Group Blog
 
All blogs
 

รับสมัครพนักงานขายครีมนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ด่วน

รับสมัครพนักงานขายครีมนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น  ด่วน

รับสมัครพนักงานขายครีมนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ด่วน สนใจติดต่อที่ //www.doctorskinhouse.com หรือ โทร.086-547-0327

     บริษัทครีมนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น มีต้องการรับสมัคร ผู้แทนขายจำนวนมาก โดยสามารถขายและแนะนำยาให้แพทย์ในรพ. หรือแพทย์ในคลินิก ซึ่งจะขายส่งเป็นกิโล หรือสามารถขายปลีกเป็นขวดให้ลูกค้าทั่วไปที่สนใจในผลิตภัณฑ์
     โดยผู้สนใจเป็นตัวแทนขาย จะสามารถทำงานวันใดก็ได้ จะไม่มีเงินเดือน แต่มีค่าคอมมิสชั้นที่สูง ตั้งแต่ 10-50% เป็นขั้นบันไดตามยอดขาย (สามารถทำงานประจำหลักอื่นของตัวเองได้) สรุปยอดทุกสิ้นเดือน
     โดยเฉลี่ยแล้ว จะได้รายได้กันประมาณ 20000-30000 บาทต่อเดือน ผู้สนใจสามารถเข้ามานัดวันเวลาอบรมผลิตภัณฑ์ รับเอกสาร และสนใจทดลองผลิตภัณฑ์ได้ที่ 086-5470327
     ครีมและผลิตภัณฑ์ทุกตัว ผ่านอย.และ FDA approved และมีงานวิจัยตีพิมพ์ถึงผลที่ได้รับหลังใช้ผลิตภัณฑ์ชัดเจน ปลอดภัยขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีสารก่อภูมิแพ้ ทดสอบโดยแพทย์ผิวหนังแล้ว
ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 3 กรกฎาคม 2555 21:44:01 น.
Counter : 644 Pageviews.  

รักษาสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว

รักษาสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว

     อย่าลืมถามตัวเองว่าในทุกวันนี้ คุณกำลังทุ่มเทให้งานเพียงอย่างเดียวจนไม่คิดถึงชีวิตส่วนตัวหรือไม่ ซึ่งคุณควรตระหนักถึงการรักษาสมดุลให้ชีวิตระหว่างงานกับเรื่องส่วนตัวก่อน ที่จะสายเกินแก้นะ

     อย่าปล่อยให้งานเข้ามาครอบครองเนื้อที่ในชีวิตคุณกว่า 80 % เลย เพราะมันอาจจะทำให้ชีวิตส่วนตัวคุณสั่นคลอนได้

จัดตารางงานกับครอบครัว

     คุณควรจัดสรรเวลาให้คุณได้อยู่กับครอบครัวบ้าง อย่าลืมว่าคนที่คุณรักนั้นต้องการให้คุณดูแลเอาใจใส่ และคอยรับฟังเมื่อเขามีปัญหารวมทั้งทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน อย่ามัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานจนลืมเวลากลับบ้านล่ะ

วางแผน แต่รู้จักยืดหยุ่น

     เป็นเรื่องดีที่คุณจะวางแผนการทำงานในแต่ละวัน ร่วมถึงสิ่งอื่นๆ ที่คุณตั้งใจจะทำ แต่หากมีเหตุจำเป็นให้คุณต้องปรับเปลี่ยนแผนการที่วางไว้ เผื่อทำธุระให้ที่บ้านหรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ คุณก็ควรที่จะยอมรับว่าแผนการทุกอย่างย่อมมีเปลี่ยนแปลงได้ และทำในสิ่งที่คุณจำเป็นต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อน

พักผ่อนซะบ้าง

     อาจเริ่มจากการออกจากที่ทำงานเร็วๆตามเวลาเลิกงานสักหนึ่งวันต่อ สัปดาห์ จากที่อยู่ยาวหลังเลิกงานแทบทุกวัน และเพื่อไม่ให้เคร่งเครียดกับการทำงานมากเกินไปควรหาเวลาออกกำลังกายบ้าง
ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 20 มีนาคม 2555    
Last Update : 20 มีนาคม 2555 23:14:02 น.
Counter : 420 Pageviews.  

รู้ไว้ใช่ว่า 8 โรคร้ายของนักศึกษา

รู้ไว้ใช่ว่า 8 โรคร้ายของนักศึกษา


 


เพื่อนๆ บางคนอาจจะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงของ 8 โรคร้ายนี้ที่จะเป็นตัวการทำให้เรียนไม่จบได้ ลองอ่านดู จะได้รู้วิธีป้องกันรักษากันค่ะ




โรคที่หนึ่ง นอนตื่นสาย

     อาการ เข้าห้องเรียนสายประจำ หรือไม่เข้าเลย
     วิธีป้องกันรักษา เข้านอนให้เร็วกว่าเดิม เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนเพียงพอ ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ในที่ที่ต้องเดินไปปิด ห้ามเอาไว้ใกล้เตียง อย่าคุยกับเพื่อนจนดึก เพราะโรคนี้สามารถติดต่อทางการพูดคุยจนลืมเวลานอน




โรคที่สอง ง่วงนอนในห้องเรียน

     อาการ เหม่อลอย หรือแอบหลับในห้องเรียน (เป็นประจำ) มักพบในรายวิชาที่เรียน 8 โมงเช้าหรือหลังอาหารกลางวัน
     วิธีป้องกันรักษา สาเหตุมีหลายประการ เช่น นอนไม่พอ วิธีแก้ไข นอนให้พอซะทุกอย่างจะดีเอง ฟังอาจารย์พูดแล้วง่วง วิธีแก้ไข ต้องคิดตามและพยายามจดจะทำให้ไม่ง่วงอีกต่อไป แถมเข้าใจมากขึ้นอีกต่างหาก ถ้ายังง่วงอยู่ให้เพื่อนข้างๆ หยิกแรงๆ จะได้ตื่น




โรคที่สาม ผีดิบดูดเลือด

     อาการ มักออกอาการช่วงใกล้สอบ ขอบตาจะเขียวคล้ำ มองแบบไร้จุดมุ่งหมาย เหม่อลอยเหมือนจะเดินทะลุกำแพงได้
     วิธีป้องกันรักษา ต้องจัดตารางเวลาให้ดี อ่านหนังสือและทบทวนทุกวัน ทำ short note เวลาอ่านหนังสือ เพื่อจะได้อ่านเพียงแค่ไม่กี่แผ่นก่อนเข้าห้องสอบ




โรคที่สี่ ไม่สบายช่วงใกล้สอบ

     อาการ ปวดหัวตัวร้อน ปวดท้อง เป็นหวัด
     วิธีป้องกันรักษา โดยมากสาเหตุมาจากความเครียด วิธีแก้ไขพยายามอย่าเครียด ให้ออกกำลังให้สม่ำเสมอ อย่ากดดันตัวเองเกินไปในการเรียน พยายามทำให้ดีที่สุด




โรคที่ห้า //www./h4>     อาการ ไม่ใช่อาการที่ติด internet จนไม่เป็นอันทำอะไร แต่เป็นอาการที่ลงวิชาเดิมซ้ำแล้ว ซ้ำอีกเป็นจำนวน 3 ครั้งและทุกครั้งก็ขอถอนรายวิชาก่อนที่จะสอบปลายภาค บางคนอาการหนักหน่อยก็จะได้ Women //www.(WWWW) มักพบในกลุ่มนักศึกษาที่ลงเรียน Calculus หรือวิชาคำนวณอื่นๆ
     วิธีป้องกันรักษา ทำแบบฝึกหัดอย่างสม่ำเสมอ เพราะเป็นวิชาคำนวณ ต่อให้เรียนหนักอย่างไรแต่ไม่ฝึกทำแบบฝึกหัดก็คงจะผ่านวิชานี้ลำบาก และอย่าท้อ หรือมีอคติกับวิชาก่อนที่จะได้เรียน





โรคที่หก Pro ต่ำ

     อาการ จะพบโรคนี้ประมาณเทอมสามเป็นต้นไปของนักศึกษาปี 1 และทุกเทอมของนักศึกษาปีอื่นๆ อาการคือ สำหรับนักศึกษาปี 1 GPAX. ของทั้งสามเทอมต่ำกว่า 1.80 หรือสำหรับนักศึกษาปีอื่นๆ คือเป็นเทอมแรกที่มี GPAX. ต่ำกว่า 1.80
     วิธีป้องกันรักษา ถ้าติดโรคนี้แล้วต้องรักษาโดยการวางแผนการลงทะเบียนใหม่ เลือกลงวิชาที่ถนัดและต้องตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องได้ A ไม่ใช่ขอแค่ผ่าน ถ้ายังไม่ติดโรคนี้วิธีป้องกันคือ ตั้งใจเรียน และต้องตั้งเป้าหมายไว้ว่า A เท่านั้นที่เราต้องการเพราะถ้าพลาดได้ B, C ก็ยังไม่เลวร้าย แต่ถ้าคิดแค่ว่าขอแค่ผ่าน (ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดว่าแค่ผ่านคือ ไม่ F เป็นการเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงนะคะ) ขอแค่ผ่าน คือ ต้องได้อย่างต่ำ C ทุกวิชา เพราะนั้นคือ GPAX. = 2.00




โรคที่เจ็ด Pro สูง

     อาการ คล้ายๆ โรค Pro ต่ำ แต่ดีกว่าหน่อยตรงที่ GPAX. ต่ำกว่า 2.00 แต่มากว่า 1.80
     วิธีป้องกันรักษา เช่นเดียวกับโรค Pro ต่ำ




โรคที่แปด รีไทร์

     อาการ พบโรคนี้ได้ทุกเทอม อาการคือ GPAX. ต่ำกว่า 1.00 (สำหรับนักศึกษาปี 1 ในเทอมที่ 1 และ 2) 1.50 (สำหรับนักศึกษาปี 1 ในเทอมที่ 3) 1.80 แต่มากกว่า 1.50 สองภาคเรียนต่อเนื่องกัน (สำหรับนักศึกษาทุกชั้นปี) 2.00 สี่ภาคเรียนต่อเนื่องกัน (สำหรับนักศึกษาทุกชั้นปี)
     วิธีป้องกันรักษา วิธีป้องกันเช่นเดียวกับโรค Pro ต่ำ วิธีรักษาเอนท์ใหม่เท่านั้น!!!!




ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 07 มีนาคม 2555    
Last Update : 7 มีนาคม 2555 15:46:37 น.
Counter : 389 Pageviews.  

วิธีดับอารมณ์ร้อน...สำหรับสาวเจ้าอารมณ์

วิธีดับอารมณ์ร้อน...สำหรับสาวเจ้าอารมณ์




เราทุกคนต่างมีอารมณ์โกรธ ไม่พอใจด้วยกันทั้งนั้น แต่บางครั้งถ้าเราระงับได้ ก็ส่งผลดี ทั้งในแง่จิตใจและสัมพันธภาพ





     1. นับ 1-10 ..... ไม่ใช่เรื่องตลก..ก ในยามที่คุณไม่สบอารมณ์กับคำพูดของเพื่อนบางคน แล้วแทนที่จะสวนกลับด้วยคำพูดที่เจ็บแสบพอกัน กลับปรับอารมณ์ตัวเองด้วยการนับ 1 -10 ในใจ เพื่อที่จะห้ามตัวเอง และมีเวลาพิจารณาคำพูดของเพื่อนๆ ว่า กำลังอยู่ใน อารมณ์ที่กำลังเย้าแหย่เล่น มากกว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็ป่วยการที่จะโกรธเคืองให้งานกร่อย ปล่อยให้เล่นสนุกไปสักพักเดี๋ยวก็เลิกเล่นกันเองแหล่ะ แต่ถ้ายังทนไม่ไหว ก็เพิ่มจาก 10 เป็น 20 30 จนถึง 100



     2. เลี่ยงหลบๆ ไปให้พ้น ..... ถ้ารู้ว่าเป็นคนอารมณ์ร้อน และมักจะใช้กำลังทำลายข้าวของ หรือแม้กระทั่งคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า วิธีการเลี่ยงออกไปจากตรงนั้นเป็นการดีที่สุด สองมือล้วงกระเป๋าสองเท้าก้าวออกไปจากจุดนั้น จนกว่าจะสามารถระงับอารมณ์ตัวเองได้ จึงหันหน้ากลับมายังทิศทางเดิมเพื่อสะสางปัญหา



     3. ตังใจฟัง.....ระหว่างการ อภิปรายหรือโต้เถียงอย่างรุนแรง และคุณก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกพาดพิง และวิจารณ์อย่างดุเดือด การโต้ตอบทันทีทันใดแบบเลือดขึ้นหน้า เป็นการเปล่าประโยชน์และแสดงวุฒิภาวะทางอารมณ์อย่างไม่ควจจะเป็น การตั้งใจฟังจะทำให้คุณใคร่ครวญ ถึงคำพูดที่ถูดพาดพิงได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เพราะคนที่พูดนั้นมีโอกาสที่จะพลาดได้มากกว่าคนที่ไม่พูดอะไรเลย



     4. หมั่นฝึกสมาธิ.....สมาธิ เป็นการฝึกจิตชั้นดีที่สุดที่สามารถทำให้คนอารมณ์ร้อนกลายเป็นคนอารมณ์เย็น สุขุมนุ่มลึก สมองปลอดโปร่ง แล้วบรรดาเรื่องต่างๆ ก็จะไม่สามารถกวนคุณให้อารมณ์ปะทุขึ้นได้โดยง่าย



     5. ฝึกอ่านหนังสือตั้งแต่ต้นจนจบ.....เปิด หนังสือหน้าแรกก็ต้องรีบวาง ไม่ใช่ว่าหนังสือหน้าเบื่อ แต่เป็นเพราะคุณไม่อาจทนต่อการอ่านหนังสือจนจบได้ ดังนั้นการฝึกอ่านหนังสือตั้งแต่หน้าแรกไปถึงหน้าสุดท้าย นอกจากจะได้ความคิดดีๆ แล้ว ยังลดความพลุ่งพล่านทางอารมณ์ของคุณได้อีกด้วย



     6. คิดหาเหตุผล.....หลักการ ทางวิทยาศาสตร์ยังใช้ได้ดีกับคนอารมณ์ร้อนอีกด้วย จงใช้วิจารณญาณ ในการคิดและตัดสินใจ จะพบว่าที่เคยร้อนจะผ่อนคลายลงเป็นเย็นเยียบ และเฉียบขาดในการแก้ไขปัญหานั้นๆ



     7. ฝึกขอโทษ..... คำว่าขอโทษสามารถระงับอารมณ์ร้อนของคุณเองได้ แล้วยังสามารถระงับอารมณ์เดือดๆ ของคนอื่นได้ด้วย การเริ่มตันในบางสถาณการณ์ด้วยคำว่าขอโทษ องศาเดือดที่ทำท่าว่าจะคุกรุ่นย่อมลดลงด้วยเช่นกัน



     8. ยิ้มเข้าไว้ ..... คุณเคยยิ้มแบบเสแสร้งไหม? ยิ้มแบบที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ยิ้มแก้เขิน ยิ้มทั้งๆ ที่ไม่อยากยิ้ม แต่เมื่อยิ้มออกไปแล้วจะไม่มีภัยมาถึงตัว เพราะรอยยิ้มคือมิตรภาพ คือความอบอุ่น คือไมตรีจิตที่ส่งถึงกันได้ การยิ้มบ่อยๆ จะสามารถระงับอารมณ์ร้อนๆ ของคุณได้อย่างที่คุณคาดไม่ถึงเลยทีเดียว




ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2555    
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2555 20:33:30 น.
Counter : 577 Pageviews.  

ทำอย่างไร จะชนะใจ(พ่อแม่)คนรัก

ทำอย่างไร จะชนะใจ(พ่อแม่)คนรัก




     แม้ความรักจะเป็นเรื่องของคนสองคน แต่สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ ทั้งคุณและเขาต่างมีคนที่รักมากที่สุดในชีวิตเหมือนๆ กัน และเป็นธรรมดาที่คนเหล่านั้นย่อมต้องอยากรู้ว่า ใครกันที่จะก้าวเข้ามาในชีวิตของลูกชาย - ลูกสาวฉัน คนๆ นั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร น่าไว้วางใจหรือเปล่า ฯลฯ





     ดังนั้นเมื่อความรักดำเนินมาถึงจุดที่คุณและเขาเริ่ม "แน่ใจและมั่นใจ" จงอย่ารั้งรอที่จะพาตัวเป็นๆ ของคนรักไปให้พ่อแม่ได้รู้จัก ได้รับรู้การตัดสินใจของคุณ ขั้นตอนนี้นอกจากจะแสดงถึงความจริงใจของคุณให้อีกฝ่ายได้รับรู้แล้ว ยังเป็นการวัดระดับความจริงใจของอีกฝ่ายไปในตัวได้ด้วย เพราะถ้าแต่อีกฝ่ายมีท่าทีบ่ายเบี่ยงหรือตอบแต่ "ไม่" เพียงอย่างเดียว ก็ถึงเวลาที่คุณจะต้องฉุกคิดแล้วว่า "นี่คือ 'คนที่ใช่' จริงหรือเปล่า"



     ยิ่งถ้าคุณและเขาหวังว่าจะเป็น "ครอบครัวเดียวกัน" ต่อไปในอนาคต ก็ยิ่งต้องเก็บข้อมูลกันและกันให้มากที่สุดเพื่อหาทางหนีทีไล่ ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น พ่อแม่ไม่ชอบหน้า ไม่ได้รับการยอมรับ ฯลฯเมื่อถึงเวลาแล้วก็จงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วเตรียมตัวไปทำความรู้จักกับพ่อแม่คนรักกันได้เลย




ขั้นที่ 1 พร้อมไว้ก่อน ชัวร์กว่า !

     จะไปเจอพ่อแม่คนรักทั้งทีต้องไปแบบ "มีกึ๋น" ต้องรู้ก่อนว่า พ่อแม่เขาทำงานอะไร เป็นคนอย่างไร (เจ้าระเบียบ หรือ สบายๆ ชอบ ไม่ชอบอะไร ฯลฯ ) และคุณควรต้องทำอย่างไรให้ "ดูดี" ในสายตาเขา ข้อมูลก็หาได้ง่ายๆ ไม่ต้องมัวเสิร์ชหาในกูเกิ้ลให้เสียเวลา ถามจากคนรักเรานี่แหละดีที่สุด ชัดเจน แม่นยำ และอัพเดท แถมเขาคงมีคำแนะนำอื่นๆ ให้คุณอีกเพียบ รับรองงานนี้ ไม่พลาด !




ขั้นที่ 2 First Impression สำคัญสุดๆ

     ถึงแม้เราไม่ควรจะตัดสินคนอื่นจากรูปลักษณ์ภายนอกแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เจ้าสิ่งนี้มีอิทธิพลไม่น้อยที เดียว (ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด เราทุกคนก็มักจะจำภาพแรกที่เจอกันได้เสมอ) และแม้คุณควรจะเป็นตัวของตัวเอง แต่ในกรณีเช่นนี้ก็ต้องให้มีความพอเหมาะพอดี ถูกกาลเทศะด้วย คุณมีความมั่นใจในตัวเองได้ แต่ควรแสดงออกด้วยท่าทีที่สุภาพเรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว ผู้ใหญ่จึงจะเอ็นดู




ขั้นที่ 3 ถึงเวลาเปิดเกมรุก

     คุณควรเดินเข้าไปพร้อมกับหน้าตาที่สดชื่นแจ่มใส แสดงว่าคุณเต็มอกเต็มใจอยากรู้จักกับว่าที่ครอบครัวใหม่จริงๆ จำไว้ว่า มารยาทไทยผู้น้อยต้องมีสัมมาคารวะ นอบน้อมและเข้าหาผู้ใหญ่ก่อน จากนั้นคุณก็อาจเป็นฝ่ายชวนท่านคุยด้วยเรื่องทั่วๆ ไป (ไม่ต้องเป็นทางการ ขอสบายๆ) ถ้าบรรยากาศดูผ่อนคลาย ราบรื่นดี ค่อยขยับขยายไปพูดคุยเรื่องอื่นๆ เช่น กิจกรรมที่ท่านสนใจ แต่แนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการแสดงทัศนคติในเรื่องที่เปราะบางเช่น การเมือง ศาสนา ฯลฯ



     ยิ่งกว่านั้นถ้าอยากได้คะแนนนิยมเพิ่ม คุณควรมีของเล็กน้อยๆติดไม้ติดมือไปฝากพ่อแม่คนรักบ้าง ของชิ้นนั้นไม่จำเป็นต้องมีราคาสูง หายาก หรืออะไร อาจเป็นขนมเจ้าอร่อย หรือผลไม้ที่ท่านชอบ เพื่อแสดงถึงความใส่ใจที่คุณมีต่อท่าน




ขั้นที่ 4 มีน้ำใจ ไม่ดูดาย

     ควรสังเกตบ้างว่า พ่อแม่คนรักกำลังทำอะไรอยู่ แล้วแสดงน้ำใจอาสาช่วยท่านบ้าง เช่น ถ้าเห็นแม่คนรักทำกับข้าวอยู่ก็อาสาเป็นลูกมือ หยิบจับทำนั่นทำนี่เท่าที่จะทำได้ พยายามทำตัวให้กลมกลืนเหมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว ไม่ใช่ "นั่งดูดาย ไม่ยินดียินร้าย" เพราะใครๆ ก็ชอบคนมีน้ำใจ ช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่นทั้งนั้น




ขั้นที่ 5 ขออาสามาดูแล

     ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้าน คุณก็ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนอยู่แล้ว ดังนั้นจึงควรระมัดระวังการแสดงความรักระหว่างกันให้เหมาะสม อย่าสวีทหวานกันจนคนในบ้านเลี่ยน อย่าทำตัวติดกับคนรักเป็นตังเม แต่จงใช้เวลาให้คุ้มค่าด้วยการเก็บข้อมูล ทำความรู้จักกับคนในครอบครัวให้มากที่สุดดีกว่า รวมถึงต้องแสดงให้ทุกคนเห็นว่า คุณเป็นคนน่าไว้วางใจแค่ไหน ควรค่าแก่การคบหาเพียงใด ที่สำคัญคือ คุณต้องทำให้พ่อแม่คนรักไว้ใจและมั่นใจว่า คุณจะขออาสามาดูแลลูกสุดที่รักแทนท่าน ไม่ได้จะมาแย่งความรักไปจากท่าน (สักหน่อย !)




ขั้นที่ 6 อดทนในวันนี้ เพื่อชัยชนะในวันหน้า

     บางครั้งคุณอาจต้องเจอบททดสอบประหลาดๆ คำถามที่ไม่ชวนให้ตอบ พฤติกรรมบางอย่างที่ลำบากใจ แต่คุณต้องนับ 1 ถึง 10 ไว้ในใจ พยายามอดทนอดกลั้นให้ได้ ห้ามแสดงอาการไม่พอใจออกมาให้ใครเห็นอย่างเด็ดขาด แม้แต่คนรักของคุณ ขอให้ยิ้มสู้ คิดก่อนพูด แล้วเผชิญสถานการณ์นั้นๆอย่างผู้มีสติและปัญญา




ขั้นที่ 7 เสมอต้นเสมอปลาย

     ทุกข้อที่แนะนำมานั้นคุณต้องทำอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ใช่พอได้รับการยอมรับแล้วก็ "ปล่อยผ่าน" ช่างมัน ไม่เช่นนั้นคุณอาจกลายเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอกได้ แต่ในบางกรณีถ้าไม่สามารถทำได้เหมือนเคย เช่น หากคุณไม่สะดวกที่จะไปมาหาสู่ท่านบ่อยๆเหมือนแต่ก่อน ก็เปลี่ยนเป็นโทรศัพท์ไปถามทุกข์สุขของท่านบ้างก็ยังดี




     แต่ท้ายที่สุด ก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่า "รักพ่อแม่เขาให้เหมือนที่รักพ่อแม่คุณ" เพราะความรักจะทำให้คุณชนะทุกสิ่ง จริงหรือไม่...ลองดู




ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2555    
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2555 19:36:27 น.
Counter : 391 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

YangJing
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







Friends' blogs
[Add YangJing's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.