Group Blog All Blog
|
ลักษณะคนโง่ คนฉลาด คนมีปัญญา
สวัสดีค่ะ
ได้อ่านหนังสือ The Foolish The Clever The Wise คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา ของคุณไชย ณ พล มาแล้วรู้สึกว่าดีมากๆค่ะ อ่านแล้วทำให้เรารู้ว่าเราเป็นคนประเภทไหน และจะพัฒนาตัวเองได้อย่างไร จึงมาสรุปให้ดูกันค่ะ
Cr. หนังสือ The foolish The clever The wise คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา :ไชย ณ พล พรวิเศษของในหลวง รัชกาลที่ 9
คำสอนของในหลวง รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช -------------------------------------- - ใครผู้ใดในชีวิตไม่เคยถูกเผา ไม่เคยถูกทุบเหมือนเหล็กชิ้นนั้น -> ทำงานใหญ่ให้แผ่นดินไม่ได้ - การจะเป็น "ยอดคน" นั้น ไม่ได้มาจากโชคชะตาฟ้าลิขิต ไม่ได้มาจากคนแต่งตั้ง แต่มาจากการเคี่ยวกรำแห่งชีวิตที่ต้องพบทั้งทุกข์และสุข - ถ้ามีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย - ในหลวงประหยัด อดทน ไม่เคยใช้ของแพง ------------------------------------------------------- ขอคนไทย 1. คิด พูดทำ ให้อย่ในความเมตตา มุ่งดีเจริญต่อกัน 2. ให้ช่วยเหลือกันแก่ตนเอง แก่คนอื่น , ประเทศชาติ 3. ให้ประพฤติสุจริต 4. ให้มีเหตุผลถูกต้อง - เครื่องมือสำคัญในการทำงาน = ความอดทนและความเพียร - การเป็นคนดี จะนำทางไปสู่ที่ดีๆ มีชีวิตดี, มีเพื่อนดีๆ คอยช่วยเหลือ - ทุกความทุกข์เป็นดั่งครูผู้สอนวิชาชีวิต ---------------------------- - กระป๋องคนจน หากท่านมีกำไร จะถูกเก็บภาษี หยอดกระปุกนี้ 10% , ทุกสิ้นเดือน มอบให้แก่ โรงเรียนตาบอด, เด็กกำพร้า, คนยากจน - ให้โดยมิได้หวังสิ่งตอบแทนใดๆ - ทำดี ปิดทองหลังพระ ไม่ต้องให้ใครรู้ - การครองใจคน = ต้องหมั่นเสียสละ, หมั่นทำความดีให้ผู้อื่นเสมอ ---------------------------- การทดแทนคุณนั้น มิใช่สิ่งที่ยากนัก - ถ้าท่านประพฤติตนเป็นคนดี มีสัมมาอาชีวะ เป็นหลักฐานที่เชิดชูวงศ์ = ทดแทนคุณบิดามารดา - ถ้าท่านหมั่นศึกษาวิชาการให้มีความรู้ความสามารถ = ทดแทนคุณครูบาอาจารย์ - ถ้าท่านตั้งใจทำงานทุกอย่างโดยถือประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าประโยชน์ส่วนตัวแล้ว = ทดแทนคุณประชาชนคนไทยทุกคน ------------------------------------------------------- - ถ้าคนเราไม่หมั่นเพียร ไม่มีความอดทน ก็อาจจะท้อใจไปโดยง่าย เมื่อท้อใจไปแล้ว ไม่มีทางที่จะมีชีวิตเจริญรุ่งเรืองแน่ๆ - หมั่น Upgrade ตัวเองเสมอ อย่าปล่อยให้ตัวเองตกรุ่นตกสมัย จมอยู่แต่ในอดีต - ต้องทำให้ตนเองแกร่งกว่าเมื่อวาน - ต้องเรียนรู้จากปัญหา - ความกตัญญู การเคารพผู้อาวุโส = ทรงคุณค่าและมีประโยชน์ CR. จากหนังสือ "พรวิเศษของ"พ่อ" การเสริมสร้างพลังอำนาจแห่งชีวิต - ไชย ณ พล
สวัสดีค่ะ
ได้อ่านหนังสือเรื่องการเสริมสร้างพลังอำนาจแห่งชีวิต ของคุณ ไชย ณ พล - รู้สึกว่าดีมากๆ และน่าสนใจมาก เพราะได้คำตอบที่อยากรู้มานาน เลยอยากแบ่งปันค่ะ- ใครที่นั่งสมาธิอยู่ หากอยากทราบว่า การตั้งฐานจิตไว้แต่ละจุด จะให้ผลแตกต่างอย่างไรบ้าง หนังสือเล่มนี้ก็มีคำตอบค่ะ - จุดกลางกระหม่อม - ทำให้เกิดปฏิภาณ และสติปัญญาฉับไว- เกิดความปีติแจ่มใสง่าย - เชื่อมพลังจักรวาลได้ดี - จุดหว่างคิ้ว = จุดตื่น- focus พลังส่งไปให้ผู้อื่น - ให้ทำอย่างนุ่ม เบา มั่นคง - อย่าเพ่งแรง จะมึนศีรษะ - จุดตา - ประคองความรู้ตัว ไม่เพ่ง ไม่บีบ - เกิดจิตตานุภาพ - หากตาตึง = จิตตึง ให้แผ่เมตตาไป - จุดปลายจมูก - ปีติ ซาบซ่านง่าย -อย่าใช้ตาเพ่ง - ให้ใช้ความรู้ตัว - จุดเหนือลูกกระเดือก 2 นิ้ว - ถ้าหิว ทำจุดนี้ให้สงบ ความหิวจะหาย - จุดใต้ลูกกระเดือก 2 นิ้ว - ภวังค์หลับ หลับง่าย - จุดหทัยวัตถุ - เบิกบานแจ่มใส มีแสงสว่างไสวตรงนั้น- ประคองให้มั่น - ฐานสำคัญที่สุด - จุดเหนือสะดือ 2 นิ้ว -ให้ความกระปรี้กระเปร่า สดชื่นดี - หายใจทั่วปอด - อย่าเพ่งบีบจิต - จุดสะดือ - เห็นขบวนการร่างกายภายในชัด - จุดใต้สะดือ 2 นิ้ว - สงบ นุ่ม แผ่วเบา ทำให้สงบ - จุดก้นกบ - สร้างความรู้สึกกายชัด- เสียวซ่าน ไปยังประสาทส่วนต่างๆ - กำหนดความรู้ตัวทั่วพร้อมได้ง่าย - จุดท้ายทอย - รอยต่อกระดูกสันหลังและสมอง - Medulla Oblongata - เหมือนหัวเทียนในร่างกาย - spark พลังต่างๆ - สร้างพลัง ดูดซับพลังละเอียดในบรรยากาศมาบริโภคได้ เช่น อีเธอร์ โอโซน ในบรรยากาศและในมิติทิพย์ _______________________________________________________ การเสริมสร้างอำนาจจิตโดยพลังของผู้อื่น1) การอนุโมทนา - เข้าใกล้ผู้ที่มีพลังจิตอันประเสริฐ - เหล็กธรรมดาที่เข้าไปอยู่ในรัศมีสนามแม่เหล็ก ย่อมถูกเหนี่ยวนำให้เป็นแม่เหล็กอ่อนๆได้ - การพบเห็นสมณะเป็นมงคลแห่งชีวิตประการหนึ่ง - ถ้าจิตยังไม่ยิ่งใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงคลุกคลีกับคนที่มีอำนาจจิตทรามด้วย 2. ทุกขณะจะมีคนทำความดีอยู่เสมอ - พึงระลึกถึงบุคคลเหล่านั้น - แล้วอนุโมทนาสาธุ - ทำให้ท่านยกระดับจิตตนให้ใกล้เคียงภาวะนั้นด้วย - หากเขาเหล่านั้นอุทิศส่วนกุศลเป็นการทั่วไป - เมื่อท่านอนุโมทนา - ท่านก็จะได้ดูดซับพลังแห่งคุณความดีเข้าไว้ในตนทันที = ทำบุญทางลัด - บุคคลที่ทำความดีมหาศาลที่เราพึงระลึกเสมอๆ - เช่น พระพุทธเจ้า พระสงฆ์ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ 3. จัดเวลาฝึกตนให้สอดคล้องกับท่านผู้มีอำนาจจิต - ฝึกจิตร่วมกัน 9 คน - พลังรวมรังสีจิตในบรรยากาศ = 9*9 = 81 คน - ส่วนใหญ่ 1ทุ่ม- 3ทุ่ม และตี3-6โมงเช้า - ช่วงนี้ พลังจิตชั่วร้ายในบรรยากาศจะน้อยมาก - และพลังจิตอันประเสริฐจะเข้มข้นมาก - โดยเฉพาะตี3-6 โมง คนหลับอยู่ - มีเฉพาะผู้ฝึกตนเท่านั้นที่กำลังทำกิจฝึกจิตกันอยู่ - ถ้าท่านตื่นขึ้นมาฝึกตน ท่านจะได้รับพลังจิตอันประเสริฐมาก _______________________________________________________ พลังความอดทน- คนที่มีความอดทนมาก - จะแบกรับภาระและความรับผิดชอบ และปัญหาต่างๆได้มาก - คนที่มีความอดทนน้อย - จะแบกรับภาระความรับผิดชอบและปัญหาได้น้อย - ยิ่งผ่านภาวะอดทนมามาก - ปัญญายิ่งเฉียบคมมาก - ดุจซามูไรทนทั้งความร้อนและทุบตี -> เนื้อเข้มขึ้น เหนียวแน่น เฉียบคม - ส่วนเหล็กชั้นเลวที่ความอดทนต่ำ -จะหลอมละลายเร็ว เมื่อถูกความร้อน , แตกตัวเมื่อถูกตี - ไม่สามารถทำเป็นซามูไรได้ - ใครที่มีความอดทนสูง = มีศักยภาพรองรับสิ่งต่างๆมาก, รับผิดชอบงานใหญ่ๆ ได้ - และมีโอกาสพัฒนาตนให้เข้มข้นเหนียวแน่น - จะสร้างความอดทนได้ - ต้องพัฒนาปัญญาให้เร็ว - มีอนัตตสัญญาเสมอ และพร้อมปล่อยวางทุกสิ่ง __________________________________________________________________________ พลังการให้- จากตัดใจให้ จนถึง เต็มใจให้ - พลังปีติจะเกิดขึ้น - จากเต็มใจให้ จนถึง ตั้งใจให้ - พลังความสุขจะปรากฎ - จากตั้งใจให้ จนถึง ให้เป็นนิสัย - พลังจะสม่ำเสมอมาก - จากให้เป็นนิสัย จนถึง ให้โดยเหมาะสมด้วยปัญญา - พลังจะสมดุลมาก - ทุกขณะขั้นแห่งการให้ที่พัฒนาได้ -> อำนาจใจจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามคุณสมบัติใจที่กล้าให้ - เมื่อให้สิ่งใดได้ด้วยความยินดี - แสดงว่าใจเราอยู่เหนือสิ่งนั้น - เช่น ถ้าให้ชีวิตได้ -แสดงว่า ใจเราอยู่เหนือชีวิต มีอำนาจสูงส่งยิ่งนัก ที่มา - หนังสือการเสริมสร้างพลังอำนาจแห่งชีวิต ของคุณ ไชย ณ พล วิธีดูตัวเองว่ามีอีคิวสูงหรือต่ำ ดูได้ 4 เรื่อง - ดร.สนอง วรอุไร
สวัสดีค่ะ
ได้หนังสืออีคิวกับผู้สูงอายุ ของดร.สนอง วรอุไร จากชมรมกัลยาณธรรม อ่านแล้วก็รู้สึกว่าได้ความรู้เรื่องอีคิวดีจัง จึงได้สรุปมาให้ฟังกันค่ะ - ความโกรธเป็นเหตุให้เกิดความคิดไม่ดี - หากเลิกโกรธได้ทันที -นั่นแหละ จิตมีความฉลาดทางอารมณ์สูง - บางคนมีอารมณ์โกรธตั้งแต่เช้าจนดึกดื่นเที่ยงคืนยังไม่หายโกรธ -นั่นเป็นเครื่องแสดงว่าจิตมีอีคิวต่ำ -ในที่สุดผลร้ายจะเกิดตามมาแน่นอน _________________________________________________________________ อยากจะรู้ว่าตัวเองมีอีคิวสูงหรือต่ำ ดูได้ 4 เรื่อง 1. ดูที่พฤติกรรมต้องดูเรื่องการคิดพูด ทำ พฤติกรรมด้านการคิด - ถ้าคิดแล้วมีสาระ คิดสร้างสรรค์ -คิดจะให้ -คิดไม่เบียดเบียน -นี่คืออีคิวสูง นี่แหละคือพวกที่มีอีคิวสูง คิดมีสาระ คิดสร้างสรรค์ คิดแก้ปัญหา คิดช่วยเหลือ คิดให้ - ถ้าคิดฟุ้ง คิดเพ้อเจ้อ คิดแต่สิ่งไร้สาระ- คิดเบียดเบียน- คิดจะเอาจะได้ คิดสร้างปัญหา--> นี่แหละอีคิวต่ำ พฤติกรรมด้านการพูด - พูดความจริง พูดมีสาระ พูดแล้วเกิดกำลังใจ เกิดแรงจูงใจ- พูดไม่นินทา ไม่ให้ร้าย -พูดแล้วเกิดความปรองดอง เกิดความร่วมมือ- คำพูดต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นคำพูดของคนที่มีอีคิวสูง - ถ้าวันนี้พูดอย่าง มะรืนนี้พูดอีกอย่าง พูดกลับไปกลับมา -อย่างที่บางคนแสดงในจอโทรทัศน์ให้เราดู -พูดกลับไปกลับมา พูดไม่จริง- พูดแล้วไร้สาระ -ฟังแล้วไม่เข้าใจ ฟังแล้วเกิดความสงสัย- พูดแล้วเกิดท้อแท้ ไม่เกิดกำลังใจ -พูดแล้วแตกความสามัคคี -พูดนินทาคือพูดถึงคนอื่นในทางที่ไม่ดีลับหลัง -คำพูดต่าง ๆ เหล่านี้ออกมาจากปากของใคร ก็แสดงว่าคนพูดมีอีคิวต่ำ พฤติกรรมด้านการกระทำ - ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ -ทำแต่สิ่งที่ไม่เบียดเบียน -ทำเพื่อผู้อื่น ทำเพื่อสังคม ทำเพื่อส่วนรวม - เป็นการกระทำของคนที่มีอีคิวสูง - ถ้ามีเป้าหมายในการทำที่ดีมีแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ มีสาระ -ทำในสิ่งที่สร้างสรรค์ สิ่งที่ทำให้สังคมสงบเย็น- ทำในสิ่งที่ทำให้จิตวิญญาณของตนงอกงาม -นั่นคือการกระทำของคนที่มีอีคิวสูง - ถ้าทำแต่สิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ส่วนรวม -เบียดเบียน คอร์รัปชั่น -ข่มขู่ ฉ้อฉล คดโกง -นั่นแสดงถึงการกระทำของคนที่มีอีคิวต่ำ เป็นการทำลายสังคม ไม่ได้สร้างสรรค์สังคม ทำให้คนอื่นเดือดร้อน _________________________________________________________________ 2. ด้านบุคลิกภาพ - ถ้าเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน -แสดงว่ามีอีคิวสูง - ถ้าเป็นคนที่คับแคบ ไม่เชื่อ ไม่ฟัง ไม่สนใจ -ใครพูดอะไรไม่เชื่อ จิตใจคับแคบ ไม่รับฟัง -นั่นแสดงถึงคนมีอีคิวต่ำ - ถ้าเราเปิดใจให้กว้าง- รับได้ทุกสถานการณ์ ทั้งดีทั้งไม่ดีฟังได้- ข้อมูลความรู้จะเข้ามามาก จะแก้ปัญหาชีวิตง่าย - คนที่มีจิตใจคับแคบ มีอีคิวต่ำ -จึงแก้ปัญหาชีวิตได้ยาก- เพราะเขามีบุคลิกภาพเป็นคนคับแคบ - ฉะนั้นเรื่องความอ่อนน้อม มีใจที่ไม่คับแคบ- มีใจเอื้ออาทร เห็นอกเห็นใจเห็นแก่ผู้อื่น -พวกอีคิวสูง - ผู้มีบุคลิกภาพเป็นคนที่สงบเย็น มีเมตตา- ใครเขาจะด่าจะว่า มีแต่ใจสงบเย็น -พวกที่สงบเย็น มีเมตตาใคร ๆ ก็อยากเข้าใกล้ เมตตาเป็นความรักความปรารถนาที่จะให้คนอื่นได้รับประโยชน์และมีความสุข นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจที่มีเมตตา - ถ้ารักเขาและเขาไม่เป็นไปตามที่ใจต้องการแล้วเกิดโทสะ อย่างนี้ไม่มีจิตเมตตา เป็นรักแบบมีตัณหาสนับสนุน - เมตตา เป็นบุคลิกภาพที่แสดงถึงใจที่มีอีคิวสูง - ถามตัวเองว่าเป็นคนร้อนหรือคนเย็น -ถ้ามีอารมณ์ร้อนแสดงถึงอีคิวต่ำ -ร้อนน้อยอีคิวก็สูงขึ้นหน่อย -ถ้าไม่ร้อนเลยอีคิวสูงสุด - ถ้าเป็นคนขี้เกียจ ไม่อดทน -ทำอะไรเหนื่อยยากหน่อยก็บ่น -ไปไหนมาไหนก็บ่น ไม่อดทน -แสดงให้เห็นถึงการมีอีคิวต่ำ - ถ้าขยันและมีความอดทน- ไม่พูด ไม่บ่น ทำงานไปเรื่อย ๆ-แสดงถึงการมีอีคิวสูง - เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ -ทำอะไรแล้วไม่เสียงาน -พวกนี้มีอีคิวสูงเป็นเครื่องสนับสนุนการทำงาน _________________________________________________________________ 3. สุขภาพ - ถ้าจิตมีอีคิวต่ำ จะทำให้สุขภาพเสื่อม -เพราะอีคิวสะท้อนให้เห็นถึงโปรแกรมจิต - จิตที่มีสำนึกดีจะกำหนดโปรแกรมจิตไว้ดี positive thinking -ถ้ากำหนดโปรแกรมจิตเป็นบวก คือเห็นถูกแล้วคิดดีอยู่เสมอ อีคิวจะสูง เพราะอีคิวสูงจึงส่งผลให้มีสุขภาพดี - ผู้ใดคิดว่าตัวเองจะเป็นโรคนั้น จะเป็นโรคนี้ - แสดงถึงจิตมีอีคิวต่ำ กำหนดโปรแกรมจิตไว้ไม่ดี เพราะคิดไม่ดี จิตก็สั่งสมแต่สิ่งไม่ดี เมื่อเหตุปัจจัยไม่ดีลงตัว ก็เป็นโรคแน่นอน - มีคนเป็นเนื้องอกที่รังไข่ แล้วก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ -ผมรู้จักดีเพราะว่าใกล้ชิด ได้เห็นบุคลิกภาพของเขา โปรแกรมจิตของเขาผิดไปหมด บุคลิกภาพผิด อีคิวจึงต่ำ เพราะอ่านเขาออก แต่ไม่มีสิทธิ์บอกเขา เพราะเขาไม่ได้มาขอคำแนะนำ - จนวันหนึ่งเขาบอกว่าเขาเป็นเนื้องอกที่รังไข่ จะทำอย่างไร -ปรกติเขาเป็นคนมีอีคิวต่ำ ต้องทำให้มันมีอีคิวสูง เช่น ปกติเป็นคนร้อนก็ทำให้เป็นคนสงบเย็๋น -อะไรที่ปล่อยวางได้ก็ปล่อยวางลงบ้าง -ถ้าจิตใจไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในด้านติดลบกับระบบสรีระต่าง ๆ อวัยวะต่าง ๆ ก็ทำหน้าที่ของมันเป็นปรกติ- โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาว ที่อยู่ในระบบเลือด มีหน้าที่คอยจับกินสิ่งแปลกปลอม รวมทั้งกินเซลล์มะเร็งได้ -แต่ใจที่ไม่ดีของเรา ทำให้เม็ดเลือดขาวทำหน้าที่บกพร่อง ทำให้เม็ดเลือดขาวขี้เกียจ ทำให้ระบบสรีระผันแปร จึงส่งผลเป็นความเดือดร้อนกับร่างกายที่จิตใช้เป็นบ้านอาศัย - ได้บอกเขาว่า คุณเปลี่ยนบุคลิกให้เป็นตรงข้าม- แทนที่คุณจะเป็นคนร้อน ซึ่งผลงานทุกอย่างต้องดีที่สุด -ขอให้ปล่อยวางให้เป็น -แล้วคุณจะหายจากการเจ็บป่วย - เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อที่เขาปฏิบัติตามคำแนะนำ ทำมาเดือนแรก ๆ ขนาดก้อนเนื้อเล็กลง - เดือนที่ 2 ไป x-ray ใหม่ ขนาดลดลงอีก - เดือนที่ 3 ก้อนเนื้องอกหายไปหมดทั้งที่หมอได้นัดผ่าตัดแล้ว ในที่สุดหมอไม่ได้ผ่า - ต้องสร้างโปรแกรมจิตว่าเม็ดเลือดขาวจับเซลล์มะเร็งกินทุกวัน- ต้องสร้างจินตนาการว่า เช้าตื่นขึ้นมาก้อนเนื้องอกมันเหลือเล็กลงทุกวัน เล็กลงๆจนหมดไป- นี่คือการสร้างโปรแกรมจิตที่เป็นบวก _________________________________________________________________ - ไปเจอคนเป็นลูคิเมียที่กรุงเทพ นอนป่วยในโรงพยาบาล 3 เดือน -จึงบอกให้เขาขึ้นมาหาที่เชียงใหม่ เขาขึ้นมาพร้อมพกยามาด้วย ต้องกินยาวันละ 20 กว่าเม็ด ผมพาคนไข้ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ รายงานหมอที่ออกมาผิดปรกติตรงกับที่โรงพยาบาลจุฬา - ให้เขาไปฝึกจิตนิ่ง ฝึกสมาธิ 3 สัปดาห์ -เขาถามว่า ยาที่เขาต้องกินวันละ 20 เม็ดเลิกกินได้ไหม- ผมบอกว่าไม่รู้ นอกจากตัวเองรู้เอง -ในที่สุดเขาลดกินยาและเลิกไปในที่สุด - หลังจากนั้นพาคนไข้ไปโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่เป็นครั้งที่สอง ผลตรวจเลือด ตรวจทุกอย่างดีเหมือนคนปรกติ - เขาอยู่พัฒนาจิตเกือบ 2 เดือน ก่อนกลับกรุงเทพ ผมบอกเขาว่า เราก็รู้ว่าเราเป็นโรคลูคิเมียเพราะอะไร แล้วที่มันหายไปก็รู้ว่าหายได้เพราะอะไร - ต่อไปนี้จะเป็นโรคหรือไม่เป็นโรคก็เป็นเรื่องของคุณ- อะไรเกิดขึ้นได้ก็ต้องหายได้ -ความโกรธเกิดขึ้นได้ ก็ไม่โกรธได้ -ความสุขหมดเมื่อไร ความทุกข์มันเกิดขึ้นได้ -เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรที่มันเกิดและคงอยู่ค้ำฟ้า ไม่มีอะไรที่คงอยู่นิรันดร ทุกอย่างมีเกิดแล้วมันดับ -มองตัวนี้ให้ออก สร้างโปรแกรมจิตให้เป็นบวกอยู่เสมอ แล้วอุปสรรคปัญหาจะไม่เกิดขึ้น - ฉะนั้น อีคิวจะสูงหรือต่ำ ให้ดูที่สุขภาพ- ให้ตั้งโปรแกรมจิตเป็นบวกไว้ สุขภาพจะดี - ใครที่เป็นอะไรแล้วก็หายได้ เพียงแต่ให้ตั้งโปรแกรมจิตเป็นบวกไว้ - ใครจะเป็นอะไร เป็นเรื่องของเขา- เรื่องของเรามีแต่สบาย - ร่างกายของเรา ก็อย่าเอาของไม่ดีใส่เข้าบรรจุไว้ - อาหารอะไรก็ตามที่ชอบบริโภค กินแล้วบำรุงร่างกายให้แข็งแรง กินเข้าไปได้ แต่อย่าให้มันมากเกินไป ถ้าร่างกายกำจัดออกไม่หมด สิ่งที่มีเกินสามารถทำให้เกิดโทษได้ - ต้องตั้งโปรแกรมจิตให้เป็นบวกเสมอ แล้วจะแข็งแรง - คนที่ทำชั่วไว้มาก -พวกนี้มีสุขภาพทางวิญญาณไม่ดี ในที่สุดไปไม่ดี ไปเกิดในภพต่ำ - ถ้ายังไม่ตาย อยู่ในสังคมแล้วทำแต่ความเดือดร้อน ต้องเอาไปกักขังไว้ที่เฉพาะ (คุก) _________________________________________________________________--------------- 4. วิถีการดำเนินชีวิต - คนที่มีอีคิวสูง ดำเนินชีวิตแบบมักน้อย มีสาระ มีสันโดษ- สันโดษคือความพอใจในสิ่งที่ตนมี ตนเป็น ตนได้รับ - พระพุทธเจ้าสอนคนให้สร้างความดี สอนคนให้ทำงาน สอนคนให้ขยัน -แต่ได้สิ่งตอบแทนกลับมาแค่ไหนเอาแค่นั้น นั่นคือสันโดษ - มีบุญมาก ทำนิดเดียวได้เงินมาก - บางคนทำงานแทบตายไม่ได้เลื่อนขั้น อย่าไปอิจฉาคนอื่น- เขาไม่ทำอะไรเลยแล้วได้ดีกว่า แสดงว่าเขาเคยทำอะไรที่ดีมาก่อน ทำดีมามาก จิตสั่งสมสิ่งดีไว้มาก -พอเขาทำนิดเดียวบุญส่งให้ได้ผลแล้ว - น้ำในโอ่ง ถ้ามีขี้โคลนสักครึ่งโอ่ง เอาน้ำใสใส่ลงไปนานไหม กว่าน้ำในโอ่งจะใส- แต่ถ้ามีขี้โคลนในโอ่งอยู่นิดเดียว พอเติมน้ำใสลงไปไม่เท่าไร น้ำในโอ่งจะใส - ตอนรับราชการใหม่ ๆ ทำงานเหนื่อยแทบตายไม่ได้ดี คนอื่นทำงานสบายกว่าทำไมได้ดี คิดว่าจะไม่ทำราชการแล้ว -แต่ด้วยบุญเก่ายังมี จึงมีสติคิดได้ว่า ถ้าไม่ทำงานยิ่งแย่ลงไปอีก จึงทำไม่หยุด และไม่เอาไปเทียบกับคนอื่น -ตอนหลังทำบ้างไม่ทำบ้าง ได้ดีตลอด นี่คือของจริง - คนที่มีอีคิวสูง วิถีการดำเนินชีวิตเป็นคนสมถะ มีสาระ สันโดษ -และอยู่เพื่อทำตัวเป็นที่พึ่งของผู้อื่น -เป็นผู้ให้เหมือนต้นไม้ใหญ่- มีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ที่มา - หนังสืออีคิวกับผู้สูงอายุ ของดร.สนอง วรอุไร คิดดีคิดร้าย ร่างกายตอบสนอง - เดอะท็อปซีเคร็ต
สวัสดีค่ะ ได้อ่านหนังสือเดอะท็อปซีเคร็ต ของทันตแพทย์สม สุจิรา - ก็รู้สึกว่าเขียนได้ดีมากๆเลย เราเคยอ่าน The secret มาก่อนหน้านี้แล้ว พอได้อ่าน The top Secret ก็รู้สึกเข้าใจและซาบซึ้งมากกว่าเดิม - จะขอสรุปให้ฟังเกี่ยวกับเนื้อหาบางบทของ The Top Secret นะคะ
- คนคิดบวก คิดลบ-มีผลต่อปฏิกิริยาภายในร่างกาย - ติดต่อไปยังคนใกล้ชิดได้ - คนที่อารมณ์ดี คิดบวกเสมอ - มีแต่คนอยากอยู่ใกล้ - เพราะสารแห่งความสุขที่หลั่งออกมาในคนอารมณ์ดี - จะไปเหนี่ยวนำให้เซลล์ในร่างกายคนรอบข้างหลั่งสารแห่งความสุขสูงขึ้นไปด้วย - เพราะฉะนั้นจงพยายามคิดบวกอยู่เสมอ - คนคิดลบ - ส่งผลกระทบเซลล์ในร่างกายทุกระบบ - คิดลบมากๆเข้า - เซลล์รับไม่ไหว โดยเฉพาะเซลล์ประสาท, เซลล์หัวใจ เกิดผิดปกติ - คิดบวกกับสิ่งใด - เซลล์จะเตรียมพร้อมรับสิ่งนั้นทางบวก - ใครอยากเก่งภาษาอังกฤษ - ต้องคิดบวกกับภาษาอังกฤษก่อน - เซลล์สมองจะเตรียมพร้อมทำงานให้ตามที่คิดอย่างมหัศจรรย์ - ไปฉีดยา- ถ้าคิดลบ เซลล์ผิวหนังจะอยู่สภาพเตรียมพร้อม - ขณะเข็มจิ้ม - เซลล์ผิวหนังจะส่งสัญญาณเจ็บ 2-3 เท่าคนคิดบวก - ไม่คิดอะไร ยังเจ็บน้อยกว่า _________________________________________________________ - คนคิดลบ - เวลาทำผิด มักโยนความผิดให้ผู้อื่น - เพราะลบในตัวเขามากพออยู่แล้ว - คนคิดบวก - เมื่อทำผิด จะยอมรับว่าตัวเองผิด- เพราะส่วนบวกในตัวเขา ดึงดูดส่วนลบที่ผิดพลาดเข้ามา - นำมาวิเคราะห์หาต้นเหตุแห่งความผิดพลาดนั้น - คนคิดบวกจึงประสบความสำเร็จในที่สุด - คนที่ทำผิดแล้วยังไม่รู้สึกผิด - ยากจะประสบความสำเร็จ - เพราะจะมองไม่เห็นจุดบกพร่องตัวเอง - คนที่รู้บุญคุณคน - จะซึ้งใจกว่าปกติเมื่อได้รับน้ำใจจากผู้อื่น - เพราะแรงกระตุ้นเชิงบวกได้เหนี่ยวนำเซลล์ในร่างกายทั้งหมดของเขาซึ่งเป็นบวกอยู่แล้ว - ให้สะท้อนคลื่นบวกกลับออกไปได้อย่างรวดเร็ว - ถ้าวันไหนเราอารมณ์เสีย - ไม่ต้องแปลกใจที่คนรอบข้างมีแนวโน้มจะกวนประสาท - โดยเฉพาะคนที่คิดลบอยู่แล้ว - เพราะพลังทางลบในตัวเราได้เข้าไปเหนี่ยวนำให้คนอื่นแสดงออกเช่นนั้นไม่รู้ตัว - ยิ่งถ้าปล่อยให้อารมณ์ความิดนั้นแสดงออกเป็น -วจีกรรม,กายกรรม - แรงสะท้อนทางลบจากคนคิดลบรอบข้างก็จะยิ่งมากขึ้นเป็นทวีคูณ - ความคิดมีแรงดึงดูด - ถ้าเราคิดทำร้ายใคร - ปฏิกิริยาของเซลล์ในร่างกายเราจะตอบสนองอย่างรวดเร็ว - สามารถติดต่อกับเซลล์ในร่างกายคนอื่นให้ตอบสนองแบบเดียวกัน - โดยเฉพาะเซลล์ประสาท - ความคิดที่จะทำร้ายคนอื่น - จะเป็นตัวดึงดูดให้คนอื่นคิดเข้ามาทำร้ายเราเช่นกัน - ถ้าเราคิดให้ความรักกับคนอื่น - สารแห่งความรักเอนโดฟินในตัวเราจะพุ่งสูง - เซลล์คนอื่นๆจะถูกกระตุ้นให้หลั่งสารเอนโดฟินสูงตามไปด้วย - เมื่อเอ็นโดฟินในร่างกายคนอื่นๆสูงขึ้น - เขาก็เกิดความรู้สึกอยากจะให้ความรักบ้าง - คนที่เพิ่งอกหัก ขณะนั้นจะมีความคิดลบมากมาย - อย่าเพิ่งพยายามหาคนรักใหม่ - เพราะโอกาสที่จะดึงดูดคนไม่ดีเข้ามาในชีวิตมีสูงมาก - จงอยู่อย่างสงบ - รอให้สถานการณ์คลี่คลายจนรู้สึกดีขึ้น พร้อมที่จะให้ความรักออกไป- เมื่อนั้นค่อยคิดหาคนมาดามหัวใจ - ความคิดลบจะดึงดูดให้เรากลายเป็นคนเช่นนั้น - คนที่คิดว่าคนอื่นเห็นแก่ตัว ก็คือคนเห็นแก่ตัวนั่นเอง - ผีย่อมเห็นผีด้วยกัน - ถ้าคิดลบต่อเหตุการณ์ใด - จะดึงดูดให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง - คนล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้ง เพราะยังไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงวิธีคิด - การให้ = การเพิ่มไม่ว่าสิ่งที่ให้จะเป็นบวกหรือลบ - ถ้าให้ลบกับคนอื่น - ลบในตัวคุณก็จะเพิ่มขึ้นด้วย - ถ้าให้บวกกับคนอื่น - บวกในตัวคุณก็จะเพิ่มขึ้นด้วย - คุณให้วิทยาทาน ให้ความรู้เป็นทาน - ขณะที่คุณให้ จิตวิญญาณคุณจะรับสิ่งนั้นด้วย - ยิ่งให้ยิ่งเก่ง - ยิ่งสอนยิ่งรู้ - ยิ่งเรียนยิ่งฉลาด - ยิ่งบริจาคยิ่งรวย ที่มา - หนังสือเดอะท็อปซีเคร็ต ของทันตแพทย์สม สุจิรา
|
Kat_kine
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?] |