Group Blog
 
All blogs
 

กระชับผิวให้เต่งตึงด้วย ไหมละลาย





     หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องการ ร้อยทอง เพื่อทำให้ใบหน้าเรียวมาแล้ว แต่ ณ บัดนี้ เรามีนวัตกรรมล่าสุดเพื่อยกกระชับทุกส่วนสัดตั้งแต่ใบหน้าไปจนถึงลำตัวและ ต้นขาด้วยการใช้ ไหมละลาย ลองไปดูกันเลย






คืออะไร

     Thread Rejuvenation คือการยกกระชับและฟื้นฟูผิวหน้าด้วยไหมละลายชนิด PDO (Polydioxolane) ซึ่งเดิมที่ใช้ในการเย็บเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหรือเส้นเลือดในร่างกาย จากนั้น ร่างกายจะค่อยๆ กำจัดออกไปภายใน 6 เดือน และจะกระตุ้นเซลล์ที่สร้างเส้นใยคอลลาเจนให้สร้างคอลลาเจนมาพันรอบแนวเส้น ไหม ทำให้ผิวมีการดึงรั้ง ผิวจึงเต่งตึงกระชับ และยังช่วยกระตุ้นเมตาบอลิซึ่ม จึงช่วยทำให้เลือดไหลเวียนไปยังบริเวณดังกล่าวได้ดีขึ้น การใช้ไหมละลาย จึงเป็นการฟื้นฟูสภาพผิวพร้อมกับยกกระชับไปในตัว




เพื่ออะไร

     ยกกระชับบริเวณใบหน้า ลำคอ มือ หน้าท้อง ทรวงอก ต้นแขน ต้นขา สะโพก หรือบริเวณต่างๆ ที่เสี่ยงต่อเซลลูไลต์ ช่วยยกบั้นท้าย แก้ปัญหาคิ้วและหนังตาตก แก้ปัญหาคางสองชั้น มุมปากตก แก้มหย่อนคล้อย ข้อดีก็คือ ใช้เวลาพักฟื้นน้อย ไม่เจ็บมากนัก อยู่ได้นาน และเป็นการฟื้นฟูสภาพผิวด้วย




ทำอย่างไร

     หลังจากการฉีดยาชา แพทย์จะใช้ไหมละลายร้อยเข้ไปที่ระหว่างชั้นผิวหนังแท้กับชั้นใต้ผิวหนัง โดยจะไม่ลงลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ ขณะทำอาจรู้สึกเล็กน้อย เมื่อทำเสร็จจะรู้สึกตึงผิวหน้าและมีรอยแดงซ้ำตามแนวไหม




ผลลัพธ์

     จะเริ่มเห็นผลภายใน 1-2 เดือน แต่จะชัดเจนที่สุดเมื่อถึง 6 เดือน และอาจอยู่ได้นาน 1-3 ปี ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ เช่น การออกกำลังกาย อาหารการกิน การสูบบุหรี่ และการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ




ผลข้างเคียง

     ผลข้างเคียงไม่รุนแรงนัก อาจมีแผลหรือเลือดออกเล็กน้อย มีรอยช้ำบ้างขึ้นอยู่กับบุคคล ผิวจะแดงประมาณ 1-3 วัน และอาจบวม 1-2 สัปดาห์ ทั้งนี้ สามารถแต่งหน้าทับได้




ค่าใช้จ่าย

     ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1,500-2,000 บาทต่อเส้น โดยจำนวนเส้น อาจแตกต่างกันไปตามแต่บริเวณ เช่น การยกแก้มอาจใช้ไหม 10 เส้นขึ้นไป




ความแตกต่างกับ ร้อยทอง

     ขั้นตอนการทำอาจคล้ายกับการใช่ไหมประเภท Aptos ซึ่งมีลักษณะเหมือนฟันปลาแต่เป็นไหมไม่ละลาย จึงทำให้เห็นรอยฟกช้ำและไม่สามารถร้อยบริเวณลำตัวได้ ส่วนไหมทองอาจทำให้เกิดอาการแพ้ทองคำบริสุทธิ์ได้ และไม่เหมาะสำหรับคนไข้ที่ต้องการทำเลเซอร์หรือนวดหน้าด้วยคลื่นวิทยุ เพราะอาจทำให้ไหมทองดูดซับความร้อนและขาดได้





ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 22 กรกฎาคม 2554 16:56:28 น.
Counter : 676 Pageviews.  

การรู้จักและการดูแลเล็บให้มีสุขภาพดี





     คุณสาวๆ เคยลองสังเกตเล็บของคุณมั้ยค่ะ ว่าเล็บนั้นแข็งแรงหรือมีสุขภาพดีหรือไม่ มีสีผิดปกติ ขอบบิ่น ไม่เรียบ หรือผิวเล็บเป็นระลอกคลื่นหรือเปล่า ลักษณะเล็บที่ผิดปกติไป บางครั้งมันสามารถบอกความผิดปกติของโรคบางชนิดได้ ซึ่งถ้าคุณหมั่นดูแลรักษาเล็บและคอยสังเกตเล็บของคุณอยู่เสมอ คุณก็จะสามารถป้องกันไม่ให้โรคได้ทันท่วงที อีกทั้งยังช่วยทำให้แลดูสวยงามอีกด้วย






ลักษณะทางกายภาพของเล็บ





     เล็บจะประกอบด้วยชั้นโปรตีนที่ห่อหุ้มเล็บไว้ เรียกว่า Keratin ซึ่งจะมีอาณาเขตตั้งแต่บริเวณ Cuticle หรือบริเวณผิวหนังที่ยึดเล็บไว้ เป็นต้นไป เล็บจะมีการเจริญเติบโตและงอกยาวขึ้นบริเวณโคนเล็บ ในขณะที่เซลล์เก่าจะกลายเป็นแข็งและอัดแน่นมากยิ่งขึ้น และงอกไปที่ปลายเล็บ



     เล็บที่มีสุขภาพดี จะมีลักษณะผิวเรียบ ไม่มีร่องหรือขอบที่ผิว นอกจากนี้สีของเล็บก็จะเป็นสีเดียวกันสม่ำเสมอตลอดทั้งเล็บ ไม่มีดอกหรือจุดขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากการขาดสารอาหารหรือได้รับอันตรายบริเวณเล็บก็ได้ ลักษณะของเล็บที่ผิดปกติ สามารถบ่งบอกได้ถึงโรคบางชนิดได้ ต่อไปนี้เป็นลักษณะของเล็บที่ผิดปกติที่คุณควรจะรีบไปพบแพทย์



     1. เล็บมีสีเหลืองผิดปกติ
     2. มีการแยกตัวของเล็บกับเนื้อเล็บที่เรียกว่า Nail bed (Oncholysis)
     3. มีรอยบากขวางเล็บ (Beau’s lines)
     4. เล็บมีรอยบุ๋ม หรือโหว่
     5. เล็บมีสีซีดขาวเกินไป
     6. ผิวเล็บเป็นระลอกคลื่น





การบำรุงรักษาเล็บ

     1. อย่าใช้เล็บในทางที่ผิด เช่น การใช้เล็บแคะ แกะสิ่งของบางอย่างที่แข็งเกินไป เพราะอาจทำให้เล็บฉีกขาดได้
     2. อย่ากัดเล็บหรือดึงผิวหนังส่วน Cuticle ออก เพราะจะเป็นการทำลายเนื้อเยื่อฐานเล็บ (Nail bed) ได้ และที่สำคัญถ้าเกิดการฉีกขาดมาก จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราได้ (Paronychia)
     3. บำรุงเล็บให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากอาบน้ำ เพราะเป็นการป้องกันการเจริญของเชื้อโรคต่างๆได้ นอกจากนี้ควรสวมถุงมือหรือรองเท้าบู๊ท ในกรณีที่ต้องย่ำเท้าหรือสัมผัสน้ำเป็นระยะเวลานาน
     4. ตัดเล็บให้เหมาะสม ตัดแล้วรูปทรง อย่าตัดให้ลึกจนเกินไป ควรใช้กรรไกรตัดลบที่คม แนะนำให้ตัดเล็บหลังจากอาบน้ำ เพราะจะทำให้ตัดเล็บได้ง่ายขึ้นและปลอดภัยด้วย
     5. สวมใส่รองเท้าขนาดที่เหมาะสม รองเท้าที่คับจนเกินไป จนไปบีบเท้ารวมทั้งเล็บด้วย ซึ่งจะส่งผลต่อการงอกของเล็บได้
     6. ทาโลชั่นประเภท Hand Cream ที่บำรุงมือและเล็บด้วย โดยแนะนำให้ทาหลังจากตัดเล็บแล้ว
     7. คอยสังเกตปัญหาของเล็บ เพราะอาจจะเป็นสัญญาณเตือนของโรคบางชนิด ซึ่งควรจะรีบไปพบแพทย์






การบำรุงดูแลเล็บสำหรับผู้ที่ทาเล็บเป็นประจำ

     ถ้าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบเข้าร้านทำเล็บ หรือชอบทาสีสันบนเล็บเป็นประจำ เราขอแนะนำให้คุณใส่ใจกับเล็บมากกว่าปกติ เพราะการทาเล็บและล้างเล็บด้วยน้ำยาสารเคมีต่างๆ จะทำให้ Cuticle ของเล็บหลุดออกได้ และทำให้เกิดการติดเชื้อราหรือแบคทีเรียได้ ซึ่งสิ่งที่คุณสาวๆ ควรพึงระวังไว้ก็คือ ควรเลือกร้านทำเล็บที่สะอาด ใช้อุปกรณ์ที่ดีผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว

     ผลที่ตามมาได้ง่าย จากการทำเล็บด้วยน้ำยาเคมีนั้น ก็คือ ปัญหาเล็บแตกหรือฉีก ซึ่งสำหรับผู้ที่กำลังประสบดงกล่าว เราขอเสนอวิธีการป้องกันดังต่อไปนี้



     1. ควรตัดเล็บให้สั้นอยู่เสมอ โดยควรตัดให้ได้รูปทรง แนะนำให้ตัดหลังจากอาบน้ำ และเมื่อตัดเสร็จแล้วควรใช้ครีมทาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นตามไปด้วย
     2. ควรทาครีมทามือภายหลังจากที่มือเปียก เพราะผิวที่เปียกจะช่วยทำให้ครีมแทรกซึมเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น
     3. ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทาเล็บที่เสริมความแข็งแรงให้กับเล็บ หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของ Toluene sulfonamide หรือ Formaldehyde เพราะสารเคมีเหล่านี้จะก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ และถ้าเป็นไปได้ควรใช้สารที่เป็นธรรมชาติจะดีที่สุด





     4. ควรใช้ผลิตภัณฑ์พวก Nail Polish ซึ่งจะช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ที่เล็บได้ โดยควรจะล้าง Nail polish ออกและทาใหม่ทุกอาทิตย์
     5. หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาล้างเล็บที่มีส่วนประกอบของ Acetone เพราะจะทำให้เล็บแห้งได้ และไม่ควรใช้มากกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์
     6. ควรรับประทานอาหารเสริมพวก Biotin แนะนำให้รับประมาณในปริมาณ 2.5 มิลลิกรัมเป็นประจำทุกวัน เพราะ Biotin จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเล็บได้
     7. การรับประทานที่ครบถ้วนก็มีผลต่อสุขภาพเล็บเช่นกัน ควรรับประทานผักผลไม้เป็นประจำอยู่เสมอ รวมทั้ง นม น้ำมันมะกอก ถั่ว เนยแข็ง ผักขม และปลา ด้วย




Columnist by Peepop
credit
Original content
credit





ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 20 กรกฎาคม 2554 15:54:58 น.
Counter : 475 Pageviews.  

วิตามิน-อาหารเสริม' ช่วย 'ผิว' ได้จริงไหม?





     หลายคนเชื่อว่า สุขภาพที่ดีต้องดีมาจากภายในสู่ภายนอก เฉกเช่นเดียวกับผิวพรรณ รั้นแต่จะประทินเพียงภายนอกด้วยครีม หรือวิธีดูแลสารพัดอย่าง ก็คงดูสวยแบบผิวเผิน ไม่สวยเด่นดุจมี 'ออร่า' ส่องประกายออกมาจากภายใน ที่จะสะกดสายตาคนอื่นๆ ให้ต้องแอบมองชนิดเหลียวหลัง เพราะชื่นชมในผิวพรรณที่สวยสมบูรณ์นั่นเอง

    ผิวพรรณอันสวยสมบูรณ์ที่ดูดีจากภายในสู่ภายนอกนั้น เกิดจากการเติมของดีๆ ให้กับผิว ด้วยการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ อย่างวิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งก็จะมีอยู่ในผักและผลไม้นานาชนิดๆ เช่น มะเขือเทศ ฟักทอง แครอต ส้ม กล้วย มะละกอ สับปะรด ฝรั่ง เป็นต้น







     แต่ด้วยกิจวัตรประจำวันที่รัดตัวเสียจนไม่ค่อยจะมีเวลาสรรหาอาหารที่มี ประโยชน์กับผิวมารับประทาน จำต้องพึ่งพาอาหารจานด่วนที่เน้นแป้งกับเนื้อสัตว์ ทำให้ขาดสารอาหารทั้งที่สำคัญต่อร่างกายโดยรวมและเฉพาะที่ผิวต้องการ




     เมื่อเป็นเช่นนั้น คนรักผิวจึงหันไปหาตัวช่วย อย่าง 'วิตามิน-อาหารเสริมเพื่อผิวสวย' ซึ่งมีคนอยู่ไม่น้อยที่ขาดความเข้าใจในเรื่องการรับประทานวิตามินและอาหาร เสริม โดยเฉพาะในแง่ของประโยชน์ ปริมาณ รับประทานแล้วให้ผลที่ดีกับผิวพรรณได้มากน้อยเพียงใด คุ้มค่ากับการลงทุนจริงหรือ?





     เพื่อไขข้อสงสัย มาเริ่มรับรู้เรื่อง 'วิตามิน' กันก่อน




     วิตามิน คือ สารอินทรีย์ที่จำเป็นต่อร่างกายในด้านการเจริญเติบโต ช่วยให้สุขภาพดี โดยร่างกายต้องการในปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่อย่าให้ขาดหรือพร่องไป มิเช่นนั้นสุขภาพจะอ่อนแอ




     วิตามิน มีด้วยกัน 2 ชนิด ประกอบด้วย วิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ A D E K และวิตามินที่ละลายในน้ำ คือ B และ C ที่ มีความจำเป็นต่อความสวยความงาม ผิวพรรณ เล็บ และเส้นผม คือ 'วิตามิน A' ช่วยบำรุงเส้นผมและเล็บ 'วิตามิน B2' ให้ผิวนุ่มชุ่มชื่น ไม่แตก หยาบกระด้าง 'วิตามิน B3' คอยบำรุงผิวพรรณ 'วิตามิน C' ต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างคอลาเจนใต้ชั้นผิว บำรุงผิว-กระดูก และ 'วิตามิน D' คือวิตามินที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน อีกทั้ง 'วิตามิน E' ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น ลดการอักเสบ และซ่อมแซมผิวหนัง



     ผู้ที่ร่างกายไม่ขาดสารอาหารที่ดีกับผิว โดยเฉพาะวิตามินที่กล่าวไปนั้น ผิวพรรณจะมีความยืดหยุ่นเป็นอย่างดี ริ้วรอยเหี่ยวย่นเกิดขึ้นช้า หากมีการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อหรือเป็นแผลก็จะหายเร็ว

 



     ดังนั้น หากต้องการกินวิตามินเสริมเพื่อผิวสวยควรคำนึงถึงปริมาณ อย่าให้เกินไปกว่าที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ตามสัดส่วนต่อไปนี้...





     วิตามิน A ร่างกายต้องการ 800 ไมโครมกรัม หรือ 3 มิลลิกรัม ต่อวัน
     วิตามิน B2 ร่างกายต้องการ 1.7 มิลลิกรัม ต่อวัน
     วิตามิน B3 ร่างกายต้องการ 14-16 มิลลิกรัม ต่อวัน
     วิตามิน C ร่างกายต้องการ 30 มิลลิกรัม ต่อวัน
     วิตามิน D ร่างกายต้องการ 5 ไมโครมกรัม ต่อวัน
     วิตามิน E ร่างกายต้องการ 10 มิลลิกรัม ต่อวัน




     นอกจากวิตามินแล้ว ยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่มีส่วนให้ผิวสวยสมบูรณ์ โดยในกลุ่มของ 'แร่ธาตุ' หรือเกลือแร่ ก็เป็นอีกส่วนที่แม้ร่างกายจะต้องการในปริมาณน้อย แต่ก็ขาดไม่ได้เช่นกัน เนื่องจากแร่ธาตุบางชนิดเป็นส่วนประกอบของอวัยวะและกล้ามเนื้อบางอย่าง เช่น กระดูก ฟัน เลือด บางชนิดเป็นส่วนของสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโตในร่างกาย เช่น ฮอร์โมน เอนไซม์ เป็นต้น รวมถึงช่วยในการควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายให้ทำหน้าที่ปกติ เช่น ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท การแข็งตัวของเลือด ควบคุมสมดุลของน้ำในการไหลเวียนของเหลวในร่างกาย




     แร่ธาตุที่มีประโยชน์กับผิว ก็คือ 'ทองแดง' ช่วยในการสร้างคอลลาเจน ร่างกายต้องการเพียงวันละ 2 มิลลลิกรัม 'สังกะสี' ที่ช่วยในการซ่อมแซมคอลลาเจนที่สึกหรอ พร้อมทั้งช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ และรักษาสิว ต่อวันควรได้รับสังกะสี 15 มิลลิกรัม นอกจากนี้ยังมี 'ซิลิเนียม' ต้องการ 70 ไมโครกรัมต่อวัน




     เหตุที่ร่างกายไม่ควรขาดแร่ธาตุเพื่อการดูแลผิวนั้น ก็เพราะแร่ธาตุพวกนี้จะประสานพลังกับวิตามิน ช่วยกันต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ โดยแหล่งอาหารที่มีแร่ธาตุสำคัญๆ ต่อผิว หาได้จาก เนื้อไก่ ปลา ไข่ บร็อคโคลี เห็ด นม โยเกิร์ต จมูกข้าว เมล็ดธัญพืช ถั่ว และเต้าหู้




     นอกจากนี้ยังมี 'Q 10' จัดเป็น Co-Enzyme ที่สำคัญตัวหนึ่งในการต้านอนุมูลอิสระจากรังสี UV สาเหตุแห่งความเสื่อมของผิว ถ้ามี Q10 ต่ำจะแก่เร็ว และเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับความชรา อันที่จริงร่างกายของคนเราสร้าง Q10 ได้เอง แต่เมื่ออายุมากขึ้นหรือเครียด ร่างกายก็จะสร้าง Q10 น้อยลง อาหารที่อุดมไปด้วย Q10 หาได้จาก เนื้อวัว ตับ หัวใจ ปลาแซลม่อน จมูกข้าวสาลี ไข่ ถั่วลิสง และน้ำมันถั่วเหลือง ร่างกายต้องการ 30-60 มิลลิกรัมต่อวัน




     ส่วน 'กรดอัลฟาไลโปอิก' เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกตัวที่ดีต่อผิว เพราะช่วยสร้างและซ่อมคอลลาเจนใต้ผิว ซึ่งรางกายสร้างได้เองตามธรรมชาติ แต่กรณีที่เป็นการเสริมอาหารเข้าไป ร่างกายต้องการไม่เกิน 50-100 มิลลิกรัมต่อวัน




     ทราบแล้วว่า สารอาหารใดให้คุณประโยชน์กับผิว แล้วรู้หรือไม่ว่า หากได้รับสารอาหารเหล่านั้นมากเกินความต้องการของร่างกาย ใช่ว่าจะช่วยผิวยิ่งสวยสมบูรณ์ขึ้น แต่กลับนำผลเสียมาสู่ผิวและร่างกาย




     โทษของการได้รับวิตามิน A เกินขนาน คือ ผิวหนังเป็นผื่นแดงร้อน ลอกเป็นแผ่น ร้ายไปกว่านั้น กรณีที่เกิดในแม่กำลังตั้งครรภ์จะทำให้ทารกมีความพิการตั้งแต่กำเนิด ในคนทั่วไปยังพบอาการปวดศีรษะ กล้ามเนื้อ และข้อต่อ ผมร่วง ตับเสื่อม เยื่อบุอักเสบ กระดูกเปราะหักง่าย






     ส่วนของวิตามิน B2 ถ้าได้รับมากเกินต้องการกลับยังไม่พบว่าเป็นผลเสียต่อร่างกาย ไม่เหมือนกับ B3 ทำให้เกิดผื่นแดง ลมพิษ ระบบย่อยอาหารปั่นป่วน




     ขณะที่โทษของวิตามิน C สามารถทำให้มีอาการท้องเสีย ปวดท้อง ท้องอืด มีโอกาสเป็นนิ่วในไต

     กรณีรับวิตามิน D เกินจะรู้สึกเบื่ออาหาร ทางเดินอาหารปั่นป่วน ปวดศีรษะ ปวดข้อ ปัสสาวะมาก แคลเซียมในเลือดสูง แคลเซียมเกาะตามอวัยวะต่างๆ ทำให้อวัยวะทำงานผิดปกติ




     สำหรับผลของการได้รับวิตามิน E เกินความต้องการ จะทำให้ปวดศีรษะ เมื่อยล้า คลื่นไส้ เห็นภาพซ้อน กล้ามเนื้ออ่อนแรง ระบบย่อยอาหารปั่นป่วน เลือดแข็งตัวช้า




     ในหมวดของแร่ธาตุนั้น หากได้รับ 'ซิลิเนียม' มากไปอาจก่อมะเร็งร้าย ส่วนธาตุ 'สังกะสี' ถ้ารับปริมาณมากเกินเหมาะจะเป็นตัวการขัดขวางการดูดซึมทองแดง และ 'ทองแดง' หากได้รับมากอาจไปกระตุ้นไมเกรน อาเจียน ท้องเสีย กระดูพรุน




     อย่างไรก็ตาม อาหารเสริมเพื่อผิวส่วนใหญ่มักมีส่วนผสมของ 'อีฟนิ่งพริมโรส' เป็นน้ำมันซึ่งสกัดจากดอกไม้ชนิดหนึ่งชื่อ Oenathera biennis เป็นพันธุ์ไม้พุ่มเล็กๆ มีดอกสีเหลือง ขึ้นอยู่ในแถบอบอุ่นและหนาวของทวีปอเมริกาเหนือตอนบน ให้กรดไขมันที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย ในส่วนของผิว มีประสิทธิภาพแก้โรคผิวหนังอักเสบ และบำรุงผิวพรรณให้สวยงาม




     อีกตัวที่นิยมนำมารวมอยู่ในอาหารเสริมเพื่อผิว คือ น้ำมันที่สกัดได้จากเมล็ดของต้นปอป่าน หรือ Flaxseed oil ซึ่งมีสรรพคุณลดคอเลสเตอรอล ควบคุมความดันโลหิต ป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจ ลดอาการปวดอักเสบตามข้อ ลดความผิดปกติวัยหมดประจำเดือน ในส่วนของผิว ช่วยลดการอักเสบ และบำรุงผมกับเล็บ




     ข้อควรรู้ ก่อนการกินอาหารเสริมที่มีอีฟนิ่งพริมโรส และ Flaxseed oil คือ สารอาหารทั้งสองชนิดนี้มีลักษณะคล้ายกับฮอร์โมนเพศหญิง จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนกิน โดยเฉพาะเด็กและสตรีมีครรภ์ รวมถึงผู้ที่มีเป็นโรคมะเร็ง ลดชัก ผู้ที่ต้องเข้าผ่าตัดหรือเพิ่งผ่านการผ่าตัดมาเพียง 2 วัน





     ส่วนหลักการเลือกอาหารเสริมเพื่อผิว ทั้งที่เป็นวิตามินและสารอาหารอื่นๆ อาจเป็นชนิดรวมหรือแยกตัวเดี่ยว ไม่จำเป็นต้องเลือกเฉพาะที่มีราคาสูงเป็นปัจจัยหลัก แม้บางครั้งจะเป็นการการันตีให้มั่นใจถึงการผลิตและความปลอดภัย ทว่าสิ่งที่ต้องคำนึงยิ่งกว่า คือ การรู้ตัวเองว่า กำลังขาดสารอาหารอะไร โดยทราบได้จากการปรึกษาแพทย์และตรวจเลือด เพื่อวิเคราะห์สารอาหารที่ขาด หนำซ้ำสารอาหารที่มีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติ ยังมีประสิทธิภาพและปลอดภัยกว่าสารอาหารสังเคราะห์เสียอีก ฉะนั้น จึงควรเลือกอาหารเสริมที่ระบุว่า สกัดจากธรรมชาติมากินมากกว่าแบบสังเคราะห์นั่นเอง




     แม้จะมีอาหารเสริมเติมสวยให้ผิวขายกันเกลื่อน สนนราคาก็มีหลายระดับ แต่ก็ใช่ว่าคนกินจะฝากความหวังไว้ที่สารอาหารในกระปุกพวกนั้นอย่างเดียว โดยต้องไม่ละเลยการกินอาหารให้ครบทุกหมู่ รวมทั้งการออกกำลังกาย การพักผ่อนที่เพียงพอ หลีกเลี่ยงมลภาวะและแสงแดดแรงๆ ตัวทำลายผิว.




Original content
credit




ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 14 กรกฎาคม 2554 15:52:46 น.
Counter : 618 Pageviews.  

DIY Cosmetics : Homemade Nail Spa





     ปัจจุบันการทำสปาเล็บเองที่บ้านหรือ Homemade Nail Spa กำลังเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น คนเป็นจำนวนมากเริ่มที่จะลองหาส่วนประกอบธรรมชาติที่หาได้ง่ายๆตามห้องครัว หรือสวนมาใช้บำรุงเล็บ การใช้สารธรรมชาติจะช่วยฟื้นฟูและดูแลเล็บของเราให้แลดูมีสุขภาพมากกว่าการ ใช้สารเคมีที่วางจำหน่ายตามท้องตลาด





     สำหรับอาทิตย์นี้ Doctorskinhouse ขอเสนอวิธีการทำ สปาเล็บแบบง่าย ซึ่งมีทั้งหมด 2 ขั้นตอน ได้แก่ Olive Oil Nail Soak หรือการแช่เล็บด้วยน้ำมันมะกอก จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเล็บและชั้น Cuticle ของเล็บได้ ส่วนอีกขั้นตอนหนึ่งก็คือ Nail Strengthening Soak หรือการแช่เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับเล็บ มาดูวิธีการทำในแต่ละขั้นตอนกันดีกว่าค่ะ




ขั้นตอนที่ 1 Olive Oil Nail Soak




     น้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันธรรมชาติที่มีความสามารถในการเพิ่มความชุ่มชื้น ให้กับผิว ดังนั้นเราจึงเห็นส่วนประกอบของน้ำมันมะกอกอยู่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเป็น จำนวนมาก สำหรับการบำรุงเล็บนั้น น้ำมันมะกอกจะช่วยลดการทำลายและความเจ็บปวดจากโรคเล็บต่างๆได้ มาดูขั้นตอนการใช้กันดีกว่าค่ะ




วิธีการนำไปใช้

     1. อุ่นน้ำมันมะกอกปริมาณ 4-5 ช้อนโต๊ะในถ้วยที่ทนความร้อน ระวังอย่าให้ร้อนจนเกินไปนะคะ





     2. แช่เล็บในน้ำมันมะกอก ทิ้งไว้ประมาณ 4-5 นาที
     3. เมื่อทิ้งเวลาที่กำหนด เช็ดมือด้วยผ้า เราจะไม่ล้างออกนะคะ เพราะต้องการให้ความชุ่มชื้นจากน้ำมันมะกอกยังคงอยู่ จะได้บำรุงเล็บและ Cuticle ได้สมบูรณ์
     4. ใช้ผ้าคลุมมือไว้ หรือไม่ก็ใส่ถุงมือ ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงหรือจะทิ้งไว้ข้ามคืนก็ได้ค่ะ

     ผ่านไปสำหรับการแช่เล็บด้วยน้ำมันมะกอก ซึ่งจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเล็บได้ และเพื่อให้เล็บของเรามีความแข็งแรงเพิ่มยิ่งขึ้น เราจึงเสนออีกสูตรหนึ่งก็คือ Nail Strengthening Soak มาดูวิธีการทำกันดีกว่าค่ะ




ขั้นตอนที่ 2 Nail Strengthening Soak



     สำหรับสูตรนี้จะมีการใช้ส่วนประกอบของน้ำผึ้ง ไข่แดง และนม ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับเล็บของเรา



DIY Cosmetics : Homemade Nail Spa



1. น้ำผึ้ง (Honey) 1 ช้อนโต๊ะ
     มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบรรเทาอาการอักเสบและป้องกันเล็บถูกทำลาย



DIY Cosmetics : Homemade Nail Spa



2. ไข่แดง (Egg yolk) 2 ฟอง
     มีส่วนประกอบของโปรตีนจากไข่แดง ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับเล็บ



DIY Cosmetics : Homemade Nail Spa



3. น้ำนม (Milk) ¼ ถ้วยตวง
     มีส่วนประกอบของแคลเซียม ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับเล็บและ cuticle เช่นกัน ป้องกันเล็บถูกทำลาย




วิธีการนำไปใช้

     1. ผสมส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันในชาม
     2. จากนั้นแช่เล็บในชาม ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น




ข้อควรระวัง

     ระมัดระวังในผู้ที่มีอาการแพ้ส่วนประกอบในสูตรดังกล่าว และไม่ควรใช้กับบริเวณที่มีบาดแผล



ราคา ราคาวัตถุดิบไม่เกิน 100 บาท
ระยะเวลา ไม่เกิน 15 นาที



     เล็บของเรามีความสำคัญไม่แพ้ไปกว่าอวัยวะอื่นๆภายในร่างกาย โดยทำหน้าที่ป้องกัน อันตรายที่จะเกิดต่อนิ้วส่วนปลาย รับความรู้สึก ทำให้นิ้วมือสามารถหยิบจับสิ่งของได้ดี โดยเฉพาะสิ่งของที่มีขนาดเล็ก เป็นต้น ดังนั้นยิ่งเราดูแลเล็บของเรามากเท่าไหร่ เล็บของเราก็จะสามารถทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์และแถมความสวยงามอีกด้วย

 



Columnist by Peepop
credit
Original content
credit




ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 13 กรกฎาคม 2554 13:25:58 น.
Counter : 515 Pageviews.  

ตาคมเฉี่ยวสวยด้วยลุคแคทอาย





     เทคนิคการแต่งหน้าปัจจุบันนี้ทำให้สาวๆ สามารถครีเอทลุคเก๋ๆ ให้กับตัวเองได้ไม่ซ้ำ และหากวันไหนอยากจะมีลุคเปรี้ยวปนเซ็กซี่เล็กๆ ดวงตาเฉี่ยวๆ คมกริบแบบดวงตาของน้องเหมียว หรือ "แคทอาย" (Cat Eye) ก็ เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ให้สาวๆ มีดวงตาคมสวยโฉบเฉี่ยวไม่แพ้ใคร ถ้าอย่างนั้นลองไปดูกันดีกว่าว่าเราจะกรีดตาสวยๆ ในลุคแคทอายได้อย่างไร






1. เลือกใช้ประเภทอายไลน์เนอร์ให้เหมาะสม

     ก่อนจะลงมือกรีดตา สาวๆ ต้องเลือกใช้อายไลน์เนอร์ให้เหมาะสมเสียก่อน สำหรับลุคแคทอาย การใช้อายไลน์เนอร์สูตรน้ำดูจะให้ผลที่น่าพอใจมากที่สุด ปลายพู่กันต้องไม่นิ่มหรือแข็งเกินไปซึ่งจะทำให้สามารถบังคับการเขียนให้ เป็นอย่างใจ ทั้งขนพู่กันสั้นจะยิ่งทำให้ควบคุมการลากเส้นได้ง่าย และหากเป็นพู่กันหัวตัดก็จะให้เส้นที่เรียบคมยิ่งขึ้น หรือหากคุณถนัดจะใช้อายไลน์เนอร์แบบครีมหรือเจลก็ไม่ว่ากันค่ะ แต่ไม่แนะนำให้ใช้อายไลน์เนอร์แบบดินสอโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้เส้นที่ได้ไม่สวยคมสมกับลุค Cat Eye นอกจากนี้ยังแนะนำให้ทาอายชาโดว์หลังกรีดตาเพื่อป้องกันไม่ให้สีแต่งแต้มไว้ แล้วเลอะเทอะระหว่างกรีดตาค่ะ




2. เตรียมกระจกแต่งหน้าให้พร้อม

     เพื่อให้กรีดตาได้สะดวกด้วยมือทั้งสองข้าง หลีกเลี่ยงการใช้กระจกแบบมือถือที่ทำให้การแต่งหน้าไม่สะดวก ให้เลือกใช้กระจกที่วางบนโต๊ะได้ หรือกระจกบานใหญ่ ยิ่งมองเห็นได้ใกล้เท่าไหร่ยิ่งดี เพราะจะทำให้เก็บรายละเอียดได้สวยงาม หากมีกระจกที่ปรับองศาและส่องขยายเพื่อแต่งหน้าได้ก็ยิ่งดีค่ะ




3. ลงมือ

     คุณอาจหลับตาหรือปรือตาเล็กน้อยตามถนัดขณะลงมือกรีดตา

     ขั้นแรก เริ่มจากลากพู่กันจากบริเวณหางตาเพื่อกำหนดความยาวของเส้นที่คุณต้องการลาก
     ขั้นที่สอง ลากเส้นจากหัวตามาบรรจบ โดยพยายามลากให้ใกล้แนวขนตามากที่สุด เมื่อลากมาถึงหางตา ตวัดปลายพู่กันให้เส้นเฉียงขึ้นเพื่อสร้างลุคแคทอาย คุณสามารถกำหนดได้เองว่าต้องการให้เส้นเฉียงขึ้นหรือตวัดไปยาวเท่าไร จุดสำคัญคือกรีดตาทั้งสองข้างให้เท่ากัน
     ขั้นที่สาม ลากเส้นซ้ำตามแนวเดิมที่ทำไว้แล้ว โดยคราวนี้คุณสามารถเพิ่มความหนาและความคมเข้มตามต้องการ ลากซ้ำได้เรื่อยจนพอใจ



4. ตรวจเช็คความเรียบร้อย


     สำรวจความเรียบร้อยหลังการกรีดตา หากมีไลน์เนอร์บางส่วนเลอะออกมา ให้ใช้คอตตอนบัดชื้นค่อยๆ เช็ดออก ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้แต่งตา สามารถลงมือได้ในขั้นตอนนี้เลย โดยการกรีดตาลุคแคทอาย เหมาะกับการทาอายแชโดว์ทุกเฉดสี แต่ลุคที่ดูคลาสสิคคือสีแนวเอิร์ธโทน แล้วจึงปัดมาสคาร่าให้ขนตาดูหนาเป็นแพ เสร็จแล้วยืนถอยห่างจากกระจกเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยโดยรวมอีกครั้ง

 



     เท่านี้คุณก็จะได้ตาสวยคมโฉบเฉี่ยวในลุคแคทอายเก๋ๆ ออกไปสวยกับเพื่อนๆ แล้วค่ะ

 











ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 11 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 11 กรกฎาคม 2554 13:06:25 น.
Counter : 683 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

YangJing
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







Friends' blogs
[Add YangJing's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.