จากกรณีที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ปรับขึ้นค่าไฟฟ้าแปรผันอัตโนมัติ (Ft) ในค่าไฟฟ้างวดปัจจุบัน (พ.ค.-ส.ค.) 10 สตางค์ต่อหน่วย จากงวดก่อน 59 เป็น 69 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อนำไปคำนวณรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.27 ส่งผลให้ค่าไฟฟ้างวดนี้อยู่ที่ 3.96 บาทต่อหน่วย ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมีแนวโน้มว่าค่า Ft ในงวดต่อไป (ก.ย.-ธ.ค.) จะปรับตัวสูงขึ้นอีก 

สาเหตุที่ต้องปรับค่าเอฟที เพราะต้นทุนการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จากอัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลงจาก 32.21 เป็น 32.33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ทำให้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ที่นำเข้าสูงขึ้น การผลิตไฟฟ้าด้วยก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 2,003.79 ล้านหน่วย จาก 38,652.91 ล้านหน่วย เป็น 40,656.70 ล้านหน่วย รองรับความต้องการไฟฟ้าที่คาดว่าจะสูงขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

ขณะเดียวกัน ประเมินว่าราคาเชื้อเพลิงในงวดนี้จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับงวดที่แล้ว โดยราคาก๊าซเฉลี่ยปรับขึ้น 9.11 บาทต่อล้านบีทียู จาก 316.88 เป็น 325.99 บาทต่อล้านบีทียู 

การสำรองน้ำเตามันและดีเซลเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าในกรณีที่แหล่งก๊าซที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (JDA) หยุดจ่ายก๊าซระหว่างวันที่ 13 มิ.ย.-10 ก.ค. 57 ส่งผลให้ค่าFtงวดนี้มีโอกาสเพิ่มขึ้นสูงสุด 1.78 สตางค์ต่อหน่วย หรือมีต้นทุนเพิ่ม 246 ล้านบาท หรือ 3,649.69 ล้านบาท หากลดในส่วนนี้ลงได้จะเหลือ 1.3-1.4 สตางค์ต่อหน่วย 

นายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธาน กกพ. กล่าวว่า ประเมินค่า Ft ระยะยาวไปจนถึงช่วงปลายปี เพื่อนำมาพิจารณาปรับขึ้น-ลงค่า Ft เฉลี่ยแบบขั้นบันได ประมาณ 5 สตางค์ต่องวด แต่ในช่วง 1-2 ปีนี้ ค่าไฟฟ้าคงไม่ถึง 5 บาทต่อหน่วย แต่แนวโน้มหากราคาแอลเอ็นจียังสูงขึ้นอาจจะเห็นราคานี้ในช่วงปลายแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (พีดีพี) ใน 10 ปีข้างหน้า 

โดยการปรับราคาครั้งนี้ ทาง กฟผ.ต้องแบกรับค่า Ft ส่วนที่เหลือ 3.94 สตางค์ต่อหน่วย หรือคิดเป็นมูลค่า 2,247 ล้านบาทไว้ก่อน เพื่อแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของประชาชน อย่างไรก็ตาม กกพ.สามารถนำค่าปรับจากกิจการไฟฟ้าต่าง ๆ 1,000 ล้านบาท มาจ่ายชดเชยค่า Ft ได้ 

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า การปรับขึ้นค่าเอฟทีมีผลกระทบทางตรงต่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 0.0687% 

ต่อเดือน นับจากเดือนพฤษภาคม-ธันวาคม ส่งผลต่อเงินเฟ้อทั้งปี 2557 เพิ่มขึ้น 0.1031% หรืออาจจะมากกว่านั้น หากคำนวณผลกระทบทางอ้อมของค่าเอฟทีต่อต้นทุนการผลิตสินค้า ขณะที่กระทรวงพลังงานยังทยอยปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ภาคครัวเรือนอีก 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม/เดือน โดยเดือนเมษายนอยู่ที่ 22.63 บาทต่อกิโลกรัม และจะปรับไปจนสะท้อนต้นทุนหน้าโรงแยกก๊าซที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม จะส่งผลต่อเงินเฟ้อ 1.03% รวมถึงการปรับขึ้นราคาสินค้าเกษตรจากภาวะภัยแล้ง ทำให้ต้องปรับขึ้นราคาอาหารจานด่วนอีกเมนูละ 5 บาท จะกระทบต่อเงินเฟ้อ 0.98% 

นางอัมพวัน พิชาลัย ที่ปรึกษาการพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศ (เงินเฟ้อ) เดือนเม.ย. 2557 เท่ากับ 107.47 สูงขึ้น 2.45% เทียบกับเม.ย. 2556 ขยายตัวสูงสุดในรอบ 13 เดือน นับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2556 ที่ 2.69% และเมื่อเทียบกับเดือนมี.ค. 2557 สูงขึ้น 0.50% ส่งผลให้เงินเฟ้อเฉลี่ย 4 เดือน (ม.ค.-เม.ย.) 2557 สูงขึ้น 2.12% เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา

สาเหตุสำคัญจากดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพิ่มขึ้น 4.61% สินค้าที่ราคาแพงขึ้น เช่น เนื้อสัตว์เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ 7.90% ไข่ และผลิตภัณฑ์นม 2.91% ผัก และผลไม้ 2.63% เครื่องประกอบอาหาร 4.59% อาหารบริโภคในบ้าน 4.89% อาหารบริโภคนอกบ้าน 5.42% ส่วนดัชนีหมวดไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม เพิ่ม 1.33% สินค้าที่ราคาแพงขึ้น เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง 5.02% ค่าเช่าบ้าน 1.04% เหล้า เบียร์ บุหรี่ 5.83% เป็นต้น หากแยกเป็นรายการสินค้า 450 รายการที่คำนวณอัตราเงินเฟ้อ พบว่ามีสินค้าปรับขึ้นราคา 191 รายการ สินค้าไม่เปลี่ยนแปลงราคา 196 รายการ และสินค้าราคาลดลง 63 รายการ

แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น2.4% จากราคาอาหารที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ราคาก๊าซหุงต้มปรับสูงขึ้น แนวโน้มเงินบาทอ่อนค่า ส่งผลต่อสินค้าที่ใช้วัตถุดิบนำเข้า และค่าเอฟทีงวดต่อไปมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราเงินเฟ้อครึ่งปีแรกสูงขึ้น 2% แต่กระทรวงยังคงประมาณการอัตราเงินเฟ้อปี 2557 ในกรอบที่คาดการณ์ 2-2.8% ภายใต้สมมติฐานอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย 3-5% ราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบ 95-115 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยน 29-34 บาท/เหรียญสหรัฐ และรัฐบาลยังคงมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพต่อไป

Create Date : 05 พฤษภาคม 2557
Last Update : 5 พฤษภาคม 2557 22:43:52 น.		0 comments
Counter : 1022 Pageviews.
Share Tweet