง แล้วรีบขึ้นไปนอนเลย ผมยังทักเลยว่า รีบกิน รีบนอน สงสัยมีธุระ

     ประมาณ ตี 2 ... ผมยังไม่นอน และ นั่งอ่านหนังสืออยู่บนชั้นสอง ที่นอนของเราเป็นที่นอนปิ๊คนิคบางๆ ปูคนละมุมห้อง มีพัดลม ไม่มีมุ้ง และด้วยอากาศร้อน ผมเลยเปิดประตูและหน้าต่างไว้ แปลกที่ ชั้น 1 ยุงเยอะ แต่ชั้น 2 กลับไม่มียุง? 

     ไอ้เจ้าน้องชายที่นอนอยู่ดีๆ อยู่ๆก็สะดุ้งลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นหันมามองผม ผมก็ได้ถามไปว่า "มีอะไร" มันไม่ตอบ แล้วมันก็ลุกเดินไปเปิดประตู "เอ็งจะไปไหน" ผมทัก มันตอบกลับมาว่า "ไปห้องน้ำพี่" แล้วก็เดินออกประตูไป


 หายเงียบไปสักพัก เสียงน้ำไม่มี ผมก็เลยชะโงกหน้าไปมองโถง จากหน้าต่าง(ข้างในบ้าน) เห็นน้องมันนั่งอยู่กลางโถง ผมก็เลยเรียกมันอยู่ 2 - 3 ครั้ง มันไม่ตอบ เรียกอีก 2 - 3 ครั้ง น้องมันก็หันมามองหน้า แล้วก็ลุกกลับขึ้นมาบนห้อง ไม่พูดไม่จา แล้วก็นอนต่อ ผมก็ได้แต่คิดว่าน้องมันคง "ละเมอ?!!"

    เช้า.. ผมแซวไปว่า "ละเมอเรื่องอะไร ถึงได้ไปนั่งตากยุงอยู่นาน สองนาน" น้องมันมองหน้า แล้วตอบมาว่า "ผมจำไม่ได้พี่"

   คืนที่ 3... 

   น้องมันก็จัดเบียร์เหมือนเดิม รีบกิน รีบนอน อีกแล้ว...

   คืนนั้น เป็นคืนที่ค่อนข้างอบอ้าว ลมแรง แต่ในห้องร้อน เหมือนฝนจะตก แต่ไม่ตก ตีอะไรจำไม่ได้ จำได้แค่ผมนั่งๆ นอนๆ เล่นเกม อ่านการ์ตูนตามประสาคนนอนไม่หลับ...

      "....... ........ ....... " เสียงเหมือนคนเปิดทีวี หรือคุยกันหลายๆคน เสียงเบาๆ  อยู่ที่ชั้น 1 แต่บ้านที่ผมอยู่ไม่มีทีวี แรกๆ ก็ไม่ได้สนใจ คิดว่าข้างๆบ้านคงเปิดทีวีเสียงดัง

      "....... ...... ......." เวลาไม่ตั้งใจฟัง เหมือนเสียงมันจะดังขึ้น ดังขึ้น แต่พอตั้งใจ มันจะเบาลงไปจนแทบไม่ได้ยิน เป็นอยู่อย่างนั้นหลายครั้งจนความสงสัยมันมากขึ้น จึงเดินออกไปที่ระเบียง เพื่อตั้งใจฟังเสียงว่ามาจากทางไหน ปรากฏว่าเงียบ ได้ยินแต่เสียงลม เสียงใบไม้ไหว ผมได้ชะโงกไปมองบ้านติดๆกัน ก็มืด ไม่มีแสง หรือ อะไรที่บ่งบอกว่าเค้าดูทีวี ในใจตอนนั้น คิดว่าคงเป็นเสียงวิทยุลอยมาจากที่ไกลๆมั้ง

     "....... ...... ......." "....... ...... ......." "....... ...... ......." คราวนี้ชัดๆเลย เสียงมาจากโถง และที่สำคัญ มันไม่ใช่ภาษาไทย แต่ผมก็บอกไม่ได้ว่าเป็นภาษาอะไร ผมก็เลยชะโงกไปมองที่โถง ตั้งใจฟัง ผลเหมือนเดิมครับ คือ "เงียบ" ตอนนี้ ผมเริ่มหวั่นๆนิดๆแล้ว หันไปมองน้อง เห็นมันหลับสบายใจจนน่าหมั่นไส้... แต่เอาวะ ไอ้เราก็พูดมาตลอดว่า "ไม่กลัวผี" จะมาป๊อดแหก ก็กลัวจะเสียฟอร์ม เลยทำใจกล้า(แต่ขาสั่นนิดๆ) เดินลงไปชั้นล่าง และไล่เปิดไฟทุกจุดที่เดินผ่าน...

   ...เงียบ... ไร้เสียงอะไรที่เคยได้ยินจากข้างบน ใจยังคิดว่า "ไม่มีอะไร แค่เสียงทีวี เสียงวิทยุ จากข้างบ้าน" ผมเลยเดินไปเปิดประตูหน้า และเดินไปมองข้างบ้าน แต่ข้างบ้านไม่มีใครอยู่ บ้านล๊อคกุญแจจากข้างนอก หลังถัดไปก็เหมือนกัน... ตอนนี้ เริ่มใจสั่นมากขึ้น 

     ผมนั่งอยู่ตรงประตูหน้าบ้านอยู่พักใหญ่ๆ เพื่อตั้งใจฟัง "เสียง" ที่ได้ยินตอนอยู่ชั้นสอง แต่ก็ยัง ....เงียบ... เหมือนเดิม จนเริ่มง่วง เลยปิดประตูบ้าน และ เดินขึ้นไปนอน โดยเปิดไฟไว้รอบบ้าน...

    หลังจากเอนหลังได้ไม่นาน "....... ........ ....... ........ ....... ........." คราวนี้ "ชัด" ว่ามาจากข้างล่าง "ชัวร์!!?" ถึงตอนนี้ กระเจิงแล้วครับ ไอ้ความคิดที่ว่าเราไม่กลัวผี ผมลืมมันไปหมด ตอนนั้นกลัวมาก แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือ ชะโงกลงไปมองอีกครั้ง "ก็ไม่มีอะไร" และ "เงียบ" ลงเหมือนเดิม พอเอนกลับมานั่งบนที่นอน ก็ได้ยินเสียงอีก  เท่านั้นแหละครับ คลุมโปง นอนทันที ไม่ถึงห้านาที ไฟก็ดันเจือกดับอีก เสียงก็ยังดังอยู่ สลับกับเสียงลม เสียงใบไม้ ตอนนั้นสวดอะไรได้ ผมสวด  คิดถึงแม่ที่เสียไป ขอให้แกช่วย วนไป วนมา อยู่อย่างนั้นจนฟ้าเริ่มสาง ทุกอย่างจึงเป็นปกติ  มองนาฬิกา ก็ราวตีห้านิดๆ ยอมรับเลย ว่าเสียฟอร์มคนที่ไม่กลัวผีมาก

   เช้ามา พี่หัวหน้างานมารับไปกินข้าว ผมก็ได้เปิดหัวข้อเรื่องนี้ เล่าให้แกฟังว่าผมเจออะไรมาบ้าง ไอ้เจ้าน้องชายมันก็บอกผมว่า มันเจอตั้งแต่คืนที่ 2 แล้ว มันบอกว่ามันนอนๆอยู่ ก็เห็นคนมานั่งทับตัว แล้วก็ขยับไม่ได้ น้องมันบอกว่าหันมาเรียกผม แต่ผม "ไม่ตื่น" คืนต่อๆมาเลยรีบเมาๆ จะได้หลับๆไป

     พี่หัวหน้างานก็มาสัมทับอีกว่า แกก็เคยไปนอนตอนกลางวัน แกบอกว่า เหมือนมีคนมาเดินรอบๆตัว แกเลยไปกล้านอน และ ยังมีคนงานของแกมานอน ก็เห็นเงาคนเดินไปมาบนชั้นสอง คนงานเลยเอาพวงมาลัยไปไหว้ และก็ย้ายไปนอนที่อื่น (พวงที่อยู่บนชั้นสอง และ หิ้งพระ ก็คือของคนงานคนนี้เอาไปไหว้) 

     พี่หัวหน้างานเลยถามพวกผมว่า ไหวไหม ถ้าไม่ไหว จะหาบ้านใหม่ให้ พวกผมตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่า "ไม่ไหวครับ" ตอนนั้นใครจะว่าผมปอดแหก ผมก็ยอม เย็นวันนั้น พวกผม 2 คนก็ได้ไปซื้อดอกไม้ ธูปเทียนมาไหว้ศาลพระภูมิ และก็นอนผ่านคืนนั้นไปได้โดยไม่มีเหตุการณ์อะไร วันต่อมาก็ได้ทำการย้ายไปนอนที่บ้านหลังใหม่ พร้อมพบกับสิ่งที่น่ากลัวกว่า พร้อมทั้งมาเยี่ยมพวกเราทุกๆวันให้เราเสียวสันหลังเล่น ซึ่งมันก็คือ ตุ๊กแกตัวเขื่อง สีสรรค์สดใส ผมเลยตั้งชื่อเล่นให้มันว่า "น้องสลิ่ม"

    สุดท้าย ผมก็ยืนยันนะ ว่าผมไม่เชื่อเรื่องผี แต่ผมหาคำตอบเหตุการณ์คืนนั้นไม่ได้จริงๆ

ปล. นี่เป็นเหตุการณ์แปลกจาก 1 ใน 2 เรื่อง ที่ผมหาคำตอบไม่ได้ว่า "ผี" หรือเปล่า (แต่ก็ป๊อดแหกไปเป็นที่เรียบร้อย)  ส่วนอีกเรื่องเป็นเรื่องแปลกมากๆ ตอนเป็๋นวัยรุ่น และได้ไปลองของกันที่ "บ้านมอญ" ครับ ไว้วันหลังจะมาเล่าให้อ่านใหม่นะครับ




 

Create Date : 13 มกราคม 2558   
Last Update : 13 มกราคม 2558 22:11:00 น.   
Counter : 1773 Pageviews.  

9 วิธีป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรมได้อย่างอยู่หมัด

ออฟฟิศซินโดรมเป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายของเราอยู่ในปฏิกิริยาเดิมซ้ำๆ เป็นเวลานานทั้งวันและทุกวัน ส่งผลให้โครงสร้างร่างกายก็คือ โครงสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อเกิดการฝืนธรรมชาติ

9 วิธีป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรมได้อย่างอยู่หมัด

9 วิธีป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรมได้อย่างอยู่หมัด

ในขณะที่ร่างกายยิ่งสามารถปรับตัวไปตามการใช้งานได้เสมอทุกครั้งด้วยแล้ว และด้วยเหตุนี้โครงสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อก็จะค่อยๆ เกิดการพัฒนาตัวเองเพื่อคล้อยไปตามการใช้งานนั้นๆ กระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าเรื่อยๆ โครงสร้างดังกล่าวก็จะเกิดการผิดรูป ทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อส่วนดังกล่าวเกิดการทำงานหนักขึ้นจนต้องรองรับสภาวะการทำงานที่หนักหน่วงเกินไป ใครที่ไม่อยากเป็นออฟฟิศซินโดรม เรามารับมือป้องกันง่ายๆ ด้วยวิธีปฏิบัติดังนี้กันดีกว่าค่ะ

9 วิธีป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรมได้อย่างอยู่หมัด

9 วิธีป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรมได้อย่างอยู่หมัด

วิธีป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรม
1.ปรับจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในแนวตรงกันกับระดับใบหน้า แต่ห่างจากสายตาประมาณ 2 ฟุต หน้าจอก็ควรปรับให้ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 15 องศา

2.เวลาพิมพ์งานข้อศอกควรอยู่ในระดับเดียวกันกับคีย์บอร์ด การใช้เมาส์ก็ควรพักข้อศอกบนที่รองแขนด้วยและควรเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างเต็มที่

3.หมั่นพักสายตาจากการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทุก 15 นาที แล้วมองออกไปข้างนอกไกลๆ อาจจะมองต้นไม้สีเขียวหรือมองท้องฟ้า พร้อมกับหมั่นกระพริบตาบ่อยๆ ซึ่งเป็นการพักสายตาและบริหารดวงตาในตัวได้เป็นอย่างดี

9 วิธีป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรมได้อย่างอยู่หมัด

9 วิธีป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรมได้อย่างอยู่หมัด


4.หากมีอาการเมื่อยล้าดวงตา แนะนำให้นวดคลึงอย่างเบามือรอบดวงตาและควรบริหารดวงตาเพื่อผ่อนคลายความเครียดลง จากนั้นกรอกสายตาไปรอบๆ ให้เป็นลักษณะวงกลมประมาณ 5-6 ครั้ง และควรใช้ปลายนิ้ว 2 นิ้วคลึงที่หัวตาสองข้างเบาๆ ร่วมด้วยเช่นกัน

5.ความสว่างและสีของหน้าจอคอมพิวเตอร์ควรปรับให้เหมาะสม ไม่ให้แสงจัดจ้าสว่างจนแสบตามากจนเกินไป แต่ก็ไม่ควรปรับจนความสว่างลดน้อยมากเกิน ควรปรับเพื่อให้เรามองแล้วรู้สึกสบายตาลงตัวมากที่สุด

6.ทุก 20 นาทีควรปรับเปลี่ยนท่านั่งการทำงานบ้าง หรืออาจจะขยับตัวบ่อยๆ นอกจากนี้ ควรลุกมายืดเหยียดกล้ามเนื้อ ทั้งมือ แขนและขาทุกๆ 1 ชั่วโมงด้วยจะดีมาก

9 วิธีป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรมได้อย่างอยู่หมัด

9 วิธีป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรมได้อย่างอยู่หมัด

7.ควรเลือกนั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิงด้านหลังหรืออาจใช้หมอนหนุนด้านหลังเพื่อให้นั่งแล้วไม่ปวดเมื่อยตามมา

8.หากไม่ได้ใช้งานคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุคแล้วก็ควรปิดทุกครั้ง เพื่อจะได้ช่วยลดการคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอันเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงและความเครียดนั่นเองค่ะ

9.แนะนำให้มองหาต้นไม้เล็กๆ อย่างต้นกระบองเพชรหรือต้นเฟิร์นมาวางไว้ข้างหน้าจอคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ ยังสามารถปลูกต้นไม้ในร่มเพื่อจะได้ช่วยดูดซับสารพิษและรังสีต่างๆ อีกทั้งสีเขียวจากต้นไม้ที่สะท้อนกลิ่นไอความเป็นธรรมชาติยังสามารถช่วยชโลมจิตใจให้ผ่อนคลายจากความเมื่อยล้า และยังถือเป็นการช่วยให้สายตาได้มีที่ผ่อนคลายด้วยค่ะ

หากสาวๆ ทำตามนี้ รับประกันได้เลยค่ะว่าจะช่วยป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรมได้ไม่มากก็น้อยแน่นอน ว่าแล้วก็อย่าลืมนำไปทำตามและบอกต่อกับเพื่อนสาวออฟฟิศคนอื่นๆ ด้วยนะคะ





 

Create Date : 13 มกราคม 2558   
Last Update : 13 มกราคม 2558 22:10:21 น.   
Counter : 1410 Pageviews.  

ตรูจะฮาก็ตรงคอมเม้นต์นี่แหละ 2

กูจะฮาก็ตรงคอมเม้นต์นี่แหละ




 

Create Date : 12 มกราคม 2558   
Last Update : 12 มกราคม 2558 21:11:28 น.   
Counter : 2251 Pageviews.  

ปี่เซียะ (ผีซิว) วัตถุมงคลเรียกทรัพย์ ขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย



 ปี่เซียะ วัตถุมงคลเรียกทรัพย์ ขจัดปัดเป่าสิ่งไม่ดี มารู้จักประวัติความเป็นมาของปี่เซียะ พร้อมวิธีบูชา

ปี่เซียะ วัตถุมงคลที่มีรูปร่างคล้ายสัตว์หลายชนิด เป็นสิ่งหนึ่งที่ชาวจีนนิยมบูชา บางคนก็พกพาติดตัว ด้วยความเชื่อที่ว่าจะช่วยเก็บทรัพย์ ให้โชคลาภ แต่ปี่เซียะมีประวัติความเป็นมาอย่างไร และควรจัดวาง บูชาปี่เซียะอย่างไรให้ถูกวิธี กระปุกดอทคอม มีคำแนะนำมาบอก

          ปี่เซียะ คือสัตว์ประหลาดตามความเชื่อของจีนมาแต่โบราณ โดยเชื่อว่าคือ เทพลก กวางสวรรค์ มี 1 เขา แต่ส่วนหน้า หัว และขาคล้ายสิงห์ มีปีกคล้ายนก ส่วนหลังคล้ายปลา และมีหางเป็นแมว มีปาก แต่ไม่มีทวาร ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยป้องกัน และปัดเป่าภูตผีปีศาล ขับไล่สิ่งไม่ดีต่าง ๆ 

คำว่า "ปี่เซียะ" เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว ถ้าภาษาจีนกลางจะอ่านว่า "ผีซิว" ส่วนจีนกวางตุ้งจะอ่านว่า "เผ่เย้า" และยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ ตามสำเนียงภาษาจีนต่าง ๆ เช่น เถาปก ฝูปอ และคำว่า เทียนลก ที่เรียกกันในทางใต้ของจีน ซึ่งล้วนหมายถึง "ปี่เซียะ" ทั้งสิ้น 

          ในจดหมายเหตุฮั่นชุ ในภาคที่ว่าด้วยดินแดนทางประจิมทิศ มีข้อความระบุไว้ว่าในแคว้นหลี แถบเขาอูเกอซานนั้น มีสัตว์ตระกูลนี้ปรากฏอยู่ลักษณะแตกต่างกันเล็กน้อย นั่นคือ เทียนลก เทียนลู่ ตัวคล้ายกวาง หางยาว มีเขาเดียว คำว่าเทียนลู่นั้นแปลตรงตัวว่า กวางสวรรค์ ครั้นต่อมาคำว่า ปี่เซียะ หรือ ผี่ชิว กลายเป็นคำที่คนทั่วไปคุ้นเคยกว่าเทียนลู่ จึงให้เรียกรวมกันไปในทางมายาศาสตร์จีน  

แต่เดิม ปี่เซียะ เป็นสัตว์มงคลที่มีอนุภาพในทางกำจัดปีศาจ และสิ่งชั่วร้ายรวมทั้งปกป้องจากคุณไสย และมนตร์ดำต่าง ๆ กล่าวคือคำว่าปี่ หรือ ผี นั้น แปลว่า ปิด เร้นลับหลบซ่อน คำว่า ปี่เซียะ หรือ ซิว คือ อาถรรพ์ สิ่งไม่ดี คุณไสย ภูติปีศาจ คำว่าปี่เซียะ หรือ ผีซิว จึงแปลได้ว่า ขจัดอาถรรพ์ 

          หากมีตัวเดียวจะเป็นตัวเสี่ยงโชค แต่ถ้ามีเป็นคู่ คือ "ปี่" ตัวผู้ และ "เซียะ" คือตัวเมีย ถือเป็นวัตถุมงคล สำหรับขจัดสิ่งชั่วร้าย คนจีนสมัยก่อนจึงมักเขียนภาพ หรือตั้งประติมากรรม รูปปี่เซียะไว้ตามประตูบ้านและสุสานทั่วไป บางทีก็ประดับไว้บนหลังคาพระราชวังต่าง ๆ เพื่อให้มันช่วยขจัดสิ่งอัปมงคลทั้งหลายนั้นเอง ว่ากันว่ามีพลังในการกำราบสิ่งชั่วร้าย   

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีความเชื่อว่า ปี่เซียะ คือลูกตัวที่ 9 ของมังกร ซึ่งเป็นสัตว์ที่กินเก่ง มีปาก แต่ไม่มีรูทวาร จึงไม่มีการขับถ่าย ทำให้ปี่เซียะกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเก็บทรัพย์ด้วย เพราะเก็บเงินไว้แล้วไม่รั่วไหลออก จึงนิยมบูชาปี่เซียะเพื่อความร่ำรวย



ปี่เซียะ มีลักษณะ 8 ประการ คือ

              1. อ้าปากรับทรัพย์ 
              2. หางยาวกวักโชคลาภ 
              3. ยกหัวข่มศัตรูคู่แข่ง 
              4. เท้าตะปบเงิน (หาเงินเก่ง รักษาทรัพย์ให้งอกงาม) 
              5. ก้าวขา-ก้าวหน้า 
              6. ลิ้นยาว ตวัดโชคลาภเงินทอง 
              7. องอาจน่าเกรงขาม 
              8. ไม่มีรูทวาร เงินทองเข้าอย่างเดียวไม่ไหลออก

เบญจธาตุของปี่เซียะ

          ปี่เซียะเป็นสัตว์มงคลลูกผสม 5 ชนิด คือ มังกร (หลง) - ธาตุไม้, พญาราชสีห์หรือสิงโต (ชีจื่อ) - ธาตุทอง, อินทรี (อิง) - ธาตุไฟ, กวาง (ลู่) - ธาตุ น้ำ และแมว (มาว) - ธาตุดิน

อานุภาพพิเศษของปี่เซียะ

          สัมผัสกลิ่นของโชคลาภได้รวดเร็ว ชัดเจนและแม่นยำ

คุณสมบัติของปี่เซียะคู่กับปี่เซียะเดี่ยว

          เทพปี่เซียะแบบเดี่ยว (ขุนพล)
 ใช้เรียกทรัพย์ สำหรับคนที่ทำอาชีพค้าขาย ธุรกิจ หรือต้องการให้เงินเข้า ไม่เป็นหนี้ 

เทพปี่เซียะแบบคู่ (เทพพิทักษ์) ใช้เฝ้าทรัพย์ สำหรับคนที่หาเงินมาได้แต่ไม่ต้องการให้เงินไหลออก (เก็บเงินไม่อยู่) 

          การที่จะใช้ปี่เซียะคู่หรือปี่เซียะเดี่ยว ให้ดูหลักธรรมชาติ หลักความสมดุล หรือความสวยงามเป็นหลัก

ข้อควรปฏิบัติในการบูชาปี่เซียะ

          1. จุดธูปเทียนบอกกล่าวพระ เทพเจ้า และเจ้าที่เจ้าทางในบ้านว่า ขอนำปี่เซียะเข้ามาในบ้านเพื่อนำโชคลาภ เงินทองมาให้กับเรา 

          2. แสดงความรักเหมือนเป็นสัตว์คู่กาย ทำพิธีเปิดตาโดยนำปี่เซียะไปแช่ในแก้วน้ำเย็นและน้ำร้อนอย่างละเท่ากันครึ่ง ๆ เพื่อปรับหยิน-หยาง แช่ไว้ 2 วัน และหมั่นมองหน้าปี่เซียะบ่อย ๆ เพื่อให้รู้ว่าเราเป็นเจ้าของ 

          3. เมื่อครบ 2 วัน ให้นำผ้าขนหนูสีขาว สะอาด ใหม่ มาซับปี่เซียะ และพูดประมาณว่า เราเป็นเจ้าของให้ช่วยหาทรัพย์สินเงินทองมาให้ด้วย และควรจัดภาชนะใส่น้ำ (ถ้วยแก้ว) ใส่น้ำสะอาดเปลี่ยนทุกวัน (หรือทุกอาทิตย์) วางไว้ใกล้ ๆ 

ข้อสำคัญ คือ ปี่เซียะที่ผ่านการประสิทธิมงคลแล้ว ไม่ควรวางไว้ที่ต่ำ ที่ใกล้ห้องน้ำ ใต้บันได หรือเดินข้าม และห้ามยุ่งเกี่ยวใด ๆ กับปากและลิ้นของปี่เซียะเป็นอันขาด เพราะจะเก็บทรัพย์ไม่อยู่ และห้ามนำไปงานอวมงคลด้วย 

นอกจากนี้ ปี่เซียะถือเป็นสัตว์มงคลเฉพาะบุคคล เมื่อบูชาแล้วถือเป็นของคนนั้น ไม่สามารถยกให้ใครได้ เพราะเท่ากับยกโชคให้คนนั้นด้วย และต้องระวังไม่ให้ใครมาจับปี่เซียะของเรา เพราะเท่ากับแบ่งลาภออกไป

การจัดวางปี่เซียะ

          วางปี่เซียะไว้คู่กัน โดยให้เพศเมียที่ก้าวเท้าขวาอยู่ด้านขวา เพศผู้ที่ก้าวเท้าซ้ายอยู่ด้านซ้าย หันหน้าไปทางประตูหรือหน้าต่าง ทิศตะวันออกคือทิศที่ดีที่สุด และควรวางไว้ในที่สูงพอสมควร แต่ไม่ควรวางไว้บนหิ้งพระหรือปะปนกับเครื่องรางสัตว์มงคลอื่น ๆ 


          หากปรารถนาโชคลาภ และป้องกันสิ่งชั่วร้าย ควรวางไว้ที่ห้องรับแขก หรือจุดสำคัญของบ้าน โดยวางไว้บนโต๊ะ หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

          แต่หากใครเดินทางบ่อย ๆ ต้องการให้ปี่เซียะคุ้มครอง ควรตั้งปี่เซียะหันหน้าออกไปทางประตูหลัก หรือวางไว้ในรถอีก 1 ตัว 

ของบูชาปี่เซียะ

1. ขนมจันอับ ชาวจีนเรียก โหงวเส็กทึ้งแต่เหลียง แปลว่าขนม 5 สี (แทนเบญจธาตุ)

2. ผลไม้มงคล อาทิ 

- ส้ม ชาวจีนเรียกว่า กา หรือไต้กิก หมายถึง เป็นมงคลยิ่ง โชคดี 
 - องุ่น ชาวจีนเรียกว่า ผู่ท้อ หมายถึง งอกงาม เจริญ 
 - สัปปะรด ชาวจีนเรียกว่า อั่งไล้ หมายถึง มีโชคมาหา 
- กล้วย ชาวจีนเรียกว่า เฮียงเจีย หมายถึง มีลูกหลานสืบสกุล 
- ลูกท้อ ชาวจีนเรียกว่า ท้อ หมายถึง ผลไม้สวรรค์ อายุยืน 
- ทับทิม ชาวจีนเรียกว่า เสียะลิ้ว หมายถึง ผลไม้สวรรค์ มีความอุดมสมบูรณ์

คาถาบูชา

          อุ อา กะ สะ หรือ อุ อา กะ สะ ปี่เซี๊ยะ อานุภาโว เมตตาจิต ประสิทธิเม

คุณสมบัติเศรษฐี 

อุ อา กะ สะ คือ คาถาหัวใจมหาเศรษฐี 
อุ หมายถึง อุฎฐานสัมปทา หมายถึง ความขยันหมั่นเพียรในการประกอบสัมมาอาชีพ 
อา หมายถึง อารักขสัมปทา หมายถึง การเก็บรักษาทรัพย์สินที่ได้มา โดยชอบธรรม 
กะ หมายถึง กัลยาณมิตตา หมายถึง การคบหาสมาคมกับคนดี มีคุณธรรมและน้ำใจ 
สะ หมายถึง สมชีวิตา หมายถึง การใช้จ่ายอย่างประหยัด พอเพียงไม่ฟุ่มเฟือย


 ***หมายเหตุ : อัพเดทข้อมูลล่าสุดเมื่อเวลา 15.28 น. วันที่ 7 มกราคม 2558



ขอขอบคุณข้อมูลจาก 
- pantown.com
- pattani.org
- gotoknow.org 

สนับสนุนบทความ โดยอาจารย์เทวฤทธิ์  อยู่สุนทร




 

Create Date : 12 มกราคม 2558   
Last Update : 12 มกราคม 2558 21:10:05 น.   
Counter : 1862 Pageviews.  

"เรียนไปทำไม?" คำถามที่ทุกคนสงสัย

1. เรียน "คณิตศาสตร์" ไปทำไม? 



          สุดยอดคำถาม เรียนคณิตฯ ไปทำไม เรียนไปไม่ได้ใช้ จะใช้ชีวิตเราก็ไม่ต้องอินทิเกรต ดิฟ แล้วก็แก้ลอกการิทึมป่ะ ? หรือถ้าเราไปตลาดก็ไม่ได้ต้องใช้ ตรีโกณ มาหาขนาด พื้นที่ บลาๆ แก้สมการ อสมการป่ะ!! จริงๆ แล้วเราไม่ได้เรียนเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันซะทั้งหมดหรอกค่ะ เพราะชีวิตจริง บวก ลบ คุณ หาร ครบก็หรูละ แต่ในเรื่องที่ซับซ้อนขึ้น เราเรียนเพื่อใช้เรียนต่อ และทำงานสายเฉพาะทาง เช่น วิศวะ หมอ บัญชี นักเคมี นักธรณีวิทยา ฯลฯ วิชาที่ต้องใช้ความรู้ลึกๆ ของคณิตศาสตร์มีเยอะมาก แล้วแต่ว่าวิชาชีพนั้น ต้องใช้อะไรเยอะเป็นพิเศษ เช่น วิศวะ อาจจะใช้ตรีโกณเยอะเป็นพิเศษ อีกเหตุผลคือ เรียนเพื่อจัดระบบความคิด เพราะการคิดที่ซับซ้อนในวิทยาศาสตร์ ทำให้น้องๆ ได้พัฒนาสมอง และการคิดอย่างเป็นระบบมากขึ้น ส่งผลต่อการนำมาตัดสินใจโดยที่น้องอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้นะ

2. เรียน "วิทยาศาสตร์" ไปทำไม



           เรื่องของวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่อยุ่รอบตัวเราค่ะ แต่เราอาจจะไม่รู้ตัวว่าเนี่ย มันคือวิทยาศาสตร์นะ การเรียนวิทยาศาสตร์จึงทำให้น้อง ได้เข้าใจเรื่องรอบๆ ตัว เหมือนคำที่บอกว่า รู้ไว้ใช่ว่านั่นแหละ ในชีวิตจริง วิทยาศาสตร์อยู่รอบตัวเราไปหมด เราจะไม่รู้เลยว่าเราหายใจยังไงนะ ถ้าไม่ได้เรียน เราจะไม่รู้เลยว่าเรามองเห็นได้ยังไง สมมติวันนึงตาพร่าเลือนขึ้นมา ถ้าไม่รู้มาก่อนว่ามาจากส่วนไหนของดวงตา ม่านตา กระจกตา เราจะแก้ยังไงละ หรือ ถ้าเราปวดท้อง เราก็พอจะระบุสาเหตุได้ว่า เอ๊ะ อันนี้ปวดไส้ติ่ง อันนี้ปวดกระเพาะ จะได้รักษาได้ถูกที่ หรือแม้กระทั่ง วันนึงที่เราอยากแกล้งเพื่อน อยากโยนกระดาษใส่หัวเพื่อน เราก็ใช้เรื่องแรง เรื่องมวล โมเมนตัม จริงมั้ยละ? ,,, ไหนจะชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ ฯลฯ แทบทุกอย่างอยู่ใกล้ตัวหมดเลย ในวันที่จำเป็นต้องใช้ เราก็มีความรู้มากพอจะใช้มันให้เกิดประโยชน์ อีกอย่าง วิทยาศาสตร์สอนระบบการคิด ให้เราคิดอย่างมีเหตุผล สอนให้เราหาความจริงผ่านการทดลองก่อน อย่างเพิ่งเชื่ออะไรง่ายๆ... นี่แหละค่ะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ล้วนๆ เราได้ระบบคิดดีๆ ไว้ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

3. เรียน "ภาษาไทย" ไปทำไม? 



             พูดก็พูดเถอะ ภาษาไทยเราก็พูดได้กันอยู่แล้ว แล้วเรียนไปทำไม แต่น้องๆ ลืมอะไรไปรึเปล่า ภาษาไทยมีความซับซ้อนมาก เขียนผิดนิดเดียว วรรคผิดนิดหน่อย ความหมายเปลี่ยนเลยนะ นี่ยังไม่รวมนัยยะของภาษา ระดับของภาษาที่เหมาะสม รูปประโยคที่ส่งผลต่อการสื่อสารอีก นอกจากนี้ยังมีวรรณคดี ซึ่งถือเป็นสมบัติของชาติ หากเราไม่เรียน ไม่มีคนเรียน ผลงานชิ้นสำคัญๆ ที่สะท้อนสภาพสังคม และแสดงถึงความสวยงามของภาษา ก็คงไม่มีให้คนรุ่นหลังได้ชมกัน

4. เรียน "ภาษาที่ 2,3,4 ..ฯลฯ" ไปทำไม? 




               เพราะเราไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษากลางของโลกค่ะ และอีกหลายชนชาติก็มีภาษาเป็นของตัวเอง ทำให้มีภาษาเกิดขึ้นมากมาย แต่คนต่างชาติต่างภาษามาคุยกัน ย่อมไม่รู้เรื่องแน่นอน ดังนั้นถ้าเราอยากจะคุยกับคนชาติอื่น "ภาษา" จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล ฉะนั้นการเรียนภาษากลางของโลกจึงเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว แต่ต่อไปในอนาคตภาษาที่สาม (หมายถึงภาษาชาติอื่นๆ) ก็จะสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก เพราะไม่ใช่แค่เรื่องการติดต่อสื่อสารแล้ว แต่ยังรวมไปถึงการเจรจาธุรกิจ การช่วยเหลือระหว่างประเทศ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การได้เรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ทำให้เรารู้วัฒนธรรมของชาตินั้นๆ ทำให้เราอยู่ร่วมโลกกันอย่างมีความสุขด้วย

5. เรียน "สังคม ศาสนา และวัฒนธรรม" ไปทำไม? 



                เคยได้ยินข่าวเรื่องการปะทะกันที่ฉนวนกาซา ข่าวเรื่องการเหยียดผิวจนถึงขั้นก่อจลาจลในอเมริกา ข่าวเรื่องความบาดหมางระหว่างประเทศเกี่ยวกับศาสนาและความเชื่อ รวมถึงอีกหลายๆข่าวที่เกิดความขัดแย้งจากความไม่เข้าใจกัน นี่แหละค่ะ เหตุผลหนึ่งที่เราต้องเรียนวิชาสังคมฯ เราไม่ได้เรียนเพื่อไปแก้ปัญหาเหล่านั้นทันทีหรอก แต่เราเรียนเพื่อที่จะเข้าใจ เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับคนในสังคมโลก เพราะทุกคนมีความเป็นปัจเจก แตกต่าง แต่ในเมื่อเราต้องอยู่ร่วมกัน มันก็สำคัญที่ทำให้เราต้องปรับตัวตาม และเพื่อให้เราอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เอื้อเฟื้อ และเข้าใจความแตกต่างค่ะ อีกอย่างหากคนเราไม่รู้แม้แต่ชื่อตัวเอง มันคงแย่น่าดูเลยเนอะ นี่แหละเป็นเหตุผลให้เราต้องเรียนวิชาที่เกี่ยวกับความเป็นมาและรากเหง้าของชาติ อย่างประวัติศาสตร์ด้วย จริงๆ แล้วเค้าต้องการให้เรารู้ที่มาที่ไปของตัวเอง เรียนรู้จากความผิดพลาด และความสำเร็จในอดีต เพื่อใช้เป็นบทเรียนในปัจจุบัน จะได้ไม่ทำผิดพลาดแบบในอดีต หรือถ้าอะไรที่ดีอยู่แล้ว เราก็จะได้ทำต่อไปไงคะ

6. เรียน "กิจกรรม" ไปทำไม?



               ทั้งลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด บำเพ็ญประโยชน์ นักศึกษาวิชาทหาร รวมถึงกิจกรรมชมรมต่างๆ เราเรียนเพื่อทักษะการใช้ชีวิตค่ะ ถามจริงๆ ว่าเราจะหลงป่ากันง่ายๆ เหรอ หรือเราต้องผูกเงื่อนทุกวันมั้ย? มันก็ไม่หรอก แต่ถ้าวันนึงจวนตัว ต้องเจอเหตุการณ์แบบนั้นจริงๆ เราจะรอดเพราะวิชานี้แหละค่ะ!!ลองถามตัวเองกลับสิว่าถ้าน้องๆ ไม่ได้เรียนวิชาพวกนี้ ถามจริงๆ จะก่อไฟเป็นมั้ย? จะทำกับข้าวเป็นรึเปล่า? จะหุงข้าวกับฟืนเป็นมั้ย อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เราก็ได้อะไรจากวิชากิจกรรมเนอะ แถมเรายังได้เรียนรู้เรื่องการเสียสละ การทำงานเป็นทีม การแบ่งปัน การสามัคคี จากวิชานี้ด้วยถูกมั้ยละ อ่อ นี่ยังไม่นับรวมภาวะผู้นำ และการตัดสินใจนะคะ เพราะเวลาเราเจอสถานการณ์เวลาเข้าค่าย เราก็เรียนรู้มากอีกเพียบ ได้เพื่อนสนิทเยอะด้วย

7. เรียน "สุขศึกษาและพลศึกษา" ไปทำไม? 



              การเรียนพละคือวิชาเดียวที่ให้เวลาออกกำลังกาย อีกอย่างในวัยของน้องๆ การออกกำลังกายจำเป็นมากต่อการเจริญเติบโต และพัฒนาการ รวมถึงสุขภาพ ได้ผ่อนคลายอารมณ์จากวิชาหนักๆ ในห้องเรียนบ้าง ก็ดีนี่คะ ส่วนวิชาสุขศึกษา มันก็จำเป็นนะ เป็นเรื่องของสุขอนามัย และที่สำคัญเป็นวิชาที่จะทำให้ได้เรียนรู้เรื่องเพศอย่างเปิดเผย เพราะเอาจริงๆ วัยรุ่นทุกคนอยากรู้ อยากลอง ถ้าไม่ได้เรียนรู้มาเลย อาจจะพลาดได้จริงมั้ยล่ะคะ ขอแค่อย่าอายที่จะถาม มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เรียนไว้ก็จะได้รู้จักดูแลตัวเอง และเข้าใจตัวเองมากขึ้นไง

8. เรียน "ศิลปะ" ไปทำไม?



        การเรียนศิลปะ เป็นการเรียนเพื่อจรรโลงจิตใจค่ะ แถมยังสะท้อนภาพในความคิดของน้องๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่อย่างนั้น คุณหมอที่รักษาเด็กเล็กคงไม่ให้เด็กๆ วาดรูปหรอกค่ะ เพราะรูปภาพ สามารถสะท้อนว่าเค้าคิดอะไรอยู่ เช่นเดียวกัน การวาดในวัยมัธยมก็เป็นการปลดปล่อยอารมณ์ของน้องๆ และเพิ่มจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ด้วย นอกจากนี้ศิลปะยังเยียวยาคนได้ ถ้าใช้ให้ถูกทาง เพราะสีแต่ละสีมีความหมาย ส่งผลถึงอารมณ์และสุขภาพจิตได้ด้วยนะ 



ที่มา: //www.ssballthai.in.th/boards/topic/1176297
ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากเว็บ //www.dek-d.com/education/36130/




 

Create Date : 12 มกราคม 2558   
Last Update : 12 มกราคม 2558 21:09:17 น.   
Counter : 4327 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  119  120  

ข่าวดี
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add ข่าวดี's blog to your web]