“A path is made by walking on it.”
Group Blog
 
All blogs
 

ยอดยุทธ์พิภพเทวะ [ Spoiler Alert! ]



“อืม ผู้หญิงร้องไห้!”
จินต้าร้องโวยวาย “แย่แล้ว ซวยแล้วโว้ย จบเห่แล้ว สงบสติอารมณ์ไว้ จะขอบพระคุณเป็นอย่างสูง”


ยอดยุทธ์พิภพเทวะ
ผู้แต่ง: โม่เหริน
ผู้แปล: หลินหยาง
สนพ. สยามอินเตอร์บุ๊คส์


ยอดยุทธ์พิภพเทวะ เป็นนิยายออกใหม่ของ สนพ. สยามฯ มี ๕ เล่มจบ ได้ข่าวว่า ‘ยอดขายถล่มทะลาย’ ในไต้หวัน ฮ่องกง และจีน (อีกแล้ว ฮ่าๆๆ รู้สึกว่าจะเป็นคำโปรยที่แปะอยู่บนปกนิยายทุกเล่มของสยามฯ ไปแล้วนะ - แซววว) ตอนแรกที่เปิดเรื่องนี้ขึ้นอ่าน เหมือนจะได้กลิ่นไอเดียจากเรื่องปรสิตอยู่หน่อยๆ แต่อ่านไปๆ อยากจะบอกว่าคล้ายเรื่องสตาร์วอร์สมากกว่า เพราะเนื้อหามีแง่มุมที่ซับซ้อน มีการฝึกพลัง มีปรัชญา ซึ่งสามารถอ่านเอาสนุก หรือจะตีความให้ลึกไปกว่านั้นก็ได้

โผบินหรือสิ้นสูญ
เล่มแรกเนื้อเรื่องหลักกล่าวถึงชีวิตที่ค่อนข้างเหลวไหลของชายหนุ่มวัยใกล้ ๓๐ ปี ชื่อ เติ้งซัน เขาเรียนจบสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า ถือว่าเป็นคนมีความรู้ดีทีเดียว แต่กลับไม่กระตือรือร้นหางานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง (แบบว่าชีวิต slow life อะเนอะ) อาศัยความรู้ที่มีรับจ็อบสอนพิเศษในโรงเรียนกวดวิชา จึงมีเวลาว่างมากสุดๆ ถึงขนาดเอาเวลาว่างนั้นไปล้อเล่นกับบรรดาบริษัทขายตรง ที่มักประกาศรับคนไปอบรมแล้วหลอกขายของ (ไปหลอกกินน้ำกินขนมฟรีว่างั้น!)

วันหนึ่งเขาไปเจอประกาศรับสมัคร “พนักงานทดสอบผลิตภัณฑ์” ของบริษัทมูลนิธิวิจัยต่างมิติ เรื่องสนุกๆ มันก็เริ่มตรงนี้แหละ เติ้งซันลองไปสมัครงานดูเล่นๆ เขาต้องเผชิญกับการทดสอบสมรรถภาพร่างกายและจิตใจอย่างเข้มข้น แต่มันก็น่าลองอ่ะนะ เพราะบริษัทจ่ายค่าตอบแทนสูงมาก ในที่สุดเขาก็ผ่านการทดสอบไปได้ด้วยดี โดยได้รับการบรรจุเป็นพนักงาน ฟันรายได้เป็นกอบเป็นกำเชียวล่ะ

งานชิ้นแรกที่เขาได้รับคือการขึ้นยานออกไปตามจับ ‘จินหลิง’ (จิตวิญญาณแห่งทอง) สิ่งมีชีวิตประหลาดที่สามารถแปลงร่างได้ตามปรารถนา ไม่ทราบว่าโชคดีหรือโชคร้าย เติ้งซันได้ผสานร่างรวมกับจินหลิงที่พิเศษกว่าตัวอื่นๆ คือจินหลิงตัวนี้สามารถพูดได้ (พูดเก่งซะด้วยสิ) ทำให้เขารู้ว่าตนเองกำลังถูกมูลนิธิวิจัยต่างมิติหลอกใช้ให้จับจินหลิงไปขายในราคาแพง คนของบริษัทต่างก็เป็นทูตเทวะ และสถานที่ที่เขาไล่จับจินหลิงอยู่นี้ไม่ใช่โลกมนุษย์ แต่เป็นอีกมิติหนึ่ง เรียกง่ายๆ ว่าพิภพไททัน เอ๊ย..พิภพเทวะตามชื่อเรื่องแล้วกัน

จินหลิงตัวนี้ชื่อ ‘จินต้า’ มีอายุหลายร้อยปี แต่ตอนรวมร่างกับเติ้งซันเหมือนเกิดเหตุผิดพลาดนิดหน่อย ทำให้มีจินหลิงตัวแถมมาอีกตัว จินต้าเลยตั้งชื่อให้มันว่า ‘จินเอ้อร์’ แต่ตัวนี้ยังไม่มีบทบาทสำคัญ ทั้ง ๓ หน่อก็เลยกลายเป็น 3 in 1 (ยังกะเนสกาแฟแน่ะ) และไม่สามารถแยกจากกันได้จนกว่าเติ้งซันจะตาย

พวกเขาต้องต่อสู้ผจญภัยไปด้วยกัน เติ้งซันได้เรียนรู้วิธีการฝึกกำลังภายในและการใช้พลังพิเศษโดยมีจินต้าเป็นผู้แนะนำ เขาหนีกลับมายังโลกมนุษย์ได้สำเร็จ แต่เพราะจินหลิงไม่สามารถแยกออกจากตัวเติ้งซันได้อีก บริษัทจึงตามตัวเขามาทำงานใช้หนี้ที่ทำให้บริษัทสูญเสียรายได้จากจินหลิง ๑ ตัว นับว่าเป็นทางออกที่ประนีประนอมต่อทั้งสองฝ่าย โดยงานที่เติ้งซันต้องทำก็คือเข้าร่วมการแข่งขัน “ประลองกระบวนท่า” ซึ่งจัดขึ้นในพิภพเทวะ

มาถึงขั้นนี้เติ้งซันได้แต่ต้องตามน้ำไปจนสุดทาง เพราะหลังการรวมร่างกับจินหลิง เส้นทางชีวิตที่เหลืออยู่ เติ้งซันจำเป็นต้องเลือก ระหว่าง “โผบินหรือสิ้นสูญ”

ในแง่ชีวิตส่วนตัว เติ้งซันมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับสองพี่น้องหลิ่วอวี่หลันและหลิ่วอวี่หรง พูดอย่างผิวเผินเขามีความเข้าใจตัวตนของหลิ่วอวี่หลันดีที่สุด เรียนหนังสือมาด้วยกัน เข้าอกเข้าใจกันดี แต่ในความใกล้ชิดคล้ายมีระยะห่างที่มองไม่เห็น และไม่อาจจบลงด้วยการเป็นแฟน ต่างจากหลิ่วอวี่หรงผู้น้องที่เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกเข้าอกเข้าใจอะไรเธอมากนัก แต่กลับไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ เป็นความสัมพันธ์ที่มึนๆ งงๆ แต่เติ้งซันเป็นคนไม่ชอบเอาปัญหามาขบคิดให้รกสมอง อะไรที่คิดไม่ออก เขาก็ไม่ไปคิดถึงมัน จนวันหนึ่งเขาได้พบหลิ่วอวี่หรงเดินมากับผู้ชาย ความรู้สึกเสียใจทำให้เขาตระหนักได้ว่าเขารักเธอมานานโดยไม่รู้ตัว แต่ความรักระหว่างเขากับหลิ่วอวี่หรงหาใช่จะลงเอยโดยง่าย นับจากนี้เติ้งซันต้องกลับไปยังพิภพเทวะ เพื่อศึกษาจินหลิง และเข้าร่วมการประลอง แม้แต่การมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง เติ้งซันก็ต้องหักห้ามใจ เพราะเขาไม่อยากให้หลิ่วอวี่หรงเสียใจหากเขาไม่รอดชีวิตกลับมา

ถือว่าเล่ม ๑ เปิดเรื่องได้อย่างน่าสนใจ ความสนุกสนานของการต่อสู้ผจญภัยในพิภพเทวะที่กำลังจะเริ่มขึ้น และปมเงื่อนเกี่ยวกับความรักของตัวละคร ชวนให้เราอยากติดตามต่อในเล่ม ๒ รวมทั้งความตลกขบขันของจินต้าที่พูดเก่งมากกก.. ก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างของนิยายเรื่องนี้ ซึ่งต้องชมผู้แปลที่รักษาอรรถรสเอาไว้ได้ดี แต่จุดที่อ่านแล้วรู้สึกไม่ค่อยสมเหตุสมผลก็มีนะ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างเติ้งซันกับจินต้าที่ดูรวบรัดไปหน่อย หลังผสานร่างกันเสร็จไม่รู้สึกระแวงกันบ้างเลยหรือไร ยอมตกล่องปล่องชิ้นกันง่ายไปไหม ฮ่าๆๆ และการที่เติ้งซันไม่ค่อยเดือดเนื้อร้อนใจ ทั้งที่มีตัวประหลาดมาติดหนึบไปตลอดชีวิตมันก็ดูแปลกๆ อยู่นะ (ถึงแม้ผู้แต่งจะบรรยายว่าเขามีนิสัยเฉยชากับเรื่องต่างๆ ก็เถอะ)  


หนทางสู่ความเป็นอภิมนุษย์
อย่างที่ได้เกริ่นว่านิยายเรื่องนี้มีส่วนคล้ายกับเนื้อเรื่องสตาร์วอร์ส ที่ว่าด้วยการฝึกฝนเพื่อนำพลังพิเศษออกมาใช้ เป็นการพัฒนาตนไปสู่ความเป็นอภิมนุษย์ที่มีพลังเหนือมนุษย์ปุถุชนทั่วไป (น่าจะคนละอภิมนุษย์กับนีทเช่นะ อันนั้นเน้นไปทางผู้เห็นแจ้งในสัจธรรม)

จากเนื้อหาในเล่ม ๑ จินหลิงหรือจิตวิญญาณแห่งทองนั้นเป็นขุมพลังเร้นลับ เมื่อร่างของมันผสานรวมกับร่างกายของมนุษย์แล้ว หากมนุษย์เจ้าของร่างกายรู้วิธีใช้งาน สามารถผสานกำลังภายในของตนเองเข้ากับพลังของจินหลิงได้สำเร็จ จะทำให้เขามีขีดความสามารถพิเศษที่เหนือกว่ามนุษย์สามัญทั่วไป

เนื้อหาทำนองนี้ทำให้นึกถึงหนังสือเรื่อง “พลังจิตใต้สำนึก” ของ Joseph Murphy ที่ว่าด้วยการดึงพลังจิตใต้สำนึกในระดับสัญชาตญาณที่แฝงอยู่ในตัวเราทุกคนออกมาใช้ เราจะเห็นว่า ‘จินหลิง’ และ ‘พลังจิตใต้สำนึก’ มีหลักการคล้ายๆ กัน เราอาจมองจินหลิงเป็นสัญลักษณ์ทางวรรณกรรมที่หมายถึงจิตใต้สำนึกก็ได้ ซึ่งในยามปกติเรามักปล่อยปละละเลยหรือหลงลืมไม่ได้นำพลังส่วนนี้ออกมาใช้ เพราะชีวิตประจำวันของพวกเรายุ่งยากวุ่นวายอยู่กับเรื่องราว ‘ภายนอก’ มากไป ไม่ค่อยมีเวลาเอาใจใส่สภาวะ ‘ภายใน’ จิตใจของตนเอง ทำให้บางเวลาจิตใจเต็มไปด้วยความเครียด ความฟุ้งซ่านยุ่งเหยิง และบั่นทอนศักยภาพในการทำงานลง  

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือตอนที่เติ้งซันไปเล่นบาสกับเด็กมหาวิทยาลัย เขาค้นพบว่าหากเขาประยุกต์เอาพลังของจินหลิง (หรือพลังจิตใต้สำนึก) ออกมาใช้จะทำให้เขาเล่นบาสได้เก่งกว่าเด็กคนอื่นๆ เพราะเด็กหนุ่มเหล่านั้นบ้างก็สูบบุหรี่ บ้างก็พูดคำหยาบ บ้างก็สนใจแต่เสื้อผ้าหน้าผม ล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำที่บั่นทอนศักยภาพจากภายใน พวกเขาไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ ไม่รู้จักฝึกสมาธิและกำลังภายในเพื่อดึงเอาพลังที่ซ่อนอยู่ออกมาใช้ ขีดความสามารถของพวกเขาจึงต่ำมากๆ จะเห็นว่า ‘จินหลิง’ ก็เหมือนกับ ‘จิตใต้สำนึก’ ของคนเรา ที่ไม่ปรารถนาสภาพแวดล้อมด้านลบ มันเป็นขุมพลังที่ต้องการการฟูมฟักอย่างดี เจ้าของร่างต้องประคับประคองจิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เติ้งซันเริ่มรู้สึกหรือคิดอะไรในแง่ลบ จินต้าจะเอ่ยเตือนทันที ว่าความคิดหรืออารมณ์เหล่านั้นทำให้จินต้ารู้สึกไม่สบาย ส่งผลให้พลังอ่อนแอไปด้วย

อย่างไรก็ดี ‘จินหลิง’ (หรือพลังจิตใต้สำนึก) นั้นเป็นพลังดิบระดับสัญชาตญาณ มันจึงมีนิสัยคึกคะนอง กระหายการต่อสู้ หากมองว่า ‘จินหลิง’ คือขุมพลังเร้นลับที่ยิ่งใหญ่จากภายใน (จิตใต้สำนึก) การใช้งานก็ต้องพึ่งพาอาศัยปัจจัยภายนอก (จิตรู้สำนึก) เป็นตัวควบคุมด้วยเช่นกัน หาไม่แล้วก็อาจถลำลึกสู่ด้านมืดได้โดยง่าย จะเห็นว่าเติ้งซันมักสอนจินต้าบ่อยๆ ว่าการทำร้ายคนเป็นสิ่งไม่ดี นี่คือตัวอย่างของการใช้ ‘จิตรู้สำนึก’ ควบคุม ‘จิตใต้สำนึก’

การผสานรวมของภายนอก-ภายในอย่างเหมาะสมนี้เอง ที่ช่วยยกระดับมนุษย์สามัญให้กลายเป็น ‘อภิมนุษย์’ ขึ้นมา

เขียนมาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะบอกว่า “คนเขียนรีวิวเพ้อไปไกลแล้วป่ะเนี่ย?” ยืนยันว่าไม่ถึงขนาดนั้น จากการอ่านเล่ม ๑ เราจะเห็นคีย์เวิร์ดประเภท ‘การรู้แจ้ง’ โผล่มาบ่อยๆ นี่ก็เป็นร่องรอยที่ชวนให้เพ้อได้อยู่นะ ส่วนจะถูกจะผิดก็ว่ากันอีกเรื่องแล้วกัน ฮ่าๆ 




 

Create Date : 03 กันยายน 2558    
Last Update : 3 กันยายน 2558 15:42:39 น.
Counter : 9872 Pageviews.  

สุสานอาถรรพ์ [ไม่เปิดเผยเนื้อหา]





สุสานอาถรรพ์ เล่ม ๑ ตอน ศพพันปี
ผู้แต่ง: เทียนซย่าป้าชั่ง
ผู้แปล: มิราทิพย์
สนพ. นานมีบุ๊คส์


บล็อกนี้เขียนชวนคุยสะเปะสะปะ มีอ้างถึงอีก ๒ เรื่องที่เกี่ยวกับการลง 'สุสาน' เช่นกัน แต่ไม่ได้สปอยล์เนื้อหาหลักแต่อย่างใด

จริงๆ เป็นความรู้สึกหลังจากอ่านสุสานอาถรรพ์ เล่ม ๑ ตอน ศพพันปีจบมาได้สักพัก ก็รู้สึกอยากเขียนโน้ตทิ้งไว้เตือนความจำตัวเองนิดๆ หน่อยๆ เพื่อไม่ให้ลืมเลือนในระหว่างรอคอยเล่ม ๒ ซึ่งคาดว่าน่าจะอีกนานแสนนานเลยทีเดียว ฮา...

ด้วยความที่หนังสือเพิ่งออกมาได้แค่เล่ม ๑ และเล่ม ๒ ก็ยังเงียบสนิท จึงมักได้ยินเสียงถามไถ่กันเซ็งแซ่เลยว่า เรื่องนี้สนุกไหม? น่าซื้อไหม? เล่ม ๒ จะมีไหม? แล้วจะออกเมื่อไหร่?

คำตอบหลังจากอ่านจบ บอกได้เลยว่า “สนุก” ไม่ผิดหวังแน่นอน คุ้มราคาและคุ้มค่าเวลาในการอ่าน การแปลถ่ายทอดคำบรรยายที่ละเอียดยิบอันเป็นเอกลักษณ์ของเทียนซย่าป้าชั่ง ผู้แปลก็ทำได้ดีมาก เราสามารถอ่านได้อย่างเห็นภาพ ไหลลื่น ไม่รู้สึกสะดุด และไม่วกวน 
ดังนั้น สมควรซื้อหามาอ่านเพื่อเสพรสความบันเทิง ความตื่นเต้นปนสยองขวัญเป็นอย่างยิ่ง

แต่ครับแต่... บอกไว้ก่อนเลย ว่าถ้าทำใจอ่านแบบไม่คิดมาก จบแล้วจบเลย จะโอเคกว่ามาก
ทว่า หากท่านมีนิสัยการอ่านแบบเก็บทุกรายละเอียด คิดเยอะ ต้องคิดให้สุดทางแล้วละก็ ต้องเตือนกันไว้ตรงนี้เลย ว่าตอนจบเล่ม ๑ ผู้เขียนได้ทิ้งปมเขื่องๆ ไว้ทรมานใจแฟนๆ เล่นครับ!

ส่วนเล่ม ๒ จะมาเมื่อไหร่ คงต้องรอ สนพ. กันยาวๆ

ถ้าเปรียบเทียบกับเรื่องเก่าๆ ในบรรดาตระกูลสุสานทั้ง ๓ ชุด ที่เคยอ่านมา ทั้ง ‘คนขุดสุสาน’ ‘บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน’ และ ‘สุสานอาถรรพ์’ ต่างล้วนเป็นเรื่องยาวครับ ยาวแบบยาวเหยียด

โดย ‘บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน’ ที่แต่งโดย หนานไพ่ซานชู จะออกแนว ‘ผจญภัยตะลุยสุสานเพื่อไขปริศนาเร้นลับ’ เนื้อหาออกแนวสนุกๆ เบาๆ ไม่ได้สะท้อนอะไรมากนัก เน้นความตื่นเต้นเร้าใจเป็นหลัก แต่ส่วนตัวเมื่ออ่านจบแล้ว จขบ. รู้สึกว่าผู้แต่งเรื่องนี้คลี่คลายปริศนาได้ไม่ดีพอ ทั้งรวบรัด ทั้งไม่สมเหตุสมผล (ผูกปมสะสมมาเรื่อยๆ ตลอด ๙ เล่ม แล้วมาไขปริศนาแบบห้วนไปหน่อยในเล่ม ๑๐) คือไม่สามารถทำให้ผู้อ่านรู้สึก “เชื่อ” ได้จริงๆ อันนี้ถือเป็นความล้มเหลวสำหรับคนเขียนงานแนว “รหัสคดี”

ส่วน ‘คนขุดสุสาน’ และ ‘สุสานอาถรรพ์’ ซึ่งเขียนโดย เทียนซย่าป้าชั่ง นั้นจะมีแนวทางต่างออกไป เนื้อหาค่อนข้างจะละเอียด และมีการบรรยาย ‘นอกเรื่อง’ เยอะมากๆ แน่นอนว่าบางคนก็ไม่ชอบเพราะมันดู ‘เยอะ’ โม้เสียจนออกอ่าวออกทะเลมากเกินไป แต่ผู้อ่านบางส่วนก็ชอบ เหมือนได้ฟังเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย อารมณ์ประมาณนั่งฟังนิทานรอบกองไฟ อะไรแบบนั้น

ถ้าลองแยกแยะเล่นๆ เราจะเห็นสเต็ปการเขียนของเทียนซย่าป้าชั่ง คือการเริ่มเรื่องจากการขุดสุสานเพื่อหาทรัพย์สมบัติจริงๆ เป็นแรงบีบคั้นทางสังคมของประเทศจีนในยุคเปลี่ยนผ่าน ผู้แต่งจะอ้างอิงคำขวัญ หรือถ้อยคำ propaganda ต่างๆ อันเป็นการเสียดสีสังคมยุคนั้นได้อย่างเจ็บแสบ และยังให้รายละเอียดเกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่ยากลำบาก การทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องบ้านๆ ในชีวิตประจำวัน แต่กลายเป็นเรื่องใหญ่จนต้องหลบหนีออกจากหมู่บ้าน ความอดอยากไม่ค่อยจะมีกิน การต้องทำงานในถิ่นทุรกันดารตามชนบทห่างไกล

เพราะบนดินมีแต่ความทุกข์ยาก จึงไม่แปลกเลยที่ความลำบากเหล่านั้นจะเป็นตัวผลักดันให้คนจำนวนหนึ่งมุ่งหน้าลงดินแสวงโชค

สเต็ปต่อมา คือเมื่อลงดินไปแล้ว ชีวิตก็เปลี่ยนทันที กลายเป็นพัวพันกับเรื่องยุ่งยากอย่างถอนตัวไม่ขึ้น มีเหตุให้ต้องลงดินต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเจ็บไข้อย่างพิสดาร ต้องหาของวิเศษมารักษา ถูกบีบให้ต้องช่วยงานนักวิชาการ การพบปะกับคนโลภในวงการ หรือการสูญเสียโอกาสและความสามารถในการทำมาหากินอย่างถูกกฎหมาย จนต้องแอบขุดสุสานอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไปชั่วชีวิต

ซึ่งตรงนี้เป็นความ ‘เชี่ยว’ ของผู้แต่ง ที่จะสื่อให้เห็นว่า ถ้าเราได้ลองลงมือทำสิ่งที่ผิดศีลธรรมหรือกฎหมายแล้ว ชีวิตเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อเข้าไปพัวพันกับด้านมืด ก็ยากจะหาทางออกมาพบกับด้านสว่าง ต่อให้คิดอยากถอนตัว ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

แล้วผลลัพธ์ที่ได้จากการเอาชีวิตเข้าไปพัวพันกับโลกใต้ดินล่ะ?

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความ ‘เชี่ยว’ ของ เทียนซย่าป้าชั่ง แทบทุกครั้งที่ประตูสุสานถูกเปิดออก เราจะได้พบเห็นกับความงดงามเรืองรองของทรัพย์สมบัติโบราณ แต่เกือบทั้งหมดล้วนเป็นความสวยงามอลังการที่สัมผัสได้เพียงสายตา ตัวละครหลักมักจะล้มเหลวแทบทุกครั้ง พวกเขาได้เพียงเศษเสี้ยวสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ แค่พอแลกเงินยาไส้ บางคราวแม้แต่ชีวิตของพวกตน ก็แทบไม่อาจรักษาไว้ได้

ผู้คนที่ลงดินขุดสุสาน แน่นอนว่าพวกเขา ‘มีของ’ บ้างรู้ฮวงจุ้ยรู้ทำเลขุมสมบัติ บ้างมีวิชาดีไม่กลัวภูตผีปีศาจ บ้างมีกำลังคนและอาวุธ พวกเขามุ่งหน้าสู่ป่าลึกภูผาสูงเพื่อตามล่าค้นหาสุสานในตำนาน น่าขันที่ในสุสานมักมีเงินทองอัญมณีสูงค่า คู่เคียงอยู่กับสิ่งที่ไร้ค่าที่สุดอย่างซากศพ ตลอดสายธารแห่งประวัติศาสตร์ พลั่วเสียมถูกขุดเจาะลงดินนับครั้งไม่ถ้วน ใครจะทราบ นั่นอาจเป็นการขุดหลุมเพื่อฝังร่างของตัวเองก็เป็นได้

ที่สุดของปลายทาง พวกเขาอาจพบเจอสมบัติ หรือไม่ก็ความตาย




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2558    
Last Update : 27 พฤษภาคม 2558 4:21:40 น.
Counter : 1352 Pageviews.  

Frightening Love: การรอคอยมักเคี่ยวกรำท่าน จนวิปลาสฟั่นเฟือน





Some man would be punished by heaven one day for loving this girl.
.............................................

Frightening Love
แต่งโดย ยาสึนาริ คาวาบาตะ

ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ชีวิตที่ปราศจากความรัก ก็เปรียบเสมือนต้นไม้แคระแกร็นที่ปราศจากฤดูกาลผลิดอกออกผล
ความรักสามารถนำพาสายรุ้งข้ามผ่านโพ้นฟ้ามาสู่หัวใจที่ชืดชาของผู้คน เปลี่ยนโลกที่แห้งแล้งหมองมัว ให้พลันสดชื่นจรัสไสว

นั่นคือความรักชนิดหนึ่งที่ จขบ. เคยได้พบเจอมา (ผ่านตัวหนังสือ 555555)

ยังมี...

มีความรักอีกชนิดหนึ่ง ที่ทั้งน่าหวาดหวั่น ทั้งน่าพรั่นพรึง… ยังควรค่าแก่การกล่าวถึง
เป็นความรักอันน่าสะเทือนขวัญ ที่รังสรรค์จากปลายปากกาของ ยาสึนาริ คาวาบาตะ

ชายผู้หนึ่งรักภรรยาของเขาอย่างใหญ่หลวง รักอย่างมิอาจหาใดเปรียบ ทว่าภรรยาของเขากลับจากไปก่อนวัยอันควร เขาเชื่อมาตลอด… สวรรค์ได้ลงทัณฑ์ความรักของเขา เนื่องเพราะเขาหลงรักภรรยามากเกินไป !

ดังนั้นเขาจะไม่รักใครอีก เขาดิ้นรนทุกหนทางเพื่อลืมเลือนภรรยาของตนให้จงได้ ไม่ข้องแวะยุ่งเกี่ยวกับสตรีใด ไม่แม้แต่จะจ้างแม่บ้านมาดูแลทำความสะอาดเรือนพักอาศัยของตน นั่นเพราะทุกคราที่สายตาของเขาพบพานสตรี เขาจะหวนคำนึงถึงคู่ชีวีผู้ล่วงลับตลอดมา เขาจึงได้แต่ทุ่มเทหลับตา ไม่เหลือบแลสตรีผู้ใดทั้งสิ้น

โชคร้ายอย่างยิ่ง ในบ้านของตนกลับมีหญิงสาวผู้หนึ่งที่เขาไม่อาจไม่เหลียวแล !!
เป็นบุตรสาววัยแรกแย้มของเขาเอง ที่เลวร้ายไปกว่านั้น เรือนหน้าของนาง... ยิ่งพิศดูยิ่งละม้ายเหมือนมารดาของนางยิ่ง

การดำรงอยู่ของบุตรสาว เป็นดังหนึ่งเข็มแหลมที่เฝ้าทิ่มแทงใส่ดวงตาเขาตลอดเวลาก็ปาน

ในราตรีหนึ่ง แสงไฟสว่างวาบขึ้นจากห้องของบุตรสาว เขาแอบมองลอดช่องกระดาษเข้าไป มือของนางถือกรรไกรขนาดย่อม นางนั่งชันเข่าทั้งสองขึ้น ก้มหน้าอยู่ในท่ามแสงรำไรนั้นเป็นเวลานาน…

วันรุ่งขึ้น หลังจากบุตรสาวออกไปโรงเรียน เขาเหลือบมองไปยังกรรไกรสีเงินวาวนั้น หัวใจของเขาเต้นระรัว

ราตรีถัดมา แสงไฟจากห้องของบุตรสาวสว่างวาบขึ้นอีก... เขาลอบมองเข้าไปอีกครา บุตรสาวของเขากำลังพับผ้าสีขาวสะอาดสะอ้านชุดหนึ่ง นางเอื้อมมือไปจุดไฟในเตาถ่าน วางผ้าขาวชุดนั้นไว้ด้านบน จากนั้นนางพลันร่ำไห้ออกมา เมื่อหยาดน้ำตารำงับลง นางจึงเริ่มตัดแต่งเล็บ ปล่อยเศษเล็บร่วงหล่นลงบนผ้าขาว จากนั้นนางขยับเลื่อนผ้าขาวออก เศษเล็บก็ร่วงกราวลงในเตาไฟ

เขาซึ่งเฝ้ามองดูอยู่ รู้สึก... กลิ่นไหม้ของเศษเล็บชวนให้พะอืดพะอมยิ่ง

คืนนั้น ในห้วงภวังค์ฝัน เขาเห็นภรรยาผู้ล่วงลับได้มาบอกกับบุตรสาว ว่าเขาได้แอบเห็นความลับของนาง  
อึดใจนั้นความคิดอย่างหนึ่งผุดขึ้น เป็นความคิดที่ทำให้ร่างของเขาสั่นสะท้าน

“วันหนึ่ง ใครบางคนจะต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ เพราะหลงรักเด็กสาวผู้นี้แน่นอน”


ในดึกสงัดของอีกราตรี เขาคล้ายมองเห็นบุตรสาวค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาหา
มือของนางมีมีดที่คมกริบ สายตาของนางจ้องตรงมาที่ลำคอของผู้เป็นบิดา

เขาได้แต่หลับตาอย่างยอมจำนน นี่ย่อมเป็นโทษทัณฑ์จากสรวงสวรรค์ เนื่องเพราะเขาหลงรักภรรยามากเกินไป

……………………………………………………………….

หัวใจที่โหยหา เพียงปรารถนาถิ่นสถานอันสุขสงบเพื่อละวางลง เขาลอบมองบุตรสาวของตนประหนึ่งนั่นคือที่พักใจอันอบอุ่น แต่บุตรสาวหาใช่เด็กหญิงอีกต่อไป นางเติบโตเป็นสาวเต็มตัว ซ้ำยังละม้ายเหมือนมารดาอย่างยิ่ง

ใจของเขาหวนประหวัดถึงภรรยาทุกคราที่จับจ้องมองดูนาง ความสงบสุขจึงกลับตาลปัตรเป็นความเจ็บปวด นี่คือความรักที่หมิ่นเหม่บนชายขอบของความบริสุทธิ์และความวิกลจริตอันน่าพรั่นพรึง

ดังนั้นเขาได้แต่นอนหลับตา รอคอยมีดในมือของบุตรสาว จดจ่อลงที่ตรงคอหอย
เพื่อปลดปล่อยจิตวิญญาณที่ถูกจองจำ ให้คืนสู่อิสระภาพอีกครา !


ป.ล.
1. ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง
2. การรอคอยมักเคี่ยวกรำท่าน จนวิปลาสฟั่นเฟือน (ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่, โดย โกวเล้ง)




 

Create Date : 10 พฤษภาคม 2558    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2558 5:45:18 น.
Counter : 814 Pageviews.  

The Traveller with the Pasted Rag Picture: Is you really real or is you really fake





"I simply cannot afford to give her up,
Oh, if only I could be like her lover in the picture, and talk to her!"
............................................


The Traveller with the Pasted Rag Picture
เป็นเรื่องสั้นในชุด Japanese Tales of Mystery and Imagination
แต่งโดย เอโดงาวะ รัมโป


นักท่องเที่ยวผู้หนึ่งเดินทางไปชมปรากฏการณ์ ‘ภาพลวงตา’ (Mirage) ที่เมืองอุโอทสึ บนอ่าวโทยาม่า

น่าประหลาด เมื่อเขาเดินทางกลับมา และได้เล่าเรื่องที่พบเจอให้ผู้อื่นฟัง
บรรดาคนที่รู้จักเขาต่างไม่มีใครเชื่อ คนพวกนั้นพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “นายไม่ได้ไปเมืองอุโอทสึมาหรอก”
นักท่องเที่ยวผู้นี้ถึงกับลังเลสงสัยในตัวเอง เมื่อเขาพบว่า ตนเองก็ไม่มีหลักฐานอะไรที่จะยืนยันได้ว่าตนได้ไปเมืองอุโอทสึมาจริงๆ !

หรือเขาแค่ฝันไป?

แต่ไฉนความฝันจึงชัดเจนถึงเพียงนี้? แจ่มกระจ่างถึงเพียงนี้?

หลังจากใช้เวลาตลอดบ่ายชมปรากฏการณ์ภาพลวงตา เขาจับรถไฟกลับโตเกียวในสนธยาวันนั้นเอง บนรถไฟเขาได้พบกับนักเดินทางชราท่าทีประหลาดพิกลผู้หนึ่ง ชายชราถือรูปผ้าขนาดราว ๒ x ๓ ฟุตอยู่ในมืออย่างทะนุถนอม ความรู้สึกบางอย่างกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวหนุ่มสนใจภาพนั้นอย่างบอกไม่ถูก ทั้งตู้รถไฟมีเพียงเขาและชายชราเพียงสองคน ดังนั้นเขารวบรวมความกล้า ก้าวไปตรงหน้าชายชรา

ชายชราผู้นั้นเงยหน้ายิ้มให้ ประหนึ่งรอคอยเวลานี้มานานแล้ว เขาเปิดรูปผ้านั้นให้นักท่องเที่ยวชมดูโดยแทบไม่ต้องเอ่ยขอ

มันเป็นภาพของคนรักคู่หนึ่ง ซึ่งทุกผู้คนสมควรชมดูด้วยความอิ่มเอมยินดี แต่นักท่องเที่ยวหนุ่มจับจ้องมองดูภาพนั้นด้วยความรู้สึกขัดแย้งกระอักกระอ่วนยิ่ง เนื่องเพราะชายในภาพเป็นคนชราที่ศีรษะขาวโพลน ขณะที่คู่รักของเขากลับเป็นหญิงสาววัยกำดัดนางหนึ่ง

แต่ภาพนี้กลับมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก นักท่องเที่ยวแทบไม่อาจละสายตา เขาพบว่าภาพของคนทั้งสองช่างดูมีชีวิตชีวาเหลือเกิน เขาคล้ายสังเกตเห็นทรวงอกของหญิงสาวกระเพื่อมไหวตามจังหวะหายใจ อาจบางทีคนในภาพทั้งสองสามารถลุกเดินออกมาได้ในทุกเวลา

ชายชราคล้ายกลัวเขาไม่เห็นภาพแจ่มชัดเพียงพอ ควานหากล้องส่องทางไกลเก่าคร่ำขึ้นมาอันหนึ่งแล้วยื่นส่งให้ นักท่องเที่ยวรับมาตระเตรียมส่องดู แต่ชายชราตวาดเตือนขึ้นทันที

“เดี๋ยวก่อนๆ ไม่ใช่อย่างนั้น คุณถือกล้องกลับด้านแล้ว อย่าทำอย่างนี้อีกเด็ดขาดเชียว!”

ชายหนุ่มงุนงงเล็กน้อย เหตุใดชายชราจึงมีทีท่าร้อนรนขนาดนั้น แต่เขาก็ทำตามที่ชายชราแนะนำ ยกกล้องขึ้นส่องดูใหม่ สายตาค่อยๆ พินิจมอง ‘ผ่านเลนส์’ คราวนี้เขาเห็นชัดแจ้งเต็มทั้งสองตา หญิงสาวและชายชราในภาพคล้ายเคลื่อนไหวได้จริงๆ !

มีโลกอีกโลกหนึ่งอยู่หลังเลนส์ของกล้องส่องทางไกลนั้น เป็นโลกที่แตกต่างจากโลกที่เขาเคย “มองด้วยตาเปล่า” อย่างสิ้นเชิง โลกที่หญิงสาวโฉมสะคราญผู้หนึ่งมีชีวิตอยู่เคียงคู่กับชายชราที่อายุรุ่นราวคราวปู่ของเธอ พวกเขาทั้งสองอิงแอบกันอยู่ในภาพนั้นอย่างมีความสุข !

ชายหนุ่มอดตื่นตระหนกมิได้ เขาคิดว่าตนเองต้องกำลังฝันร้ายอยู่แน่ๆ

แต่ชายชราผู้นั้นส่งเสียงกระซิบแผ่วเบาแทรกมา “พวกเขามีชีวิต คุณว่าไหม?”
ชายหนุ่มได้แต่อ้ำอึ้ง พูดอะไรไม่ออก

แล้วนักเดินทางชราก็เล่าความหลังของบุคคลในภาพให้เขาฟัง

…………………………………………………………………

ในห้วงคำนึง ชายชราหวนระลึกถึงพี่ชาย

นานมาแล้ว ในย่านอาซากุสะมีอาคารจูนิไคตึกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นตั้งตระหง่านอยู่ พี่ชายของเขาเป็นคนกระตือรือร้นต่อ “ของนอก” ทั้งหลาย กล้องส่องทางไกลก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาชอบหิ้วมันไปที่ตึกจูนิไค ไต่บันไดขึ้นไปยังชั้นบนสุดเพื่อส่องกล้องมองดูทัศนียภาพ และสิ่งแปลกใหม่ที่ผุดขึ้นทุกวันในเมืองโตเกียว

บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่พี่ชายของเขาส่องกล้องอยู่บนระเบียงชั้นสูงสุดของตึกจูนิไคอย่างเพลิดเพลินเช่นปกติ สายตาผ่านเลนส์พลันสะดุดเข้ากับ “รอยยิ้มที่งดงาม” บนใบหน้าขาวนวลของหญิงสาวผู้หนึ่ง ท่ามกลางฝูงชนคลาคล่ำเบื้องล่าง เขารีบเลื่อนกล้องกลับมากวาดส่องหานาง ทว่าเรือนหน้าของโฉมงามผู้นั้นได้ลับหายไปแล้ว หายไปในหมู่ชน

นับจากนั้น เขามาที่ตึกจูนิไคทุกวันยามตะวันบ่าย เพื่อส่องกล้องมองหาหญิงสาวที่เขาตกหลุมรัก

ทว่า แท้ที่จริงหญิงสาวผู้นั้นมิใช่คน นางเป็นเพียงรูปผ้าที่พ่อค้านำมาจัดแสดงในซุ้มถ้ำมองเท่านั้น
ศิลปินรังสรรค์นางขึ้นจากตำนานรักยาโอยะ โอชิจิ กับคนรักของนาง

 ชายหนุ่มได้แต่รำพึงรำพัน
“ฉันรู้ดี หญิงสาวผู้นี้เป็นเพียงรูปที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นจากผ้า แต่ฉันไม่อาจทำใจปล่อยวางจากเธอได้จริงๆ ... หากฉันสามารถเข้าไปอยู่ในภาพ ได้สนทนากับเธอ เฉกเช่นชายคนรักในภาพนั้นก็คงจะดี”

เขาขบคิดเรื่องนี้ด้วยความหม่นหมอง แล้วจู่ๆ เขาก็โพล่งขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“ฉันคิดออกแล้ว…..”

เขาขอร้องให้น้องชายใช้ 'กล้องกลับด้าน' ส่องมองดูเขา
น้องชายได้แต่ทำตามแม้จะฉงนสงสัย เขากลับด้านกล้องส่องทางไกล แล้วส่องมองดูพี่ชายของตน ทันใดนั้นเอง สิ่งที่เขามองเห็นผ่านเลนส์…

พี่ชายของเขาตัวเล็กลงทีละน้อยๆ หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนอากาศ แล้วพลันหายสาบสูญไปในความมืด!

ชายชราในวัยเด็กวิ่งพล่านตามหาพี่ชาย กลับไม่พบพานแม้เพียงเงา ในที่สุดเขากลับไปที่ซุ้มถ้ำมอง
เมื่อเพ่งสายตามองลอดไปตามช่อง... เขาคล้ายกับเห็นพี่ชายของตนได้เข้าไปอยู่ในภาพ แทนที่ชายหนุ่มคนรักของหญิงสาวผู้นั้นแล้วจริงๆ !

…………………………………………………………………

ชายชราในวัยเด็กขอซื้อรูปผ้านั้นมา เขาเล่าเรื่องการหายตัวไปของพี่ชายให้ทุกคนที่บ้านฟัง แต่ทุกคนล้วนลงความเห็น...

นี่เป็นเรื่องที่เหลวไหลไร้สาระที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา

แต่ "ภาพจริง" กับ "ภาพลวง" ไม่แน่นักว่าสามารถจำแนกได้แจ่มชัดโดยง่าย เรื่องบางเรื่องไม่สมควรเชื่อ คนกลับลุ่มหลงเชื่อถือจริงจังขึ้นมาได้ เรื่องบางเรื่องมีเหตุผลร้อยแปดสนับสนุนให้เชื่อ คนกลับดื้อรั้นไม่สนใจ

คุณผู้อ่านล่ะ คุณเชื่อเรื่องเล่าเรื่องนี้ไหม ? แน่นอน... คนจำนวนมากไม่มีทางเชื่อเรื่องเพ้อฝันเช่นนี้เด็ดขาด

เจ้าของบล็อกเองก็ไม่เชื่อ… แม้ตนจะกำลังหลงงมงาย เหม่อมอง “ภาพ” ของสตรีผู้หนึ่งด้วยสายตาเลื่อนลอยคะนึงหา อยากไปอยู่ในภาพเคียงคู่กับเธอ... ก็เชื่อว่าตนยังมีสติพอไม่เชื่อเรื่องนี้เด็ดขาด !!

แน่นอนอีกเช่นกัน... สิ่งที่เราไม่เชื่อเด็ดขาด ไม่แน่ว่าจะไม่เป็นจริงเสมอไป


ตัวอย่างรูปผ้า





 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2558    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2558 17:34:17 น.
Counter : 764 Pageviews.  

Maison Ikkoku: 'cause he'll be your ideal man forever





“Kyoko-san, I love you!”
Godai’s voice echoes vainly.

The odd tenants of Ikkokukan are involved in comical romance
with a beautiful widow, Kyoko Otonashi.

Can Godai win her heart?

(คำโปรยบนหน้าปกเล่ม 2)
....................................................

Maison Ikkoku
วาด/เรื่อง โดย รูมิโกะ ทาคาฮาชิ
จขบ. สั่งซื้อจากญี่ปุ่นเป็นเวอร์ชัน 10 เล่มจบ พิมพ์ปี 1996

ณ สถานที่อันเงียบสงบแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียว มีเรือนไม้กระดานสองชั้นที่เก่าแก่ทรุดโทรมมากแล้วตั้งอยู่ เรือนไม้กระดานนี้มีชื่อเรียกว่า ‘บ้านพักอิกโกกุ’ บนหลังคามีหอนาฬิกาติดตั้งนาฬิกาบานใหญ่เอาไว้ เป็นนาฬิกาที่โดดเด่นและงดงามที่สุดในละแวกนี้ หากแต่มันไม่เคยตีบอกเวลาเลย เนื่องเพราะนาฬิกาเรือนนี้ได้ตายไปนานแล้ว เข็มบอกเวลาทั้งหมดล้วนแน่นิ่งไม่ไหวติง ประหนึ่งหยุดนิ่งเพื่อเก็บรักษาความทรงจำอันหอมหวานของผู้คนไว้ชั่วกาลนาน

ในขณะที่โลกรอบด้านยังคงหมุนไป อย่างไม่หยุดยั้ง 

ยูซากุ โกไดเช่าห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งของบ้านหลังนี้เป็นที่อาศัย เขามาจากต่างจังหวัดเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยในโตเกียว แต่การสอบปีที่ผ่านมาเขาประสบความล้มเหลว ต้องกลายเป็น ‘โรนิน’ เพราะสอบไม่ติด ดังนั้นตลอดปีมานี้เขาขะมักเขม้นทุ่มเทอ่านหนังสือ เพื่อแก้มือในการสอบเอนทรานซ์ครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึง

แต่การอ่านหนังสือของเขาแทบไม่มีความก้าวหน้า เพราะเพื่อนบ้านที่เช่าห้องอยู่ใน ‘บ้านพักอิกโกกุ’ ล้วนแล้วแต่เป็นคนแปลกประหลาดที่คอยรบกวนสมาธิของเขาอยู่ตลอดเวลา ทั้งอาเคมิสาวเซ็กซี่ผมแดงที่มักก่อกวนเขา ทั้งนายโยทสึยะบุรุษปริศนาที่ชอบเจาะผนังเข้ามาแอบขโมยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเขา หรือนางอิจิโนเสะเมรีขี้เมาที่ชอบชวนคนอื่นๆ มาตั้งวงดื่มเหล้ากันในห้องของโกได

ด้วยเหตุนี้โกไดจึงหมดความอดทน ขณะที่เขาเตรียมเก็บข้าวของย้ายออกไปอยู่ที่อื่น คนผู้หนึ่งก็ก้าวเดินเข้ามายัง ‘บ้านพักอิกโกกุ’

เกียวโกะเข้ามารับหน้าที่ผู้จัดการบ้านพักอิกโกกุ ซึ่งความจริงก็คือเป็นแม่บ้านดูแลความเป็นไปทุกอย่างในเรือนไม้กระดานหลังนี้ โกไดตกหลุมรักเกียวโกะทันทีในแรกพบ เขาจึงตัดสินใจเช่าห้องอยู่ที่ ‘บ้านพักอิกโกกุ’ ต่อไป เพื่อจะได้มีโอกาสชิดใกล้กับเกียวโกะ ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่รู้ เกี่ยวกับหญิงสาวผู้นี้

เกียวโกะมาพร้อมกับสุนัขสีขาวตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ที่เธอเรียกมันว่า ‘โซอิจิโร่’ 
ผู้เช่าห้องทุกคนล้วนประหลาดใจ เหตุใดสุนัขตัวนี้จึงมีชื่อเรียกเหมือนชื่อคน !

ต่อมาทุกคนจึงค่อยทราบ เกียวโกะมีความลับใหญ่หลวงเก็บไว้ในใจ แท้ที่จริงเธอแต่งงานแล้ว ความรักของเกียวโกะเดิมทีเต็มไปด้วยความสุขสดใส เธอพบรักกับหนุ่มนักศึกษาที่มาฝึกสอนในโรงเรียนของเธอ เธอแกล้งซ่อนร่มของตัวเองในวันฝนตก เพื่อขออาศัยร่มไปกับเขา ชีวิตดุจความฝัน เมื่อเธอเรียนจบชั้นมัธยมก็ได้แต่งงานกับเขาจริงๆ เขาผู้นี้มีชื่อว่า ‘โซอิจิโร่’ 

แต่โชคชะตาบันดาลให้โซอิจิโร่ต้องป่วยตายไปทั้งที่เพิ่งแต่งงานกับเกียวโกะได้ไม่กี่เดือน เกียวโกะโศกเศร้าสุดบรรยาย ผ่านวันเวลาแห่งความโหยไห้อาลัยอย่างแสนยากเย็น พ่อของสามีผู้ล่วงลับเป็นเจ้าของ ‘บ้านพักอิกโกกุ’ ดังนั้นเกียวโกะจึงขอมาทำงานเป็นแม่บ้านดูแลบ้านพักหลังนี้ เพื่อข้ามผ่านช่วงเวลาอันเจ็บปวดเหล่านั้น

โซอิจิโร่



ความจริงข้อหนึ่งที่โกไดตระหนักแน่แก่ใจก็คือ โซอิจิโร่ได้ทิ้งภาพทรงจำอันงดงามตราตรึงอยู่ในใจของเกียวโกะไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นโซอิจิโร่จะเป็นชายในดวงใจของเกียวโกะไปตลอดกาล เกียวโกะเรียกสุนัขที่เธอเลี้ยงว่า ‘โซอิจิโร่’ ก็เพื่อหวนรำลึกถึงช่วงเวลาในอดีตที่ดีงาม ระหว่างเธอและคนรักเก่าของเธอนั่นเอง

นี่คือความจริงซึ่งโกไดเองก็ยอมรับ แต่ในใจลึกๆ เขาเก็บไปนอนฝันร้ายเห็นภาพเกียวโกะกับโซอิจิโร่อยู่บ่อยๆ เช้าวันหนึ่งโกไดเห็นเกียวโกะกำลังนั่งเล่นกับเจ้าโซอิจิโร่ เขาพลั้งปากถามออกไปว่า “คุณจะแต่งงานกับเจ้าโซอิจิโร่ที่เป็นสุนัขได้อย่างไร?” ท้ายที่สุดเขาถูกเกียวโกะตบเข้าเต็มฝ่ามือ ต้องหอบแก้มแดงช้ำไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ซะกะโมโต้เพื่อนของโกไดพอฟังเรื่องนี้ก็ได้แต่บอกให้โกไดทำใจ

‘เพราะเธอมีภาพทรงจำของคนรักประทับลึกซึ้งในใจ ดุจกำแพงสูงใหญ่ที่ผู้คนอื่นใดก็ปีนป่ายเข้าไปไม่ถึง’

……………………………………………………………………………………


หนทางแสนมืดมน เพราะถนนไร้ฟืนไฟ
ไม่สิ... เพราะไม่มีผู้ใดลุกขึ้นจุดไฟต่างหาก

เกียวโกะและโกไดในห้องใต้หลังคา


ค่ำคืนหนึ่งไฟฟ้าดับลง เกียวโกะในฐานะแม่บ้านต้องขึ้นไปตรวจดูแผงวงจรไฟฟ้าบนห้องใต้หลังคา... โกไดถือไฟฉายติดตามขึ้นไปเป็นเพื่อน

บนนั้นพวกเขาได้พบเจอกับกลไกของหอนาฬิกาที่ใหญ่โตจนน่าทึ่ง นาฬิกาเรือนนี้หยุดเดินมานานแล้ว ซ้ำยังถูกทิ้งร้าง จึงเต็มไปด้วยหยากไย่และฝุ่นละอองเกรอะกรัง

หากนี่คือการหยุดเดินเพื่อถนอมรักษาช่วงเวลาแห่งความสุขที่สุดของชีวิตเอาไว้ ก็นับมาว่านาฬิกาตายเรือนนี้ได้ช่วยถนอมรักษาความทรงจำที่ดีงามให้แก่ผู้คนมานานปีแล้ว

น่าประหลาดที่คืนนั้นพอไฟฟ้ากลับมาสว่างอีกครั้ง โลกที่หยุดนิ่งบนห้องใต้หลังคาคล้ายมีการเคลื่อนไหวขึ้นอีกครา

นาฬิกาที่เก่าคร่ำคร่าเต็มไปด้วยสนิมเรือนนั้นเริ่มเดินแล้ว เข็มบอกเวลาค่อยๆ ขยับหมุนไปข้างหน้า แต่เหมือนกลไกบางอย่างทำงานผิดปกติอยู่บ้าง เสียงตีบอกเวลา จึงดังก้องกังวานใน ‘บ้านพักอิกโกกุ’ อยู่ตลอดทั้งคืน

ผู้คนที่หลับใหลต่างพากันลืมตาตื่นในค่ำคืนที่นาฬิกาโบราณกลับมาเดินบอกเวลาได้อีกครั้ง

นาฬิกาอาจมีวันหยุดเดิน แต่กาลเวลาหาได้เคยหยุดนิ่ง ความทรงจำไม่เปลี่ยนแปลง ชีวิตกลับเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอมา
ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ในทุกหน้ากระดาษของ 'หนังสือชีวิต' ล้วนมีเรื่องราวมากหลายรอเราอยู่ ขอให้พวกเราทุกคนพลิกไปเจอแต่สิ่งดีงาม...


โกได เอ๊ย... ไม่ใช่ 555555



คนนี้ต่างหาก...โกได




 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2558    
Last Update : 7 พฤษภาคม 2558 14:23:18 น.
Counter : 898 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

Varalbastra
Location :
จันทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




My spirit listens and my yearning eyes
Strain to discover things they may not see.

《Chin Hwa》





..................
Friends' blogs
[Add Varalbastra's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.