คำสอนจากหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร- ธรรมะรุ่งอรุณ
สวัสดีค่ะ

เมื่อวันที่ 7-11 มกรา 2553 และวันที่15-17 มค.2553 เราได้ไปร่วมบวชชีพราหมณ์สวดลักขีและฉลองโบสถ์ปิดทองลูกนิมิตที่วัดธรรมมงคล และได้รับหนังสือธรรมะรุ่งอรุณของหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ซึ่งหนา 200กว่าหน้า รู้สึกว่าเนื้อหาที่ท่านสอนดีมากๆเลย เป็นการรวบรวมคำสอนที่หลวงพ่อวิริยังค์สอนตอนเช้าโปรดญาติโยมหลังรับบาตร ขออนุโมทนากับผู้จัดทำมากๆที่ให้ธรรมทานอันมีค่านี้แก่ผู้มาร่วมงาน

ไปร่วมงานมาแล้วรู้สึกรักหลวงพ่อวิริยังค์มากกว่าเดิม ทำให้เรามีแรงบันดาลใจที่จะทำอะไรหลายๆอย่าง
ได้เข้าใจสภาวะหลายๆอย่าง -ได้รับพลังมากมายขณะสวดจากพระเถระที่มาร่วมงาน
ยิ่งสวดยิ่งมีพลัง, ยิ่งปฏิบัติยิ่งได้พลัง -ที่นี่ทำให้เราเนสัชชิกได้โดยไม่รู้สึกเหนื่อยเลย
นับได้ว่าที่วัดธรรมมงคลนี้ เป็นวัดที่มีบุญคุณกับเราอย่างยิ่ง
อยากจะขอสรุปคำสอนส่วนหนึ่งของหลวงพ่อวิริยังค์จากหนังสือธรรมะรุ่งอรุณค่ะ




- ใครจะไปทิ้งพลังจิตไม่ได้ พลังจิตจะต้องติดตามไปตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงนิพพาน
ถ้าหากว่าใครทอดทิ้งพลังจิตเมื่อไร เมื่อนั้นก็ต้องล้าหลังไปก่อน
_________________________________________________________________________

- ที่พระสารีบุตรได้สำเร็จนั้นน่ะ พระพุทธเจ้าแสดงว่า
คนเราทั้งหมดนี่ เรียกว่าพอเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ไม่มีอะไร มีเวทนาอยู่ 3 เวทนาเท่านั้น คือ สุข ทุกข์ และอุเบกขา - ไม่มีใครจะวิเศษวิโสสักเท่าไร ใครจะมียศถาบรรดาศักดิ์สักเท่าไร ใครจะยากจน ยาจก วนิพกสักเท่าไร เวทนา3 ทั้งนั้น ไปที่ไหนก็จะต้องเอาเวทนา3 นี้ไปด้วย

- อย่างดูเวทนา3 นี่นึกว่าเป็นธรรมตื้นๆ ที่จริงแล้วเป็นธรรมะของท่านพระอรหันต์ พระสารีบุตรนั่งฟังข้างหลังได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

- เราได้เงินมาร้อยล้านพันล้านหมื่นล้านแสนล้าน -รู้เวทนา
เรายากจนข้นแค้นหาอะไรกินแทบไม่ได้-ก็เวทนาอีก
มีค่าเท่ากัน พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้น มีค่าเท่ากัน
มันไม่ใช่ธรรมะตื้น เป็นธรรมะที่ลึก เป็นอุบายวิธีของพระอรหันต์

- ทีนี้เมื่อเวทนาติดตามเราไปแล้วนี่ เราจะทำยังไงกับเวทนา ท่านก็ให้รู้เท่านั้น
อย่าไปหลงกับเวทนา สุขก็ให้รู้เท่า ทุกข์ก็ให้รู้เท่า อุเบกขาก็ให้รู้เท่า คือเราแก้ไขไม่ได้
แต่ว่าให้รู้เท่าว่า อย่าหลงระเริงมากเกินไป อย่าทุกข์เดือดร้อนมากเกินไป
ยากจนข้นแค้นก็ทุกข์กัน ร่ำรวยเศรษฐีก็เป็นสุขกัน อย่างนี้ แล้วก็มีค่าเท่ากันด้วยคือเวทนา
ถ้าหากว่ารู้เท่าว่าพวกนี้คือเวทนา พวกคุณก็สบาย
เมื่อเป็นเช่นนั้น อุปาทานที่พระสารีบุตรมีอยู่ก็ถูกละทิ้งออกไปกลายเป็นพระอรหันต์ สวัสดี
________________________________________________________________________

- ไอ้ยืมเงินคนน่ะอย่านะ ทำไมล่ะ
ผม(หนาน)มาเกิดเป็นควายเขาใช้งานอยู่ชาติหนึ่งยังไม่คุ้มเลย อย่าไปเป็นหนี้เขาเป็นอันขาดเชียว มันเป็นหนี้ 2 สตางค์อ่ะ เขายืมซื้อ20 บาทยังไม่ขายเลย ยังต้องเอาเงินคืนต้องใช้เขาตลอดชาติ ไถนาลากเกวียนก็สุดแล้วแต่เขาจะใช้
ยาคูไท จะบอกให้นะบอกว่าอย่าไปยืมเงินใครนะ ยืมเงินเขาแล้วก็ให้รีบคืนเร็วๆ แล้วพอเวลาเราตายไปแล้วไม่ทันได้ใช้ ทีนี้ไปใช้หนี้กันนับชาติไม่ถ้วน

- ฉะนั้น เพื่อให้การที่เราเกิดแก่เจ็บตายนี่ไปสู่ที่สุข เราก็ทำความดีซะ
อธิษฐานว่าขอให้ข้าพเจ้าได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติเถิดพระเจ้าข้า
เวลาที่ทำการกุศลใด ๆ ก็อธิษฐานขอให้ได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ

- ปัญญานิ ปะระโลกัสมิง ปะติฏฐา โหนติ ปาณินัง
บุญเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของเราทั้งชาตินี้และชาติหน้า

การที่เราจะพึ่งใครซักคนหนึ่งนี่ มันก็พึ่งได้ไม่เท่าไหร่หรอก หรือจะไปพึ่งคนโน้นพึ่งคนนี้
เขาก็ไม่ให้พึ่งเท่าไหร่ แล้วไปอยู่กับเขาไม่กี่วัน เขาก็อยากไล่หนีแล้ว
เพราะฉะนั้น
บุญเท่านี้ที่จะเป็นที่พึ่ง เราจะไปเกิดในชาติใดภพใดบุญก็ตามช่วยเรา เหมือนกันกับเงาตามตัวฉั้นนั้น สวัสดี
________________________________________________________________

- เราได้ความดีมาแล้ว เราก็ไม่เก็บความดีเอาไว้แต่เฉพาะเรา เราก็จำแนกแจกจ่ายไปยังผู้อื่น
จะแจกจ่ายไปได้แค่ไหนก็สุดแล้วแต่ ก็ได้ทำหน้าที่เต็มที่แล้ว
การที่ใครจะรับเอาได้นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าหากว่ารับได้เยอะก็ดี ถ้ารับไม่ได้เลยก็แย่

- ผู้ที่ทำสมาธินี่ การเพิ่มพลังจิต เมื่อพลังจิตได้ที่แล้ว มันก็จะมีเหตุอยู่ 2 ประการที่คนที่มีพลังจิต เหตุ2 ประการนั้นคือ 1. การรับผิดชอบสูง 2. มีเหตุผล

- ในพระพุทธศาสนานี้มีพระอรหันต์ คือผู้ที่หมดกิเลส ศาสนาอื่นไม่มี มีแต่ศาสนาพุทธที่เคยสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์จะเป็นปูชนียบุคคลที่น่าเคารพกราบไหว้บูชา เราบูชาคุณพระพุทธเจ้า เราบูชาพระธรรม เราบูชาพระสงฆ์
________________________________________________________________

- หลวงพ่อตั้งสถาบันพลังจิตตานุภาพอันนี้เป็นหนทางลัด หมายความว่าเดินไปทางสมาธิโดยเฉพาะ เพราะว่าสมาธินี้จะเป็นพื้นฐานของธรรมะทั้งปวง ถ้าหากว่าขาดสมาธิไปแล้วนี่ ธรรมะก็เหลว

- เราทำสมาธิ มันก็มีการให้อภัย มีการที่ไม่ต้องผูกพยาบาทอาฆาต จองเวร
ในการผูกพยาบาทอาฆาต จองเวรนี้ไม่ดีเลย ชาตินี้เราชนะเขา ชาติหน้าเขาก็ชนะเรา,
ชาติหน้าเราชนะเขา ชาติต่อไปเขาก็ชนะเรา มันผลัดกัน
เพราะว่ากรรมเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า เป็นตัวแปรที่มีความสำคัญมาก

- นะหิ เวเรนะ เวรานิ สัมมันตีธะ กุทาจะนัง อะเวเรนะ จะ สัมมันติ เอสะ ธัมโม สะนันตะโน
เวรมันระงับด้วยเวรไม่ได้หรอก แต่ระงับด้วยเพราะความไม่มีเวร

- เมื่อทำสมาธิแล้ว ก็จะเกิดพลังจิต ,
เมื่อเกิดพลังจิตแล้ว พลังจิตก็จะไปเป็นกระแสจิต,
เมื่อไปเป็นกระแสจิตแล้ว กระแสจิตก็จะต้องไปช่วยเราด้วยประการต่างๆ
แล้วก็จะเป็นเครื่องเตือน
สมาธินั้น เมื่อมีสติ มีพลังจิตแล้ว มันก็เป็นเครื่องเตือนว่าอย่างนี้มันไม่ดีนะ อย่าทำเลย
ถ้าหากว่าถูก มันไม่เตือนหรอก ถ้าทำถูก, ถ้าทำผิดมันจะเตือน

- บางคนอาจจะไม่ค่อยทำสมาธิ แล้วก็ปล่อยปละละเลยแล้วจิตใจมันก็ต่ำลงๆ ในที่สุด พลังจิตที่หามาได้แต่ก่อนก็จะหมดไปสิ้นไป แล้วก็เหลือเป็นธรรมดา แล้วก็มีแต่สิ่งที่ทำให้เราเกิดโทษขึ้นมาในตัวของเรา

- ฉะนั้นหลวงพ่อตั้งสถาบันพลังจิตตานุภาพขึ้นมานี้ เพื่อต้องการที่จะให้คนทั้งหลายเนี่ยพากันสร้างพลังจิตขึ้น เพราะฉะนั้นหลวงพ่อจึงผลิตครูขึ้นมาเยอะ แต่ก่อนนั้น ใครจะเป็นครูต้องรอสัก 10 ปี 20 ปีกว่าจะเป็นครูได้ นี่หลวงพ่อสอนแค่ 6 เดือนก็เป็นครูได้แล้ว เรียกว่าย่นย่อมากที่สุดแล้ว

- เมื่อสมาธิกว้างขวางแล้ว คนก็เป็นจำนวนมากก็สามารถได้พลังจิต ความสงบสุขก็เกิดขึ้นกับครอบครัว ความสงบสุขก็เกิดขึ้นกับสังคม ความสงบสุขก็เกิดขึ้นกับโลก สวัสดี
________________________________________________________________

- ร่างกายนี้มันเป็นแต่เพียงรับประทานอาหารแล้วก็ถ่ายไป เก็บของอะไรไว้ไม่ได้มาก
ไม่เหมือนใจ ในบ้านของเรานี้ไม่ได้เก็บนิดเดียว ใจผู้อื่นก็เก็บไว้ นี่เก็บไว้ทุกสิ่งทุกอย่าง
- ใจเป็นคนเก็บไม่ใช่กาย เพราะฉะนั้นบาปบุญคุณโทษอะไรต่างๆ นั้น ใจเป็นผู้เก็บไว้ ใจเท่านั้นที่จะทำให้เกิดต่อไปอีก ร่างกายก็เป็นเพียงส่วนประกอบ เพราะฉะนั้นเราต้องทรมานร่างกายเพื่อให้ใจเป็นสุข

- เราทรมานร่างกายก็คือ ทำสมาธิภาวนา หรือทำทาน รักษาศีล ภาวนา
เพราะว่าการให้ทานก็ดี รักษาศีลก็ดี ภาวนาก็ดี โดยมากคนไม่อยากจะทำกัน สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นคุณประโยชน์อันมหาศาลต่อพวกเราในอนาคต
________________________________________________________________

- อภิธรรมนั้นน่ะ นึกว่าสูงแค่ไหน แท้ที่จริงก็อยู่ในตัวเรานั่นเอง
ในคำที่ว่าอภิธรรมนั้น เขาต้องตั้งขึ้นด้วย จิตตัง เจตะสิกัง รูปัง นิพพานังมิติ สัพพะทา
หมายถึงว่า จิตตัง เจตะสิกัง นี้ก็อาทิสมานกายนั้นแหละ

- วิปัสสนาเกิดขึ้นเมื่อไหร่
เกิดขึ้นเมื่อที่พระพุทธเจ้าตรัสให้ปัญหาปัญจวัคคีย์ถึงอนัตตลักขณสูตรนี่ ถือว่าเป็นอภิธรรม
พระอภิธรรมก็ชี้ลงมาในตัวเรานี่ ตัวเรานี่ก็รูป รูปก็คือตัวเรา
รูปัง ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ตน

- การที่เราจะเรียนพระอภิธรรม ไม่ต้องไปเรียนที่อื่น เรียนที่ตัวของเรานี่ ตัวของเราที่จะพูดไปอีกกี่ดวงจิต เท่านั้นดวงจิต เท่านี้ดวง อย่างที่ท่านแสดงว่า
อัฏฐะธา โลภะมูลานิ -ความโลภมีแปดดวงอย่างนี้
โทสะมูลานิ จะทะเวติ ทะวาทะสากุสะลา สียุง - มี 12 ดวง
โมหะมูลมี 12ดวง โทสะมูลมี 12 ดวง โลภะมูลมี 8 ดวง
ความจริงนี้ก็พูดเป็นดวงเป็นดวงไป แต่ว่าก็จิตดวงเดียวนั่นเองที่คิดนึกไป

- ในเวลาที่คิดนึกไปก็นึกว่า โอ้ เราได้เรียนอภิธรรมแล้ว เรานี่เป็นผู้ยอดแล้ว เรียกว่ายอดมนุษย์ ยอดการเรียนทั้งปวงแล้วว่างั้น แต่แท้ที่จริงนั้นนะกิเลสยังมีอยู่
- ถึงแม้ว่าจะพูดอภิธรรมไปเพียงเท่าไร ก็ไม่เกิด ไม่เกิดความจริงขึ้นมาได้ เพราะทำไมถึงไม่เกิดความจริง เพราะว่าไปรู้แต่เงินในกระเป๋าคนอื่น นาย ก มีเงินพันล้าน นาง ข มีเงินหมื่นล้าน แต่ว่าเงินทั้งหลายเหล่านั้นเป็นของเขา ไม่ใช่ของเรา แล้วเรามีสิทธิ์มั้ยซักสตางค์แดงเดียว นี่ก็ไม่มีสิทธิ์ ไปขอเขาก็ไม่ให้

- การที่เราจะไปคิดว่าอันนี้เป็นวิปัสสนา อันนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน คิดแล้วมันจะเป็นวิปัสสนา ไม่เป็น
- จำเป็นต้องสร้างพลังจิตให้เพียงพอ ถ้าหากว่าสร้างพลังจิตไม่เพียงพอแล้ว ทำยังไง ยังไงก็ไม่สำเร็จ

เพราะว่า พลังจิตนี้เราเปรียบเหมือนกันกับเงิน เรามีเงินเยอะซะอย่างนะ แล้วเราก็สามารถซื้อได้ทั้งรถ ซื้อได้ทั้งบ้าน เพราะอะไร เพราะว่าเรามีเงินอยู่ในธนาคารแล้ว - ทีนี้ถ้าเราไม่มีเงินก็เปรียบเหมือนกับคนไม่มีพลังจิต ถึงจะคิดวิปัสสนาไปเท่าไรก็ไม่สำเร็จเป็นวิปัสสนา ดีไม่ดีกลายเป็นวิปัสสนูปกิเลสไป

- อย่างทำสมาธินี่ ทำเพื่ออะไร - เพื่อจะให้เกิดพลังจิต -
พลังจิตมีไว้ทำไม มีไว้ควบคุมจิต
ควบคุมจิตทำไม ก็เพื่อที่จะทำให้เป็นคุณธรรมให้เกิดขึ้น
คุณธรรมนั้นคืออะไร ก็คือหนทางแห่งพระอริยะเจ้า อย่างนั้น สวัสดี


ที่มา - หนังสือธรรมะรุ่งอรุณ หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร




Create Date : 31 มกราคม 2553
Last Update : 15 สิงหาคม 2554 20:17:40 น.
Counter : 9514 Pageviews.

1 comments
  
ศิษย์หลวงพ่อองค์เดียวกัน เคยเรียนหลักสูตรครูสมาธิกับหลวงพ่อ รุ่น 15 เรียนจนจบหลักสูตร ตั้งแต่ปี 47 ขาดอยู่สิ่งเดียวที่ไม่สมบูรณ์คือไม่ได้ไปธุดงค์ที่ดอนอินทนนท์ จ.เชียงใหม่เพราะทนอากาศเย็นจัดไม่ไหวก็เลยสละสิทธิ์
โดย: Jullaa (Jullaa ) วันที่: 3 ตุลาคม 2553 เวลา:18:46:26 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Kat_kine
Location :
ปทุมธานี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]