*** พื้นที่ส่วนตัวของ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ รองผู้บังคับการกองคดีอาญา สำนักงานกฎหมายและคดี นี้ จัดทำขึ้นเพื่อยืนหยัดในหลักการที่ว่า คนเรานั้นจะมีความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อมีเสรีภาพในการแสดงความคิดโดยบริบูรณ์ และความเชื่อที่ว่าคนเราเกิดมาเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ไม่มีอำนาจใดจะพรากความเป็นมนุษย์ไปจากเราได้ ไม่ว่่าด้วยวิธีการใด ๆ และอำนาจผู้ใด ***
*** We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal, that they are endowed by their Creator with certain unalienable rights, that among these are life, liberty and the pursuit of happiness. That to secure these rights, governments are instituted among men, deriving their just powers from the consent of the governed. That whenever any form of government becomes destructive to these ends, it is the right of the people to alter or to abolish it, and to institute new government, laying its foundation on such principles and organizing its powers in such form, as to them shall seem most likely to effect their safety and happiness. [Adopted in Congress 4 July 1776] ***
Group Blog
 
All Blogs
 
การจงใจบิดหลักกฎหมายของนักวิชาการ ... กรณีการชุมนุมของกลุ่ม นปช.

เพื่อนสนิทของผมหลายคน ถามว่าทำไม ผมจงใจเขียนอะไร หรือกล่าวอะไรที่เข้าข้าง ฝ่าย นปช. หรือ กลุ่มเสื้อแดง มากมายจริง ๆ ผมเป็นฝ่ายเสื้อแดง หรือ เป็นกลุ่มจงใจทำลาย "สถาบัน" แบบนายอภิสิทธิ์ฯ ผู้มีรายชื่อขึ้นทำเนียบ หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุม เมื่อวันที่ ๑๐ เม.ย. ๕๓ ไปแล้ว โดยใช้ชื่อหรู ๆ ว่า "ขอพื้นที่คืน" จากผู้ชุมนุม





อย่าใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม (ตอนนายอภิสิทธิ์ฯ เป็นฝ่ายค้าน)



ผมก็ต้องตอบไปว่า เพราะรัฐบาลทำให้ผมเป็นอย่างนี้ เพราะรัฐบาลได้ส่งไปเรียนและอบรมเรียนรู้ทางวิชาการด้านปรัชญาแห่งกฎหมายมหาชน และรัฐธรรมนูญ มาจนจบระดับสูงสุดเท่าที่ปริญญาทางกฎหมายจะมีให้ได้ .. ผมก็ต้องนำความรู้ที่ได้ศึกษามาจนอายุเกือบจะเรียกได้ว่า ผ่านวัยกลางคนมาแล้ว มาพูดให้สังคมได้รับทราบ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสีใดสีหนึ่ง แต่เป็นไปตามหลักวิชาการที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมานั่นเอง จะให้ผมพูดในสิ่งกับที่ขัดกับหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ผมศึกษามาได้อย่างไร





เพื่อนผมได้ส่งบทความ "อาจารย์" กิตติศักดิ์ ปรกติ ในหัวข้อ "ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการ ชุมนุมของ นปช." มายังผม โดยท่านมองว่า การชุมนุมของ นปช. ตั้งแต่ก่อนจะเกิดการ "สลายการชุมนุม" นั้น เป็นการกระทำที่ไม่ถือว่า"สงบ" และไม่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๓ ซึ่งท่านก็ยังได้เขียนในทำนองต่าง ๆ นานาว่า การสลายการชุมนุมของรัฐบาลกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยยกตัวอย่างคดีต่างประเทศจำนวนมาก มาเป็นตัวอย่าง

โดยท่านเห็นว่า การชุมนุมที่เป็นอันตรายต่อชีวิต ทรัพย์สินและเสรีภาพของผู้อื่นเกินควรแก่เหตุแล้ว รัฐก็ย่อมการสลายการชุมนุมได้โดยชอบ พร้อมกับเขียนเรื่องมาตรฐานสากลเจ้าพนักงานจะไม่เริ่มจากความคิดว่าจะสลายการชุมนุม แต่จะเริ่มจากการเตือนให้เห็นว่า การชุมนุมนั้นกำลังละเมิดเสรีภาพของผู้อื่นโดยไม่สมควร และเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกระทำหรือละเว้นกระทำให้ผู้อื่นหวาดกลัว หรือต้องตกอยู่ในภาวะจำยอม คืออยู่ในภาวะไม่อาจขัดขืนได้ ต้องยอมตามความประสงค์ของผู้ชุมนุมนั้น ในทางกฎหมายถือว่าเป็นการข่มขืนใจโดยใช้กำลังประทุษร้ายแล้ว เพราะการประทุษร้ายนั้นอาจทำได้ทั้งในทางกายภาพ และในทางจิตวิทยา ..., ดังนั้น รัฐจึงมีราชอาชญาสิทธิ์ในการปราบปรามหรือกำราบประชาชนที่กระทำผิดได้





บทความของกิตติศักดิ์ ปรกติ เป็นบทความที่ผมเห็นว่า ผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่สุด เท่าที่เคยอ่านเขียนของนักวิชาการท่านนี้มาโดยตลอด เพราะท่านมีท่าทีแปลก ๆ เสมอมา ตั้งแต่สมัยเสื้อเหลืองยึดสนามบิน และ ยึดทำเนียบ ท่านไม่เคยกล่าวอย่างชัดแจ้งตรงประเด็นในทำนองตำหนิติเตียนเลย แถมเมื่อคราวรัฐบาลนายสมัครฯ และนายสมชายฯ ประกาศใช้กฎหมายพิเศษ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์เลวร้ายดังกล่าวที่การชุมนุม ยึดทำเนียบรัฐบาล และสนามบิน ท่านก็ยังเป็นฝ่ายพูดในรายการวิทยุโทรทัศน์ ว่าควรจะยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเสีย .... ต่อมา เดือนเมษายน ๒๕๕๒ ท่านยังได้แนะนำให้ดำเนินการสลายการชุมนุมอย่างมีมนุษยธรรม มากมาย ......

คราวนี้ เมื่อนักวิชาการจากเครือข่ายสันติประชาธรรม ออกมาโจมตีการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะหลังจากรัฐบาลตัดสินใจ ใช้กำลังสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ ๑๐ เม.ย. ๕๓ ตั้งแต่บ่าย ๆ ของวันเสาร์ จนถึง สามทุ่ม .. ซึ่งเป็นการใช้กำลังอย่างรุนแรงในการปราบปรามการชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน เพราะมีคนชุมนุมหลายหมื่นคน การใช้กำลังย่อมคาดหมายได้ว่า จะมีผู้บาดเจ็บล้มตาย แต่รัฐบาลก็ยังตัดสินใจกระทำการเช่นนั้น แสดงว่า มีเจตนาเล็งเห็นผลที่จะดำเนินการเข่นฆ่าประชาชนอย่างแน่นอน แต่นักวิชาการท่านนี้ ก็ยังออกมาเขียนบทความที่สนับสนุนการกระทำของรัฐบาล

หากเห็นว่า ชีวิตของคนยังมีคุณค่า ผมว่ารัฐบาลมีหลายแนวทางที่จะแก้ไขปัญหานี้ ไม่เห็นต้องใช้กำลังสลายเลยแม้แต่น้อย เว้นแต่ รัฐบาลจะมุ่งหวังผลร้ายให้เกิดขึ้น เพราะ ย่อมคาดหมายได้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไร รัฐบาลรู้อยู่แล้วว่า อาจจะมีมือที่สาม อาจจะมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายเข้ามาก่อเหตุ หรือ อาจจะมีการกระทำการต่อต้านมากมาย เพราะคนหลายหมื่น เขาต่อสู้กันมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ ปัจจุบัน มันก็ผ่านไปหลายปีแล้ว เขาจะยอมง่าย ๆ ได้อย่างไร แล้วที่สำคัญ รัฐบาลก็รู้อยู่แล้วว่า การใช้กำลังทหาร ปราบปราม มันหยุดหรือยุติปัญหาได้เพียงระยะสั้น แต่ความขัดแย้งยังอยู่และยิ่งจะร้าวลึกขึ้นไปอีก แต่รัฐบาลก็ยังเลือกที่จะทำ ไม่ทราบว่า เพราะเหตุใด หรือเพราะต้องการจะอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจแค่นั้นหรือ ทำไม ไม่เลือกใช้สันติวิธีในการแก้ไขปัญหาระยะยาว แล้วนำความสงบที่แท้จริงกลับมาให้ได้ นายกิตติศักดิ์ฯ ก็ยังส่งเสริมให้รัฐใช้ความรุนแรงกระทำเช่นนั้นอีก




ความจริง นายกิตติศักดิ์ฯ ซึ่งถือเป็นผู้มีความรู้ทางรัฐธรรมนูญอย่างดี และศึกษาติดตามการเมืองมาตลอด อีกทั้งยังเป็นผลผลิตจากมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่ต่อต้านเผด็จการมาโดยตลอด น่าจะได้เข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้างเป็นอย่างดีว่า ปัญหามันร้าวลึกขนาดไหน .... ทำไม ไม่กล่าวถึงปัญหาอะไรเช่นนั้นเลย กลับไปวิเคราะห์แต่เพียงว่า รัฐใช้กำลังสลายการชุมนุมได้ .... ท่านอาจจะคาดไม่ถึงว่า การกระทำดังกล่าวจะเป็นการเลือกที่จะให้ความเห็นทางกฎหมายที่จะสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลที่จะทำร้ายประชาชนเท่านั้นเอง

ท่านยังไม่ได้วิเคราะห์ถึงความชอบธรรม หรือ ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ของรัฐบาลก่อนที่จะนำสู่การปราบปรามผู้ชุมนุม ฯ ซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่เห็นว่า การประกาศใช้ กม. พิเศษ ที่ให้อำนาจแก่นายกรัฐมนตรีในการใช้มาตรการพิเศษ และอำนาจเบ็ดเสร็จ พร้อมทั้งยังไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ ทั้งในทางแพ่งและทางอาญา เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย เพราะไม่ได้หลักสัดส่วน ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาลเมื่อวันที่ ๗ เม.ย.๕๓ นั้น อาศัยเหตุที่นายอริสมันต์ฯ บุกเข้าไปในรัฐสภา และ เหตุระเบิดรายวัน ที่เกิดขึ้น สำหรับเหตุแรกนั้น นายอริสมันต์ฯ เข้าไปเพื่อขอพบนายสุเทพฯ ซึ่งมีนายสุวโรช ฯ สส.ปชป. พกอาวุธสงครามเข้าไปในสภา ฯ เมื่อไม่พบ เพราะบุคคลทั้งสองได้ปีนรั้วหนีไปก่อน นายอริสมันต์ ก็ออกมาจากรัฐสภา จะเปรียบก็คือ เหตุร้ายมันเสร็จสิ้นไปแล้ว หากจะดำเนินคดีอาญาใด ๆ กับนายอริสมันต์ ก็ชอบที่จะกระทำได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งรัฐบาลก็ได้ให้ตำรวจออกหมายจับไปแล้ว ๗ คน จากเหตุการณ์ดังกล่าว ส่วนเหตุการณ์ระเบิดนั้น รัฐบาลก็ไม่เคยจับกุมได้เลยแม้แต่เหตุการณ์เดียว แล้วจะถือเอาเป็นเหตุประกาศภาวะฉุกเฉินได้อย่างไร

การประกาศภาวะฉุกเฉินล้วนแต่ต้องการกระทำการอย่างอื่นต่อไป เช่น การสั่งปิดสถานีวิทยุโทรทัศน์ ของ PTV และ การปิดสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ เช่น เวปไซต์ประชาไท และ เวปไซต์อื่น ๆ อีกกว่า ๓๖ URL ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องไม่ชอบธรรมและขัดต่อรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น แม้ PTV และสื่ออื่น ๆ จะไม่เป็นกลาง แต่ต้องถามรัฐบาลกลับไปว่า สื่ออื่น ๆ ของรัฐ และ ของเอกชนรายอื่น เป็นกลางเช่นนั้นหรือ ?

ที่สำคัญ สื่อประเภท PTV มีจำกัดเฉพาะกลุ่ม ที่เข้าถึงได้ เพราะต้องมีจานรับดาวเทียม หรือ มีเคเบิ้ล ต่างจากสื่อของรัฐ ที่มีสถานีวิทยุโทรทัศน์ของชาติ จำนวนมาก คนเข้าถึงได้ฟรี ๆ รวมถึงมี สถานีวิทยุโทรทัศน์ที่สนับสนุนรัฐบาลอื่น ๆ จำนวนมาก หากรัฐบาล หมดปัญญาที่จะทำความจริงให้กระจ่างว่า PTV ลำเอียง ไม่เป็นกลาง หรือ พูดไม่จริงอย่างไรบ้าง ... ท่านก็อย่ามาเป็นรัฐบาลเลย เพราะไร้ความสามารถมาก ๆ ๆ ท่านเลือกที่จะปิดสถานีวิทยุโทรทัศน์ และสื่อเหล่านั้น แทน เพราะมันง่าย แต่ท่านไม่รู้หรอกว่า สิ่งที่ท่านทำ มันเลวร้ายมาก และยิ่งจะก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งร้าวลึกยิ่งขึ้น แถมยังเป็นการดูถูกประชาชนทั่วไปว่าโง่ ...ไม่อาจจะแยกแยะได้ว่า อะไรเป็นอะไร ... อย่าดูถูกประชาชนนักเลย รัฐบาลผู้เก่งกล้า สามารถในการใช้กำลังทำร้ายประชาชน




นักวิชาการท่านนี้ ท่านได้จงใจที่จะละเลยไม่พูดถึงปัญหาพื้นฐาน ไม่พูดถึงที่มาของอำนาจในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ท่านไปมุ่งประเด็นว่า การชุมนุม ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเกินควร ... ซึ่งรัฐบาลก็อ้างเหตุนี้ ในการปราบปรามการชุมนุม โดยอ้างว่าประชาชนไม่อาจสัญจรไปมาได้สะดวก ..... เวรกรรมจริง ๆ .... ท่านเอาเหตุความไม่สะดวกมาอ้าง เพื่อปราบปรามประชาชนเช่นนั้นหรือ ..... มันคุ้มกันหรือ เพื่อความสะดวกจราจร ท่านเอาชีวิตไปแลกถึง ๒๐ คน คนบาดเจ็บกว่า ๘๐๐ ราย พวกโฆษก และทหาร ยังมีหน้ามาออกทีวี โทรทัศน์ ว่า ความเสียหายเกิดจากผู้ชุมนุม ใช้อาวุธหนัก ..... โดยรายการของโทรทัศน์ช่อง ๑๑ เมื่อวันที่ ๑๑ เม.ย.๕๓ นายทหารที่เป็นโฆษกของ ศอ.รส. หรือ "ศูนย์อำนวยการ ในการทำลายความสงบเรียบร้อยในระยะยาว" ได้นำอาวุธระเบิดแสวงเครื่องมาโชว์ในรายการวิทยุโทรทัศน์ดังกล่าว บอกว่า ผู้ชุมนุมใช้อาวุธ แต่ทหารไม่ได้ใช้อาวุธ .....

ปัญหาคือ ใครเป็นผู้ริเริ่มในการใช้กำลัง รัฐบาลและทหารใช่หรือไม่ ท่านคาดไม่ได้หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น กับคนหลายหมื่นคน แล้วจะไม่มีคนใดเขาถืออาวุธมาป้องกันตนเองเลยหรือ ..., จะไม่มีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายจะมาสนับสนุนเลยหรือ โดยเฉพาะหลัง ๖ โมงเย็น ที่มืดแล้ว ยังคงระดมกำลังเข้าไปอีก ท่านคิดว่า จะไม่มีการโต้ต้านเลยหรือ .. ท่านน่าจะประเมินได้ว่า หลังผ่านไป ๓ ชั่วโมง ประชาชนหลั่งไหลมาจำนวนมาก แม้ทหารจะได้ระดมโปรยแก๊สน้ำตาจากเครื่องบิน และระดมขว้างและยิงแก๊สน้ำตา พร้อมกระสุน (ไม่รู้จะเป็นกระสุนยาง หรือ กระสุนจริง) ใส่ประชาชน แน่นอนที่สุด ถ้าเป็นคุณ คุณก็คงไม่อยู่นิ่งที่จะรอให้ยิงอย่างเดียว ....คุณต้องหาอะไรตอบโต้แน่นอน โดยเฉพาะจากภาพ TBPS ก็เห็นว่า ในเบื้องต้น มีแต่ขวดน้ำ และไม้ที่คว้ามาได้ในบริเวณนั้น ที่กว้างตอบโต้ ทหาร ( แต่ไม่ทราบว่าหลัง หกโมงเย็น มีอะไรมาเยอะแยะ เกิดจากอะไร )

ผมสงสัยจริง ๆ ทำไม พล.อ.อนุพงษ์ ฯ ผบ.ทบ. จึงได้หน้าด้านใช้กำลังปราบประชาชนคราวนี้ได้ แต่ในคราวที่แล้ว ท่าน ผบ.ทบ. คนเดียวกันนี้ เมื่อได้รับการแต่งตั้งไปเป็น ผู้อำนวยการ ปราบปรามกลุ่มผู้ไม่สงบเรียบร้อย ในกรณีการยึดสนามบิน ซึ่งเป็นสถานที่ราชการ และการกระทำดังกล่าว สร้งความเสียหายแก่ประเทศชาติไม่น้อย ท่านได้ปฏิเสธการใช้กำลังปราบปราม ท่านและผู้นำกองทัพอื่น ๆ ออกอากาศว่าควรจะใช้วิธีการทางการเมืองแก้ไขปัญหาทางการเมือง แล้วร้องขอให้นายกยุบสภา หรือ ลาออกเสีย .... คราวนี้ ทำไม ไม่กล้าจะทำแบบเดิม .... ท่านตอบให้แก่สาธารณชนเข้าใจหน่อยได้ไหม

กลับมาเรื่องที่ต้องการเขียน กล่าวโดยสรุป นักวิชาการท่านนี้ ได้จงใจที่จะบิดผัน ไม่กล่าวถึงปัญหาในเชิงลึก ไม่ปฏิเสธว่าการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย คือท่านเห็นว่าเป็นกฎหมายที่สมบูรณ์ และยืนว่า รัฐบาลใช้กำลังปราบปรามได้ เพราะรัฐมีอาชญาสิทธิ์ฯ ..... ซึ่งผมเห็นคล้อยแต่หลักการสำคัญ แต่ผมเห็นแตกต่างอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาทางการเมืองที่สลับซับซ้อน การใช้กำลังทหารปราบปรามประชาชน การปิดหูปิดตาประชาชน ฯลฯ ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ทั้งสิ้น

และถ้าหาเทียบเรื่องนี้ กับแนวคำพิพากษาฎีกาตั้งแต่ ปี ๒๕๓๖ แล้ว หากเชื่อว่าการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ชอบด้วยกฎหมาย การดำเนินการใด ๆ ที่ผ่านมาก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่นนี้ หากจะมีการใช้กำลังกับเขา ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ผ่านมา อาจจะเทียบเคียงได้ว่า กรณีเจ้าหน้าที่ใช้กำลังจับกุมโดยไม่ชอบ ผู้ถูกจับกุม ย่อมมีอำนาจต่อต้าน อันถือเป็นการป้องกันตัวโดยชอบ เมื่อเปรียบเทียบเคียงกับคำพิพากษาฎีกาดังกล่าว กรณีนี้ ประชาชน จึงไม่ต้องรอให้ทหารมายิงแก๊สน้ำตาใส่ ไม่ต้องรอให้เขายิงกระสุนยางใส่ เขาย่อมป้องกันตัวเองได้

สุดท้าย ขอย้ำว่า การกระทำของรัฐบาล เป็นการกระทำที่ผิดพลาดที่มุ่งสลายการชุมนุมโดยใช้กำลัง ในขณะที่มีประชาชนหลายหมื่นคน ย่อมถือได้ว่า คาดเห็นผล หรือ เล็งเห็นผลล่วงหน้า แต่ยอมรับผลดังกล่าว ย่อมเป็นเจตนาเล็งเห็นผลที่จะเข่นฆ่าคนที่มาชุมนุม หรือ ทหารที่อาจจะถูกตอบโต้กลับมาเช่นนั้นได้ .... ถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายอย่างชัดแจ้งของรัฐบาล ที่จะต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่แค่กล่าวว่า "เสียใจ" หากจะมีนักวิชาการให้ความเห็นสนับสนุนความชอบของการเข่นฆ่าประชาชนโดยเจตนาเล็งเห็นผล เชื่อว่าเขาไม่มีหัวใจเยี่ยมสามัญชนคนธรรมดาแล้ว



Create Date : 12 เมษายน 2553
Last Update : 28 เมษายน 2553 12:33:35 น. 3 comments
Counter : 1563 Pageviews.

 
ผมชอบอ่านความเห็นของผู้กำกับครับ
ตามมาหลายปี
เห็นด้วยมั่ง แย้งมั่่ง
แต่เนื่องจากความรู้แค่หางอึ่่ง
จึงไม่บังอาจเสล่อเสนอความคิดใด ๆ

แต่นี่เป็นอีกบทความหนึ่ง
ที่เห็นด้วยอย่างยิ่ง



โดย: จอมยุทธไร้เงา (เฒ่าน้อย ) วันที่: 12 เมษายน 2553 เวลา:18:34:02 น.  

 
สอง มาตรฐาน ครับ สรุปง่ายๆๆ

นักวิชาการก็คือ มนุษย์คนหนึ่ง ที่มีจิตใตเอนเอียงข้างใดข้างหนึ่งได้

เห้อออ...... ต้องทำใจครับ

ความยุติธรรม ผมไม่เชื่อว่ามีจริงในโลก


โดย: Sleeping_prince วันที่: 12 เมษายน 2553 เวลา:21:12:30 น.  

 
อวยพรวันสงกรานต์

สวัสดีปีใหม่ไทยบรรจบ
วาระครบรอบปีศรีสมัย
ขออำนาจคุณพระรัตนตรัย
อำนวยชัยบันดาลประทานพร

ให้มั่งมีสมบัติพัสถาน
สำเร็จงานรุ่งเรืองประภัสสร
พูนและเพิ่มเติมค่าฐานันดร
เกียรติกำจรยืนนานกาลเวลา

ปราศจากเภทภัยสิ้นไร้โรค
ประสบโชคคืนวันสุขหรรษา
มีแต่คนรักใคร่และเมตตา
เป็นที่รักปรารถนาของผู้คน

ขอพรพระสัมฤทธิ์เพื่อมิตรสหาย
ทั้งหญิงชายพรประเสริฐบังเกิดผล
เถลิงศกสงกรานต์ผ่านมาดล
ทุกชั้นชนคนไทยมีสุขเอย...



ขอขอบคุณที่มาของ กลอนสงกรานต์ จาก : คุณ boy_CNX จาก serichon.com


โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 15 เมษายน 2553 เวลา:5:12:05 น.  

POL_US
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 82 คน [?]




คลิ๊ก เพื่อ Update blog พ.ต.อ.ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ ได้ที่นี่
https://www.jurisprudence.bloggang.com






รู้จักผู้เขียน : About Me.

"เสรีภาพดุจดังอากาศ แม้มองไม่เห็น แต่ก็ขาดไม่ได้ "










University of Illinois

22 Nobel Prize & 19 Pulitzer Prize & More than 80 National Academy of Sciences (NAS) members







***คำขวัญ : พ่อแม่หวังพึ่งพาเจ้า

ครูเล่าหวังเจ้าสร้างชื่อ

ชาติหวังกำลังฝีมือ

เจ้าคือความหวังทั้งมวล



*** ความสุข จะเป็นจริงได้ เมื่อมีการแบ่งปัน :

Happiness is only real when shared!














ANTI-COUP FOREVER: THE END CANNOT JUSTIFY THE MEANS!






Online Users


Locations of visitors to this page
New Comments
Friends' blogs
[Add POL_US's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.