Group Blog
 
All blogs
 

DIY Cosmetics : Liquid Hand Soap




ปัจจุบันเราเจอมลพิษ ฝุ่นละอองและเชื้อโรคต่างๆ มากมาย ซึ่งถ้าเราใช้มือไปสัมผัสสิ่งสกปรกเหล่านั้น ก็อาจก่อให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย เช่น ไข้หวัด หรือโรคทางระบบทางเดินหายใจต่างๆ การใช้สบู่ทำความสะอาดมือของเราอยู่เสมอ จึงกลายเป็นทางออกอีกทางหนึ่งที่ช่วยป้องกันสิ่งสกปรกต่างๆเหล่านั้นไม่ให้ เข้าสู่ร่างกายของเราได้ แล้วคุณล่ะคะ เคยคิดมั้ยว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะทำ “ สบู่เหลว” ใช้เองที่บ้าน อาทิตย์นี้ Doctorskinhouse เรามีคำตอบให้กับคุณสาวๆ ด้วยการนะเสนอสูตรการทำ “สบู่เหลวสำหรับล้างมือ หรือ Liquid Hand Soap” มาดูวิธีทำกันดีกว่าค่ะ




Liquid Hand Soap




1. สบู่ก้อน (Bar of soap) 1 ก้อน สบู่ก้อน คือส่วนผสมระหว่างกรด(ไขมัน)กับเบส(ด่าง) ในอัตราส่วนที่ทำให้สามารถทำความสะอาดได้ดี และไม่เป็นอันตรายต่อผิว



2. น้ำผึ้ง (Honey) 1 ช้อนโต๊ะ

1. สามารถดึงและเก็บความชื้นไว้ได้ ทำให้ผิวหนังมีความอ่อนนุ่ม ยืดหยุ่น ทำให้ผิวเต่งตึง

2. เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องผิวจากการทำลายของแสง UV



3. กลีเซอรีน (Glycerin) 1 ช้อนชา เป็นสารที่เพิ่มน้ำให้กับผิวโดยดึงน้ำมาจากสิ่งแวดล้อมและชั้นใต้ผิวหนัง ช่วยคืนความชุ่มชื้นให้กับผิว



4. น้ำ (Water) 7 ถ้วยตวง เป็นตัวทำละลาย และให้ความชุ่มชื้นกับผิวด้วย

วิธีการทำ

1. นำสบู่ก้อนมาสไลด์เป็นแผ่นบางๆ



2. นำสบู่ที่เราสไลด์แล้วมาใส่ในเครื่องปั่น (Blender)



3. เติมน้ำร้อนลงไปในเครื่องปั่น 1 ถ้วยตวง ปั่นผสมจนเข้ากันจนมีลักษณะคล้ายครีม



4. เติมน้ำผึ้งลงไปในเครื่องปั่น 1 ช้อนโต๊ะ

5. เติมกลีเซอรีนลงไปในเครื่องปั่น 1 ช้อนชา จากนั้นคนผสมให้เข้ากัน

6. ทิ้งไว้ให้เย็นประมาณ 15 นาที

7. ปั่นส่วนผสมที่ทิ้งไว้ก่อนที่จะเติมน้ำเย็นจำนวน 6 ถ้วยตวง ลงไปในเครื่องปั่น



8. ปั่นผสมอีกครั้ง จนได้ผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นของเหลวข้น จากนั้นนำไปบรรจุใส่ขวดบรรจุ



วิธีการนำไปใช้

ใช้ทำความสะอาดมือ โดยถูผลิตภัณฑ์ให้ทั่วฝ่ามือ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
ข้อควรระวัง

1. ระมัดระวังในผู้ที่มีอาการแพ้ส่วนประกอบในสูตรดังกล่าว

2. สำหรับสบู่เหลวนี้ สามารถเก็บไว้ได้นานประมาณ 14 วัน


ราคา ราคาวัตถุดิบไม่เกิน 50 บาท

ระยะเวลา ไม่เกิน 45 นาที

ในชีวิตประจำวันคงไม่มีใครหลีกเลี่ยงเชื้อโรคทั้งที่มองเห็นและมองไม่ เห็นได้ ยิ่งถ้าต้องใช้ชีวิตนอกบ้านเสียเป็นส่วนใหญ่ยิ่งทำให้ง่ายต่อการสัมผัสกับ เชื้อโรคทั้งหลายเหล่านั้น การล้างมือบ่อยๆ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค เป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยใช้สบู่เหลวหรือสบู่ก้อนกับน้ำก็สามารถล้างได้อย่างหมดจด ดังนั้นการทำสบู่เหลวล้างมือใช้เองที่บ้าน ก็ถือเป็นการประหยัดไปทางหนึ่งนะคะ ^-6


Original content




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 26 พฤษภาคม 2554 15:45:06 น.
Counter : 554 Pageviews.  

ครีมบำรุงมีมากมาย แตกต่างกันอย่างไรนะ




เดี๋ยวนี้มีครีมบำรุงต่างๆ ให้เราเลือกใช้ได้มากมาย อ้างคุณสมบัติต่างๆ อย่างชะลอริ้วรอย ลบเลือนจุดด่างดำ ทำให้ผิวขาวขึ้น ฯลฯ แต่ในบรรดาครีมต่างๆ มากมายหลายยี่ห้อนี้เราจะดูอย่างไรว่าแบบไหนที่มีคุณภาพ และมีสารประกอบที่เป็นประโยชน์ต่อผิวเราจริงๆ มาดูคุณสมบัติต่างๆ เหล่านี้ดูดีกว่าค่ะ อย่างน้อยน่าจะช่วยให้คุณสาวๆ เลือกใช้ครีมได้อย่างมั่นใจมากขึ้น


คุณสมบัติเริ่มแรกที่ทำให้คุณถูกตา ต้องใจครีมสักกระปุกหนึ่ง คงเป็นคุณสมบัติที่สังเกตได้ง่ายๆ อย่าง กลิ่น ความเข้มข้นของเนื้อครีม ความเร็วในการซึมซาบเข้าสู่ผิว และสิ่งต่อมาที่คุณต้องเอาใจใส่อย่างยิ่งยวด ก็คือส่วนประกอบของครีมนั้น ว่ามีสารที่ทำให้คุณเกิดอาการระคายเคืองหรือไม่ หมดอายุเมื่อไหร่ และที่สำคัญต้องดูสารประกอบต่างๆ ในครีมด้วย เช่น ครีมที่มีสารประกอบที่สกัดจากพืช, คอลลาเจน, อีลาสติน, สารที่ช่วยเรื่องการผลัดเซลล์ผิว และสารที่ช่วยในการต่อต้านการเกิดริ้วรอย ซึ่งช่วยในการปรนนิบัติผิว ให้ผิวคุณมีความยืดหยุ่น ช่วยลบเลือนรอยเหี่ยวย่น และบำรุงจากอาการไหม้เพราะแสงแดด นอกจากนี้ยังมีสารประกอบในครีมอีกมากมาย ที่มีผลทำให้ครีมนั้นมีคุณสมบัติต่างๆ กันไป อย่าลืมสำรวจดูสภาพผิวของตนเอง และทำการศึกษาเรื่องสารประกอบแต่ละชนิดในครีมบำรุงด้วยนะคะ


ผู้หญิงกับความสวยงามนั้นเป็นของคู่กันมาแต่ไหนแต่ไร แม้ในสมัยโบราณ ก็มีการคิดค้นครีมบำรุงขึ้นใช้เพื่อคุณสมบัติด้านความงามกันแล้วค่ะ


ประวัติความเป็นมาของครีมบำรุง

ส่วนประกอบสำคัญในการทำครีมบำรุงผิวในสมัยโบราณนั้น ประกอบด้วยส่วนประกอบหลักๆ 2 อย่าง คือน้ำมันหอม และไขที่สกัดมาจากพืช หรือไขมันสัตว์ อีกทั้งยังมีการผสมสารที่เชื่อว่า มีคุณสมบัติในการบำรุงรักษาอีกด้วย

ผู้คนที่อาศัยอยู่แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มักใช้น้ำมันมะกอกเป็นส่วนประกอบหลักในการทำครีมบำรุง ส่วนชนเผ่าทางอัฟฟริกามักใช้น้ำมันที่สกัดมาจากปาล์มแรฟเฟีย เป็นส่วนประกอบสำคัญเพื่อครีมสำหรับความงาม ส่วนชาวโอเชียเนียผลิตครีมที่สกัดจากน้ำมันมะพร้าว และยังผสมน้ำมันสกัดจากเมล็ดละหุ่งและไขมันจากสัตว์ รวมถึงบางครั้งยังมีการใส่เนยที่มีส่วนผสมของ ขิง รากไม้และสมุนไพรต่างๆ แม้แต่ผงเหล็กลงไปด้วย

กระทั่งในสมัยปัจจุบัน ครีมหรือสกินแคร์ต่างๆ ก็ยังคงส่วนประกอบหลักเช่นเดียวกับเมื่อสมัยก่อนอย่างพวกน้ำมันสกัด มีการเติมน้ำ และตัวทำละลายเพื่อให้น้ำมันและน้ำเข้าผสมเป็นเนื้อเดียวกัน รวมถึงเติมสารต่างๆ ที่เป็นอาหารบำรุงผิว หรือมีคุณสมบัติปกป้องผิวลงไปด้วย ซึ่งทำให้ครีมในปัจจุบันแบ่งออกเป็นอีกหลายประเภท ตามคุณสมบัติของมัน


ครีมประเภทต่างๆ

1. ครีมที่ให้ความชุ่มชื้น หรือมอยซ์เจอร์ไรเซอร์

2. ครีมที่มีคุณสมบัติบำรุงผิว หรือนูริชชิ่ง

3. ครีมบำรุงล้ำลึก หรือทรีตเม้นต์ครีม มีความเข้มข้นมากกว่ามอยซ์เจอร์ไรเซอร์ และนูริชชิ่งครีม

4. ครีมประเภทลดริ้วรอย หรือรีจูเวเนตติ้งครีม

5. ครีมลดเซลลูไลท์ แม้ไม่สามารถลดเซลลูไลท์ หรือไขมันใต้ผิวหนังได้โดยตรง แต่จะให้ผลควบคู่กับการออกกำลังกายและควบคุมอาหาร

6. ครีมประเภทสครับ เป็นครีมที่ผสมเม็ดบีดส์เล็กๆ สำหรับใช้นวดขัดผิวหน้าเพื่อขจัดเซลล์ผิวเก่าออก

7. ครีมกันแดด ซึ่งมักมีส่วนประกอบของอโลเวร่า กรด p-amino-benzoicม, สารไฮโดรควินอน, สารประกอบซิงค์ และไทเทเนียม ซึ่งช่วยเรื่องการปกป้องผิวจากแสงแดด

8. ครีมที่ใช้เฉพาะฤดู เช่น ครีมสำหรับฤดูหนาว ซึ่งจะมีส่วนประกอบที่เป็นไขมากกว่าครีมทั่วไป รวมถึงสารประกอบที่เคลือบบางๆ บนผิวหนัง เพื่อปกป้องผิวจากสภาพอากาศหนาวเย็น คาวมชื้นต่ำ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ จากอากาศที่จะมีผลกระทบต่อผิวของเราด้วย

9. ครีมสร้างผิวสีแทน สำหรับสาวที่อยากมีผิวสีแทนดูสุขภาพดี ในเนื้อครีมชนิดนี้ประกอบด้วยสารที่เร่งการทำงานของเม็ดสี หรือเมลานินในผิวหนัง ซึ่งจะให้ผลที่ระยะเวลาราว 3-7 วัน อย่างไรก็ตามควรใช้อย่างระมัดระวัง และอ่านวิธีการใช้อย่างละเอียดทุกครั้ง

10. ครีมรองพื้นต่างๆ

11. ครีมสำหรับป้องกันความอับชื้น มักใช้ในเด็กทารกเพื่อป้องกันการเกิดผื่นผ้าอ้อม ซึ่งเกิดจากความอับชื้น และกรดยูริค

12. ครีมชนิดพิเศษ ครีมที่อยู่ในพวกครีมพิเศษเหล่านี้ ประกอบด้วยสารที่บำรุงเฉพาะส่วน เช่น ตา, มือ, เท้า หรือครีมโลชั่นสำหรับบำรุงผิวหลังการโกนหนวด ฯลฯ



ครีมหรือโลชั่นเพียงตัวเดียว อาจมีคุณสมบัติดังที่กล่าวมาหลายข้อผสมกัน หรือครีมโลชั่นบางอย่าง เช่นโลชั่นกันแดด หรือครีมทรีตเม้นต์ก็อาจมาในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่เนื้อครีม เช่น สเปรย์ ก็เป็นได้ นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมสำหรับสาวๆ ที่ต้องการบำรุงผิวอย่างเร่งด่น ซึ่งไม่อาจเห็นผลได้รวดเร็วทันใจหากใช้เพียงครีมหรือโลชั่น จึงได้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "มาส์ก" ขึ้นมา เพื่อการปรนนิบัติบำรุงผิวแบบเร่งด่วนสำหรับคนที่มีเวลาน้อย คุณสมบัติระหว่างมาส์กกับครีมก็แตกต่างกันไป ลองดูข้อแตกต่างนี้แล้วเลือกแบบที่ใช่ในการดูแลผิวคุณดูค่ะ


ข้อแตกต่างระหว่าครีมกับมาส์ก

1. ความเข้มข้นของเนื้อครีม โดยทั่วไปในมาร์สหนึ่งแผ่น มักมีความเข้มข้นมากกว่าปริมาณครีมที่เราใช้ในหนึ่งครั้ง

2. ด้านประสิทธิภาพ ครีมมักเป็นผลหลังการใช้ราวหนึ่งเดือน แต่มาส์กเห็นผลทันทีหลังการใช้ อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพจากมาส์กมีอายุสั้นกว่าครีม คืออยู่ได้ราว 1-2 วันเท่านั้น

3. ความถี่ในการใช้ การใช้ครีมให้เห็นผลดีควรใช้อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ส่วนมาส์กอยู่ที่สัปดาห์ละ 2 ครั้ง

4. ความเร็วในการซึมซาบลงสู่ผิว มาส์กใช้เวลาราว 15-20 นาทีในการซึมซาบเข้าสู่ผิวหนัง ส่วนครีมนั้นขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของเนื้อครีม

ปัจจุบันนี้ ด้วยความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ทำให้หลายแบรนด์ต่างแข่งขันกันผลิตครีมชนิดต่างๆ ออกมาเพื่อสนองตอบความต้องการดังกล่าว แต่ก่อนที่สาวๆ จะเลือกครีมสักกระปุกมาใช้ อย่าลืมศึกษาส่วนประกอบในเนื้อครีม รวมถึงไม่ละเลยคำแนะนำจากผู้ผลิต เพื่อผลที่ดีที่สุดสำหรับตัวเราเองนะคะสาวๆ


ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 25 พฤษภาคม 2554 12:09:31 น.
Counter : 465 Pageviews.  

ได้ผิวสีแทนได้รวดเร็วด้วย 5 วิธีที่ทันใจ



1. เข้าร้านเสริมสวยเพื่อทำผิวสีแทน

พวกเขามีวิธีการอันเยี่ยมยอดที่จะทำให้คุณได้ผิวสีแทนปานน้ำผึ้ง พร้อมยังติดแน่นทนนานค่ะ ซึ่งทางร้านจะมีวิธีการทำอย่างมืออาชีพโดยใช้แปรงพ่นสี แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่แพงที่สุดนะคะ แต่สามารถติดแน่นนานถึง 2 สัปดาห์ขึ้นไป สีแทนจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นหลังจากค่อยๆ พ่นสีไป และคุณจะมีผิวสีแทนทั้งตัวภายใน 12 ชั่วโมงค่ะ


2. ใช้โลชั่นชโลมผิว

คุณสามารถหาซื้อโลชั่นเพื่อทำให้ผิวสีแทนได้ตามร้านขายยา หรือ ตามร้านค้าต่างๆ ซึ่งมีหลากหลายเฉดสีที่เข้ากับโทนสีผิวของคุณค่ะ หลังจากคุณอาบน้ำเสร็จ ให้คุณชโลมโลชั่นให้ทั่วผิวกายคุณ โดยเฉพาะตรงหัวเข่าและข้อศอกนะคะ เพื่อป้องกันการเป็นริ้ว ไม่สม่ำเสมอนั่นเองค่ะ


3. ใช้สเปรย์พ่นผิว

ถ้าหากคุณไม่ชอบแบบโลชั่น ผลิตภัณฑ์อีกแบบหนึ่งที่คุณสามารถใช้ได้ที่บ้านนั่นก็คือ สเปรย์ ซึ่งมาในรูปแบบกระป๋องที่เนื้อผิวเป็นละอองเมื่อฉีดออกมา คุณสามารถฉีดสเปรย์เพียงแค่ส่วนที่มองเห็น หรือ อาจจะให้เพื่อนของคุณช่วยฉีดสเปรย์ให้ทั้งตัวก็ได้นะคะ


4. ทาแป้งเนื้อสีแทน

หากคุณต้องการผิวสีแทนเป็นบางโอกาส หรือ บางส่วน เช่น เพียงแค่ใบหน้าหรือไหล่ แป้งเนื้อสีแทนก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีนะคะ มันก็คล้ายกับแป้งที่ใช้แต่งหน้า แต่มันจะวิบวับเมื่อถูกไฟส่อง แป้งเนื้อแทนก็มีหลายเฉดสีให้คุณได้เลือกสรร ขึ้นอยู่กับสีผิวของคุณในตอนนี้นั่นเองค่ะ


5. แปรงปัดแก้มเนื้อทอง

ผลิตภัณฑ์ ตัวนี้ก็คล้ายๆ กับแป้งเนื้อสีแทนแต่มาในขนาดที่เล็กกว่าค่ะ คุณอาจจะลองเปลี่ยนมาใช้แปรงปัดแก้มที่ทำให้ผิวเป็นสีแทน แทนแปรงปัดแก้มที่คุณใช้เป็นประจำ เมื่อคุณต้องการให้ผิวมีประกายแวววาวได้นะคะ


วิธีเหล่านี้จะทำให้คุณหายห่วงเรื่องอันตรายที่จะเกิดขึ้น เมื่อคุณคิดที่จะทำผิวสีแทนได้ คุณไม่จำเป็นต้องไปนอนอาบแดดที่อาจแผดเผาผิวคุณให้ไหม้เกรียม แทนที่จะมีผิวสีแทนเนียนสวย หันมาเลือก 5 วิธีที่เรานำเสนอให้คุณ แล้วคุณจะมีผิวสีแทนอันเฉิดฉายไปอวดเพื่อนๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็วและง่ายกว่าที่คิดนะคะ


ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2554 14:36:09 น.
Counter : 647 Pageviews.  

เครื่องสำอางจริง ปลอม..เลือกอย่างไรให้ปลอดภัย



คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า “ไม่เคยใช้เครื่องสำอาง” หรอกใช่มั้ยค่ะ คนในยุคนี้ไม่ว่าหญิง ชาย เด็ก ผู้ใหญ่ จนถึงวัยชรา ต่างก็ใช้เครื่องสำอางกันทุกคน และทุกวัน ตั้งแต่เช้า เริ่มต้นวันใหม่ เราก็ต้องแปรงฟัน อาบน้ำ ประแป้ง เพียงแค่กิจกรรมแรกเริ่มนี้ก็ต้องใช้เครื่องสำอางกันแล้ว ทำให้ในปัจจุบันเราจะพบเห็นเครื่องสำอางวางขายเกลื่อนกลาดมากมาย ทั้งตามห้างสรรพสินค้าไปจนถึงตลาดนัด ซึ่งมักจะมีราคาที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว!!! เพียงเสียเงินไม่กี่ร้อยบาท ก็สามารถซื้อสินค้าได้ แล้วคุณเคยคิดมั้ยค่ะว่า “เครื่องสำอางที่คุณซื้อเนี่ย มันเป็นของแท้หรือของปลอม” หรือ “ใช้แล้วจะปลอดภัยหรือไม่” สำหรับอาทิตย์นี้ Doctorskinhouse มีคำตอบให้กับคุณสาวๆ กับวิธีการง่ายๆในเลือกซื้อเครื่องสำอางให้ปลอดภัย มาดูกันดีกว่าค่ะ


ก่อนอื่น อยากให้คุณสาวๆ รู้จักความหมายของเครื่องสำอาง ซึ่งอยู่ภายใต้การพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535 ที่กำหนดว่า เครื่องสำอางต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับร่างกายมนุษย์ เพื่อความสะอาด และความสวยงาม เท่านั้น ผลิตภัณฑ์ที่กล่าวอ้างสรรพคุณเกินกว่านี้ เช่น อ้างว่าสามารถบำบัด บรรเทา รักษาโรค ป้องกันโรค หรือมีผลต่อโครงสร้าง หรือการกระทำหน้าที่ต่างๆของร่างกาย ผลิตภัณฑ์นั้นจะต้องจัดเป็นยา ไม่ใช่เครื่องสำอาง





ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่โอ้อวดสรรพคุณ เช่น โลชั่นปลูกผม ครีมเสริมสร้างทรวงอก ครีมลดไขมัน สบู่ลดความอ้วน โลชั่นกระชับจุดซ่อนเร้น ครีมฆ่าเชื้อโรค ลดอาการผิวหนังอักเสบ แก้คัน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ มีการแสดงสรรพคุณทางยา ต้องขึ้นทะเบียนเป็นยาและปฎิบัติตามพระราชบัญญัติยาฯที่มีความเข้มงวดกว่า พระราชบัญญัติเครื่องสำอางฯ





แม้เราจะเลือกซื้อเครื่องสำอางมาใช้เพียงเพื่อความสะอาดและสวยงาม แต่ก็ควรจะคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย ดังนั้น ก่อนซื้อจึงควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นั้นให้ดีเสียก่อนที่จะซื้อ ซึ่งวิธีการง่ายๆในการเลือกซื้อเครื่องสำอางให้ปลอดภัย มีดังต่อไปนี้


1. ควรซื้อเครื่องสำอางจากแหล่งที่เชื่อถือได้

ควรจะซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มีหลักแหล่งที่แน่นอน เพื่อที่เมื่อเกิดปัญหาขึ้น จะสามารถติดตามตรวจสอบ จากแหล่งที่ซื้อมาได้ และอย่างน้อยที่สุดผู้ขายจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเป็นด่านแรก ในปัจจุบันเราจะเห็นว่ามีการวางขายเครื่องสำอางที่มียี่ห้อตามตลาดนัด โดยขายในราคาที่ถูกแสนถูก ล่อตาล่อใจคุณผู้หญิงได้จำนวนมาก แต่อยากให้คุณสาวๆคิดก่อนนิดนึงนะคะว่า ที่ว่าถูกแบบเว่อร์เนี่ย!!! เป็นของจริงหรือของเซิ่นเจิ้ง!!!! แล้วอาจเกิดปัญหาใช้แล้วหน้าเยิน เราจะสามารถไป Claim ได้หรือไม่??? อย่าลืมคิดก่อนซื้อนะคะ





2. ฉลากของเครื่องสำอางจะต้องชัดเจนและต้องมีภาษาไทย

ตามกฎหมายที่ว่า เครื่องสำอางทุกประเภท ทุกชนิดและทุกชิ้น ต้องมีฉลากภาษาไทย เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับทราบข้อมูลรายละเอียดเบื้องต้นที่จำเป็น จะตัดสินใจซื้อเครื่องสำอาง ให้ตรงตามความต้องการ ไม่ถูกหลอกลวง และสามารถนำไปใช้อย่างถูกวิธี เกิดประโยชน์คุ้มค่า มีความปลอดภัย





ข้อมูลเบื้องต้นที่ฉลากของเครื่องสำอางจำเป็นต้องมี ได้แก่

ชื่อเครื่องสำอาง : จะต้องชัดเจน สำหรับสิ่งที่เราที่เป็นผู้ซื้อควรระวังก็คือ พวกชื่อสินค้าที่มันคล้ายกัน หรือรุ่น เฉดสี ต่างๆ จะต้องสังเกตให้ละเอียดก่อนซื้อ


ประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง : เราจะต้องทราบว่าเราต้องการซื้ออะไร เพราะบางทีพวก Package ของเครื่องสำอางมันค่อนข้างคล้ายกัน อาจจะทำให้ผู้ซื้อเกิดการสับสนได้


ส่วนประกอบสำคัญ : ตามกฎหมายฉลากบนเครื่องสำอางจะต้องบอกส่วนประกอบที่มีในสูตร โดยเรียงตามปริมาณจากมากไปน้อย ซึ่งเหตุผลที่จะต้องบอกส่วนประกอบ เพื่อให้ผู้ซื้อสามารถหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ได้


ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตและผู้นำเข้า : จะต้องมีการแสดงชัดเจน ถ้าเราหยิบเครื่องสำอางขึ้นมาแล้วไม่มีชื่อผู้ผลิต ถือว่าเป็นเครื่องสำอางอันตรายนะคะ


วันเดือนปีที่ผลิต : วันเดือนปีที่ผลิตเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง ผู้ซื้อจะต้องรู้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นผลิตขึ้นเมื่อใด หากผลิตมานานแล้ว อาจเสื่อมคุณภาพหรืออาจจะใช้แล้วไม่ได้ผล





วิธีใช้ : ฉลากจะต้องบอกวิธีใช้อย่างชัดเจน เช่น ถ้าเป็นครีมบำรุงผิว จะต้องบอกว่าทาแบบใด ช่วงไหนของวัน ปริมาณเท่าไร เพื่อที่ผู้ซื้อจะได้ใช้อย่างถูกวิธีและเกิดประโยชน์สูงสุด


ปริมาณสุทธิ : ส่วนนี้จะช่วยให้เราสามารถเปรียบเทียบ ระหว่างเครื่องสำอางในประเภทเดียวกันได้ว่า ปริมาณและราคาของเครื่องสำอาง แตกต่างกันอย่างไร เพื่อที่จะได้เลือกซื้อเครื่องสำอางอย่างคุ้มค่า สมราคา


คำเตือน : เครื่องสำอางบางชนิดจะต้องแสดงคำเตือนที่ฉลากด้วย แสดงว่าต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง ดังนั้น ควรศึกษาคำเตือน ให้เข้าใจอย่างถี่ถ้วน และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด


ทั้งหมดนี้เป็นข้อความที่จำเป็นจะต้องมีบนฉลากที่เขียนเป็นภาษาไทย ถ้าเครื่องสำอางใดไม่มีข้อความเหล่านี้ หรือเขียนเป็นภาษาต่างชาติ ไม่ว่าจะชาติใดก็แล้วแต่ ให้พึงระวังไว้เสมอว่า เครื่องสำอางนั้นอาจจะไม่ปลอดภัยก็ได้ เพราะเราจะไม่ทราบข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเลย





3. ลักษณะรูปบรรจุภัณฑ์

สิ่งที่เราจะต้องสังเกตต่อมาก็คือ บรรจุภัณฑ์ จะต้องดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากปกติหรือไม่ เช่น เดิมเป็นขวดปั๊ม แต่เปลี่ยนมาเป็นกระปุก รวมทั้งลักษณะของสีที่เปลี่ยนแปลงไป ตามปกติแล้ว ถ้าบริษัทผู้ผลิตมีการเปลี่ยนแปลง package เค้าจะต้องมีการบอกให้ลูกค้าทราบ ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา หรือมีบรรจุภัณฑ์เดิมเปรียบเทียบให้ดูด้วย เพื่อให้ลูกค้าไว้ใจและมั่นใจว่าไม่ได้ซื้อเครื่องสำอางปลอม





นอกจากนี้ เราจะต้องดูว่าสภาพของบรรจุภัณฑ์ที่ใช้เนี่ย มันมีความสมบูรณ์มากน้อยแค่ไหน มีรอยบุบ ยุบ หรือว่ามีการเก็บอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมหรือไม่ เช่น โดนอาบแสงแดดยามกลางวันหรือไม่ หรือว่ามีความชื้นหรือของเหลวเข้าไปในผลิตภัณฑ์หรือไม่ ปัจจัยต่างๆเหล่านี้มีความสำคัญต่ออายุการใช้นะคะ ถ้าเก็บในสภาวะที่ไม่เหมาะสม ก็จะทำให้ผลิตภัณฑ์เกิดการเสื่อมคุณภาพได้


4. ลักษณะทางกายภาพของผลิตภัณฑ์

ลักษณะทางกายภาพในที่นี้หมายถึง ลักษณะภายนอกที่เราสามารถมองเห็นได้ ซึ่งลักษณะต่างๆเหล่านี้ จะต้องคงตัวตลอดอายุการใช้งานนะคะ เช่น ครีมบำรุงผิวต่างๆ โดยปกติจะต้องมีลักษณะผสมเข้ากันเป็นเนื้อเดียวกัน ถ้าเราพบว่าครีมที่เราซื้อมานั้น มีลักษณะแยกชั้นกัน แสดงว่าครีมนั้นเสื่อมสภาพ หรือลิปสติกแท่งใหม่ที่คุณเพิ่งซื้อมา มีลักษณะเยิ้มเหลวคล้ายมีหยดน้ำมันเกาะ นั่นแสดงให้เห็นว่าลิปสติกแท่งนั้นเสื่อมสภาพแล้วนะคะ





นอกจากนี้ เรายังสามารถสังเกตสี และกลิ่นที่อาจเปลี่ยนแปลงไปด้วย เช่น ถ้าแป้งที่เราซื้อมามีสีเปลี่ยนแปลงไป หรือลิปกรอสมีกลิ่นที่ผิดปกติไปจากเดิม ก็แสดงว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเสื่อมสภาพ หรืออาจเป็นของปลอมก็ได้นะคะ ยังไงก็อย่าลืมสังเกตด้วยนะคะ


เมื่อเราซื้อเครื่องสำอางมาใช้แล้ว เครื่องสำอางเหล่านั้น เค้าก็จะมีอายุการใช้งานแตกต่างกันไป ทาง The European Union’s Cosmetics Directive ได้กำหนดอายุการใช้งานของเครื่องสำอางได้ดังต่อไปนี้


















































Mascara มีอายุการใช้งาน 3 เดือน
Liquid Foundation มีอายุการใช้งาน 3-6 เดือน
Cream Foundation มีอายุการใช้งาน 4-6 เดือน
Concealer มีอายุการใช้งาน 6-8 เดือน
Powder, Eye Shadow มีอายุการใช้งาน 1 ปี
Lip Gloss และ Lip Stick มีอายุการใช้งาน 1 ปี
Eye & Lip Pencil มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป






5. มีส่วนประกอบของสารที่ห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์

ตามประกาศขององค์การอาหารและยา ได้ประกาศสารที่ห้ามใช้ในเครื่องสำอางไว้ ซึ่งสารเหล่านี้มีการพิสูจน์แล้วว่าก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ ซึ่งขณะนี้มีเครื่องสำอางหลายยี่ห้อที่วางขายในร้านค้า ศูนย์เครื่องสำอาง แผงลอย รถเร่ หรือผู้เร่ขาย โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ซึ่งตัวอย่างที่พบได้บ่อยได้แก่ เครื่องสำอางที่อ้างสรรพคุณทาสิว ทาฝ้า ฝ้ากันแดด หรืออ้างสรรพคุณทำให้หน้าขาว แต่ลักลอบใช้สารที่ห้ามใช้ ที่ตรวจพบแล้วคือ พบว่ามีการลักลอบใช้ สารปรอทแอมโมเนีย, สารไฮโดรควิโนน รวมทั้งกรดวิตามินเอ(เรติโนอิค แอซิด) สารเหล่านี้เป็นอันตรายต่อผิวหน้ารวมทั้งอาจเป็นอันตรายต่อระบบอวัยวะภายใน ร่างกายอีกด้วย





- สารปรอทแอมโมเนีย : ทำให้เกิดอาการแพ้ ผื่นคัน ผิวหน้าดำ ผิวบางลง เกิดพิษสะสมของสารปรอท ทำให้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ


- สารไฮโดรควิโนน : ทำให้เกิดการแพ้ ระคายเคือง อาจเกิดจุดด่างขาวที่หน้า หรือผิวหน้าดำ เป็นฝ้าถาวร รักษาไม่หาย


- กรดวิตามินเอ เป็นตัวยาที่อันตราย ทำให้ผิวหน้าแดง แพ้รุนแรง แสบร้อน อักเสบ ใช้แล้วผิวหน้าลอก


นอกจากนี้สารจำพวกตะกั่ว ก็จัดเป็นวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางเช่นกัน เพราะสารนี้หากถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายจะก่อให้เกิดอันตรายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเด็กๆ แต่ในเครื่องสำอางบางชนิด นั่นก็คือ ผลิตภัณฑ์ย้อมผมสีดำ ได้รับอนุญาตให้มีสารตะกั่วได้ ซึ่งจะต้องอยู่ในรูปของ Lead Acetate เท่านั้น โดยมีอัตราส่วนสูงสุดที่ให้ใช้คือ 0.6% (คำนวณในรูปโลหะตะกั่ว)





จบไปแล้วนะคะ สำหรับ 5 วิธีง่ายๆ ในการเลือกซื้อเครื่องสำอางให้ปลอดภัย ซึ่งการจะใช้เครื่องสำอางให้คุ้มค่าและปลอดภัยนั้น ผู้ใช้อย่างเราๆ จะต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเครื่องสำอาง รวมทั้งหัดสังเกตให้ละเอียดก่อนที่จะซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ยิ่งถ้าคุณใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมากชิ้น มากประเภทเท่าไหร่ ความเสี่ยงในการที่คุณจะได้รับอันตรายหรือผลข้างเคียงจากการใช้เครื่องสำอาง ก็มีมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ดังนั้น อย่าลืมนะคะ จะต้องสังเกตและหาความรู้อยู่เสมอ เพื่อให้คุณสวยอย่างปลอดภัยและคุ้มค่ามากที่สุด


Original content




ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 19 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 19 พฤษภาคม 2554 16:44:53 น.
Counter : 527 Pageviews.  

DIY : Facial Mask

สาวๆ ทั่วไป คงเคยมีความคิดว่าเราสามารถมีสูตรทำเครื่องสำอางที่จะทำเครื่องสำอางหรือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวใช้เองได้หรือเปล่า แล้วมันจะยากมั้ย เสียเวลาหรือเปล่า แค่คิดก็เริ่มก็ปวดหัวซะแล้ว แต่จริงๆ แล้ว การทำเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวใช้เองนั้นไม่ยากอย่างที่คิดเลยนะคะ แถมยังไม่เสียเวลาและเงินมากซะด้วย บางคนอาจทำเป็นงานอดิเรกหรือไม่ก็ทำให้คนที่รู้ใจใช้ เพื่อเพิ่มเสน่ห์ก็น่ารักไปอีกแบบนะคะ ^-^


เรามาลองเปรียบ เทียบผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ทำขึ้นมาเอง VS. ผลิตภัณฑ์ที่ซื้อมาจาก counter ตามห้าง ในด้านต่างๆ เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้กับคุณสาวๆๆในการลุกขึ้นมาทำ DIY Beauty กันดีกว่านะคะ


ด้านราคา



แน่นอน!!!! ยังไงซะ ทำเองก็ต้องราคาถูกกว่า เพราะเสียแค่ค่าวัตถุดิบ ซึ่งหาซื้อได้ง่ายตาม Supermarket ทั่วไป และก็ใช้อุปกรณ์เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น


ประสิทธิภาพในการบำรุงผิวพรรณ



บางครั้งอาจจะดูแล เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณมากกว่าที่จะไปซื้อของไฮโซซะอีก!!! เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่คุณลงมือทำเองนั้นจะต้องเตรียมอย่างสดๆ ร้อนๆ และทำเพียงจำนวนเล็กน้อย จึงลดปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการสลายตัวของสารเคมี ซึ่งมักจะเป็นปัญหาเวลาที่คุณใช้ครีมบำรุงผิวที่ขายตามท้องตลาด ที่เมื่อคุณใช้ไปสักพัก ก็อาจสัมผัสกับอากาศหรือความชื้น จนทำให้ครีมกระปุกงามที่คุณเพิ่งเปิดใช้ เสื่อมสภาพได้


โอกาสในการเกิดการแพ้



สิ่งที่ต้องพึง ระวังเสมอในการทำสูตรเครื่องสำอางใช้เองคือการแพ้เครื่องสำอาง แสดงออกให้เห็นจะเป็นรูปของผื่นคันแดง บวม หรือขึ้นเป็นตุ่มน้ำพองใส การทำเครื่องสำอางใช้เองก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วยลดโอกาสในเกิดการแพ้ได้ ซึ่งถ้าคุณรู้ว่าตัวเองแพ้อะไร ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น อย่าใส่ลงไปเด็ดขาดนะคะ


นั่นแน่!!! สาวๆ ทั้งหลายคะ เริ่มอยากที่จะมีสูตรทำเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวใช้เองแล้วใช่มั้ย คะ แต่ก่อนที่จะเริ่มนั้น เรามีข้อแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ที่สาวๆควรจดจำไว้ให้ขึ้นใจ เพื่อให้งดงามอย่างปลอดภัยก่อนนะคะ


1. คุณจะต้องรู้วิธีและลำดับขั้นตอนในการใส่สารเคมีต่างๆ ที่เหมาะสม เพราะถ้าใส่สลับกันนิดเดียว จะมีผลต่อลักษณะของผลิตภัณฑ์ของเราได้นะคะ



2. การเลือกใช้สารเคมีที่จะผสมลงไป ก็ต้องคำนึงถึงคุณภาพและระวัง!!!!! อย่าใส่สารเคมีที่เราแพ้ลงไปเด็ดขาด ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักจะเป็นสารวัตถุกันเสียหรือน้ำหอม


3. ในผลิตภัณฑ์ประเภทครีม ควรพยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสผลิตภัณฑ์ด้วยนิ้วมือ แต่ให้ใช้พวก Cotton bud หรือช้อนสะอาดตักครีมของคุณแทน ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจาก ครีมที่คุณทำเองนั้น ไม่ได้ใส่พวกสารกันเสีย ซึ่งอาจมีผลทำให้เสี่ยงต่อการที่จุลินทรีย์และเชื้อโรคตัวน้อยๆ จะไปปนเปื้อนผลิตภัณฑ์ที่คุณทำได้


4. ควรผลิตแต่น้อยก็พอนะคะ เช่น ครีม ใช้ประมาณ 2 สัปดาห์ก็พอแล้ว และควรเก็บไปในตู้เย็นด้วยเพื่อเป็นการยืดอายุของผลิตภัณฑ์ แค่ นี้!!! คุณก็สามารถทำผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมกับผิวคุณได้แล้ว สำหรับในอาทิตย์นี้ เราจะแนะนำผลิตภัณฑ์บำรุงผิวประเภทครีมมาส์กหน้า เราให้ชื่อสูตรตำรับนี้ว่า Avocado Carrot Cream Mask มาดูดีกว่าว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้าง




Avocado Carrot Cream Mask



1. Avocado ที่ปั่นจนละเอียด 1 ส่วน มี Vitamin E บำรุงผิวและมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยลดเลือนจุดด่างดำ


2.Carrot ที่ทำให้นิ่มและปั่นจนละเอียด 1 ส่วน Betacarotene บำรุงผิวให้แข็งแรงและเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระของผิวฟื้นฟูการสร้างคอลลา เจนของเซลล์ผิว


3. Heavy Cream หรือครีมบำรุงผิวธรรมดา ½ ถ้วยตวง เป็นครีมที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว


4. ไข่ไก่ ที่ตีละเอียด 1 ฟอง Protein จากไข่


5. น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ เพื่อผิวชุ่มชื้น เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้น ช่วยสมานผิวด้วย


วิธีการทำ

1. ใส่ Heavy Cream หรืออาจจะใช้ครีมบำรุงผิวธรรมดาที่เราใช้อยู่ปกติ ใส่ลงไปในถ้วยที่สะอาด


2. นำส่วนผสมทั้งหมดลงไปในข้อ 1 โดยในระหว่างที่ใส่ส่วนผสมต่างๆ ลงไป ควรค่อยๆ เททีละนิด และคนสม่ำเสมอจนเข้ากันดี แล้วจนค่อยเติมส่วนที่เหลือลงไปจนหมด


วิธีการนำไปใช้

นำเนื้อครีมที่ได้ไปทาเบาๆ บนใบหน้าและบริเวณลำคอให้ทั่ว จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ล้างด้วยน้ำเย็นและอาจตามด้วย Toner ที่ใช้อยู่เป็นประจำก็ได้


ข้อควรระวัง

1. เวลาใส่ส่วนผสมต่างๆลงไป จะต้องค่อยๆใส่ทีละนิด และคนให้ผสมเข้ากันเป็นเนื้อเดียวกันก่อน (Homogenous) จึงค่อยเติมส่วนที่เหลือลงไปจนหมด


2. ระวังสำหรับผู้ที่แพ้ส่วนประกอบต่างๆที่มีในสูตรตำรับ และถ้าใช้แล้วเกิดอาการแพ้จะต้องรีบล้างทำความสะอาดใบหน้าทันที


ราคา

ราคาวัตถุดิบไม่เกิน 100 บาท สามารถซื้อหาได้ตามท้องตลาด


ระยะเวลา

ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการปั่นวัตถุดิบให้ละเอียด


สำหรับสูตร Avocado Carrot Cream Mask นั้น คุณสาวๆ ก็จะเห็นว่าไม่ยากเลยและสามารถทำได้ง่าย ลองนำทำไปดูนะคะ แล้วคุณก็จะรู้ซึ้งถึงคำว่า “ สวยได้ด้วยมือเรา ” ค่ะ^-^


Original content




 

Create Date : 18 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 18 พฤษภาคม 2554 11:01:55 น.
Counter : 476 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

YangJing
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







Friends' blogs
[Add YangJing's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.