Group Blog
 
All blogs
 

แรงจูงใจในการลดน้ำหนัก





     การอยากมีหุ่นดี หุ่นสวย ใส่อะไรก็ดูดี เป็นสิ่งที่สาวๆ หลายคนฝันแต่สาวๆ หลายคนก็ได้แต่ฝันเพราะในความเป็นจริงมันทำได้ยาก วันนี้เราจึงเรื่องราวเกี่ยวกับแรงจูงใจในการลดน้ำหนักมาฝากกันค่ะ ลองมาดูกันนะคะว่าจะช่วยทำให้คุณสาวๆ ลดน้ำหนักได้สมใจหรือไม่ลองมาทำดูนะคะ






ช่วง 2-3 วันที่เริ่มไดเอ็ตจะทรมานมากและหิวตลอดเลย

     แรงจูงใจในการลดน้ำหนัก : คืออย่าอดข้าวเช้าค่ะ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณจะเกิดความอยากอาหารมากๆ ในช่วงแรกของการลดน้ำหนัก นั่นเป็นเพราะว่าคุณจำกัดปริมาณอาหารทำให้แคลอรี่ที่รับเข้าไปน้อยเกินเลย ส่งผลให้ร่างกายผลิตฮอร์โมน Ghrelin (ฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกหิว) ออกมามากเกินไป วิธีที่จะสามารถสร้างแรงจูงใจโดยการลดระดับฮอร์โมน Ghrelin แถมยังควบคุมแคลอรี่ได้ด้วยก็คือ การกินมื้อเช้าค่ะ




     จากการวิจัยในประเทศเนเธอร์แลนด์ พบว่า ใน 1 วัน ร่างกายจะต้องการพลังงานจากมื้อเช้าถึง 20% ทีเดียวค่ะ (ประมาณ 350 แคลอรี่) เพราะฉะนั้นคนที่กินมื้อเช้าที่ประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะผลิต ฮอร์โมน Ghrelin น้อยกว่า 33% ตลอดทั้งวัน แถมคาร์โบไฮเดรตยังช่วยให้เกิดการเผาผลาญช้า ทำให้รู้สึกอิ่มได้นานกว่าการที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย




ทำไมช่วงมีประจำเดือน ถึงรู้สึกอยากกินไอศกรีมและขนมกรุบกรอบจัง

     แรงจูงใจในการลดน้ำหนัก : สร้างแรงจูงใจโดยต้องกินบ่อยๆ เพราะในช่วง 14 วันสุดท้ายของประจำเดือนจะอยู่ในช่วงที่เรียกว่า Luteal Phase ซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพิ่มสูงขึ้น แต่ฮอร์โมนที่ทำให้อารมณ์ดีอย่างเซโรโทนินหรือฮอร์โมนเอนดอร์ฟินและ Dopamine ที่ช่วยต่อสู้กับความเครียดจะลดลง ทำให้คุณรู้สึกเศร้า เหงาหงอย หงุดหงิด และอยากกินนั่นกินนี่ตลอดเวลา นอกจากนี้ฮอร์โมนอินซูลินที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นจะยิ่งไปช่วยกระตุ้นความอยาก ของคุณให้มีมากขึ้นกว่าปกติอีกด้วยค่ะ




     ถ้าคุณกำลังอยู่ในช่วงที่อยากกินอาหารหรืออยากกินขนมจุกจิกมาก เกิน พิกัดอย่างนี้ ลองเปลี่ยนมื้อปกติ 3 มื้อใหญ่ๆ ที่เคยกินตอน 9 โมงเช้า เที่ยง และ 6 โมงเย็น แบ่งไปเป็นมื้อเล็กๆ ตลอดทั้งวัน เพราะการที่คุณกินมื้อเล็กๆ 4-6 มื้อต่อวันนั้น จะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่สามารถป้องกันอาการพองบวม และช่วยไม่ให้เกิดการง่วงซึมและขี้เกียจอันจะนำไปสู่การกินมากขึ้นค่ะ




พอน้ำหนักเริ่มคงที่ ร่างกายก็หยุดไดเอ็ต

     แรงจูงใจในการลดน้ำหนัก : ให้งดออกกำลังกายหนักๆ 1 สัปดาห์ เพราะจากการวิจัยพบว่าน้ำหนักจะลดช้าลงและคงที่ในเดือนที่ 6 ถ้าช่วงนี้คุณโหมออกกำลังกายมากไปเพื่อที่จะให้น้ำหนักลดละก็มันอาจจะไม่ได้ ผลดังที่ตั้งใจแน่ๆ ยิ่งกลับทำให้ร่างกายเหนื่อยล้ามากขึ้นซะอีก ทางที่ดีควรงดออกกำลังกายหนักๆ สักระยะแล้วเปลี่ยนมาวิ่งจ๊อกกิ้งเบาๆ ในตอนเช้า รวมถึงเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หันมาทำอะไรใหม่ๆ บ้าง การเปลี่ยนแปลงอย่างนี้จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายกลับมาสู่ช่วงไดเอ็ตได้อีก ค่ะ




ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 21 มิถุนายน 2554    
Last Update : 21 มิถุนายน 2554 15:00:42 น.
Counter : 534 Pageviews.  

ผื่นจากเครื่องสำอาง





     คนปกติมีโอกาสแพ้เครื่องสำอางได้ไม่น้อยเลยนะคะ บางรายงานพบว่ามีได้ถึงร้อยละ 10 เลยทีเดียว ผื่นจากเครื่องสำอางอาจเกิดจากเครื่องแต่งหน้า ครีมบำรุง ครีมกันแดด และยังรวมไปถึงสบู่ แชมพู ครีมนวดผม และยาสีฟันได้อีกด้วย ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่พวกเราใช้ในชีวิตประจำวัน ผื่นแพ้จากเครื่องสำอางจึงสามารถพบได้ในทุกเพศและทุกวัยค่ะ






ชนิดของผื่นจากเครื่องสำอาง

     สามารถแบ่งได้เป็น 5 ประเภทใหญ่ๆ คือ
     1. ผื่นที่เกิดจากการระคายเคือง (Irritant Contact Dermatitis) เกิดได้กับทุกคนที่สัมผัสสารที่ก่อการระคายเคืองต่อผิว เช่น กรด ด่าง หรือสบู่แรงๆ อาการแพ้มักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลา 1-2 วัน ทำให้ผิวหนังมีอาการแดง คัน และแสบร้อน



     2. ผื่นผิวหนังอักเสบจากการแพ้ (Allergic Contact Dermatitis) เกิดขึ้นเมื่อผิวหนังสัมผัสกับสารที่ก่อภูมิแพ้และเกิดการอักเสบ ผิวหนังจะมีอาการคัน บวมแดง อาจมีตุ่มนูนหรือตุ่มน้ำเล็กๆ ได้ ผื่นแพ้ชนิดนี้จะเป็นเฉพาะบุคคลที่แพ้สารสัมผัสเหล่านี้เท่านั้น คนที่ไม่แพ้สารดังกล่าวก็จะไม่ปรากฏอาการ สำหรับสารที่พบว่าก่อให้เกิดอาการแพ้ได้บ่อย ได้แก่



          2.1) น้ำหอม (Fragrance) ซึ่งเป็นสารที่พบว่าแพ้ได้บ่อยที่สุด น้ำหอมเป็นสารที่สกัดจากดอกไม้ สารสกัดธรรมชาติ หรือสารสังเคราะห์ที่ทำให้มีกลิ่นหอม น้ำหอมจะไม่ได้หมายเพียงถึงน้ำหอมที่ฉีดเท่านั้น แต่เครื่องสำอางหลายๆ ชนิดก็จะผสมน้ำหอมเข้าไปด้วย เช่น ครีมบำรุง ครีมล้างหน้า หรือสบู่ ดังนั้นผู้ที่มีอาการแพ้ง่ายอาจจะต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ส่วนผสมของน้ำ หอม ซึ่งจะมีคำว่า Fragrance–Free หรือ Unscented เขียนกำกับไว้
          2.2) สารกันบูด (Preservative) เป็นสารที่ใส่เพื่อไม่ให้เครื่องสำอางเสื่อมสภาพ เป็นสารที่พบว่าแพ้ได้บ่อยเป็นอันดับที่ 2
          2.3) น้ำยาย้อมผม พบได้ในบุคคลที่ทำสีผมหรือย้อมผม



     3. ผื่นสัมผัสอันเนื่องมาจากการแพ้สารเมื่อถูกแสง (Photoallergic Contact Dermatitis) อาการแพ้จะเกิดขึ้นเมื่อผิวหนังสัมผัสกับสารที่ทำปฏิกิริยากับแสงแดดและ เปลี่ยนเป็นสารก่อภูมิแพ้ เช่น ครีมกันแดด น้ำหอม



     4. ผื่นลมพิษสัมผัส (Contact Urticaria) พบได้ค่อนข้างน้อย มีลักษณะเป็นผื่นลมพิษ โดยผิวหนังจะบวมเป็นรอยนูนแดง เกิดตรงบริเวณที่ผิวหนังสัมผัสกับสารก่อผื่น และอยู่นานประมาณ 30–60 นาที



     5. สิวจากเครื่องสำอาง (Acne Cosmetica) ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเส้นผมบางชนิดที่มีความมันและเหนอะมากสามารถทำให้เกิด สิวอุดตัน (comedone) และสิวอักเสบเป็นหนองได้ โดยที่สิวอักเสบหัวหนองมักจะเกิดขึ้นอย่างเร็วภายในเวลาไม่กี่วัน ในขณะที่สิวอุดตันอาจเกิดขึ้นภายหลังการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเสร็จสิ้นไป แล้วนานหลายสัปดาห์ ที่น่าสังเกตคือสิวที่เกิดขึ้นมักจะอยู่ในระยะเดียวกันหมด และใช้เวลาในการรักษานาน




     1. หากคุณสงสัยว่าจะเป็นผื่นจากเครื่องสำอางชนิดผื่นแพ้สัมผัส, ผื่นระคายเคืองหรือผื่นสัมผัสเนื่องจากการแพ้สารร่วมกับแสง ควรปฏิบัติตัวดังนี้
          1.1 ถ้าสงสัยผลิตภัณฑ์ตัวไหนก็ให้หยุดชิ้นนั้น ๆ นะคะ เช่น ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่งทดลองใช้ใหม่เป็นครั้งแรก
          1.2 หากมีผิวหนังอักเสบหรือระคายเคืองอยู่ ให้งดใช้สบู่หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด แต่ให้ใช้น้ำเปล่าในการทำความสะอาดแทน
          1.3 ช่วงที่ผิวหนังอักเสบอยู่ควรหยุดใช้เครื่องสำอางทุกชนิด จะอนุโลมให้ใช้ได้เฉพาะลิปสติกในกรณีที่ริมฝีปากไม่มีผื่น
          1.4 เครื่องสำอางบริเวณรอบดวงตา สามารถใช้ได้หากไม่มีผื่นบริเวณเปลือกตา
          1.5 สามารถใช้แป้งฝุ่นได้
          1.6 คุณสามารทดสอบผลิตภัณฑ์ที่สงสัยได้เอง ทางการแพทย์เรียกว่า วิธี ROAT (Repeat Open Application Test) หรือ Use Test โดยทดลองทาผลิตภัณฑ์นั้นๆ บนท้องแขนให้เป็นวงขนาดเท่าเหรียญ 10 บาทวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ถ้าเกิดผื่นแดงคันขึ้นแสดงว่าแพ้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจริงค่ะ
          1.7 ในกรณีที่มีอาการมากควรไปพบแพทย์ผิวหนัง และอย่าลืมนำเครื่องสำอางที่คิดว่าแพ้ไปทดสอบด้วย แพทย์จะทำการทดสอบสารที่สงสัยว่าจะแพ้ โดยการปิดสารที่แพ้บนผิวหนังที่หลัง (patch test) และอ่านผลอีก 2 ครั้ง
          1.8 หากผื่นหายเป็นปกติแล้ว ซึ่งจะใช้เวลาเป็นสัปดาห์ถึงเป็นเดือน สามารถเริ่มทดลองใช้เครื่องสำอางทีละ 1 ชนิด และใช้ชนิดเดียวไปก่อนเป็นเวลา 2 สัปดาห์ หากไม่มีผื่นเกิดขึ้น จึงเลือกใช้ชนิดที่ 2 และ 3 ตามมา

 



     2. หากเป็นสิวจากเครื่องสำอาง (Acne cometica)
          2.1 หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่สงสัย รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีความเหนียว เหนอะหนะ
          2.2 ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อวินิจฉัยและรักษา สิวจากเครื่องสำอางจะต่างจากการแพ้ชนิดอื่นๆ ที่ต้องใช้เวลาในการรักษาเป็นเดือน บางคนหลายเดือนเลยทีเดียวจึงจะหาย




ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2554    
Last Update : 17 มิถุนายน 2554 14:08:54 น.
Counter : 516 Pageviews.  

บัญญัติ 5 ประการ เพื่อการลดน้ำหนักอย่างถูกต้อง





     อันที่จริงโดยทั่วไปนั้นหลักการลดน้ำหนักก็ไม่มีอะไรมากครับ ใช้แค่หลักสมการพื้นฐานของหลักการที่ว่าด้วยพลังงานที่ร่างกายได้รับเข้าไป ต้องน้อยกว่าพลังงานที่ใช้ในแต่ละวันก็เท่านั้นเอง พอเขียนมาถึงตรงนี้อาจมีหลายๆ ท่านเถียงอยู่ในใจว่าเขียนง่ายแต่ทำยาก ซึ่งตรงนี้ขอบอกเลยครับว่า บัญญัติ 5 ประการต่อไปนี้ไม่ยากอย่างที่คิดครับ





1. ขั้นแรกต้องทราบก่อนว่า เราควรลดน้ำหนักหรือไม่ โดยการคำนวณจากค่าดัชนีมวลกายหรือ Body Mass Index ของเราเอง การคำนวณก็ทำได้ง่ายดายครับ เพียงใช้สูตร

     BMI = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ∕ [ส่วนสูง (เมตร)] ยกกำลัง 2

     เช่น ถ้าคุณน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม สูง 170 เซนติเมตร คุณก็จะได้ค่า BMI = 60/ (1.7) x (1.7) = 20.7

     ทีนี้ถ้าคุณคำนวณได้ค่า BMI มากกว่า 25 ขึ้นไป แสดงว่าคุณอยู่ในภาวะน้ำหนักเกินต้องทำการลดน้ำหนักแล้วครับ



2. เมื่อเรารู้ว่าเราต้องลดน้ำหนักแล้วให้ตั้งเป้าหมายตัวเองอย่างชัดเจนในการที่ต้องการจะลดน้ำหนัก
     โดยอาจจินตนาการว่าคุณต้องการมีรูปร่างอย่างไร และต้องการลดน้ำหนักกี่กิโลกรัม ภายในระยะเวลาเท่าไหร่ ซึ่งขอแนะนำว่าควรลดน้ำหนักประมาณ 0.5 -1 กิโลกรัม ต่อสัปดาห์เท่านั้นนะครับ อย่าใจร้อนรีบลดน้ำหนักจนเกินไปเพราะจะส่งผลเสียต่อร่างกายเช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยล้าได้ ซึ่งจะทำให้การลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องสนุกอีกต่อไป



3. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ดังต่อไปนี้

     3.1 รับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ (ย้ำว่าครบทุกมื้อครับ) ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการรับประทานเกินขนาดในมื้อที่คุณรับประทานต่อไปได้
     3.2 รับประทานอาหารกลุ่มที่มีกากใยสูง เช่น ธัญพืช ผัก และผลไม้ เป็นประจำทุกวัน
     3.3 รับประทานของหวาน ของมัน ของทอดให้น้อยลง โดยอาจกำหนดความถี่ว่า รับประทานได้กี่ครั้งต่อสัปดาห์ (ห้ามกำหนดว่าเป็น 7 วันต่อสัปดาห์นะครับ
     3.4 ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน น้ำบริสุทธิ์จะช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกายคุณได้ครับ
     3.5 หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะแอลกอฮอล์สามารถให้พลังงานส่วนเกินที่ร่างกายคุณไม่ต้องการและไปสะสม เป็นไขมันได้ครับ
     3.6 รับประทานอาหารช้าๆ จะช่วยให้คุณอิ่มเร็วขึ้น
     3.7 ถ้าหากคุณมีโอกาสไปรับประทานอาหารตามร้านอาหาร ให้ขอทางร้านห่ออาหารครึ่งหนึ่งของคุณเพื่อแบ่งกลับไปรับประทานที่บ้าน วิธีนี้นอกจากจะช่วยควบคุมอาหารแล้วยังประหยัดเงินได้อีกด้วย




4. ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาที ต่อครั้ง และ ทำ 3-4 ครั้ง ต่อสัปดาห์
     ในที่นี้ไม่ได้แนะนำว่าให้ท่านต้องไปสมัครเป็นสมาชิกของฟิตเนสแต่ ประการใด ครับ เพราะการออกกำลังกายง่ายๆ ที่ท่านสามารถทำเองที่บ้านมีมากมาย เช่น ปั่นจักรยาน เดิน หรือเต้นตามจังหวะเพลง เป็นต้น นอกจากนี้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เราสามารถหาโอกาสในการออกกำลังกายได้ง่ายๆ ดังนี้ครับ



     4.1 ใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟท์ หากคุณต้องขึ้นหรือลงอาคารเพียง 2-3 ชั้น
     4.2 จอดรถให้ไกลกว่าเดิม เพื่อที่จะได้มีโอกาสเดินได้มากขึ้น
     4.3 ทำงานบ้านต่างๆ โดยใช้เครื่องทุ่นแรงให้น้อยลง เช่น การซักผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน
     4.4 หางานอดิเรกที่มีการออกแรง เช่น ทำสวน ปลูกต้นไม้ จูงสุนัขเดินเล่น




5. ทำใจให้สบาย ผ่อนคลายและไม่เครียดครับ
     เนื่องจากมีแนวโน้มว่าคนที่มีความเครียดเป็นประจำมักจะรับประทานอาหาร มากกว่าปกติ และกินจุบกินจิบบ่อยๆ และที่สำคัญหลีกเลี่ยงการใช้ยาลดน้ำหนักทุกชนิดนะครับ เพราะอาจส่งผลอันตรายถึงชีวิตดังที่เป็นข่าวขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ




     เป็นอย่างไรบ้างครับ กับเคล็ดลับในการลดน้ำหนักที่เสนอมา หวังว่าคงทำให้คุณผู้อ่านทุกท่านมีรูปร่างดีและสุขภาพแข็งแรงกันทุกท่านนะ ครับ





ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 15 มิถุนายน 2554    
Last Update : 15 มิถุนายน 2554 13:22:33 น.
Counter : 538 Pageviews.  

ว้าว! สุดยอดศิลปะแต่งสีสันบนเปลือกตา





     หากจะพูดถึงการแต่งแต้มสีสันบนดวงตาแล้ว สาวๆ หลายคนล้วนมีวิธีการแต่งดวงตาที่ไม่ต่างกันเท่าไหร่ นั่นคือการไล่สีอายชาโดว์เข้มไปอ่อนให้ดวงตามีมิติขึ้น ซึ่งจะทำให้ดวงตาโดดเด่นมากน้อยเพียงใด ก็คงจะขึ้นอยู่กับสีสันที่ใช้ แต่หากสาวๆ ได้เห็นการแต่งดวงตากันวันนี้ รับรองว่าต้องร้องว้าว เพราะมันสวยงามกินขาด และทำให้ดวงตาคุณโดดเด่น ชนิดที่ใครเห็นก็ต้องจ้องกันนานๆ เลยทีเดียว





     และ ภาพที่เห็นอยู่นี้ก็คือ ศิลปะการลงอายแชโดว์บนเปลือกตา ผลงานการสร้างสรรค์ของสาว เคที่ อาล์ฟส เมคอัพอาร์ติสต์ชาวแคนาดาไอเดียเก๋ ที่จะเป็นผู้ริเริ่มแฟชั่นใหม่ที่น่าสนใจและดูโดดเด่นไม่น้อย เมื่อเธอได้ลงมือใช้อายชาโดว์ และอายไลเนอร์ วาดรูปต่างๆ บนเปลือกตา ซึ่งเธอก็ได้สร้างสรรค์ออกมาหลากหลายแบบ ดูเหมาะสำหรับการแต่งดวงตาไปงานแฟนซีอย่างมากเลยล่ะ



     สำหรับผลงานศิลปะบนเปลือกตานี้ เคที่ อาล์ฟส ได้เปิดเผยว่า ไอเดียสุดเก๋นี้ริเริ่มขึ้นจากวันก่อนฮาโลวีน จู่ๆ เธอก็ปิ๊งไอเดียตกแต่งริมฝีปากให้เป็นรูปผีและฟักทอง และเมื่อลงมือทำก็พบว่ามันดูเก๋มาก จากนั้นเธอจึงเริ่มสร้างสรรค์ศิลปะลงบนเปลือกตาบ้าง และพบว่า มันมีพื้นที่มากกว่าริมฝีปาก และสวยกว่าสร้างสรรค์มันลงบนริมฝีปากเสียอีก หลังจากนั้นเธอจึงสร้างสรรค์ลายเก๋ๆ ขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ตัวการ์ตูนดิสนีย์ ท้องฟ้าป่าเขา และรูปวาดเทศกาลต่างๆ โดยใช้อายชาโดว์แต่งแต้มเป็นพื้นหลังและฉาก และใช้อายไลเนอร์วาดรายละเอียดต่างๆ เช่น คน สัตว์ ต้นไม้ เป็นต้น ซึ่งมันก็ทำให้เป็นที่สนใจไม่น้อยเลยทีเดียว



     เอ้า! งานนี้ใครสนใจก็ลองสร้างสรรค์กันดูบ้าง เพราะดูเหมือนการแต่งดวงตารูปแบบนี้จะเป็นไอเดียที่ดี ที่จะนำมาปรับใช้ในการแต่งตาให้มีลูกเล่นไม่น้อยเลยนะเออ

 











www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2554    
Last Update : 10 มิถุนายน 2554 13:36:39 น.
Counter : 474 Pageviews.  

แค่เพียง 30 นาที ก็สวยได้ด้วยแพทย์แบบทันใจวัยรุ่น





     ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทุกวันนี้ ทำให้ทุกๆ อย่างรวดเร็ว และประหยัดเวลาขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่เว้นแม้แต่เทคโนโลยีในวงการศัลยกรรม ที่ทุกวันนี้ แทบจะไม่ต้องเสียเวลาให้กับการทำสวยมากมายเหมือนแต่ก่อน เรียกว่า สาวๆ สามารถเอาเวลาว่างระหว่างรอทานข้าว หรือพักเที่ยงของวันทำงานไปทำศัลยกรรมได้ง่ายๆ เลยทีเดียว ซึ่งเทคโนโลยีสุดประหยัดเวลานี้ ก็มีให้เลือกมากมาย





     1. ฉีดฟิลเลอร์ การฉีดฟิลเลอร์เป็นเทคโนโลยีเติมเต็มร่องลึก ที่จะทำให้ใบหน้าที่มีริ้วรอยแห่งวัยกลับกลายเป็นผิวตึงกระชับ ได้ง่ายๆ โดยแพทย์จะฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในบริเวณที่มีร่องลึก และมันก็เห็นผลได้หลังจากฉีดทันทีเลยล่ะ ใช้เวลาเพียง 15-30 นาทีเท่านั้น

 



     2. เมโสโบท็อกซ์ เป็นการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปตื้นๆ ในชั้นหนังแท้ เพื่อแก้ปัญหาผิวที่หย่อนคล้อย รูขุมขนกว้าง ซึ่งแพทย์จะจะใช้เข็มฉีดเข้าไปในบริเวณที่หย่อนคล้อย และอาจรู้สึกเจ็บและบวมเล็กน้อย แต่สาวๆ ก็จะเดินออกมาจากคลินิกด้วยใบหน้าที่ไร้แผล และแทบจะเหมือนกับใบหน้าปกติ โดยการฉีดเมโสโบท็อกซ์นี้ จะเห็นผลภายใน 1 สัปดาห์ ใช้เวลาฉีดเพียง 20-30 นาทีเท่านั้น

 



     3. Ultherapy ลดริ้วรอย เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในวงการแพทย์ผิวหนัง ที่สามารถยกกระชับผิวหน้าให้เต่งตึง ดูอ่อนเยาว์ได้ง่ายๆ ด้วยการใช้คลื่นเสียง Ulthera ซึ่งเป็นคลื่นเสียงที่มีความถี่สูง ไปปรับสภาพใต้ผิวหนัง โดยแพทย์จะปล่อยคลื่นเสียงนี้ลงไปยังผิวหนังบริเวณที่หย่อนคล้อย หรือมีริ้วรอย ซึ่งพลังงานนี้จะเปลี่ยนเป็นความร้อนจุดเล็กๆ กระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนเติมเต็มในชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวหน้าเต่งตึงและเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที ต่อการรักษา 1 ครั้ง

 



     4. การฉีด hyaluronic acid เป็นการฉีดเสริมส่วนที่ขาดหายไปในชั้นผิวหนัง เช่น รอยแผลเป็นขนาดเล็ก หลุมสิว ร่องแก้ม ซึ่งได้รับการยอมรับจาก อย. แล้วว่าเป็นสารที่ปลอดภัย ไม่มีการตกค้างในร่างกาย ส่วนผลลัพธ์ที่ได้ก็คล้ายกับการฉีดโบท็อกซ์เลยค่ะ ใช้เวลาอยู่ที่ประมาณ 30 นาทีเท่านั้นเอง

 



     5. การฉีดโบท็อกซ์ เป็นวิธียกกระชับผิวหน้าที่จะแพทย์จะฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน ซึ่งเป็นสารพิษ ที่ช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อทำให้ผิวบริเวณตีนกา หรือหน้าผากที่มีรอยย่นแล้ว หรือผิวที่หดเกร็งอยู่นั้นคลายตัว ส่งผลให้มีใบหน้าเนียนใส เต่งตึง วิธีนี้เป็นวิธียอดนิยมมาก ใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที

 



     อย่างไรก็ดี แม้ว่าเทคโนโลยีที่ว่ามานี้จะใช้เวลารวดเร็วในการรักษา แต่สาวๆ ก็ไม่ควรประมาท ตัดสินใจอย่างรวดเร็วในการไปทำกับแพทย์ในคลินิกนะคะ เพราะหากเข้ารับการรักษาในคลินิกที่ไม่ได้รับมาตรฐานล่ะก็ อาจทำให้เทคโนโลยีสวยอย่างรวดเร็วนั้นให้โทษกับคุณก็เป็นได้ค่ะ




ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 09 มิถุนายน 2554    
Last Update : 9 มิถุนายน 2554 14:59:03 น.
Counter : 486 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

YangJing
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







Friends' blogs
[Add YangJing's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.