Group Blog
 
All blogs
 

6 คำถามเกี่ยวกับการแพ้เครื่องสำอาง ตอนที่ 1

คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอาง ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเรา สถานบัน The American Academy of Dermatology รายงานว่าโดยเฉลี่ยแล้ว คนทั่วไปมีการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางอย่างน้อย 7 ชนิดต่อวัน ถึงแม้ว่าเครื่องสำอางจะช่วยเสริมความงามให้คุณสาวๆ แต่มันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคืองและแพ้ได้ เนื่องจากส่วนประกอบในเครื่องสำอาง มักจะมีสาร Antigen ซึ่งจะกระตุ้นทำให้เกิดอาการแพ้ได้


เคยสงสัยมั้ยค่ะว่า อาการอะไรบ้างที่เรียกว่า แพ้เครื่องสำอางแล้ว แล้ว ส่วนประกอบอะไรบ้างในเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการแพ้ แล้ว ถ้าแพ้เครื่องสำอางแล้ว ยังจะใช้ได้อีกหรือไม่ จะรู้ได้ยังไงว่า เราแพ้เครื่องสำอางตัวไหน แล้ว และ มีวิธีการป้องกันหรือแก้ไขอย่างไร และ ฉลากผลิตภัณฑ์ ช่วยให้เราป้องกันการเกิดอาการแพ้ได้อย่างไร คำถามต่างๆ เหล่านี้ Doctorskinhouse มีคำตอบให้กับคุณสาวๆ เพื่อคลายข้อข้องใจ มาเริ่มดูรายละเอียดกันดีกว่าค่ะ


คำถามที่ 1 อาการอะไรบ้างที่เรียกว่า แพ้เครื่องสำอาง???





อาการที่แสดงว่า แพ้เครื่องสำอาง ได้แก่ มีอาการคัน มีอาการอักเสบของผิวหนัง ซึ่งมักจะแสดงออกในลักษณะของปวด บวม แดง ร้อน โดยจะเกิดบริเวณที่สัมผัสสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ ถ้ามีอาการรุนแรง อาจทำให้เกิดการติดเชื้อบริเวณผิวหนังได้ด้วย


สำหรับระยะเวลาที่จะเกิดอาการดังกล่าวนั้น อาจแตกต่างกันออกไป ถ้าผิวของเราเกิดได้รับสารก่อให้เกิดการแพ้อย่างรุนแรง เช่น น้ำหอม อาจจะแสดงอาการออกมาให้เห็นภายในไม่กี่นาที หรือไม่กี่ชั่วโมง หลังจากที่สัมผัสสารเหล่านั้น แต่ในบางกรณีอาจจะต้องอาศัยเวลาหลายวันหรือเป็นสัปดาห์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสารที่ทำให้เกิดการแพ้


คำถามที่ 2 ส่วนประกอบอะไรบ้างในเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการแพ้





อาการแพ้เครื่องสำอาง อาจจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นกับระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย บางคนอาจแพ้ส่วนประกอบนี้ แต่บางคนอาจจะไม่แพ้ก็ได้ ซึ่งความรุนแรงก็จะต่างกันออกไปด้วย ได้มีการจัดอันดับส่วนประกอบในเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดอาการแพ้มากที่สุด โดย North American Contact Dermatitis Group ดังต่อไปนี้





โดยทั่วไปส่วนประกอบในเครื่องสำอางที่มักก่อให้เกิดการแพ้ จะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ได้แก่


1. น้ำหอม (Fragrance)

จากผลการทดสอบการด้วยวิธี Patch test ที่ทำการทดลองโดย North American Contact Dermatitis Group (NACDG) ในปี 1998-2000 พบว่าน้ำหอมเป็นส่วนประกอบที่ก่อให้เกิดการแพ้มากที่สุด อย่างไรก็ตามการหลีกเลี่ยงใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของน้ำหอมนั้น ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก เนื่องจากในฉลากของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว มักจะไม่มีระบุคำว่า “Fragrance” ไว้ แต่อาจจะใช้คำว่า “ Essential Oil” ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้เกิดความสับสนได้





2. สารกันเสีย (Preservative)

มีสารกันเสียจำนวนมากที่ก่อให้เกิดการแพ้ของผิวหนัง เช่น Formaldehyde หรือสารกลุ่ม Paraben เช่น Methylparaben และ Propylparaben ดังนั้นในปัจจุบันเราจะเห็นว่ามีผลิตภัณฑ์จำนวนหนึ่งที่มักจะ claim ว่า “ Paraben Free” หรือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีการใช้สารกันเสียกลุ่ม Paraben เป็นส่วนประกอบนั่นเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอาการแพ้





3. สารแต่งสีในผลิตภัณฑ์น้ำยาทำสีผมและน้ำยาทาเล็บ

ส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์แต่งสีผมหรือน้ำยาทาเล็บ ที่มักก่อให้เกิดการแพ้ได้บ่อย ได้แก่ Paraphenylenediamine (PPD) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้แต่งสีผม นอกจากนี้ยังมีสารเคมีที่ใช้ในการดัดผม คือ Glyceryl thioglycolate และ Ammonium Thioglycolate ก็ก่อให้เกิดการแพ้ได้บ่อยเช่นกัน





4. สารในผลิตภัณฑ์กันแดด

ส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์กันแดดที่มักก่อให้เกิดการแพ้มากที่สุดได้แก่ Paraaminobenzoic acid (PABA) ด้วยเหตุนี้ในปัจจุบันจึงไม่ค่อยพบสารนี้ในผลิตภัณฑ์กันแดด แต่จะเห็นสาร Oxybenzone (Benzophenone-3) แทน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ถึง 0.6% ส่วนสาร Avobenzene นั้นทำให้เกิดการแพ้ได้ค่อนข้างน้อย นอกจากนี้สารกันแดดอนุพันธ์ของสารกลุ่ม PABA , Benzophenones, Cinnamates และ Dibenzoyl-methanes จะทำให้เกิดการแพ้ที่เรียกว่า Photo-allergic dermatitis ซึ่งเป็นอาการแพ้หลังจากที่โดนแสงนั่นเอง





คำถามที่ 3 ถ้าแพ้เครื่องสำอางแล้ว ยังจะใช้ได้อีกหรือไม่





ถ้าคุณรู้สึกหรือสงสัยว่าตัวเองกำลังมีอาการแพ้เครื่องสำอาง ให้หยุดใช้เครื่องสำอางทุกตัวที่ใช้อยู่ เมื่ออาการของคุณดีขึ้นแล้ว จึงค่อยมาใช้เครื่องสำอางอีกครั้ง โดยควรเริ่มใช้ทีละตัว เพื่อจะได้รู้ว่า เครื่องสำอางชนิดไหนกันแน่ที่ทำให้คุณเกิดอาการแพ้ แต่ถ้าคุณยังไม่สามารถระบุได้ว่าแพ้ตัวไหนกันแน่ หรืออาการแพ้ของคุณยังไม่ดีขึ้นหลังจากที่หยุดใช้เครื่องสำอาง ให้รีบไปปรึกษาแพทย์ทันที


คำถามที่ 4 จะรู้ได้ยังไงว่า เราแพ้เครื่องสำอางตัวไหน





การหาสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการแพ้นั้น อาจดูได้จากลักษณะของอาการที่แสดงออกมา และประวัติที่คุณไปสัมผัสสารที่มีความเสี่ยงทำให้เกิดการแพ้ แต่เนื่องจากคุณสาวๆอย่างเราๆนั้น ใช้เครื่องสำอางหลายชนิด ดังนั้นการที่จะหาว่าสารที่ก่อให้เกิดการแพ้คืออะไร จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ต้องอาศัยการสังเกตอย่างมาก แต่ถ้ามีอาการแพ้รุนแรง ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง ซึ่งแพทย์จะใช้วิธีที่เรียกว่า Patch skin test เพื่อหาว่าสารใดที่ทำให้คุณเกิดอาการแพ้ โดยหลักการของวิธีนี้คือ จะทดสอบสารที่สงสัยว่าทำให้เกิดการแพ้กับผิวของคุณ ถ้าผิวของคุณมีลักษณะบวม แดง ร้อน ขึ้นมา แสดงว่าสารนั้นเป็นต้นเหตุของการแพ้ของคุณนั่นเอง





เป็นยังไงมั้งค่ะ สำหรับ 4 คำถามแรกเกี่ยวกับการแพ้เครื่องสำอาง คงมีประโยชน์สำหรับคุณสาวๆ ไม่มากก็น้อย อย่าลืมนะคะ เครื่องสำอางมันช่วยให้เราสวยได้ก็จริง แต่ถ้าเราไม่รู้จักใช้มันให้ถูกต้อง เครื่องสำอางก็อาจจะกลับมาให้โทษ ถ้าโชคร้ายหน่อยก็อาจทำให้คุณเสียโฉมไปเลยก็ได้ ดังนั้นขอแค่คุณรู้จักเรียนรู้ และคอยสังเกต เพียงแค่นี้ คุณก็จะสวยได้อย่างปลอดภัยค่ะ


โปรดติดตามคำถามอีก 2 ข้อที่เหลือ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ มีวิธีการป้องกันหรือแก้ไขเพื่อหลีกเลี่ยงการแพ้เครื่องสำอาง รวมทั้งฉลากของผลิตภัณฑ์ที่เราเห็นอยู่นั้น มันมีประโยชน์ช่วยให้เราปลอดภัยได้อย่างไร ติดตามต่อในอาทิตย์หน้านะคะ ^-^


Original content




ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 24 มีนาคม 2554    
Last Update : 24 มีนาคม 2554 14:38:37 น.
Counter : 496 Pageviews.  

สลายไขมันส่วนเกินด้วย Carboxy therapy

คุณผู้หญิงที่รักสวยรักงามทั้งหลาย หากไขมันส่วนเกินตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเป็นหนามที่คอยทิ่มแทงใจ ฉบับนี้เรามีเทคนิคใหม่ๆ มาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคุณค่ะ...


โดยทั่วไป การรักษาไขมันส่วนเกินที่ไม่พึงประสงค์ตามตำแหน่งต่างๆ เช่น หน้าท้อง เอว สะโพก ต้นขา แขน สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้...


โดยการผ่าตัด เช่น การดูดไขมัน (Liposuction) หรือการผ่าตัดไขมันออก (Lipectomy) วิธีนี้ได้ผลดีเห็นผลเร็ว เหมาะในคนที่ไม่ค่อยมีเวลา ชอบแบบรวดเร็ว เห็นผลเร็วโดยไม่ผ่าตัด เหมาะกับคนที่ไม่ชอบการผ่าตัด เช่น


- การใช้เครื่องนวดสลายไขมัน เช่น เครื่อง Cellulite-IP, Keymodule, Shapemaster

- การฉีดยาสลายไขมัน (Mesotherapy)

- การฉีดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (Carboxy therapy)


"การใช้ Co₂ สามารถลดสัดส่วนทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นดีขึ้น มีการสลายของเซลล์ไขมันลดปัญหาเซลลูไลท์ รักษารอยแตกลาย"


Carboxy therapy เป็นการรักษาโดยใช้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (Co₂) ซึ่งวิธีนี้เป็นที่รู้จักมานานหลายปีแล้ว (ประมาณ 70 ปี) โดยเริ่มต้นในประเทศฝรั่งเศส นำมาใช้ในการรักษาโรคของเส้นเลือดตีบ เนื่องจากการใช้แก๊ส Co₂ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดและทำให้มีการเพิ่มขึ้นของแก๊สออกซิเจน จึงเชื่อว่าน่าจะมีผลทำให้เกิดขบวนการสลายไขมัน (Oxidative lipolysis) จึงได้มีการศึกษานำมาใช้ในการสลายไขมันเฉพาะที่ในคน แล้วทำการวัดสัดส่วน และตัดชิ้นเนื้อตรวจพบว่า การใช้ Co₂ สามารถลดสัดส่วนและทำให้ผิว หนังมีความยืดหยุ่นดีขึ้น (Skin elasticity) และจากชิ้นเนื้อยังพบว่ามีการสลายของเซลล์ไขมัน (Lipolysis) จึงได้นำวิธีนี้มาใช้ในการสลายไขมันลดสัดส่วนเฉพาะที่ ลดปัญหาเซลลูไลท์และรักษารอบแตกลาย


การรักษาด้วย Carboxy therapy เป็นวิธีการรักษาที่ง่าย ใช้เวลาไม่นาน โดยการใช้เข็มเล็กๆ ซึ่งต่อกับท่อปล่อยแก๊ส แล้วทำการปล่อยแก๊ส Co₂ ผ่านทางเข็มลงไปในตำแหน่งที่จะรักษา ผู้มารรับการรักษาจะรู้สึกเพียงตึงๆ ในบริเวณที่ฉีด ใช้เวลาทำประมาณ 10-20 นาที หลังจากนั้นแก๊ส Co₂ จะค่อยๆ สลายไปเองค่ะ


การรักษาจะทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หลังทำ 3-4 ครั้ง จะรู้สึกได้ว่าไขมันเฉพาะที่ลดลง สัดส่วนลดลง สำหรับจำนวนครั้งในการรักษาที่เห็นผลได้ชัดเจน ขึ้นกับปริมาณไขมันที่สะสมมีมากหรือน้อย ถ้ามีมากอาจต้องทำกันหลายครั้ง ซึ่งการทำหลายครั้งไม่มีอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากแก๊ส Co₂ ที่ฉีดก็เป็นแก๊สชนิดเดียวกับที่ร่างกายผลิตออกมาแล้วขับออกทางการหายใจ หรือเป็นเหมือนแก๊สที่อยู่ในน้ำอัดลมที่เราดื่มเข้าไปนั่นเอง


การรักษาด้วยวิธี Carboxy therapy อาจใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เช่น ในคนที่รักษาเรื่องเซลลูไลท์ด้วยเครื่องนวด Cellulite-IP, Keymodole หรือในคนที่ฉีดยาสลายไขมัน (Mesotheropy) หรือในผู้ที่ทำการผ่าตัดหรือดูดไขมันแล้วยังมีปัญหาผิวไม่สม่ำเสมอ เมื่อทำการรักษาร่วมกันกับ Carboxy therapy จะทำให้ได้ผลดียิ่งขึ้นค่ะ


อ่านมาถึงบรรทัดนี้ เชื่อว่าวิธีนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคุณผู้หญิงที่อยากโบกมือลา ไขมันส่วนเกินตามข้อมูลจากแพทย์ก่อนตัดสินใจได้ค่ะ...

ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 22 มีนาคม 2554    
Last Update : 22 มีนาคม 2554 13:00:55 น.
Counter : 603 Pageviews.  

How to Bird of Paradice

วันนี้มาเจอกับเดี๊ยน ที่จะมาสอนคุณสาวๆ แต่งหน้าในแบบต่างๆ สำหรับในปักษ์นี้ เดี๊ยนตั้ชื่อตอนว่า “Bird of Paradise” หรือ ที่เราคุ้นเคยชื่อดอกไม้นี้ในภาษาไทยว่า “ปักษาสวรรค์” นั้นแหละคะ



ซึ่งเนื้อหาในวันนี้จะเป็นการสอนแต่งสีดวงตา โดยใช้สีที่เราคุ้นเคยกันดี คือ เหลือง และ แดง ซึ่งเป็นสีของดอกไม้ชนิดนี้ นี่แหละคะ เข้ากันได้ดี๋ ได้ดี!!!!!!!!! จริงหรอ?????? 555+ อันนี้เดี๊ยนก็ไม่รู้นะคะ เราต้องไปดุกันเองคะ ว่า มันจะออกมาในแนวไหน ลักษณะไหนคะ และทั้งนี้ทั้งนั้นขอบคุณนางแบบเพื่อนสาวชาวต่างชาติด้วยนะคะ ที่มาเป็นแบบ How to ให้ในวันนี้


พร้อมหรือยังคะ ถ้าพร้อมแล้ว เราก็ไปเตรียมอายชาโดว์และอุปกรณ์อื่นๆกันเลยคะ

อุปกรณ์และสีอายชาโดว์ที่ต้องเตรียมนะคะ



1. แปรงอายชาโดว์ที่สาวๆใช้กันอยู่นั่นแหละคะ

2. ดินสอเขียนขอบตา

3. มาสคาร่า

4. อายลายเนอร์แบบครีม

5. อายชาโดว์ สีขาว, สีเหลือง, สีส้มแดง และสีดำ



ขั้นตอนการทำค่ะ


1. ลงอายชาโดว์สีขาวบริเวณโหนกคิ้วและบริเวณส่วนหัวตา, เปลือกตา, และขอบตาล่างคะ



2. ใช้ดินสอเขียนขอบตา วาดบริเวณขอบตาล่างตามรูปเลยคะ โดยที่ให้มันเลออกมาทางหัวตา และหางตา ตามรูปเลยนะคะ ^ ^



3. วาดขอบที่เราจะลงสีอายชาโดว์บริเวณเปลือกตาด้านบนด้วยคะ ตามรูปเลยนะ วาดลงน้ำหนักเบาๆก่อนนะคะเพราะถ้าวาดพลาด มันจะได้ลบง่าย อได้รูปทรงที่ต้องการแล้วค่อยลงทับอีกทีให้มันเข้มเห็นชัดคะ



4. จากนั้นก็บรรเลงสีอายชาโดว์สีเหลืองบริเวรเปลือกตาด้ายบนตามกรอบที่เราวาดไว้เมื่อกี้เลยคะ ระวังอย่าให้เลยกรอบนะคะ



5. ใช้อายชาโดว์สีขาวเบลนทับบริเวณหัวตาให้สีมันดูซอฟลงและสว่างขึ้นนิดนึง นะคะ



6. หลังจากนั้นก็ใช้อายชาโดว์สีส้มแดง ลงบริเวณช่วงหางตาตลอดแนวจนถึงกรอบด้านหลังที่เราวาดกรอบไว้ในขั้นตอนต้นๆ



7. หลังจากเบลนสีเหลองและแดงเสร็จ ก็มาถึงการเพิ่มมิติให้กับขอบตาด้านบน ด้วยการใช้อายชาโดว์สีดำวาด+ลงสีบริเวณกรอบด้านบนที่เราวาดไว้คะ ตามรูปจากนั้นก็เบลนสีซอฟด้วยอายชาโดว์สีขาวอีกครั้งนึง บริเวณโหนกคิ้วตามรูปที่2นะคะ (ขั้นตอนนี้ ใความชำนาญเฉพาะตัวนิดนึงนะคะ)



8. ใช้อายชาโดว์สีดำ มาวาดเพิ่มสีบริเวณขอบตาล่างและเบลนให้สีฟุ้งๆ ตามรูปเลยคะ และอย่าลืมลากหางให้ยาวออกไปอีกนิดนะคะ



9. ลงอายชาโดว์ สีขาว เป็นรูปสามเหลี่ยม และเบลนเบาๆ ให้ฟุ้งออกไปทางด้านหลัง เพื่อทำให้ดูสว่าง คะ



10. มาดูกันคะเสร็จขั้นตอนที่ 9 แล้วก้จะได้ออกมาในรูปแบบประมาณนี้คะ แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์นะคะ ใจเย็นๆ



11. กรีดอายลายเนอร์คะ



12. เติมอายชาโดว์สัขาวบริเวณขอบตาด้านล่างนิดนึงคะ



13. ใช้อายชาโดว์แบบแท่งสีขาวทาบริเวณขอบตาล่างด้านใน จากนั้น ก็ใช้อายชาโดว?สีเหลืองทาทับที่เดียวกันอีกรอบ เหตุผลที่ต้องใช้สีขาวทาก่อนก็เพราะ ต้องการให้สีเหลืองเด่นชัดขึ้นคะ ถ้าไม่มีก็ไมต้องก็ได้ (อายชาโดว์สีขาวแบบแท่ง)



14. จากนั้นก็ปัดมาสคาร่าทั้งขนตาด้านบนและด้านล่างเลยนะคะ ( เอาหนาแบบพิเศษ ) อิอิอิ



เสร็จแล้วคะ การแต่งสีตาแบบ “Bird of Paradise”





บางขั้นตอนอาจะดูยากนิดนึงนะคะ สำหรับมือใหม่หัดแต่ง แต่เดี๊ยนขอแนะนำว่า ทำไปเถอะคะ ไม่มีผิดมีถูก มีแต่การฝึกฝนเท่านั้นแหละคะ ที่จะทำให้คุณชำนาญและเก่งขึ้น ยังไงวันนี้ก็ขอให้ทุกคนถูกหวยรวยเบอร์กันทุกคนเลยนะคะ บายๆ คะ


“Beautyful as Dream – สวยดั่งฝัน“



Original content


ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 17 มีนาคม 2554    
Last Update : 17 มีนาคม 2554 11:16:20 น.
Counter : 419 Pageviews.  

'สกินแล้ง'.. ผิวแห้ง เสียสวย!!!

ผิวของคุณแห้งหรือเปล่าคะ?...หากบังเอิญเป็นอย่างนั้น เคยรู้หรือไม่ จู่ๆ ผิวของคุณทำไมถึงแห้งแตกลอก ไม่ชุ่มชื้นเหมือนผิวสวยๆ ของคนอื่น... เรื่องนี้ doctorskinhouse มีคำตอบ...


+ผิวแห้ง เกิดจาก...+

สำหรับปัญหาผิวแห้ง จะเกิดขึ้นกับผิวชั้นหนังกำพร้า เป็นชั้นบนสุดของผิว โดยส่วนบนของผิวชั้นนี้จะเป็นชั้นขี้ไคล ซึ่งก็คือแผงของเซลล์ที่ตายแล้วนั่นเอง

แม้จะเป็นเซลล์ที่ตายแล้ว แต่ขี้ไคลมีประโยชน์ เพราะเปรียบเสมือนกำแพงป้องกันเซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในผิวชั้นล่าง ให้ปลอดภัยจากการบาดเจ็บ โดยขี้ไคลจะรวมตัวกับสารที่ร่างกายสร้างขึ้นตามธรรมชาติกว่า 30 ชนิด เพื่อช่วยกันคงความชุ่มชื้น เคลือบผิวไม่ให้เสียน้ำออกไปกับอากาศรอบตัว




หลังเสร็จสิ้นภารกิจปกป้องผิว เซลล์ผิวที่ตายแล้วหรือขี้ไคลก็จะค่อยๆ หลุดออก โดยหลุดเป็นขุยละเอียดซึ่งเราไม่รู้ตัว ขั้นตอนนี้จะต้องอาศัยเอ็นไซม์ชนิดพิเศษช่วยย่อยทำลายแรงยึดเหนี่ยวระหว่าง เซลล์ที่ตายแล้วให้หลุดออกจากกัน แต่ในผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง เอ็นไซม์ชนิดนี้จะไม่ทำงาน! จึงทำให้ขี้ไคลเกาะกันอยู่บนผิว เมื่อหนาขึ้นก็สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เป็นขุยๆ ขาวๆ เป็นเส้นๆ



จากภาพ : สภาพส้นเท้าที่แห้งจนผิวแตก เพราะแช่น้ำ และสัมผัสกับผงซักฟอกบ่อยๆ จนสารเคลือบผิวหลุดไป


ผิวแห้ง มักเกิดจากการฟอกสบู่ถูตัวแรงๆ สัมผัสน้ำร้อนๆ หรือผงซักฟอกเป็นประจำ อันเป็นการชะล้างสารธรรมชาติที่เคลือบผิวให้หลุดออกไป นอกจากนี้ สภาพอากาศที่หนาวเย็น และปัญหาผิวแห้งอักเสบเรื้อรัง ก็มีส่วนทำให้ผิวแห้งได้เช่นกัน


+ผิวแห้ง ทำผิวเสียความสวย+

เมื่อเกิดปัญหาผิวแห้งขึ้น ผิวจะขาดความยืดหยุ่น ผลเสียที่ตามมามีทั้ง ผิวเปราะ ปริ แตกง่าย แถมยังทำให้เกิดช่องโหว่ในผิว อันเป็นสาเหตุให้ผิวเสียน้ำ รวมทั้งนำความเสี่ยงเกิดผิวอักเสบ หรือติดเชื้อแบคทีเรีย ที่มักนำอาการเจ็บ แสบ คันผิวมาทำให้ไม่สบายตัวด้วย


+ผิวแห้ง รีบบรรเทา+

การแก้ไขปัญหาผิวแห้ง หลักๆ คือ การทาครีมบำรุงผิวบ่อยๆ เพื่อให้เนื้อครีมอุดช่องโหว่ อุดรอยปริแตกของผิว เคลือบผิว ป้องกันการสูญเสียน้ำ และช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นขึ้น แต่ก็ต้องเลือกให้ดี เพราะถ้าผิวทั้งแห้งและอ่อนแอ ให้เลี่ยงครีมที่ผสมน้ำผอม กรดผลไม้ หรือปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนเลือกใช้ครีมทาผิวก็ย่อมได้


+เคล็ดไม่ลับ ป้องกันผิวแห้ง+

1.หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น หรือน้ำร้อน รวมทั้งการอบซาวน่า และการขัดผิว

2.อย่าใช้สบู่ที่เป็นกรดหรือด่างแรงๆ แต่ควรใช้สบู่อ่อนๆ ที่มีสารเคลือบผิว

3.หมั่นทาครีมที่ลดการสูญเสียน้ำ และครีมที่มีส่วนผสมของ AHAs ลดความหนาของผิวและการตึงตัว ทำให้ผิวหนังนุ่มขึ้น

4.หากมีอากาศคัน อาจเป็นเพราะผิวแห้ง หรือแมลงสัตว์กัดต่อย สามารถทาครีมหรือยาแก้แพ้-แก้คันได้เท่าที่จำเป็น เพราะสารเสตียรอยด์ในตัวยาหรือเนื้อครีม มีผลให้ผิวแห้งมากขึ้น

5.คนที่ทำงานหรือนอนในห้องแอร์ ควรปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้พอรู้สึกสบายตัว ไม่หนาวเกินไป

6.การอาศัยอยู่ในห้องแอร์ หรือบริเวณที่มีสภาพอากาศหนาว ให้เพิ่มความชุ่มชื้นเข้าไปในสิ่งแวดล้อม เช่น ใส่น้ำสะอาดในอ่างใบกำลังเหมาะ น้ำจะระเหยปนอยู่ในอากาศบริเวณที่เราอาศัยอยู่.

Original content




ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 08 มีนาคม 2554    
Last Update : 9 มีนาคม 2554 14:19:57 น.
Counter : 552 Pageviews.  

เร่วผมให้ย๊าวยาว...ให้ได้ดั่วใจ



1.ออกกำลังกายให้เส้นผม

เร่งสปีดความเร็วให้ เร่งผมยาว เร็ว แบบติดเทอร์โบด้วยการก้มศีรษะให้เลือดไปเลี้ยงที่ศีรษะค้างไว้สัก 30 วินาที ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาทำเช่นนี้ทุกวัน เลือดจะไหลเวียนไปเลี้ยงเส้นผมที่ศีรษะ ทำให้เส้นผมแข็งแรงและยาวเร็วขึ้นด้วย



2.เพิ่มโปรตีน

Lee Stafford ช่างทำผมคนดังของเกาะอังกฤษแนะว่า โปรตีนสามารถปกป้องและซ่อมแซมเส้นผม ช่วยลดการหลุดร่วงและการแตกหักของเส้นผม ทำให้เส้นผมแข็งแรง และยาวเร็วขึ้นได้



3.กินปลา Richard Ward

กล่าวไว้ว่า ปลา พืชผักใบเขียว และบลูเบอรี่เป็นแหล่งอาหารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ฉะนั้นบริเวณใดก็ตามในร่างกายที่มีเลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงได้ดีจะทำให้ ร่างกายบริเวณนั้นแข็งแรง มีชีวิตชีวารวมไปถึงเส้นผมบนศีรษะด้วย



4.เคยนวดศีรษะกันบ้างไหม

Phillip Kingsley เปิดเผยให้ฟังถึงศาสตร์ของการนวดศีรษะว่า การนวดศีรษะจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตบนศีรษะ และทำให้ระบบเมตาโบลิซึ่ม ทำงานได้อย่างเป็นปกติ และยังจะช่วยทำให้เส้นผมเติบโตเร็วขึ้น การนวดศีรษะอาจทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านในขณะสระผม โดยการใช้นิ้วมือกดและนวดไปตามจุดบนศีรษะอย่างเบามือ



5.แปรงให้ถูก

หลีกเลี่ยงการทำให้เส้นผมขาดและหลุดร่วงด้วยการไม่หวีผมขณะยังเปียกอยู่ เลือกใช้หวีซี่ใหญ่และห่างในการหวีผมช่วงผมเปียกแทน



6.ตัดผมบ้าง

อาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่าการเล็มผมบ่อยๆ จะช่วยให้ผมยาวเร็วขึ้น การเล็มผมนอกจากจะทำให้ผมยาวเร็วขึ้นแล้วถือว่ายังเป็นการกำจัดผมแตกปลายไป ในตัวด้วย รู้อย่างนี้แล้วก็หมั่นให้ช่างเล็มผมก็จะดีไม่ใช่น้อย



7.ต่อผมก็ได้

สำหรับสาวใจร้อนที่ทนรอให้ผมยาวไม่ได้หรืออาจมีภารกิจสำคัญที่จำเป็น เร่งด่วนที่จะ ต้องไว้ผมยาวภายใน 1 วัน ให้ลองมองหาร้านทำผมที่มีบริการต่อผมดู ให้เลือกใช้บริการร้านต่อผมที่ค่อนข้างมีประสบการณ์สักนิดก่อนที่คิดจะต่อผม

ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 03 มีนาคม 2554    
Last Update : 3 มีนาคม 2554 12:53:15 น.
Counter : 460 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

YangJing
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







Friends' blogs
[Add YangJing's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.