ลักษณะคนโง่ คนฉลาด คนมีปัญญา
สวัสดีค่ะ

ได้อ่านหนังสือ The Foolish The Clever The Wise คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา ของคุณไชย ณ พล มาแล้วรู้สึกว่าดีมากๆค่ะ อ่านแล้วทำให้เรารู้ว่าเราเป็นคนประเภทไหน และจะพัฒนาตัวเองได้อย่างไร จึงมาสรุปให้ดูกันค่ะ

 

คนโง่มักใช้ชีวิตอย่างไร้เป้าหมาย จึงว่ายเวียนไปมา แล้ววนกลับมาที่เดิม ต้องเริ่มต้นใหม่เรื่อยไป สู่อนาคตที่ไร้ทิศทาง คนฉลาด มักตั้งเป้าหมายชีวิตยิ่งใหญ่ ท้าทาย จึงไม่พอใจสักที เพราะดูทีไร ยังห่างไกลเป้าหมายเสมอ คนมีปัญญา ย่อมมีเป้าหมายสูงสุดแห่งชีวิต และมีเป้าหมายน้อยนิดสานสู่เป้าหมายใหญ่ จึงมีบันไดแห่งความสำเร็จให้บรรลุเป็นลำดับไป ได้กำลังใจและความสุขไปตลอดทาง
คนโง่ แม้เมื่อมีจิตใจไม่เห็นจิตใจ จึงไม่บริหารจิตใจตน แต่สัปดนไปบริหารคนอื่น และมักขื่นขมที่ควบคุมคนอื่นไม่ได้ คนฉลาด เมื่อมีจิตใจ ก็เข้าใจจิตใจตน แม้จะไม่เห็นอยู่ จึงทู่ซี้ระวังรักษา ได้ประโยชน์บ้างตามกำลังสติสัมปชัญญะ คนมีปัญญา เมื่อมีจิตใจ ย่อมเห็นแจ่มแจ้งในจิตใจอยู่ รู้แจ้งโครงสร้างจต และอำนาจแห่งใจ จึงสามารถบริหารให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้เสมอ
คนโง่ ชอบเถียง เขาจึงได้การทะเลาะเบาะแว้ง และความบาดหมางตอบแทน คนฉลาด ชอบถาม เขาจึงได้ความรู้และมิตรภาพตอบแทน คนมีปัญญา ชอบนำเสนอ เขาจึงได้โอกาสและความเจริญตอบแทน
คนโง่ ชอบให้อารมณ์พูด จึงกระทบตนกระทบคนอื่นเนืองๆ ผิดพลาดมาก ล้มเหลวบ่อย คนฉลาด ชอบให้เหตุผลพูด จึงถูกต้องมาก แต่มักไร้ความรู้สึก และประสบแต่ความสำเร็จอันแห้งแล้ง คนมีปัญญา ชอบให้ธรรมะพูด จึงบริสุทธิ์เหนือถูก เหนือผิด และเป็นหนึ่งเดียวกับความสำเร็จโดยธรรม
คนโง่ มัววิพากษ์วิจารณ์นินทาคนอื่น คนอื่นจึงเจริญ แต่ตนเสื่อม เพราะไม่จริงใจกับใคร จึงไม่มีใครจริงใจด้วย เขาคือมิตรเทียม และย่อมมีแต่มิตรเทียม คนฉลาด มัววิพากษ์วิจารณ์ตนอย่างที่เป็น โดยไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ตนต้องเป็นไป จึงไม่พอใจตัวเอง จนต้องถล่มทลายตนเนืองๆ คนอื่นจึงมักไม่เข้าใจเขา และเคียงข้างเขาด้วยความกังขา คนมีปัญญา ย่อมไม่วิพากษ์วิจารณ์ใคร ด้วยแจ้งแจ้งว่าทุกคนย่อมเปลี่ยนไป เขาย่อมเลี่ยงคนที่ชอบวิจารณ์ตนและคนอื่น ทุกคนจึงสบายใจที่จะอยู่ใกล้เขา เขาย่อมเป็นมิตรแห่งตน และมีมีตรแท้ที่มั่นคง
คนโง่ มักกล่าวร้ายป้ายโทษผู้อื่น จึงมีศัตรูรอบตัว นำมาซึ่งความหายนะและความตาย คนฉลาด ชอบกล่าวหาตัวเอง จึงได้รับความสงสารไปทั่ว นำมาซึ่งความสมเพช คนมีปัญญา ไม่กล่าวหาใคร ด้วยแท้จริงไม่มีใครอยากผิด แต่พลาดไปเพราะไม่เห็นความผิด หรือเห้นแต่ไม่มีโอกาสเลือกสิ่งที่ถูก หรือมีโอกาส แต่ไม่มีกำลังพอที่จะตัดสินใจเลือก เขาจึงให้กำลังใจทุกคนสู่ความแกล้วกล้า ทุกคนจึงเป็นหนี้บุญคุณเขา และยอมรับเขาดั่งมิตร
คนโง่ ทำงานเพื่อเงิน จึงได้เงินมาอย่างเหนือยยาก และมักไม่ได้คุณค่าอื่นๆ ของงาน คนฉลาดทำงานเพื่องาน จึงได้ผลงานที่ยิ่งใหญ่ และได้เงินตามมาโดยง่าย คนมีปัญญา ทำงานเพื่อหยิบยื่นคุณค่าแก่สังคม เขาจึงได้ผลงานที่น่าชื่นชม เงิน ชื่อเสียง และมิตรมหาศาลย่อมตามมา
คนโง่ ทำงานเพื่อระเบียบ จึงถูกระเบียบ แต่มักพลาดผลสมบูรณ์ คนฉลาด ทำระเบียบเพื่องาน จึงถูกเจตนารมณ์และได้ผลงานดี แต่มักสับสนที่ต้องแก้ระเบียบกันอยู่เสมอ คนมีปัญญา ทำทั้งงาน จัดทั้งระเบียบเพื่อผล จึงได้ผลงานที่เหมาะสม มีปัญหาน้อย และไม่พลาดเจตนารมณ์เลย
คนโง่ มัวขยันในเรื่องที่ไร้สาระ จึงพบปะแต่เรื่องไร้ประโยชน์ แล้วมักตัดพ้อว่า ทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี คนฉลาด ขยันในเรื่องที่มีคุณมาก มีโทษน้อย จึงได้ประโยชน์มาก และมีโทษแทรกบ้าง แล้วมักบ่นว่าอุตส่าห์ระวังอย่างที่สุดแล้วยังพบเรื่องร้ายๆ คนมีปัญญา ขยันทำตนให้เหนือคุณและโทษ จึงบริหารสถานการณ์อย่างอิสระ ไม่ปรากฎเสียงตัดพ้อหรือบ่นว่าอีกต่อไป
คนโง่ ยึดความชอบ หรือความไม่ชอบเป็นสำคัญ เขาจึงได้รับความสุขและความทุกข์อันบีบคั้นเป็นของตอบแทน คนฉลาด ยึดความถูกและความผิดเป็นสำคัญ เขาจึงมีหลักการ แต่ได้รับศัตรูต่างความคิดเห็น เป็นรางวัล คนมีปัญญา ยึดประโยชน์สุขสำหรับทุกฝ่าย ในทุกกาลเวลาเป็นสำคัญ เขาจึงได้รับศรัทธา และมหามิตรเป็นกำนัล
คนโง่ ชอบเรียกร้อง เขาจึงเป็นที่น่าเบื่อหน่าย น่าสมเพชรสำหรับคนทั้งหลาย คนฉลาด ชอบต่อรอง เขาจึงเป็นที่ระแวงระวัง สำหรับคนทั้งหลาย ยอมรับได้ตราบที่ประโยชน์ลงกัน และคบหากันอย่างไม่จริงใจ คนมีปัญญาอาสาสละ เขาจึงเอาชนะใจคนทั้งหลาย ได้รับความรักและความนับถือ เป็นผลตอบแทคนโง่ ชอบตามใจตนเอง จึงมีภารกิจการตามใจที่ไม่สิ้นสุดน
คนโง่ ชอบตามใจตนเอง จึงมีภารกิจการตามใจที่ไม่สิ้นสุด คนฉลาด ชอบควบคุมใจตนเอง จึงมีภารกิจหนึ่งเดียวที่เหนื่อยยาก และขัดแย้งตลอดกาล คนมีปัญญา ชอบล้างใจตนเอง จึงมีที่สุดแห่งภารกิจ ณ ความบริสุทธิ์
คนโง่ เอาแต่ใจตนเอง จึงได้รับความสะใจเป็นผล และความรังเกียจเป็นรางวัล คนฉลาด เอาใจคนอื่น จึงได้รับความลำบากเป็นผล และความรัก ความเห็นใจเป็นรางวัล คนมีปัญญา ไม่เอาทั้งสองอย่าง เพราะรู้ชัดว่าคือกิเลสหรือตัณหาทั้งคู่ แต่เอาสัจจะที่ก่อให้เกิดประโยชน์สุขแท้สำหรับทุกฝ่ายเป็นที่ตั้ง จึงได้รับคุณค่าเป็นผล และได้รับความสุขสบายเป็นรางวัล
คนโง่ ชอบเอาเปรียบคนอื่น จึงได้ประโยชน์ตนสั้นๆ แต่เสียความรัก และความเชื่อใจ คนฉลาด ชอบยอมเสียเปรียบคนอื่น จึงได้คนรักและความศรัทธา แต่มักพบความไม่เป็นธรรม และขมขื่นในใจตน คนมีปัญญา ชอบบริหารประโยชน์สุขทุกฝ่าย จึงเป็นสุขใจ ได้ความรัก ความศรัทธา และสถาปนาระบบประโยชน์อันยั่งยืน


 
Cr. หนังสือ The foolish The clever The wise คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา :ไชย ณ พล
 



Create Date : 14 พฤษภาคม 2562
Last Update : 15 พฤษภาคม 2562 10:18:34 น.
Counter : 2601 Pageviews.

0 comment
พรวิเศษของในหลวง รัชกาลที่ 9


คำสอนของในหลวง รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช


--------------------------------------
- ใครผู้ใดในชีวิตไม่เคยถูกเผา ไม่เคยถูกทุบเหมือนเหล็กชิ้นนั้น
-> ทำงานใหญ่ให้แผ่นดินไม่ได้

- การจะเป็น "ยอดคน" นั้น ไม่ได้มาจากโชคชะตาฟ้าลิขิต ไม่ได้มาจากคนแต่งตั้ง แต่มาจากการเคี่ยวกรำแห่งชีวิตที่ต้องพบทั้งทุกข์และสุข

- ถ้ามีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย

- ในหลวงประหยัด อดทน ไม่เคยใช้ของแพง
-------------------------------------------------------
ขอคนไทย
1. คิด พูดทำ ให้อย่ในความเมตตา มุ่งดีเจริญต่อกัน
2. ให้ช่วยเหลือกันแก่ตนเอง แก่คนอื่น , ประเทศชาติ
3. ให้ประพฤติสุจริต
4. ให้มีเหตุผลถูกต้อง

- เครื่องมือสำคัญในการทำงาน = ความอดทนและความเพียร
- การเป็นคนดี จะนำทางไปสู่ที่ดีๆ มีชีวิตดี, มีเพื่อนดีๆ คอยช่วยเหลือ

- ทุกความทุกข์เป็นดั่งครูผู้สอนวิชาชีวิต

----------------------------
- กระป๋องคนจน หากท่านมีกำไร จะถูกเก็บภาษี หยอดกระปุกนี้ 10% , ทุกสิ้นเดือน มอบให้แก่ โรงเรียนตาบอด, เด็กกำพร้า, คนยากจน

- ให้โดยมิได้หวังสิ่งตอบแทนใดๆ
- ทำดี ปิดทองหลังพระ ไม่ต้องให้ใครรู้
- การครองใจคน = ต้องหมั่นเสียสละ, หมั่นทำความดีให้ผู้อื่นเสมอ

----------------------------


การทดแทนคุณนั้น มิใช่สิ่งที่ยากนัก
- ถ้าท่านประพฤติตนเป็นคนดี มีสัมมาอาชีวะ เป็นหลักฐานที่เชิดชูวงศ์ = ทดแทนคุณบิดามารดา
- ถ้าท่านหมั่นศึกษาวิชาการให้มีความรู้ความสามารถ = ทดแทนคุณครูบาอาจารย์
- ถ้าท่านตั้งใจทำงานทุกอย่างโดยถือประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าประโยชน์ส่วนตัวแล้ว = ทดแทนคุณประชาชนคนไทยทุกคน
-------------------------------------------------------

- ถ้าคนเราไม่หมั่นเพียร ไม่มีความอดทน ก็อาจจะท้อใจไปโดยง่าย เมื่อท้อใจไปแล้ว ไม่มีทางที่จะมีชีวิตเจริญรุ่งเรืองแน่ๆ

- หมั่น Upgrade ตัวเองเสมอ อย่าปล่อยให้ตัวเองตกรุ่นตกสมัย จมอยู่แต่ในอดีต
- ต้องทำให้ตนเองแกร่งกว่าเมื่อวาน
- ต้องเรียนรู้จากปัญหา

- ความกตัญญู การเคารพผู้อาวุโส = ทรงคุณค่าและมีประโยชน์



CR. จากหนังสือ "พรวิเศษของ"พ่อ"

























Create Date : 23 มีนาคม 2561
Last Update : 23 มีนาคม 2561 14:25:09 น.
Counter : 5588 Pageviews.

0 comment
การเสริมสร้างพลังอำนาจแห่งชีวิต - ไชย ณ พล
สวัสดีค่ะ

ได้อ่านหนังสือเรื่องการเสริมสร้างพลังอำนาจแห่งชีวิต ของคุณ ไชย ณ พล - รู้สึกว่าดีมากๆ และน่าสนใจมาก เพราะได้คำตอบที่อยากรู้มานาน เลยอยากแบ่งปันค่ะ- ใครที่นั่งสมาธิอยู่ หากอยากทราบว่า การตั้งฐานจิตไว้แต่ละจุด จะให้ผลแตกต่างอย่างไรบ้าง หนังสือเล่มนี้ก็มีคำตอบค่ะ

- จุดกลางกระหม่อม - ทำให้เกิดปฏิภาณ และสติปัญญาฉับไว- เกิดความปีติแจ่มใสง่าย - เชื่อมพลังจักรวาลได้ดี
- จุดหว่างคิ้ว = จุดตื่น- focus พลังส่งไปให้ผู้อื่น - ให้ทำอย่างนุ่ม เบา มั่นคง - อย่าเพ่งแรง จะมึนศีรษะ
- จุดตา - ประคองความรู้ตัว ไม่เพ่ง ไม่บีบ - เกิดจิตตานุภาพ - หากตาตึง = จิตตึง ให้แผ่เมตตาไป
- จุดปลายจมูก - ปีติ ซาบซ่านง่าย -อย่าใช้ตาเพ่ง - ให้ใช้ความรู้ตัว
- จุดเหนือลูกกระเดือก 2 นิ้ว - ถ้าหิว ทำจุดนี้ให้สงบ ความหิวจะหาย
- จุดใต้ลูกกระเดือก 2 นิ้ว - ภวังค์หลับ หลับง่าย
- จุดหทัยวัตถุ - เบิกบานแจ่มใส มีแสงสว่างไสวตรงนั้น- ประคองให้มั่น - ฐานสำคัญที่สุด
- จุดเหนือสะดือ 2 นิ้ว -ให้ความกระปรี้กระเปร่า สดชื่นดี - หายใจทั่วปอด - อย่าเพ่งบีบจิต
- จุดสะดือ - เห็นขบวนการร่างกายภายในชัด
- จุดใต้สะดือ 2 นิ้ว - สงบ นุ่ม แผ่วเบา ทำให้สงบ
- จุดก้นกบ - สร้างความรู้สึกกายชัด- เสียวซ่าน ไปยังประสาทส่วนต่างๆ - กำหนดความรู้ตัวทั่วพร้อมได้ง่าย
- จุดท้ายทอย - รอยต่อกระดูกสันหลังและสมอง - Medulla Oblongata - เหมือนหัวเทียนในร่างกาย - spark พลังต่างๆ - สร้างพลัง ดูดซับพลังละเอียดในบรรยากาศมาบริโภคได้ เช่น อีเธอร์ โอโซน ในบรรยากาศและในมิติทิพย์
_______________________________________________________

การเสริมสร้างอำนาจจิตโดยพลังของผู้อื่น



1) การอนุโมทนา
- เข้าใกล้ผู้ที่มีพลังจิตอันประเสริฐ
- เหล็กธรรมดาที่เข้าไปอยู่ในรัศมีสนามแม่เหล็ก ย่อมถูกเหนี่ยวนำให้เป็นแม่เหล็กอ่อนๆได้
- การพบเห็นสมณะเป็นมงคลแห่งชีวิตประการหนึ่ง
- ถ้าจิตยังไม่ยิ่งใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงคลุกคลีกับคนที่มีอำนาจจิตทรามด้วย

2. ทุกขณะจะมีคนทำความดีอยู่เสมอ - พึงระลึกถึงบุคคลเหล่านั้น - แล้วอนุโมทนาสาธุ - ทำให้ท่านยกระดับจิตตนให้ใกล้เคียงภาวะนั้นด้วย
- หากเขาเหล่านั้นอุทิศส่วนกุศลเป็นการทั่วไป - เมื่อท่านอนุโมทนา - ท่านก็จะได้ดูดซับพลังแห่งคุณความดีเข้าไว้ในตนทันที = ทำบุญทางลัด
- บุคคลที่ทำความดีมหาศาลที่เราพึงระลึกเสมอๆ - เช่น พระพุทธเจ้า พระสงฆ์ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์

3. จัดเวลาฝึกตนให้สอดคล้องกับท่านผู้มีอำนาจจิต
- ฝึกจิตร่วมกัน 9 คน - พลังรวมรังสีจิตในบรรยากาศ = 9*9 = 81 คน
- ส่วนใหญ่ 1ทุ่ม- 3ทุ่ม และตี3-6โมงเช้า - ช่วงนี้ พลังจิตชั่วร้ายในบรรยากาศจะน้อยมาก - และพลังจิตอันประเสริฐจะเข้มข้นมาก - โดยเฉพาะตี3-6 โมง คนหลับอยู่ - มีเฉพาะผู้ฝึกตนเท่านั้นที่กำลังทำกิจฝึกจิตกันอยู่ - ถ้าท่านตื่นขึ้นมาฝึกตน ท่านจะได้รับพลังจิตอันประเสริฐมาก
_______________________________________________________

พลังความอดทน


- คนที่มีความอดทนมาก - จะแบกรับภาระและความรับผิดชอบ และปัญหาต่างๆได้มาก
- คนที่มีความอดทนน้อย - จะแบกรับภาระความรับผิดชอบและปัญหาได้น้อย
- ยิ่งผ่านภาวะอดทนมามาก - ปัญญายิ่งเฉียบคมมาก - ดุจซามูไรทนทั้งความร้อนและทุบตี -> เนื้อเข้มขึ้น เหนียวแน่น เฉียบคม
- ส่วนเหล็กชั้นเลวที่ความอดทนต่ำ -จะหลอมละลายเร็ว เมื่อถูกความร้อน , แตกตัวเมื่อถูกตี - ไม่สามารถทำเป็นซามูไรได้
- ใครที่มีความอดทนสูง = มีศักยภาพรองรับสิ่งต่างๆมาก, รับผิดชอบงานใหญ่ๆ ได้ - และมีโอกาสพัฒนาตนให้เข้มข้นเหนียวแน่น
- จะสร้างความอดทนได้ - ต้องพัฒนาปัญญาให้เร็ว - มีอนัตตสัญญาเสมอ และพร้อมปล่อยวางทุกสิ่ง
__________________________________________________________________________

พลังการให้


- จากตัดใจให้ จนถึง เต็มใจให้ - พลังปีติจะเกิดขึ้น
- จากเต็มใจให้ จนถึง ตั้งใจให้ - พลังความสุขจะปรากฎ
- จากตั้งใจให้ จนถึง ให้เป็นนิสัย - พลังจะสม่ำเสมอมาก
- จากให้เป็นนิสัย จนถึง ให้โดยเหมาะสมด้วยปัญญา - พลังจะสมดุลมาก
- ทุกขณะขั้นแห่งการให้ที่พัฒนาได้ -> อำนาจใจจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามคุณสมบัติใจที่กล้าให้
- เมื่อให้สิ่งใดได้ด้วยความยินดี - แสดงว่าใจเราอยู่เหนือสิ่งนั้น - เช่น ถ้าให้ชีวิตได้ -แสดงว่า ใจเราอยู่เหนือชีวิต มีอำนาจสูงส่งยิ่งนัก



ที่มา - หนังสือการเสริมสร้างพลังอำนาจแห่งชีวิต ของคุณ ไชย ณ พล






Create Date : 27 สิงหาคม 2552
Last Update : 15 สิงหาคม 2554 20:37:23 น.
Counter : 2305 Pageviews.

0 comment
วิธีดูตัวเองว่ามีอีคิวสูงหรือต่ำ ดูได้ 4 เรื่อง - ดร.สนอง วรอุไร
สวัสดีค่ะ

ได้หนังสืออีคิวกับผู้สูงอายุ ของดร.สนอง วรอุไร จากชมรมกัลยาณธรรม อ่านแล้วก็รู้สึกว่าได้ความรู้เรื่องอีคิวดีจัง จึงได้สรุปมาให้ฟังกันค่ะ


- ความโกรธเป็นเหตุให้เกิดความคิดไม่ดี
- หากเลิกโกรธได้ทันที -นั่นแหละ จิตมีความฉลาดทางอารมณ์สูง
- บางคนมีอารมณ์โกรธตั้งแต่เช้าจนดึกดื่นเที่ยงคืนยังไม่หายโกรธ -นั่นเป็นเครื่องแสดงว่าจิตมีอีคิวต่ำ -ในที่สุดผลร้ายจะเกิดตามมาแน่นอน
_________________________________________________________________

อยากจะรู้ว่าตัวเองมีอีคิวสูงหรือต่ำ ดูได้ 4 เรื่อง

1. ดูที่พฤติกรรมต้องดูเรื่องการคิดพูด ทำ
พฤติกรรมด้านการคิด
- ถ้าคิดแล้วมีสาระ คิดสร้างสรรค์ -คิดจะให้ -คิดไม่เบียดเบียน -นี่คืออีคิวสูง นี่แหละคือพวกที่มีอีคิวสูง คิดมีสาระ คิดสร้างสรรค์ คิดแก้ปัญหา คิดช่วยเหลือ คิดให้
- ถ้าคิดฟุ้ง คิดเพ้อเจ้อ คิดแต่สิ่งไร้สาระ- คิดเบียดเบียน- คิดจะเอาจะได้ คิดสร้างปัญหา--> นี่แหละอีคิวต่ำ

พฤติกรรมด้านการพูด
- พูดความจริง พูดมีสาระ พูดแล้วเกิดกำลังใจ เกิดแรงจูงใจ- พูดไม่นินทา ไม่ให้ร้าย -พูดแล้วเกิดความปรองดอง เกิดความร่วมมือ- คำพูดต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นคำพูดของคนที่มีอีคิวสูง
- ถ้าวันนี้พูดอย่าง มะรืนนี้พูดอีกอย่าง พูดกลับไปกลับมา -อย่างที่บางคนแสดงในจอโทรทัศน์ให้เราดู -พูดกลับไปกลับมา พูดไม่จริง- พูดแล้วไร้สาระ -ฟังแล้วไม่เข้าใจ ฟังแล้วเกิดความสงสัย- พูดแล้วเกิดท้อแท้ ไม่เกิดกำลังใจ -พูดแล้วแตกความสามัคคี -พูดนินทาคือพูดถึงคนอื่นในทางที่ไม่ดีลับหลัง -คำพูดต่าง ๆ เหล่านี้ออกมาจากปากของใคร ก็แสดงว่าคนพูดมีอีคิวต่ำ

พฤติกรรมด้านการกระทำ
- ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ -ทำแต่สิ่งที่ไม่เบียดเบียน -ทำเพื่อผู้อื่น ทำเพื่อสังคม ทำเพื่อส่วนรวม - เป็นการกระทำของคนที่มีอีคิวสูง
- ถ้ามีเป้าหมายในการทำที่ดีมีแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ มีสาระ -ทำในสิ่งที่สร้างสรรค์ สิ่งที่ทำให้สังคมสงบเย็น- ทำในสิ่งที่ทำให้จิตวิญญาณของตนงอกงาม -นั่นคือการกระทำของคนที่มีอีคิวสูง
- ถ้าทำแต่สิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ส่วนรวม -เบียดเบียน คอร์รัปชั่น -ข่มขู่ ฉ้อฉล คดโกง -นั่นแสดงถึงการกระทำของคนที่มีอีคิวต่ำ เป็นการทำลายสังคม ไม่ได้สร้างสรรค์สังคม ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
_________________________________________________________________

2. ด้านบุคลิกภาพ
- ถ้าเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน -แสดงว่ามีอีคิวสูง
- ถ้าเป็นคนที่คับแคบ ไม่เชื่อ ไม่ฟัง ไม่สนใจ -ใครพูดอะไรไม่เชื่อ จิตใจคับแคบ ไม่รับฟัง -นั่นแสดงถึงคนมีอีคิวต่ำ
- ถ้าเราเปิดใจให้กว้าง- รับได้ทุกสถานการณ์ ทั้งดีทั้งไม่ดีฟังได้- ข้อมูลความรู้จะเข้ามามาก จะแก้ปัญหาชีวิตง่าย
- คนที่มีจิตใจคับแคบ มีอีคิวต่ำ -จึงแก้ปัญหาชีวิตได้ยาก- เพราะเขามีบุคลิกภาพเป็นคนคับแคบ
- ฉะนั้นเรื่องความอ่อนน้อม มีใจที่ไม่คับแคบ- มีใจเอื้ออาทร เห็นอกเห็นใจเห็นแก่ผู้อื่น -พวกอีคิวสูง
- ผู้มีบุคลิกภาพเป็นคนที่สงบเย็น มีเมตตา- ใครเขาจะด่าจะว่า มีแต่ใจสงบเย็น -พวกที่สงบเย็น มีเมตตาใคร ๆ ก็อยากเข้าใกล้ เมตตาเป็นความรักความปรารถนาที่จะให้คนอื่นได้รับประโยชน์และมีความสุข นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจที่มีเมตตา
- ถ้ารักเขาและเขาไม่เป็นไปตามที่ใจต้องการแล้วเกิดโทสะ อย่างนี้ไม่มีจิตเมตตา เป็นรักแบบมีตัณหาสนับสนุน
- เมตตา เป็นบุคลิกภาพที่แสดงถึงใจที่มีอีคิวสูง

- ถามตัวเองว่าเป็นคนร้อนหรือคนเย็น -ถ้ามีอารมณ์ร้อนแสดงถึงอีคิวต่ำ -ร้อนน้อยอีคิวก็สูงขึ้นหน่อย -ถ้าไม่ร้อนเลยอีคิวสูงสุด
- ถ้าเป็นคนขี้เกียจ ไม่อดทน -ทำอะไรเหนื่อยยากหน่อยก็บ่น -ไปไหนมาไหนก็บ่น ไม่อดทน -แสดงให้เห็นถึงการมีอีคิวต่ำ
- ถ้าขยันและมีความอดทน- ไม่พูด ไม่บ่น ทำงานไปเรื่อย ๆ-แสดงถึงการมีอีคิวสูง
- เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ -ทำอะไรแล้วไม่เสียงาน -พวกนี้มีอีคิวสูงเป็นเครื่องสนับสนุนการทำงาน
_________________________________________________________________

3. สุขภาพ
- ถ้าจิตมีอีคิวต่ำ จะทำให้สุขภาพเสื่อม -เพราะอีคิวสะท้อนให้เห็นถึงโปรแกรมจิต
- จิตที่มีสำนึกดีจะกำหนดโปรแกรมจิตไว้ดี positive thinking -ถ้ากำหนดโปรแกรมจิตเป็นบวก คือเห็นถูกแล้วคิดดีอยู่เสมอ อีคิวจะสูง เพราะอีคิวสูงจึงส่งผลให้มีสุขภาพดี
- ผู้ใดคิดว่าตัวเองจะเป็นโรคนั้น จะเป็นโรคนี้ - แสดงถึงจิตมีอีคิวต่ำ กำหนดโปรแกรมจิตไว้ไม่ดี เพราะคิดไม่ดี จิตก็สั่งสมแต่สิ่งไม่ดี เมื่อเหตุปัจจัยไม่ดีลงตัว ก็เป็นโรคแน่นอน

- มีคนเป็นเนื้องอกที่รังไข่ แล้วก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ -ผมรู้จักดีเพราะว่าใกล้ชิด ได้เห็นบุคลิกภาพของเขา โปรแกรมจิตของเขาผิดไปหมด บุคลิกภาพผิด อีคิวจึงต่ำ เพราะอ่านเขาออก แต่ไม่มีสิทธิ์บอกเขา เพราะเขาไม่ได้มาขอคำแนะนำ

- จนวันหนึ่งเขาบอกว่าเขาเป็นเนื้องอกที่รังไข่ จะทำอย่างไร -ปรกติเขาเป็นคนมีอีคิวต่ำ ต้องทำให้มันมีอีคิวสูง เช่น ปกติเป็นคนร้อนก็ทำให้เป็นคนสงบเย็๋น -อะไรที่ปล่อยวางได้ก็ปล่อยวางลงบ้าง -ถ้าจิตใจไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในด้านติดลบกับระบบสรีระต่าง ๆ อวัยวะต่าง ๆ ก็ทำหน้าที่ของมันเป็นปรกติ- โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาว ที่อยู่ในระบบเลือด มีหน้าที่คอยจับกินสิ่งแปลกปลอม รวมทั้งกินเซลล์มะเร็งได้ -แต่ใจที่ไม่ดีของเรา ทำให้เม็ดเลือดขาวทำหน้าที่บกพร่อง ทำให้เม็ดเลือดขาวขี้เกียจ ทำให้ระบบสรีระผันแปร จึงส่งผลเป็นความเดือดร้อนกับร่างกายที่จิตใช้เป็นบ้านอาศัย

- ได้บอกเขาว่า คุณเปลี่ยนบุคลิกให้เป็นตรงข้าม- แทนที่คุณจะเป็นคนร้อน ซึ่งผลงานทุกอย่างต้องดีที่สุด -ขอให้ปล่อยวางให้เป็น -แล้วคุณจะหายจากการเจ็บป่วย

- เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อที่เขาปฏิบัติตามคำแนะนำ ทำมาเดือนแรก ๆ ขนาดก้อนเนื้อเล็กลง -
เดือนที่ 2 ไป x-ray ใหม่ ขนาดลดลงอีก -
เดือนที่ 3 ก้อนเนื้องอกหายไปหมดทั้งที่หมอได้นัดผ่าตัดแล้ว ในที่สุดหมอไม่ได้ผ่า

- ต้องสร้างโปรแกรมจิตว่าเม็ดเลือดขาวจับเซลล์มะเร็งกินทุกวัน-
ต้องสร้างจินตนาการว่า เช้าตื่นขึ้นมาก้อนเนื้องอกมันเหลือเล็กลงทุกวัน เล็กลงๆจนหมดไป-
นี่คือการสร้างโปรแกรมจิตที่เป็นบวก
_________________________________________________________________

- ไปเจอคนเป็นลูคิเมียที่กรุงเทพ นอนป่วยในโรงพยาบาล 3 เดือน -จึงบอกให้เขาขึ้นมาหาที่เชียงใหม่ เขาขึ้นมาพร้อมพกยามาด้วย ต้องกินยาวันละ 20 กว่าเม็ด
ผมพาคนไข้ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ รายงานหมอที่ออกมาผิดปรกติตรงกับที่โรงพยาบาลจุฬา
- ให้เขาไปฝึกจิตนิ่ง ฝึกสมาธิ 3 สัปดาห์ -เขาถามว่า ยาที่เขาต้องกินวันละ 20 เม็ดเลิกกินได้ไหม-
ผมบอกว่าไม่รู้ นอกจากตัวเองรู้เอง -ในที่สุดเขาลดกินยาและเลิกไปในที่สุด
- หลังจากนั้นพาคนไข้ไปโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่เป็นครั้งที่สอง ผลตรวจเลือด ตรวจทุกอย่างดีเหมือนคนปรกติ
- เขาอยู่พัฒนาจิตเกือบ 2 เดือน ก่อนกลับกรุงเทพ ผมบอกเขาว่า
เราก็รู้ว่าเราเป็นโรคลูคิเมียเพราะอะไร แล้วที่มันหายไปก็รู้ว่าหายได้เพราะอะไร -
ต่อไปนี้จะเป็นโรคหรือไม่เป็นโรคก็เป็นเรื่องของคุณ- อะไรเกิดขึ้นได้ก็ต้องหายได้
-ความโกรธเกิดขึ้นได้ ก็ไม่โกรธได้
-ความสุขหมดเมื่อไร ความทุกข์มันเกิดขึ้นได้
-เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรที่มันเกิดและคงอยู่ค้ำฟ้า ไม่มีอะไรที่คงอยู่นิรันดร ทุกอย่างมีเกิดแล้วมันดับ -มองตัวนี้ให้ออก สร้างโปรแกรมจิตให้เป็นบวกอยู่เสมอ แล้วอุปสรรคปัญหาจะไม่เกิดขึ้น

- ฉะนั้น อีคิวจะสูงหรือต่ำ ให้ดูที่สุขภาพ- ให้ตั้งโปรแกรมจิตเป็นบวกไว้ สุขภาพจะดี
- ใครที่เป็นอะไรแล้วก็หายได้ เพียงแต่ให้ตั้งโปรแกรมจิตเป็นบวกไว้
- ใครจะเป็นอะไร เป็นเรื่องของเขา- เรื่องของเรามีแต่สบาย
- ร่างกายของเรา ก็อย่าเอาของไม่ดีใส่เข้าบรรจุไว้

- อาหารอะไรก็ตามที่ชอบบริโภค กินแล้วบำรุงร่างกายให้แข็งแรง กินเข้าไปได้ แต่อย่าให้มันมากเกินไป ถ้าร่างกายกำจัดออกไม่หมด สิ่งที่มีเกินสามารถทำให้เกิดโทษได้
- ต้องตั้งโปรแกรมจิตให้เป็นบวกเสมอ แล้วจะแข็งแรง

- คนที่ทำชั่วไว้มาก -พวกนี้มีสุขภาพทางวิญญาณไม่ดี ในที่สุดไปไม่ดี ไปเกิดในภพต่ำ -
ถ้ายังไม่ตาย อยู่ในสังคมแล้วทำแต่ความเดือดร้อน ต้องเอาไปกักขังไว้ที่เฉพาะ (คุก)

_________________________________________________________________---------------
4. วิถีการดำเนินชีวิต
- คนที่มีอีคิวสูง ดำเนินชีวิตแบบมักน้อย มีสาระ มีสันโดษ- สันโดษคือความพอใจในสิ่งที่ตนมี ตนเป็น ตนได้รับ
- พระพุทธเจ้าสอนคนให้สร้างความดี สอนคนให้ทำงาน สอนคนให้ขยัน -แต่ได้สิ่งตอบแทนกลับมาแค่ไหนเอาแค่นั้น นั่นคือสันโดษ

- มีบุญมาก ทำนิดเดียวได้เงินมาก
- บางคนทำงานแทบตายไม่ได้เลื่อนขั้น อย่าไปอิจฉาคนอื่น- เขาไม่ทำอะไรเลยแล้วได้ดีกว่า แสดงว่าเขาเคยทำอะไรที่ดีมาก่อน ทำดีมามาก จิตสั่งสมสิ่งดีไว้มาก -พอเขาทำนิดเดียวบุญส่งให้ได้ผลแล้ว
- น้ำในโอ่ง ถ้ามีขี้โคลนสักครึ่งโอ่ง เอาน้ำใสใส่ลงไปนานไหม กว่าน้ำในโอ่งจะใส-
แต่ถ้ามีขี้โคลนในโอ่งอยู่นิดเดียว พอเติมน้ำใสลงไปไม่เท่าไร น้ำในโอ่งจะใส

- ตอนรับราชการใหม่ ๆ ทำงานเหนื่อยแทบตายไม่ได้ดี คนอื่นทำงานสบายกว่าทำไมได้ดี คิดว่าจะไม่ทำราชการแล้ว -แต่ด้วยบุญเก่ายังมี จึงมีสติคิดได้ว่า ถ้าไม่ทำงานยิ่งแย่ลงไปอีก จึงทำไม่หยุด และไม่เอาไปเทียบกับคนอื่น -ตอนหลังทำบ้างไม่ทำบ้าง ได้ดีตลอด นี่คือของจริง

- คนที่มีอีคิวสูง วิถีการดำเนินชีวิตเป็นคนสมถะ มีสาระ สันโดษ -และอยู่เพื่อทำตัวเป็นที่พึ่งของผู้อื่น -เป็นผู้ให้เหมือนต้นไม้ใหญ่- มีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น เพื่อประโยชน์ของคนอื่น

ที่มา - หนังสืออีคิวกับผู้สูงอายุ ของดร.สนอง วรอุไร





Create Date : 28 กรกฎาคม 2552
Last Update : 15 สิงหาคม 2554 20:38:32 น.
Counter : 761 Pageviews.

3 comment
คิดดีคิดร้าย ร่างกายตอบสนอง - เดอะท็อปซีเคร็ต
สวัสดีค่ะ ได้อ่านหนังสือเดอะท็อปซีเคร็ต ของทันตแพทย์สม สุจิรา - ก็รู้สึกว่าเขียนได้ดีมากๆเลย เราเคยอ่าน The secret มาก่อนหน้านี้แล้ว พอได้อ่าน The top Secret ก็รู้สึกเข้าใจและซาบซึ้งมากกว่าเดิม - จะขอสรุปให้ฟังเกี่ยวกับเนื้อหาบางบทของ The Top Secret นะคะ

- คนคิดบวก คิดลบ-มีผลต่อปฏิกิริยาภายในร่างกาย - ติดต่อไปยังคนใกล้ชิดได้
- คนที่อารมณ์ดี คิดบวกเสมอ - มีแต่คนอยากอยู่ใกล้ - เพราะสารแห่งความสุขที่หลั่งออกมาในคนอารมณ์ดี - จะไปเหนี่ยวนำให้เซลล์ในร่างกายคนรอบข้างหลั่งสารแห่งความสุขสูงขึ้นไปด้วย
- เพราะฉะนั้นจงพยายามคิดบวกอยู่เสมอ

- คนคิดลบ - ส่งผลกระทบเซลล์ในร่างกายทุกระบบ
- คิดลบมากๆเข้า - เซลล์รับไม่ไหว โดยเฉพาะเซลล์ประสาท, เซลล์หัวใจ เกิดผิดปกติ

- คิดบวกกับสิ่งใด - เซลล์จะเตรียมพร้อมรับสิ่งนั้นทางบวก
- ใครอยากเก่งภาษาอังกฤษ - ต้องคิดบวกกับภาษาอังกฤษก่อน - เซลล์สมองจะเตรียมพร้อมทำงานให้ตามที่คิดอย่างมหัศจรรย์
- ไปฉีดยา- ถ้าคิดลบ เซลล์ผิวหนังจะอยู่สภาพเตรียมพร้อม - ขณะเข็มจิ้ม - เซลล์ผิวหนังจะส่งสัญญาณเจ็บ 2-3 เท่าคนคิดบวก
- ไม่คิดอะไร ยังเจ็บน้อยกว่า
_________________________________________________________

- คนคิดลบ - เวลาทำผิด มักโยนความผิดให้ผู้อื่น - เพราะลบในตัวเขามากพออยู่แล้ว
- คนคิดบวก - เมื่อทำผิด จะยอมรับว่าตัวเองผิด- เพราะส่วนบวกในตัวเขา ดึงดูดส่วนลบที่ผิดพลาดเข้ามา - นำมาวิเคราะห์หาต้นเหตุแห่งความผิดพลาดนั้น - คนคิดบวกจึงประสบความสำเร็จในที่สุด
- คนที่ทำผิดแล้วยังไม่รู้สึกผิด - ยากจะประสบความสำเร็จ - เพราะจะมองไม่เห็นจุดบกพร่องตัวเอง

- คนที่รู้บุญคุณคน - จะซึ้งใจกว่าปกติเมื่อได้รับน้ำใจจากผู้อื่น - เพราะแรงกระตุ้นเชิงบวกได้เหนี่ยวนำเซลล์ในร่างกายทั้งหมดของเขาซึ่งเป็นบวกอยู่แล้ว - ให้สะท้อนคลื่นบวกกลับออกไปได้อย่างรวดเร็ว

- ถ้าวันไหนเราอารมณ์เสีย - ไม่ต้องแปลกใจที่คนรอบข้างมีแนวโน้มจะกวนประสาท - โดยเฉพาะคนที่คิดลบอยู่แล้ว - เพราะพลังทางลบในตัวเราได้เข้าไปเหนี่ยวนำให้คนอื่นแสดงออกเช่นนั้นไม่รู้ตัว
- ยิ่งถ้าปล่อยให้อารมณ์ความิดนั้นแสดงออกเป็น -วจีกรรม,กายกรรม - แรงสะท้อนทางลบจากคนคิดลบรอบข้างก็จะยิ่งมากขึ้นเป็นทวีคูณ

- ความคิดมีแรงดึงดูด
- ถ้าเราคิดทำร้ายใคร - ปฏิกิริยาของเซลล์ในร่างกายเราจะตอบสนองอย่างรวดเร็ว - สามารถติดต่อกับเซลล์ในร่างกายคนอื่นให้ตอบสนองแบบเดียวกัน - โดยเฉพาะเซลล์ประสาท
- ความคิดที่จะทำร้ายคนอื่น - จะเป็นตัวดึงดูดให้คนอื่นคิดเข้ามาทำร้ายเราเช่นกัน

- ถ้าเราคิดให้ความรักกับคนอื่น - สารแห่งความรักเอนโดฟินในตัวเราจะพุ่งสูง - เซลล์คนอื่นๆจะถูกกระตุ้นให้หลั่งสารเอนโดฟินสูงตามไปด้วย
- เมื่อเอ็นโดฟินในร่างกายคนอื่นๆสูงขึ้น - เขาก็เกิดความรู้สึกอยากจะให้ความรักบ้าง

- คนที่เพิ่งอกหัก ขณะนั้นจะมีความคิดลบมากมาย - อย่าเพิ่งพยายามหาคนรักใหม่ - เพราะโอกาสที่จะดึงดูดคนไม่ดีเข้ามาในชีวิตมีสูงมาก
- จงอยู่อย่างสงบ - รอให้สถานการณ์คลี่คลายจนรู้สึกดีขึ้น พร้อมที่จะให้ความรักออกไป- เมื่อนั้นค่อยคิดหาคนมาดามหัวใจ

- ความคิดลบจะดึงดูดให้เรากลายเป็นคนเช่นนั้น
- คนที่คิดว่าคนอื่นเห็นแก่ตัว ก็คือคนเห็นแก่ตัวนั่นเอง
- ผีย่อมเห็นผีด้วยกัน
- ถ้าคิดลบต่อเหตุการณ์ใด - จะดึงดูดให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง
- คนล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้ง เพราะยังไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงวิธีคิด

- การให้ = การเพิ่มไม่ว่าสิ่งที่ให้จะเป็นบวกหรือลบ
- ถ้าให้ลบกับคนอื่น - ลบในตัวคุณก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
- ถ้าให้บวกกับคนอื่น - บวกในตัวคุณก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
- คุณให้วิทยาทาน ให้ความรู้เป็นทาน - ขณะที่คุณให้ จิตวิญญาณคุณจะรับสิ่งนั้นด้วย
- ยิ่งให้ยิ่งเก่ง - ยิ่งสอนยิ่งรู้ - ยิ่งเรียนยิ่งฉลาด - ยิ่งบริจาคยิ่งรวย


ที่มา - หนังสือเดอะท็อปซีเคร็ต ของทันตแพทย์สม สุจิรา









Create Date : 13 กรกฎาคม 2552
Last Update : 15 สิงหาคม 2554 20:41:20 น.
Counter : 763 Pageviews.

1 comment
1  2  

Kat_kine
Location :
ปทุมธานี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]