คนไทยกับศัลยกรรม
เราอาจจะเป็นประเทศที่ไม่กว้างขวางนักก็จริง แต่ถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆ ในโลกเรามีสถิติเสริมความงามมากที่สุดเป็นอันดับที่ 21 ของโลก ในขณะที่เพื่อนร่วมทวีปอย่างญี่ปุ่นหรือเกาหลีนั้นอยู่ที่อันดับ 6 และ 7 ตามลำดับ (ที่มา : Intemational Society of Aethetic Plastic Surgery)
ต้องผ่าตัด (Surgical Procedures) |
ไม่ต้องผ่าตัด (Non-Surgical Procedures) |
ขั้นตอน |
จำนวนคนไข้ (ราย) |
ขั้นตอน |
จำนวนคนไข้ (ราย) |
เสริมหน้าอก |
13,875 |
ฉีดโบท็อกซ์ |
19,077 |
ดูดไขมัน |
13,261 |
ฉีดยาละลายไขมัน |
11,636 |
ตกแต่งเปลือกตา |
10,926 |
ฉีดกรดไฮยาลูรอนิก |
10,982 |
เสริมจมูก |
6,076 |
ฉีดไขมันตนเอง |
4,198 |
ผ่าตัดไขมันหน้าท้อง |
5,772 |
Laser Skin Resurfacing |
2,507
|
ข้อควรรู้เรื่องโบท็อกซ์
"โบท็อกซ์" เป็นชื่อทางการค้าของโบทูลินั่มท็อกซิน โปรตีนชนิดหนึ่งซึ่งได้จากแบคทีเรียทำงานด้วยการคลายกล้ามเนื้อในบริเวณที่ ฉีด จึงเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ที่ต้องการลบรอยตีนกา รอยเหี่ยวย่น หรือแม้แต่ผู้ที่กรามใหญ่และต้องการให้ใบหน้าเรียวเล็ก ภายในไม่กี่วันหลังจากฉีด สารพิษจะเข้าไปทำปฏิกิริยาเพื่อลดหรือหยุดการคลายตัวของกล้ามเนื้อไม่กี่วัน หลังจากฉีด สารพิษจะเข้าไปทำปฏิกิริยาเพื่อลดหรือหยุดการคลายตัวของกล้ามเนื้อผลดัง กล่าวไม่ถาวร และแม้ทาง FDA สหรัฐฯ จะเตือนว่าการฉีดโบท็อกซ์เป็นขั้นตอนทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็ยังไม่วายเกิดการจัด "ปาร์ตี้โบท็อกซ์" ซึ่งหลายครั้งไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมด้วย มิหนำซ้ำยังซื้อหาโบท็อกซ์จากอินเทอร์เน็ตที่มักมีราคาถูกกว่า โดยไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยเสียด้วยซ้ำ เราไปคุยกับ นพ.โกสินทร์ แจ่มเพ็ชรรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณจากสกินดอร์คลินิก ถึงอันตรายที่คุณควรรู้ก่อนคิดจะฉีดโบท็อกซ์กันเถอะ
ข้อเสียและผลข้างเคียงของโบท็อกซ์คืออะไร?
>> "ประการแรก ก็คือ การเลือกผลิตภัณฑ์ผิด โบท็อกซ์ที่มีอย. ในบ้านเรามีแค่สามแบรนด์คือ Botox+ของอเมริกา Dyspoort+ของอังกฤษ และ Neuronox+ของเกาหลี ซึ่งก่อนฉีด คนไข้ควรจะถามคุณหมอก่อนว่าใช้ยี่ห้ออะไรและผลิตจากที่ไหน แล้วก็สังเกตขวดด้วย บางทีเดี๋ยวนี้คลินิกเถื่อนเขาฉลาดแอบเอาขวดคล้ายๆ กันมาทีนี้โบท็อกซ์จีนก็มีเหมือนกัน แต่ถ้ากระบวนการผลิตไม่ดีมันก็อาจติดเชื้อได้ เพราะสกัดไม่บริสุทธิ์พิษจะเป็นพิษเดียวกับบาดทะยัก ถ้าฉีดพลาดก็อาจรั่วไหลเข้าไปในเส้นเลือด สารพิษก็วิ่งเข้าไปในเลือดหมดเลย เคยมีหมอจีนเอามาฉีดเองแล้วก็เสียชีวิตจากกรณีนี้ พอฉีดเข้าไปแล้วก็เหมือนฉีดเอาพิษเข้าร่างกายนั่นแหละครับ
>> ประการที่สอง เลือกของที่มีอย. ถูกต้อง แต่ฉีดผิดตำแหน่ง เช่น ฉีดลึกเกินไป ฉีดมากเกินไป ฉีดไม่บาลานซ์ ไปโดนกล้ามเนื้อบางมัดที่เราไม่ต้องการจะคลาย ก็จะเกิดอาการปากเบี้ยว คิ้วตก เคี้ยวไม่ได้
>> ประการที่สาม คนที่ฉีดไม่มีความ รู้และประสบการณ์ เคยมีข่าวว่าคนที่ทำงานกับหมอเห็นหมอฉีดก็นึกว่าฉีดได้ ความจริงไม่ใช่นะเราต้องรู้กายภาพว่ากล้ามเนื้อมัดนั้นถูกมั้ย ถ้าผิดกล้ามเนื้อก็จะกลับไปสู่ปัญหาข้างต้น"
โบท็อกซ์เป็นสารพิษไม่ใช่หรือ? สารเหล่านี้ จะสะสมในร่างกายไหม?
"ถามว่าโบท็อกซ์เป็นสารพิษไหม? มันก็ใช่แหละครับ ความจริงแล้วมันเป็นสารพิษจากแบคทีเรียซึ่งเค้าเรียกว่า Botulinum Toxin Type A หลักการของเขาก็คือ ต้องฉีดในชั้นกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อที่หดก็จะคลาย กล้ามเนื้อที่โตก็จะเล็ก หรือฉีดให้แก่คนที่ปวดกล้ามเนื้อบ่อยๆ เช่น เวลานั่งหน้าคอมพ์นานๆ เกร็งกล้ามเนื้อตลอด ก็จะฉีดในกล้ามเนื้อที่หดเกร็งให้ผ่อนคลาย
สารพวกนี้ฉีดอย่างไรก็ไม่ถาวร ร่างกายจะกำจัดออกหมด บางคนสงสัยว่าฉีดนานๆ แล้วกล้ามเนื้อจะตายมั้ย? กล้ามเนื้อไม่ตายหรอกครับ เพราะฉีดปุ๊บร่างกายก็กำจัดออกหมด แต่มันจะดื้อเหมือนเรากินยาบ่อยๆ การฉีดบ่อยๆ ก็ดื้อเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นถึงแนะนำไม่ให้ฉีดถี่เกิน 3 เดือนต่อครั้ง ส่วนคนที่ฉีดอย่างถูกต้อง โบท็อกซ์ก็จะอยู่ได้นานขึ้น"
ฟิลเลอร์ รู้ก่อนฉีด
สำหรับความงามที่คุณฉีดได้อีกประเภท ถ้าบอกว่าฉีด "กรดไฮยาลูรอนิก" หลายคนคงทำหน้างงหรือไม่ก็ต้องการแน่ๆ แต่ถ้าพูดว่าฉีด "ฟิลเลอร์" หลายคนคงร้องอ๋อพูดว่าฉีด "ฟิลเลอร์" หลายคนคงร้องอ๋อ เพราะปัจจุบันมีการใช้ "สารเติมเต็ม" เพื่อเพิ่มวอลุ่มให้กิ่ว ซึ่งในสมัยก่อน มีประโยชน์อย่างมากในการรักษาร่องแก้มที่เป็นรอย ได้ตาที่โบ๋ ทำแก้มตอบให้เต็ม แต่ระยะหลังมีเทคนิคใหม่ๆ เช่น ฉีดสาร เติมเต็มเพื่อยกคิ้ว เดินขมับให้เต็ม และที่นิยมกันมากก็คือฉีดเสริมจมูกให้โด่งเป็นสัน ข้อดีของมันก็คือมีคนแพ้น้อยมาก แต่ข้อเสียก็คืออยู่ได้ไม่นาน และถ้ายิ่งอยู่นาน ผลข้างเคียงก็จะยิ่งมาก อาจทำให้เกิดอาการอักเสบ กลายเป็นก้อนแดงๆ ได้ นพ.โกสินทร์ แจ่มเพ็ชรรันต์ อธิบายถึงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ "ยิ่งนานยิ่งดี" ว่าความจริงแล้วเป็นในทางตรงกันข้าม
ฉีดฟิลเลอร์พลาด แก้ไขได้ไหม?
เราสามารถแบ่งฟิลเลอร์ได้เป็นสองประเภทคือ แบบที่อยู่ได้นาน 5 ปี กับแบบที่อยู่ได้ระยะสั้นๆ ประมาณหนึ่งปี ซึ่งแบบหลังเป็นที่นิยมมาก เราเรียกว่ากรดไฮยาลูรอนิกสังเคราะห์
กรดไฮยารูลอนิกสังเคราะห์ส่วนใหญ่จะได้จากแบคทีเรีย ซึ่งเป็นที่นิยมเพราะฉีดแล้วเห็นผลทันที ถ้าฉีดน้อยก็แค่ไม่ขึ้น ถ้าฉีดมากเกินไปก็มีตัวกำจัด เค้าเรียกว่า Hyaluromidase Enzyme หากฉีดไม่สวยก็ฉีดเอนไซม์ตัวนี้เข้าไปก็จะหายได้ ดังนั้น ข้อดีของมันคือเป็นมิตรกับผิว ฉีดมากได้ก็เอาออกได้
แบบที่อยู่ได้นานคือ คอลลาเจนสังเคราะห์ มักจะสกัดจากหนังแท้ของเนื้อวัว ข้อดีที่ผู้บริโภคคิดผิดกันก็คืออยู่ได้นาน 5 ปีแล้วถึงจะสลายไป แต่ลืมคิดไปว่าพอนานปั๊บ หน้าเสียก็เสียไป กว่าจะหายก็ 5 ปี ต้องเข้าไปขูดออกอย่างเดียว หรือไม่ก็รอให้ร่างกายกำจัดออกเอง
รู้อย่างนี้แล้วก่อนที่สาวๆ จะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงอะไรหรือทำอะไรซักอย่างกับตัวเอง สาวๆ จะต้องศึกษาหาข้อมูลให้ดีเสียก่อน ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป เพราะมันมีผลกับชีวิตเราโดยตรง