วิธีทำให้สุขภาพกายดี - ดร.สนอง วรอุไร
สวัสดีค่ะ

เรื่องนี้นำมาจากหนังสืออีคิวกับผู้สูงอายุ ของ ดร.สนอง วรอุไร- ท่านจบปริญญาตรีสาขาโรคพืช พ.ศ.2505,จบโทเกษตร สาขาเชื้อรา ปี 2515, ได้รับทุนโคลัมโบไปศึกษาปริญญาเอก สาขาไวรัสวิทยา มหาวิทยาลัยลอนดอน 4 ปี, ท่านใช้เวลาพักทำจิตนิ่งทุกวัน ซึ่งทำให้จดจำได้เร็ว เข้าใจง่าย, กลับไทย 2518 อุปสมบทที่วัดมหาธาตุ 30 วัน และได้เขียนหนังสือไว้มากมาย- ท่านได้แนะนำเรื่องทำอย่างไรจึงจะมีสุขภาพกายดีได้น่าสนใจมากค่ะ จะขอสรุปให้ฟังนะคะ

ทำอย่างไรจึงจะมีสุขภาพกายดี

1. อาหารดี
- สำหรับผู้สูงอายุ อาหารดีต้องเป็นอาหารอ่อน ย่อยง่าย
- เคยคิดไว้กับตัวเองว่า - อยู่นานแค่ไหน ถ้าไม่เป็นภาระคนอื่นและอยู่เพื่อทำงานให้กับสังคมส่วนรวมได้ ผมก็จะอยู่ -ถ้าไม่อยู่ในเงื่อนไขนี้ตายไปเกิดได้ร่างใหม่ใช้ดีกว่า -
ได้ส่องดูตัวเองวัดตัวเอง ก็น่าจะอยู่ได้เกินร้อยปี
- พฤติกรรมกินอาหารแบบฝรั่ง ทำให้เกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน สูงเป็นอันดับ 1- ฉะนั้นเดี๋ยวนี้ ฝรั่งจึงหันมากินอาหารไทย ซึ่งมีโปรตีนน้อยเส้นไยมาก
- หมอบอกว่าผู้สูงอายุ ควรรับประทานโปรตีน 50 กรัมต่อวันพอแล้ว
- ถ้ากินโปรตีนมากและไม่ออกกำลังกาย จะมีกรดยูริคสะสมทำให้เดือดร้อน-
แต่ควรกินผักผลไม้ให้มาก -เพราะโปรตีนและไขมันเป็นโครงสร้างหลักของร่างกาย ไม่จำเป็นต้องไปทำให้ร่างกายงอกงาม ให้มันคงอยู่แค่นั้น

- แกงแค เป็นอาหารที่ดีมากมีกากไยสูง
- ทีมวิจัย 3 มหาวิทยาลัยคือ ม.เกษตร, ม.โตเกียว และม.กิมกิของญี่ปุ่น ได้วิจัยพบว่า-ต้มยำกุ้ง ในข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด มีสารที่มีประสิทธิภาพสูง ในการต่อต้านมะเร็งในระบบย่อยอาหารมากกว่าอาหารอื่นถึง 100 เท่า ต้มยำกุ้งเป็นอาหารที่ดี -ยกเว้นหัวกุ้งมีไขมันมากอย่ากินบ่อย -กินกุ้งทำให้มีไขมันและกรดยูริคสูง -ฉะนั้น อาจเปลี่ยนเป็นต้มยำปลา เพราะปลาย่อยง่าย ไขมันน้อย
- นักวิจัยชาวเยอรมันพบว่า-เม็ดเลือดขาวของคนกินผัก สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้มากกว่า เม็ดเลือดขาวของคนกินเนื้อสัตว์ ถึง 2 เท่า
- เม็ดเลือดขาวกินสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายได้จริงเป็นรูปธรรม -เหมือนมือคอยจับกินสิ่งแปลกปลอม รวมทั้งกินเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย
- มีงานวิจัยเพาะเลี้ยงเซลล์มะเร็งและเอาเม็ดเลือดขาวใส่ -มันกินเซลล์มะเร็งจนหมด
- คนกินผัก เม็ดเลือดขาวขยันทำงาน ทำงานได้เก่งกว่าเม็ดเลือดขาวของคนกินเนื้อสัตว์ถึง 2 เท่า

- ปลาซาร์ดีน ปลาซาบะ ปลาแซลมอน -มีสารช่วยควบคุมปริมาณคลอเรสเตอรอลในเลือด -ช่วยป้องกันเส้นเลือดในสมองไม่ให้อุดตัน -โรคอัลไซเมอร์จะไม่เกิด
- ปลาทูที่หัวและที่ม้าม มีสาร DHA มากกว่าที่เนื้อ
- เอ็นไซม์จากบล็อคเคอรี่ ทำลายสารก่อมะเร็งได้ดี ฉะนั้นคนที่ชอบกินบล็อคเคอรี่ โอกาสเป็นโรคมะเร็งจึงมีลดน้อย ยกเว้นบล็อคเคอรี่ที่มีสารเคมีปนเปื้อนต้องเลือกดูให้ดี ถ้าเลือกไม่ได้ต้องเอามาแช่น้ำนาน ๆ
- การกินถั่วเหลืองสามารถลดคอเรสเตอรอล และลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ น้ำเต้าหู้น้ำถั่วเหลือง ถั่วเหลืองยังทำให้เส้นเลือดไม่แข็งตัว

- นักวิจัยโภชนการแห่งรัฐไอโอวา พบว่า แตงกวามีเอ็นไซม์ไปเปลี่ยนคลอเรสเตอรอลให้เป็น โคโปสตานอล และจะถูกขับออกมาทางอุจจาระ ต้องขอบคุณคนโบราณที่คิดสูตรข้าวมันไก่ใส่แตงกวา ฉะนั้น กินข้าวมันไก่ต้องกินแตงกวาให้มาก
- ไก่ย่างส้มตำ กินไก่มากไม่ดี -เพราะย่อยแล้วเกิดสารยูริคมาก ทำให้ปวดข้อ- เมื่อกินไก่ย่างต้องสั่งส้มตำมากินด้วย - ไก่ย่างมีโปรตีนสูงย่อยยาก -ยิ่งอายุมากน้ำย่อยยิ่งขับออกมาน้อย -
สารปาเปนในมะละกอจะช่วยย่อยโปรตีน พิสูจน์ได้ง่าย -เอาไก่คลุกหมักแล้วเอายางมะละกอใส่ลงไปด้วย ไม่นานเนื้อสัตว์จะเปื่อยนุ่ม
- คาเฟอีน ดื่มมาก ๆ จะทำให้เกิดอาการตกใจผิดปกติ

-คณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า นำสารสกัดจากหญ้าปักกิ่งให้คนที่เป็นมะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านมดื่ม สามารถหายจากโรคได้

- พืชและสัตว์ที่ได้จากการตัดต่อยีน (GMOs) มีสารที่ผิดไปจากธรรมชาติ -กินบ่อย ๆ ให้โทษ
- เกาหลีใต้ห้ามนำ GMOs เข้า -ญี่ปุ่นประกาศให้ผู้ขายติดฉลากลงบนผลิตภัณฑ์ GMOs ก่อนวางขาย -อินเดียสมาพันธ์ผู้บริโภค กดดันให้รัฐบาลติดฉลากผลิตภัณฑ์ GMOs - บราซิล ศาลสูงตัดสินห้ามปลูกพืช GMOs
- ที่ญี่ปุ่น มีแบคทีเรียตัวหนึ่ง เกิดจากการตัดต่อยีนเพื่อให้มีวิตามิน A สูง -พอได้แบคทีเรียที่มียีนที่ให้วิตามิน A สูง เขาก็เอาแบคทีเรียตัวนี้มาเพาะเลี้ยง แล้วสกัดเอาวิตามิน A ออกมาขายให้คนกิน -ผลทำให้เป็นโรคตากันมาก อีก 1500 กว่าคนเจ็บป่วย
- ผลิตภัณฑ์ GMOs มันผิดไปจากธรรมชาติ- ถ้าบริโภคบ่อยมีโอกาสเกิดโรคได้

- กินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ -ทำให้เกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และทำให้แก่เร็ว -เพราะคอลลาเจนผิวหนังถูกทำลาย
- สารต้านอนุมูลอิสระมีอยู่ในผักและผลไม้ที่ไม่มีสารพิษปนเปื้อน
- ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ไม่ใช่ GMOs รวมถึงวิตามิน A,C,E ควรกินประจำ
- ฝรั่งเวียดนามมีวิตามิน C มาก- ส้ม มะนาว มีวิตามิน C น้อยเมื่อเทียบกับวิตามิน C ในฝรั่งในมะขามป้อม ซึ่งมีมากกว่า
- วิตามิน E มีในไขมัน พวกงาป่น น้ำมันงา

- มหาวิทยาลัยมหิดล สำรวจร้านขายก๋วยเตี๋ยวต้มยำ 120 ตัวอย่าง พบว่ามีสารปนเปื้อนถึงร้อยละ 90 และเป็นสารก่อมะเร็ง ก๋วยเตี๋ยวต้มยำถ้าเลี่ยงได้จะดี
- โดยเฉพาะถั่วป่น พริกป่น ถั่วคั่วที่เกาะกันเป็นก้อน ๆ เพราะมีเส้นใยของเชื้อราขึ้นอยู่ -พวกนี้ผลิตสารอะฟล่าท็อคซินเป็นอันตรายมาก -บ้านเรามีความชื้นสูง มีความร้อนสูง เชื้อราเจริญเร็ว แม้กระทั่งงาป่น ก็มีเชื้อราชนิดนี้อยู่ จึงต้องระวัง
_________________________________________________________________

2. อากาศดี
- อากาศบริสุทธิ์ เช่นหลังฝนตก สูดอากาศให้เต็มปอด
- ไปในป่าที่แม่ฮ่องสอน หายใจได้เต็มปอด
- ไปทำธุระในกรุงเทพ พยายามหายใจให้น้อย -แล้วจึงออกมาหายใจลึก ๆ ในชนบท
- อากาศดีคืออากาศหลังฝนตก อากาศในท้องทุ่งกว้าง อากาศในชนบทที่อยู่ห่างไกล ในป่าเขา ริมทะเล บนดอยสูง -เช่นอากาศบนดอยแม่สะลอง หายใจให้เต็มที่
- เมืองน่าอยู่อาศัยอันดับหนึ่งคือโคราช- ส่วนเชียงใหม่และอุดรเท่ากัน น่าอยู่อันดับสอง
__________________________________________________________________
3. ออกกำลังกาย
- การออกกำลังกายทำให้กล้ามเนื้อและเอ็นยืด ทำให้ระบบการไหลเวัยนของเลือดดีขึ้น ต้องออกกำลังกายอยู่เสมอจนตาย
- วันหนึ่งออกกำลังกายต้องไม่ต่ำกว่า 30 นาที
- ปรกติร่างกายสูบฉีดเลือด 18,000 ลิตรใน 1 วัน
- ใครเคยสูบน้ำบ้าง เคยใช้ปั๊มสูบน้ำไหม หัวใจต้องสูบฉีดเลือดถึงวันละ 18,000 ลิตร แท็ค์เก็บน้ำ 1 คิวบิคเมตรบรรจุน้ำได้ 1,000 ลิตร หัวใจขนาดเท่ากำปั้นสูบฉีดเลือดวันละ 18 แท็งค์ ทำงานหนักแค่ไหน
- หากไปรับภาระคนอื่นมาคิดให้เกิดความเครียด เกิดความเสียใจ เกิดการบีบคั้นหัวใจ -มันยิ่งทำร้ายหัวใจมากยิ่งขึ้น
- หัวใจเป็นอวัยวะชนิดเดียวที่ทำงานได้ยาวนานมาก เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ยังทำงานได้ไม่ยาวนานเท่า
- รักษาหัวใจไว้ด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ถ้าไม่ออกกำลังกาย ไขมันจะถูกสั่งสมพอกอยู่ที่หัวใจ
- ไปตลาดไปดูหัวใจหมู ไขมันพอมันพอกอยู่ที่หัวใจ การหด-คลายกล้ามเนื้อหัวใจทำงานไม่สะดวก -วัดความดันจะรู้ว่าการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจต้องทำงานหนัก
- ฉะนั้น ต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงเป็นปรกติ

- การออกกำลังกายทำให้เส้นเลือดในสมองมีเลือดไหลเวียนดี เส้นเลือดแตกกิ่งก้านสาขางอกงาม -โรคอัลไซเมอร์จะไม่เกิด ความจำเสื่อมจะไม่เกิด
- ถ้าจะให้ดีต้องออกกำลังกายทุกวัน นอนหัวต่ำ เอาขายกขึ้นสูง
- ผู้ที่ฝึกโยคะมาแล้ว จงฝึกต่อไป จะทำให้ไม่หลงลืม ไม่เลอะเลือน เพราะมีสมองดี

- สมองใช้เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ หัวใจต้องสูบฉีดเลือด สองอย่างนี้สำคัญกับชีวิต ต้องรักษาไว้นาน ๆ ด้วยการออกกำลังกาย
- ถ้าเป็นคน อย่างน้อยต้องออกกำลังกายนาน 1 เดือน เส้นเลือดฝอยในสมองถึงจะเพิ่ม
- ก่อนลุกจากเตียง เอาตัวไว้บนเตียง เอาหัวห้อยไว้ข้างล่าง 15 นาที -ทำให้เส้นเลือดฝอยในสมองเพิ่มได้ เป็นการออกกำลังกายที่ดีให้กับสมอง

- การเดิน การทำสวน การขี่จักรยานอยู่เสมอ ทำให้การตกเลือดในลำไส้ลดลงครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ออกกำลังกาย
- เส้นเลือดในผนังลำไส้แข็งแรงเพราะมีการออกกำลังกาย

- นักกีฬาโซเวียตใช้เวลา 1 ใน 4 ฝึกร่างกายและใช้เวลา 3 ใน 4 ฝึกจิต ด้วยการฟังเพลงจังหวะช้าแต่สง่างาม - ทำให้การเต้นของหัวใจเข้าได้กับจังหวะของเสียงเพลง -เกิดเป็นการผ่อนคลายระดับลึก เกิดพลังจิต เกิดพลังร่างกายเพิ่มขึ้น- นักกีฬาโซเวียตจึงแข็งแรงด้วยการใช้เวลา 3 ใน 4 ฝึกจิต แต่เขาใช้เวลา 1 ใน 4 ฝึกร่างกาย
- เพลงสวดของธิเบตมีจังหวะช้า ทำให้จิตผ่อนคลาย จิตจะเข้าสู่ความสงบ ร่างกายจะแข็งแรง โรคภัยไม่มี
___________________________________________________________________

4. การมีอุจจาระดี
- ผู้มีสุขภาพดีถ่ายอุจจาระเช้าเย็น
- ถ้ามีสุขภาพไม่ดี หลายวันถ่ายอุจจาระครั้งหนึ่ง
- การดื่มน้ำอุ่นสำคัญ -อาหารที่มีกากมีเส้นใยโดยเฉพาะกล้วยน้ำว้าสุกเป็นอาหารดีมาก -ทำให้การขับถ่ายดี พวกผักผลไม้ก็ดี มะละกอก็ดี ที่มีเส้นใยดีดีทั้งนั้น
- เมื่อจิตมีความเครียดเกิดขึ้น -Gonadotrophic Releasing Hormone มันไม่เกิด -เมื่อฮอร์โมนไม่เกิด ไข่ไม่ตก ทำให้ประจำเดือนเคลื่อน
- ในยุโรปตะวันออกมีการรักษาคนไข้ที่ไม่มีลูก โดยทำจิตนิ่ง (สมาธิ)
- การถ่ายอุจจาระอยู่ที่จิตด้วย- ต้องไม่เครียด ต้องปล่อยวางให้เป็น
__________________________________________________________________
5. อารมณ์

- การมีอารมณ์ดี ต้องสร้างภูมิทัศน์รอบตัวให้สะอาดเรียบร้อย
- ในต่างประเทศเขาพิถีพิถันในเรื่องภูมิทัศน์มาก -ถนนหนึ่งสายที่จะไปสู่เมืองต่างๆ สองข้างทาง ทิวทัศน์ต้องสวยงาม
- อารมณ์จะดีได้ ต้องคบเพื่อนดี -เพื่อนที่นำปัญหามาสู่ เพื่อนที่ชวนเล่นไพ่ เล่นการพนัน เพื่อนที่ชวนดื่มเหล้า พวกนี้คบแล้วอารมณ์ไม่ดี -ต้องคบเพื่อนดีที่เขาเรียกว่ากัลยาณมิตร

- คนที่มีอายุมาก ไม่ควรไปกินข้าวคนเดียว -เพราะกินข้าวคนเดียวกินได้น้อย -แต่ถ้าไปกินกับเพื่อนที่ถูกใจ จะกินอาหารได้ครบ กินอาหารได้มาก
- ถ้าอายุมากแล้วอย่าเก็บตัว ต้องออกไปหาเพื่อน -เช้าตื่นมาไปออกกำลังกาย ดื่มน้ำ ชวนเพื่อนไปกินอาหารด้วยก็ดี อย่าเก็บตัว
- บางคนพอเกษียณอายุแล้ว ไม่ยอมออกจากบ้าน -เป็นความคิดเห็นที่ผิด ไม่ออกจากบ้านมันก็เหี่ยวโรยเร็ว ทั้งที่ตอนทำงานก็เป็นใหญ่เป็นโต แต่พอเกษียณอายุแล้วเฝ้าบ้าน ไม่ยอมออกจากบ้านดูแล้วน่าสงสาร อย่างนี้ตายเร็ว

- ฉะนั้น อารมณ์จะดีได้ ต้องออกไปท่องเที่ยวพบปะผู้คน เรียนรู้ธรรมชาติ- เดี๋ยวนี้มีแพ็คเกจทัวร์ แค่นั่งรถไปกับเขา เขาพาไปไหนก็ไป เฮฮาสนุกสนาน ทำให้อารมณ์ดี ต้องท่องเที่ยวบ่อย ๆ
___________________________________________________________________

- ต้องพักผ่อนดี ต้องนอนให้หลับได้ 6-8 ชั่วโมงจึงจะดี
- วิธีที่จะทำให้มีการพักผ่อนดีคือ ฟังเพลงจังหวะช้าสง่างาม ฟังเพลงสวดมนต์พระโพธิสัตว์ยูไล ฟังเพลงสวดมนต์ธิเบต ฟังเพลงสวดมนต์เจ้าแม่กวนอิมจะรู้สึกว่าทำให้จิตผ่อนคลาย เป็นการพักผ่อนที่ดีวิธีหนึ่ง - จิตสงบจากการปรุงแต่งอารมณ์ทั้งหลาย มารับปรุงแต่งอยู่เพียงอารมณ์เดียว -จิตจะคล้อยตามจังหวะของเพลง ทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจคล้อยตาม

- การสูดดมของหอม ทำให้อารมณ์สงบได้- ปลูกไม้หอมที่มันออกดอกแล้วให้กลิ่นหอม
- ตะเกียงเทียนไขเผ่าภาชนะที่บรรจุน้ำ เอาน้ำมันหอมหยดลงบนผิวน้ำในภาชนะ นอน้ำมันเริ่มอุ่น ไอระเหยจะออกมา อียิปต์โบราณนิยมใช้กัน
- หายใจสูดดมเข้าไปแล้วทำให้จิตวิญญาณสงบถือเป็นการพักผ่อนได้วิธีหนึ่ง

- พักผ่อนโดยการไปแช่น้ำอุ่น - ไปแช่น้ำอุ่นที่น้ำพุร้อน อำเภอสันกำแพง เดี๋ยวนี้เขาทำเป็นลำธารน้ำอุ่น เอาเท้าแช่ลงไปในลำธาร ทำให้ความเครียดลด ทำให้จิตผ่อนคลาย เกิดความสงบ

- ต้องตรวจสุขภาพปีละครั้ง ถ้าไขมันสูงจะได้ปรับลด ถ้ากรดยูริคมีมาก ต้องปรับลดการบริโภคโปรตีนลง
- ถ้าเริ่มมึนศีรษะ เส้นเลือดที่เข้าสมองเริ่มตีบ ไขมันเริ่มเกาะเส้นเลือด -ต้องลดการบริโภคไขมัน แล้วออกกำลังกายให้มาก
- ปวดศีรษะ สิ่งปฏิกูลมันสั่งสมในเซลล์สมอง -ต้องดื่มน้ำให้มาก เพื่อกำจัดของเสียออกจากสมอง
- ร่างกายมีน้ำน้อย จะรู้สึกหนาว ๆ น้ำมีน้อย ต้องดื่มน้ำเพิ่มเข้าไป

___________________________________________________________________

- สุขภาพจิตจะดีได้ ต้องฝึกจิตให้มีสติ และสัมปชัญญะ -วิธีที่ดี ก็คือ การกำหนดลมเข้าลมออกว่าออกซิเจนซีโอทูว์ หรือจะกำหนดอย่างอื่นได้ทั้งนั้น -แต่ผลที่ได้คือจิตต้องนิ่ง -เพราะการนิ่งของจิต เป็นผลที่เกิดจากจิตมีสติ
- คนที่นอนไม่หลับ เพราะจิตขาดสติ -คนที่มีอารมณ์ฟุ้งเพราะจิตขาดสติ คนที่มีจิตสั่งสมทั้งดีทั้งเลว เพราะจิตขาดสติ -ผลที่ไม่ดีทั้งหลายเหล่านี้ เกิดจากจิตที่ขาดสติเป็นเหตุ

- ผู้ใดสร้างสติขึ้นมาได้แล้ว ทำให้จิตมีสติกำกับทุกขณะตื่น สิ่งดีงามทั้งหลายจะเป็นมนุษย์สมบัติ เป็นสวรรค์สมบัติก็จะเกิดขึ้น
- เมื่อสุขภาพจิตดี สุขภาพกายก็ดีตาม
- สุขภาพจิตเขาวัดกันที่ อารมณ์และการสั่งงาน- ทุกขณะตื่นจนนอนหลับ อารมณ์ดีตลอดวัน -สั่งงาน คิด พูดทำดีตลอดวัน นั่นคือผู้มีสุขภาพจิตดี

ที่มา - หนังสืออีคิวกับผู้สูงอายุ ของ ดร.สนอง วรอุไร






Create Date : 29 กรกฎาคม 2552
Last Update : 15 สิงหาคม 2554 20:48:37 น.
Counter : 2016 Pageviews.

1 comment
บรรเทาปวดตา ปวดขอบตา ตาล้า ตาพร่า ต้อ- โดยกดจุด
สวัสดีค่ะ มาต่อจากเมื่อวานนะคะ วิธีบรรเทาอาการปวดตา ปวดขอบตา ตาพร่า ตาล้า ตาเป็นต้อ จากหนังสือเล่มเดียวกันค่ะ คือเส้นสายสร้างดุลยภาพ ของคุณล้อเกวียน

- สาเหตุที่เกิดขึ้นที่ตา - มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องมาจากตับ ไต กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้เล็ก และ การนอนดึกเกิน 21.00 น.ขึ้นไป
<- ยิ่งนอนดึกมากเท่าไร ถุงน้ำดีและตับ ก็จะยิ่งมีความอ่อนแอมากเท่านั้น - เพราะตับจะผลิตน้ำดีได้ลดลง - ถุงน้ำดีจะปิด ไม่ส่งน้ำดีไปย่อยไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรท- ทำให้ระบบทางเดินอาหารมีแก๊ส - อาหารจึงไม่ย่อย ท้องอืด ลำไส้เล็กบวม - ทำให้การดูดซึมส่งอาหารเป็นน้ำหล่อเลี้ยงไปยังตาลดลง และทำให้ปวดศีรษะด้วย - วิตามิน A D E K ไม่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ เพราะถุงน้ำดีไม่ย่อยไขมันให้เป็นกรดไขมัน
- ซึ่งจะส่งผลต่อตา เพราะขาดวิตามิน A
ส่งผลต่อกระดูก เพราะขาดวิตามิน D
ส่งผลต่อผิวหนัง เพราะขาดวิตามิน E
ส่งผลต่อระบบเลือด เพราะขาดวิตามิน K
- ยิ่งนอนดึกมากเท่าไร - เซลล์เม็ดเลือดก็ยิ่งจะแตกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ - ทำให้มีกรดตกค้างที่ไตและกระเพาะปัสสาวะมาก - จึงเกิดอาการปวดส่งผลมายังตา
- ดังคำโบราณว่า "ถ้าอั้นฉี่บ่อยๆ แล้วจะทำให้ตาบอดได้"
_________________________________________________________________

วิธีปรับสมดุลที่ตา - ให้กดจุดห่างจากข้างสะดือ 1,2 ข้อนิ้วทั้งซ้ายและขวา- แช่นาน 30 วินาที - ทำสลับจนกว่าอาการปวดตาจะบรรเทา
- กดจุดนวดทั่วใบหน้าแบบนวดแผนไทย
1. นวดหน้าทั้งหมด รวมขอบตา นวดให้ทั่ว 30 ครั้ง
2. ใช้แขนเช็ดริมฝีปากทั้งล่างและบน 30 ครั้ง
3. ใช้หลังมือและหลังแขนปาดคางทั้ง 2 ข้าง 30 ครั้ง
4. กดจุดต่อมน้ำเหลืองใต้คาง - ใช้นิ้วโป้ง 2 ข้างกด เริ่มจากปลายคาง,กลางคาง,ตอนในคาง โดยนับ แต่ละจุด 1-10 แล้วปล่อย
5. ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางหนีบหู 2 ข้าง ดึงขึ้นลง 30 ครั้ง
6. เอาฝ่ามือปิดหูพร้อมกับใช้ปลายนิ้ว เคาะศีรษะ 30 ครั้ง

- มีเพื่อนคนหนึ่งเป็นต้อหินที่ตามทั้งสองข้าง ต้องไปยิงเลเซอร์ที่โรงพยาบาล - ปรากฎว่ายิ่งไปแล้วข้างหนึ่ง จะยิงอีกข้างต้องรอ 1 เดือน- ระหว่างรอนั้นก็ได้บริหาร ตามวิธีนวดแผนไทยที่กล่าวมาแล้ว - ทั้งเช้า-เย็น หรือช่วงใดที่ว่าง - เมื่อไปยิงเลเซอร์อีกครั้งปรากฎว่า- หมอตรวจหาต้อหินไม่พบ

- ปัญหาที่ตา ยังเกิดจากอารมณ์อีกด้วย - โดยเฉพาะอารมณ์โกรธ
- คนที่เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจตนเอง ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น จะมีอารมณ์ที่โกรธง่าย
- ยิ่งโกรธมากเท่าไหร่ ตับก็ยิ่งจะมีปัญหามากเท่านั้น
- พยายามพึ่งตนเองให้มากกว่าที่จะชี้ใช้ให้ผู้อื่นทำ -เพราะเมื่อไม่ได้ดั่งใจจะโกรธ - ตาก็จะมีปัญหา

- โบราณกล่าวไว้ว่า ให้รดน้ำเย็นเวลาเช้า-เย็น ที่หัวแม่โป้งเท้า - เพราะจะทำให้สายตาดี
- มีผู้นำไปทดลองทำดู ก็ได้ผลเพราะทำต่อเนื่อง
- ที่บริเวณหัวแม่โป้งเท้านั้น คือจุดสะท้อนของ สมองและตา - เมื่อรดน้ำเย็น ก็จะเป็นการกระตุ้นให้เลือดลมบริเวณสมองและตาได้หมุนเวียนเอาขยะ- คือเซลล์ กรดต่างๆที่ตกค้างอยู่บริเวณนั้น- นำไปทิ้งที่ไตและกระเพาะปัสสาวะ
- บริเวณไต - อยู่ที่เอวด้านหลัง วัดจากกึ่งกลางกระดูกสันหลังมา 2 ข้อนิ้ว - ใช้นิ้วขยี้เบาๆ กระตุ้นจุดไต ทำให้ตาสว่างได้

- การปรับสมดุลควรดื่มน้ำสมุนไพร คือ เก๋ากี้, รากหญ้าคา,เก็กฮวย,ดอกมะลิ อย่างละ 1 กำ- น้ำ 5 แก้ว ต้มเดือด 10 นาที ให้ดื่มก่อนและหลังปรับสมดุล - จะทำให้การปรับสมดุลมีผลเร็วขึ้น


ที่มา - เส้นสายสร้างดุลยภาพ ของคุณล้อเกวียน




Create Date : 15 กรกฎาคม 2552
Last Update : 15 สิงหาคม 2554 20:49:40 น.
Counter : 11654 Pageviews.

1 comment
วิธีบรรเทาปวดศีรษะ- โดยกดจุด
สวัสดีค่ะ

วิธีเหล่านี้นำมาจากหนังสือเส้นสายสร้างดุลยภาพ ของคุณล้อเกวียนนะคะ ซึ่งซื้อจากร้านหนังสือแถวสันติอโศก - ราคาถูกมากเลยค่ะ แค่ 20 บาทและเนื้อหาสาระแน่นมาก ในเล่มจะมีบอกทุกอาการปวดเลยค่ะ และมีเคล็ดลับดีๆ ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน- แต่ตอนนี้จะขอสรุปให้ฟังเฉพาะวิธีบรรเทาอาการปวดศีรษะก่อนนะคะ
_______________________________________________________________________________

- โกรธเกลียด - จะทำให้ถุงน้ำดี-ตับ เสียสมดุล
- เศร้าโศก พยาบาท น้อยใจ - จะทำให้ ปอด-ลำไส้ใหญ่เสียสมดุล
- ตกใจ - ทำให้ไต-กระเพาะปัสสาวะเสียสมดุล
- ตื่นเต้นดีใจเกินไป - ทำให้ลำไส้เล็ก-หัวใจเสียสมดุล
- วิตกกังวล - ทำให้กระเพาะอาหาร-ม้ามเสียสมดุล

การปรับสมดุลร่างกายขั้นตอนแรก - ฝึกปรับลมปราณทุกเช้า -
- โดยฝึกหายใจลึก ๆเพื่อเอาออกซิเจนเข้าทางจมูก กลั้นไว้ นับ1-10 ในใจ
- แล้วเป่าลมแรงๆออกทางปาก เพื่อเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา - ทำเรื่อยๆจนสดชื่น

ปวดศีรษะ เพราะปล่อยให้ท้องผูกหลายวัน - ทำให้มึนศีรษะได้
- ทุกเช้าตื่นมา ควรดื่มน้ำอุ่นอย่างน้อย 5 แก้ว ล้างพิษ - ช่วยบรรเทาปวดศีรษะได้
- อีกวิธีคือ สวนทวารด้วยน้ำกาแฟ (detox) - ใช้กาแฟบริสุทธิ์ 2 ชต. ต้มกับน้ำครึ่งลิตร - ให้เดือด 3-5 นาที
- เทกรองใส่ขวด detox ที่เทน้ำเอาไว้ 1 ลิตร - ใช้มือสัมผัสดูว่าอุ่นพอดี - จึงสวนทวาร (อาจทาเจลว่านหางจระเข้ที่สายยาง)
- อั้นให้ได้ 15 นาที - เพื่อกระตุ้นตับให้ขับสารพิษออกจากร่างกาย
- ได้เวลาไปถ่ายออก -> จะเบาศีรษะ
- ก่อนและหลัง detox ควรดื่มน้ำสมุนไพร เพื่อป้องกันการเสียเกลือแร่
- ควร detox 05.00-07.00 เป็นดีที่สุด
- เวลานั่งถ่ายในห้องน้ำ - ให้กดจุดข้างจมูก จะมีรูบุ๋ม - ด้วยนิ้วชี้หรือนิ้วกลางทั้ง 2 ค่อยๆคลึง- ช่วยกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่ทำงานขับของเสียออก

ปวดศีรษะจากความเครียด - จะตึงบ่า ต้นคอ - เกิดจากทำงานตรากตรำ
- ให้กดจุดที่บ่า - โอบมือ 2 ข้าง ไขว้กันมาจับที่บ่า - นิ้วกลาง 2 ข้างกดลง -พร้อมหายใจเข้า กลั้นนับ1-10 แล้วเป่าลมออกทางปากแรงๆ - ทำจนอาการปวดศีรษะและขมับจะบรรเทา
- อาการเครียด จะทำให้ถุงน้ำดีปิด - ไม่ส่งน้ำดีออกมาย่อยไขมัน เพื่อเปลี่ยนให้เป็นกดไขมัน และน้ำหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ
- การปรับสมดุลด้วยการปรับลมปราณ - ทำบ่อยๆจะข่วยให้ถุงน้ำดีเปิด น้ำดีจะสามารถย่อยไขมันได้
- ควรดื่มน้ำสมุนไพรต่างๆ - อาจเป็นชาเขียว , น้ำมะนาว,น้ำเสาวรสผสมน้ำผึ้ง

ปวดศีรษะเพราะลื่นล้มหัวฟาดพื้น
- โบราณให้ดื่มน้ำปัสสาวะ หรือเหล้าขาว 1เป๊ก + น้ำตาลทรายแดง 2 ชต หรือน้ำใบบัวบก เพื่อขับเลือดเสียที่ยังคั่งค้างตรงนั้นออกไป
- กดจุดข้างติ่งหูคลึงไปมา - ช่วยให้การไหลเวียนเลือดเสียทิ้งได้เร็วขึ้น - และจะนำเลือดมาหล่อเลี้ยงที่บริเวณนั้นได้ด้วย
- นวดใบหู 2 ข้าง - เพราะใบหูเป็นจุดสะท้อนร่างกาย - ทำให้ร่างกายหมุนเวียนเลือดขับของเสียทิ้งได้
- หัวแม่โป้งเท้าและมือ = จุดสะท้อนตรงบริเวณศีรษะเหมือนกัน
- คลึง กดจุดที่กลางศีรษะที่มีรอยบุ๋มเล็กๆ ซ้ายขวาหน้าหลังห่าง 1 ข้อนิ้วรวม 5 จุด - คลึงจุดละ 30 วินาที

ปวดมึนศีรษะ และมีลมดันที่ช่องท้อง
- ห่างจากสะดือ 2 ข้อนิ้ว ซ้ายขวาหน้าหลังกดจุดละ 30 วิ - กดสลับจนกว่าดีขึ้น
- ใช้น้ำชาล้างลำไส้ (มินท์ทั้ง5) - กะเพรา, โหระพา,ตะไคร้, ใบมะกรูด, สะระแหน่ อย่างละ 1 กำมือ - ต้มน้ำ 5-8 แก้ว - เมื่อเดือดให้ใส่มินท์ทั้ง5 ลงไป - ปิดฝาต้มให้เดือด 10 นาที ดับไฟ- รอ 2-3 นาที ค่อยๆเปิดฝา กรองกากทิ้ง
- ดื่มทุกเช้ายิ่งดี- ช่วยละลายมูกในช่องท้องได้ดี - เมื่อมูกลดลง แก๊สจะลดลง อาการปวดศีรษะจะลดลงตาม


ที่มา - หนังสือเส้นสายสร้างดุลยภาพ ของคุณล้อเกวียน





Create Date : 14 กรกฎาคม 2552
Last Update : 15 สิงหาคม 2554 20:50:52 น.
Counter : 2047 Pageviews.

2 comment
สูตรทำกับข้าวขนานประหยัด
สูตรทำกับข้าวขนานประหยัด
สูตรพวกนี้มาจากหนังสือขบวนการแก้จน- 100 วิธี ทำกินก็ได้ ทำขายก็รวย -ของคุณประยูร จรรยาวงศ์ ซึ่งดีมากๆเลยค่ะ -เรามาลองทำอาหารกินเองดูนะึคะ

เปาะเปี๊ยะสด
- อาหารว่างชนิดที่ทำง่าย อร่อย ได้คุณค่าทางอาหารมากที่สุด ประหยัดเวลาการปรุง และถูกเงิน
ส่วนผสม
- แป้งเปาะเปี้ยะ
- ถั่วงอกสุก
- เต้าหู้แท่งขาวต้มกับน้ำพะโล้
- ไข่เจียวแผ่บางหั่นฝอย
- กุนเชียง หมูตั้ง
- แตงกวา ต้นหอม มัสตาร์ด
- เนื้อปูแกะ
- น้ำตาล+แป้งสาลี เหยาะซี้อิ๊วไว้ราดหน้า
- พริกชี้ฟ้าดองน้ำสด
การปรุงแสนง่าย เด็กสิบกว่าขวบก็ทำกินได้ - ยิ่งทำกินเองในครอบครัว กุนเชียงคู่เดียว ไข่เจียวฟองเดียว ก็พอได้คุณค่าอาหารสูงมากจ๊ะ

______________________________________________________________

กะหล่ำปลีสอดไส้หมูสับ
- ปรุงอาหารจานละ 20 บาทไล่ไข้สำเร็จ
- ซื้อสันหมูครึ่งกิโล 30 บาท ให้เขาบดด้วย - แบ่งครึ่งเดียว
- คลุกรากผักชี พริกไทย กระเทียมตำละเอียด พริกไทยป่น ใส่ซีอิ้วขาวอย่าให้มาก
- เอาแป้งมัน 1 ชช.ลงคลุก -เพื่อเกาะหมูสับไม่ให้เละ
- กะหล่ำปลีหัวเดียว แช่น้ำ4-5 ชม. - ผ่า 8 - เอาหมูสับที่คลุก ยัดตรงกลางกะหล่ำปลี
- ใส่จาน โรยตังฉ่ายอย่างดีเล็กน้อย - ยกใส่ลังถึงนึ่งในขณะน้ำเดือด 15 นาที
- สุกยกเสิร์ฟ - พร้อมถ้วยมะนาวน้ำปลาพริกขี้หนู - ทานกับข้าวร้อนๆ อร่อยจ๊ะ
- ราคาไม่เกิน 20 บาท ทำเอาทานทั้งครอบครัว - สะดวก ถูกมาก ใช้เวลาปรุง 20 นาทีเท่านั้น
______________________________________________________________

ไข่เจียวหัวผักกาดเค็ม
- ไชโป๊ว ถูกๆ ปรุงได้หลายมื้อ - แช่น้ำสำรอกความเค็ม บีบให้หมดน้ำ - สับๆ ให้เป็นชิ้นเล็กๆ
- ตั้งกะทะเจียวกระเทียมไฟอ่อนจนเหลืองหอม
- เทไข่+หัวผักกาดเค็ม ทอดไฟกลาง- เป็นแผ่นพอเหลือง
- ตักเสิร์ฟกับข้าวต้มร้อนๆมื้อเช้า - จะมีเต้าหู้ยี้หรือกุ้งแห้งยำประกอบด้วยก็ได้
- ทานกับข้าวต้มหน้าหนาว อร่อยลืมไม่ลงทีเดียว
______________________________________________________________

ข้าวมันส้มตำ กรุงเทพ
- ซื้อมะพร้าวขูด ใบเตย - ซาวข้าวสารใส่หม้อไฟฟ้า - ใส่ใบเตย กะทิที่คั้นกะให้เท่ากับใส่น้ำในหม้อหุงข้าว
- ปรุงกะทิด้วยน้ำตาลทราย+เกลือ - ให้รสใกล้กับรสข้าวหลาม - เสียบปลั๊ก
- พอข้าวสุกจะหอมอร่อยเป็นข้าวมันกรุงเทพทันที
- มะละกอ ซอยละเอียด - ใส่กุ้งแห้ง + น้ำปลา+ผิวมะนาวหั่นสี่เหลี่ยมชิ้นเล็กจิ๋ว
- ปรุงรสให้เปรี้ยวหวานนำ เค็มตาม
- ผักใช้ใบทองหลางอ่อน ใบชะพลู ใบมันสำปะหลัง
- ทำข้าวมันส้มตำกรุงเทพ กินวันสงกรานต์ได้อร่อย ถ้าคุณขี้เกียวทำข้าวแช่ เปลี่ยนเป็นขนานนี้ รับรองว่าอร่อยจ๊ะ
______________________________________________________________

ขนมจีนซาวน้ำแก้ร้อน
- เครื่องปรุงง่ายๆ ไม่ต้องพิถีพิถันเท่าไหร่
-ขนมจีน , สับปะรดซอย, กุ้งแห้งป่น, น้ำตาล, น้ำปลา, กระเทียมสด ซอยราด "แจงลอน" (ลูกชิ้นกับเต้ากัวต้มหัวกะทิ), พริกขี้หนูพอช้ำๆ แช่ข้าวน้ำปลา
- ปอกสับปะรดแล้วอย่าล้างน้ำ - ถ้าล้าง สับปะรดจะ "เหม็นลม" เร็วเกินควร
- ตำกุ้งแห้ง
- ถ้าทำแจงลอน (ลูกชิ้นปลากราย) ด้วยจะอร่อยมากขึ้น - หรือเอาแค่เต้าหู้แข็งขาว ต้มหัวกะทิก็
อร่อยถมถืด
- ทำแจงลอนลูกชิ้นปลากราย+รากผักชี เกลือ พริกไทย - เคี่ยวในหม้อหัวกะทิ - ตัดเป็นคำๆ ใส่ลงไป
- เดือดยกลง - ไว้ตักราดหน้า
- การกินซาวน้ำมีเคล็ดอยู่ว่า - ไม่ควรหยิบขนมจีนครั้งละมากๆ - เพราะพอเคล้ากันแล้วจะกินไม่หมด
- ควรผสมทีละจาน จานละจุ๋มจิ๋ม น้อยจะเหมาะกว่า
- ตักขนมจีนวางล่าง ถ้าชอบข้าวก็ปนข้าวหน่อย - โรยกุ้งแห้งป่น หัวกระเทียมซอย น้ำตาล น้ำปลา พริกขี้หนู
______________________________________________________________

ทำไข่เค็ม
- ไข่เค็ม ใส่ไหน้ำเกลือ 15 วัน เอามาต้มกินได้จ๊ะ - ถ้าจะให้เค็มจัดกว่านี้แช่ 20 วัน มันเยิ้ม
- เกลือ 2 ส่วน + น้ำร้อนเดือดทิ้งไว้ให้อุ่น 4 ส่วน - น้ำอย่าให้ร้อนจัด พออุ่นๆ แต่ต้องต้มเดือดก่อน
______________________________________________________________

สังขยาทาขนมปัง
- ไข่ตีกี่ฟองแล้วแต่ - กะทิคั้นข้นๆ ตำใบเตยคั้นนิดหน่อยข้นๆ
- เอาไข่-นม - น้ำตาลปึก- กะทิ-กวนรวมกัน
- การทำสังขยาต้องตุ๋น มิฉะนั้นก้นหม้อไหม้ - ต้องคนๆๆๆจนสุก ไฟแรงๆ - พอสุกกินได้
______________________________________________________________

ทำมะขามคลุกกินเอง
- ซื้อมะขามเปียก 1 กิโลกรัม - ใส่กระชอนนึ่งหน่อยฆ่าเชื้อโรค - ดึงรกออก - เด็ดมะขามออกเป็นเมล็ด
- เคล้ากับพริก เกลือ น้ำตาล
- น้ำตาลนำ พริกขี้หนูสักเมล็ด เกลือตาม คลุกดู- แล้วเอามะขามลงเคล้า ชิม
- ควรหวานนำ เปรี้ยวตาม เค็มตามหลัง ชิมจนถูกปาก - ตักใส่ขวดโหล เก็บกินได้เป็นปี - เด็กๆชอบมาก -ทำกินเองง่ายมาก ถูกกว่าด้วย
______________________________________________________________

กล้วยปิ้ง
- กล้วยหารสไม่ฝาด เลือกกล้วยชานเมือง
- พอ ย่างกล้วยไฟอ่อนสุก - ชุบ หัวกะทิ , น้ำตาลปึกเพชรบุรี, น้ำดอกมะลิ, เนย, เกลือนิด ให้เค็มนิดๆ จะทำให้กล้วยปิ้งมีรสเข้มขนขึ้น ก็เท่านี้เอง
______________________________________________________________

ทองหยอด
- ต่อยไข่ 1ฟอง เอาแต่ไข่แดง - คลุกแป้งสาลี 1 ชต.-ถ้าทำขาย เขาเหยอะสีเหลืองลงไป
- เอาน้ำตาล1/2ขีด ใส่กะทะ- ละลายด้วยน้ำดอกมะลิ - พอละลายเอาผ้ากรองผงน้ำตาลออก จนน้ำตาลจวนเหนียว- ปั้นแป้งเป็นทองหยด - หย่อนลงกะทะน้ำตาล - พอสุกตักออกใส่จานกินได้เลย
- ไข่ขาวที่เหลืออย่าทิ้ง - เมื่อตักทองหยอดขึ้นหมดแล้ว เอาไข่ขาวลงกะทะ สุกกินได้
______________________________________________________________

สังขยาฟักทอง
- ยิ่งช่วงลูกหลานกำลังดูหนังสือสอบไล่คร่ำเคร่ง ควรให้ลูกหลานได้กินประเภทนี้ ย่อยง่ายและมีคุณ
แก่ร่างกายเด็ก และคนวัยฉกรรจ์
- หัดเด็กทำขนมกินเอง อะไรจะมาทำง่ายเท่าสังขยาฟักทองไม่มี
- ตีไข่ 2 ฟองให้ฟู -ค่อยหยอดหัวกะทิลงไปทีละน้อย (เอาน้ำตาลปึกละลายในหัวกะทิ) - ชิมดู หวานแค่ไหนตามใจชอบ - ตีๆๆๆๆจนฟูดี - เทลงลูกฟักทองที่เจาะไว้ควักใส้ไว้
- เอาขนุนซอยยาวๆ ลงไป 4-5เส้น - เปิดฝาจุกฟักทองเอาลงนึ่ง
- ถ้าสังขยาพร่องหน่อยค่อยปิดจุก
- ถ้าสังขยาเกือบเต็มอย่าปิดจุก เอาจุกนึ่งด้วย - พอสุกแล้วจึงค่อยปิดจุกทีหลังสวยกว่า - เพราะเนื้อสังขยาอาจฟูอืดขึ้นมาได้- ถ้าปิดจุกจากล้นเลอะเทอะไม่สวย - นึ่งจนสังขยาสุกเป็นอันกินได้จ๊ะ
______________________________________________________________

ข้าวเหนียวเจ้าดัง
- น้ำดอกมะลิเป็นหลัก - มะพร้าวต้องแก่ ไม่เสีย ไม่เหม็นหืน - ข้าวเหนียวต้องดีที่สุด - ปอกผิวมะพร้าวให้หมด ขูดคั้นเอาแต่หัวกะทิ ยิ่งมากยิ่งดัง
- ซาวข้าวให้สะอาด - แช่ลงในน้ำกะทิ (ไม่ใช่หัวกะทิ) - น้ำกะทิทุกครั้งที่คั้น ต้องคั้นด้วยน้ำดอกมะลิ
- กะทิคั้นเอาหัวกะทิไม่ต้องเติมน้ำดอกมะลิ ก่อนคั้น ครั้ง 2จึงค่อยๆเอาน้ำร้อนใส่ทีละน้อยๆคั้นออก เติมน้ำอีกนิด คั้นออกๆๆ
- แช่ข้าวเหนียวที่ชั้นล่างตู้เย็น หาไม่น้ำกะทิจะบูดก่อน - เพื่อให้ข้าวเหนียวอมน้ำกะทิเข้าไป - แช่ 6ชม.
- เอาออกมานึ่ง พอสุกเทลงกะละมัง - เอาหัวกะทิลงไปขณะข้าวเหนียวร้อนจัด - หัวกะทิจะกลายเป็นน้ำมันทันที
- หัวกะทิต้องสดและข้นที่สุด - ข้าวเหนียวจะสวย - น้ำตาล เกลือโรยปรุงรสให้ดี
- ตอนที่ข้าวเหนียวเป็นมันเยิ้ม เอาพายกวนหัวกะในกะละมังข้าวเหนียว - ต้องร้อนจัด น้ำมันจึงจะแตก
- ตอนข้าวเหนียวสุกสำคัญมาก ต้องพอดีสุก- อย่าแฮะ อย่าเปียก
- ข้าวเหนียว 1 ลิตร ,มะพร้าวขูด 1 กิโล จะดังมาก,
- ถ้าธรรมดา ข้าวเหนียว 2 ลิตร, มะพร้าว 1 กิโลก็พอถมไป
______________________________________________________________

กล้วยตากแช่น้ำผึ้ง
- ใช้กล้วยสุก อย่าใช้กล้วยงอม - กอกเกลือกใส่กระดัง ตากแดดดีๆ 2 แดด (หรือใช้เตาอบ 40-45 องศา) - เอามากดให้แบนน้อยๆ - ตากต่อจะแห้งเร็ว
- แห้งสนิท เอากล้วยตากมาเรียงในขวดที่มีฝาอัดอากาศ - ใส่พริกไทยทั้งเม็ดลงขวดละ 30เม็ด - เทน้ำผึ้งลงไปพอขลุกขลิก
- ควรนึ่ง ต้องเผยอฝาออก นึ่งให้น้ำเดือดนานสัก 30 นาที - พอยกลงจึงรีบผนึกฝาขณะร้อนๆ เก็บได้นาน
______________________________________________________________

แยมมะม่วง
- เอามะม่วงดิบปอกเปลือก4-5ลูก -สับๆๆๆซอยเป็นฝอย - ยิ่งเปรี้ยวยิ่งดี - โรยเกลือนิดๆ - ขยำเบาๆ คั้นน้ำให้หมด
- เอามะม่วงใส่กะทะทองเหลือง - กวนกับน้ำตาล 1 ส่วน น้ำเย็น 1 ส่วน ไฟอ่อนๆ
- (ถ้าอยากให้เนื้อมะม่วงกรอบ เอาน้ำปูนใสลงแช่หลังคั้นน้ำสัก 15 นาที แล้วค่อยกวน)
- กวนจนงวด ชิม- ให้เปรี้ยวหวานสูสีกัน เค็มตามหลัง - ใส่ขวดเก็บไว้กินเป็นแยม เป็นทอฟฟี่
- ส่วนน้ำคั้นมะม่วง ปรุงรสต้มสุก ใส่น้ำแข็งดื่มดีนักจ๊ะ

ที่มา - หนังสือขบวนการแก้จน- 100 วิธี ทำกินก็ได้ ทำขายก็รวย -ของคุณประยูร จรรยาวงศ์





Create Date : 12 กรกฎาคม 2552
Last Update : 15 สิงหาคม 2554 20:52:04 น.
Counter : 2223 Pageviews.

3 comment
ปั้นดอกกุหลาบจากแป้งสบู่
ปั้นดอกกุหลาบจากแป้งสบู่

วันนี้เรามาลองปั้นดอกกุหลาบจากแป้งสบู่ยามว่างดูนะคะ อุปกรณ์ก็แสนถูก ฝึกสมาธิ แถมยังทำให้ห้องสวยด้วย และเป็นของขวัญได้อย่างดีเลย- สูตรนี้มาจากหนังสืองานสร้างเงิน ได้มาจากตอนไปงานมหกรรมหนังสือที่ศูนย์สิริกิติ์ค่ะ

1. สบู่ 1 ก้อน
2. กาว 1 ถ้วยตวง
3. น้ำ 1 ถ้วยตวง
4. แป้งมัน 2 ถต
5. โซเดียมเบนโซเอต 1 ชช

วิธีทำ
1. สบู่ฝานชิ้นบางๆ ใส่หม้อ+กาว 1ถต.+น้ำ 1ถต.- ตั้งบนไฟอ่อนๆ ไม้พายกวนจนละลายผสมเนื้อเดียว- ยกขึ้น
2. นำแป้งมัน 2 ถต.+โซเดียมเบนโซเอต 1 ชช ใส่ภาชนะนวดแป้ง
เมื่อสบู่อุ่นแล้ว เทลงแป้ง- นวดเนื้อเดียวกัน
3. แป้งเย็นแล้วเก็บใส่ถุงพลาสติกรัดไม่ให้อาการศเข้า -มิฉะนั้นแป้งแข็งตัว
- สีที่ผสม- สีน้ำ สีโปสเตอร์ สีพลาสติก

ขั้นตอนปั้นกุหลาบแรกแย้ม
1. แป้ง แบ่งผสมด้วยแป้งสีขาว ให้สีอ่อนลง -
- ปั้นเม็ดกลมสีเข้มเล็ก 2 เม็ด, สีอ่อนใหญ่ 3 เม็ด
- วางเรียงบนถุงพลาสติก - นำถุงอีกใบปิดทับ กดแป้งให้แนบติดกับถุง
- ใช้เครื่องมือปาดให้เป็นรูปกลีบกุหลาบ
2. นำตุ้มกลีบกุหลาบเข้ากลีบขั้นที่ 1
- นำกลีบกุหลาบเล็ก 2 กลีบ เข้ากลีบให้ปิดตุ้ม จับให้แนบ
3. นำกลีบใหญ่ 3 กลีบ เข้าชั้นที่ 2 - ให้สูงกว่ากลีบชั้นแรกเล็กน้อย
- จับแต่งปลายกลีบให้ม้วนเล็กน้อย - ให้ดูอ่อนไหวเหมือนของจริง
4. นำกลีบเลี้ยงติดโคนกลีบ
- นำแป้งเขียวปั้นเป็นกระเปาะ และก้าน
- แห้งแล้วเข้าใบ ติดฟลอร่าเทปเขียว
______________________________________________________________________

กุหลาบแย้ม
1. ปั้นเม็ดกลม 5 เม็ด
- นำแป้งสีขาวผสมให้สีอ่อนลง - ปั้นเม็ดกลมขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย 5 เม็ด
2. กลีบสีเข้มเล็กสุด เข้ากลีบชั้นแรก 2 กลีบหุ้มตุ้มกุหลาบให้มิด
- กลีบเข้มอีก 3 กลีบ เข้าชั้นที่ 2 - ให้กลีบคล้องกัน 3 กลีบ- สูงกว่ากลีบชั้นที่ 1 เล็กน้อย - กดให้แน่น
3. นำแป้งสีอ่อนเข้ากลีบชั้นที่สาม 5 กลีบ- แต่งให้อ่อนหวาน
4. กลีบเลี้ยงติดโคนกลีบ
- นำแป้งเขียวหุ้มโคนกลีบปั้นเป็นกระเปาะ และก้าน
- แห้งแล้วเข้าใบ ติดฟลอร่าเทปเขียว
_________________________________________________________________

กุหลาบบาน
1. แบ่งแป้ง 3 ระยะ - เข้ม กลาง อ่อน - ปั้นเม็ดกลมเรียงบนถุงพลาสติก
- แป้งสีเข้ม ปั้นเม็ดเล็ก 10 เม็ด, สีกลาง ปั้นเม็ดกลาง 5 เม็ด, สีอ่อนเม็ดใหญ่ 5 เม็ด
- นำถุงพลาสติกอีกใบปิดทับบนแป้ง - กดแป้งแบนแนบ
- ใช้เครื่องมือปาดแป้งให้เหมือนกลีบกุหลาบ
2. กลีบเล็กเข้ากลีบชั้นในสุด หุ้มตุ้มกุหลาบ - 2 กลีบให้ปิดตุ้ม
- เข้ากลีบชั้นที่สอง 3 กลีบ, กลีบชั้นที่สาม 5 กลีบ
- ส่งกลีบแต่ละชั้นให้สูงขึ้นเล็กน้อย
3. เข้ากลีบกลาง 5 กลีบ - กดโคนให้แน่น
4. เข้ากลีบใหญ่ 5 กลีบ - สับหว่างกับกลีบกลาง - แต่งให้อ่อนไหว
- นำกลีบเลี้ยงมาติด
________________________________________________________

ปั้นใบกุหลาบและกลีบ
1. นำแป้งเขียวนวดจนเนียน - ปั้นรูปหยดน้ำ 3 ขนาด-
- ขนาดใหญ่ = ใบยอด 1 เม็ด
- ขนาดกลาง = ใบรองจากยอด 2 เม็ด
- ขนาดเล็ก = ใบชั้นล่างสุด 2 เม็ด
2. กดให้แนบพับพิมพ์ใบ เป็นรูปใบกุหลาบ - แกะวางในถุงพลาสติก
3. ขอบใบกุหลาบจะหยักแหลม - ใช้กรรไกตัดขอบใบให้หยักรอบใบ
4. ใช้เครื่องมือปลายแหลมคลึงขอบใบให้พลิ้ว
5. ลวดเล็กพันฟลอร่าเทป พันก้านใบ ยาว4นิ้ว - วางกลางใบ -
- บีบแป้งให้หุ้มลดช่วงใบ - ตกแต่ง
6. ใช้พู่กันจุ่มสีแดง ระบายตกแต่งขอบใบ
- เมื่อใบแห้งสนิท มาเข้าช่อ
- ใบใหญ่สุดอยู่บน 1 ใบ - รองลงมาเป็นใบกลาง 2ใบ, เล็ก 2 ใบ เว้นช่วงเล็กน้อย
7. กุหลาบมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ
- นำแป้งเขียวนวดปั้นรูปทรงเรียวปลายแหลม 5 กลีบ, วางเรียงบนถุงพลาสติก
- นำถุงอีกใบปิดทับ - กดแบน ให้เรียบบาง
8. ใช้กรรไกรตัดแต่งกลีบเลี้ยงให้ได้รูป- ตัดแต่งให้เป็นหยัก
- แต่งให้อ่อนหวานเหมือนกลีบเลี้ยงจริง - ใช้ถุงพลาสติกคลุมเตรียมเข้าดอก

ที่มา - หนังสืองานสร้างเงิน





Create Date : 11 กรกฎาคม 2552
Last Update : 15 สิงหาคม 2554 20:53:15 น.
Counter : 10378 Pageviews.

2 comment
1  2  

Kat_kine
Location :
ปทุมธานี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]