Group Blog
 
All blogs
 

แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก 12

แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


ตอนที่ 12.


หลังกลับจากไปเที่ยวทะเลที่ระยองเป็นต้นมา หนึ่งเดือนต่อจากนั้นเป็นช่วงที่ทั้งภัทรและเชษฐ์ต่างยุ่งกับการทำงานจนแทบไม่มีเวลาไปไหนด้วยกันอย่างที่ภัทรคาดไว้ เพราะว่างานแสดงเครื่องจักรที่บริษัทของเขาเป็นผู้จัดกำลังจะเริ่มในอีกไม่ถึงสองสัปดาห์ ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่แต่ละแผนกจะยุ่งกันเป็นระวิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนกโอเปอเรชันของภัทรซึ่งต้องเป็นผู้ประสานงานระหว่างบริษัท ลูกค้าที่จะเข้าไปจัดบูธ และกับสถานที่จัดงานเพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบร้อยและมีปัญหาน้อยที่สุด

แต่สิ่งที่ภัทรไม่ได้คาดไว้ และเพิ่งจะมารู้เอาภายหลังจากที่กลับมาจากระยอง ก็คือเรื่องโปรเจ็กต์ล่าสุดที่เชษฐ์ได้รับมอบหมายมาจากทางสำนักงานใหญ่ ซึ่งความจริงเจ้าตัวเคยพูดถึงในที่ประชุมของงาน Friday Party หลังกลับจากไปเทรนนิงที่ต่างประเทศแล้ว แต่เพราะตอนนั้นภัทรมัวแต่กังวลว่ากำลังโดนคุณผู้จัดการโกรธจนไม่ได้สนใจฟัง ทำให้ไม่เฉลียวใจกับเรื่องนี้เลยจนกระทั่งฝ่ายบุคคลพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้งในที่ประชุมรวมเมื่อสิ้นเดือนก่อน

เนื่องจากคณะผู้บริหารของสำนักงานใหญ่ลงมติจะเปิดสาขาเพิ่มในเวียดนาม แต่จำเป็นต้องให้สาขาที่เมืองไทยซึ่งตั้งมานานกว่ายี่สิบปีเข้าไปคอยดูแลความเรียบร้อยในช่วงเริ่มต้น ทำให้ท่านประธานตัดสินใจมอบหมายให้เชษฐ์ซึ่งเป็นคนที่รับเรื่องนี้มาจากสำนักงานใหญ่โดยตรง กับผู้จัดการโปรเจ็กต์อีกคนดูแลโครงการนี้ร่วมกัน โดยทั้งสองคนจะสลับเวรกันเดินทางไปดูแลโครงการที่เวียดนาม แต่อาจไม่จำเป็นต้องไปอยู่ทั้งสัปดาห์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าตกลงแบ่งงานกันอย่างไร เพียงแต่ต้องรายงานความคืบหน้าให้ท่านประธานและสำนักงานใหญ่ทราบเป็นระยะ

และการที่ต้องคอยรายงานสำนักงานใหญ่ด้วยนี่เอง ทำให้แม้ช่วงที่อยู่กรุงเทพฯ เชษฐ์ก็จะไม่ได้กลับบ้านเร็วนักเพราะต้องคอยอยู่ออฟฟิศจนดึกเพื่อเทเลคอนเฟอเรนซ์กับสำนักงานใหญ่ซึ่งเวลาท้องถิ่นช้ากว่าประเทศไทย ซึ่งในคืนเช่นนั้น เชษฐ์จะให้ภัทรกลับบ้านก่อนเพื่อจะได้ไม่ต้องคอยอยู่รั้งที่ออฟฟิศจนดึกดื่นตามไปด้วย และนั่นก็ทำให้ทั้งสองยิ่งเหลือเวลาที่จะได้ใช้ร่วมกันในแต่ละวันน้อยลงไปอีก

และนั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้เช่นเดียวกัน

ภายในออฟฟิศที่เงียบสงัดเพราะเลยเวลาเลิกงานมาพอสมควร เมื่อภัทรเหลือบเห็นว่านาฬิกาที่มุมล่างหน้าจอคอมพิวเตอร์บอกเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง ชายหนุ่มก็เงยหน้าแล้วเหลียวมองไปรอบบริษัทที่ไม่มีใครอยู่แล้ว ซึ่งนับเป็นเรื่องหายากในช่วงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแผนกของเขาซึ่งมีงานเอกสารกองเป็นภูเขา แต่เพราะว่างานส่วนมากยังไม่ค่อยเร่งด่วน เพื่อนๆ และรุ่นพี่ร่วมแผนกจึงกลับกันไปตั้งแต่ยังไม่หนึ่งทุ่ม ส่วนภัทรยังคงนั่งทำงานต่อเพื่อรอทานมื้อเย็นกับเชษฐ์ เพราะวันนี้ฝ่ายนั้นก็ต้องอยู่เวรคอยเทเลคอนเฟอเรนซ์กับสำนักงานใหญ่ตามเคย

เหมือนเดี๋ยวนี้จะถูกงานบีบจนได้มีเวลาคุยกันวันละไม่เกินสองชั่วโมงยังไงก็ไม่รู้...

ภัทรคิดพลางยกมือทั้งสองข้างประสานกันแล้วเหยียดขึ้นสูงเพื่อบิดขี้เกียจ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้แล้วลุกเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ เขากะว่าเดี๋ยวออกมาอีกครั้งจะเดินไปถามเชษฐ์ซึ่งนั่งทำงานอยู่ในห้องประจำตำแหน่งว่าจะลงไปทานมื้อเย็นกันที่ร้านอาหารแถวออฟฟิศหรือสั่งอะไรขึ้นมาทานด้วยกันก่อนเขากลับไหม

หลังจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำเสร็จ ภัทรก็ออกมาล้างมือที่อ่าง ขณะที่กำลังวักน้ำล้างหน้าก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กดังมาจากทางห้องครัวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องน้ำ ทำเอาชายหนุ่มตัวแข็งด้วยความตกใจไปชั่วขณะ แต่แล้วก็ค่อยๆ ระบายลมหายใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่านอกจากตัวเองแล้วยังมีเชษฐ์กับ รปภ. ที่เฝ้าบริษัทช่วงกะกลางคืนอีกคน จึงเป็นไปได้ว่าคนใดคนหนึ่งคงเดินเข้าไปชงกาแฟหรือหาอะไรในตู้เย็นทานอยู่ก็เป็นได้

ภัทรดึงกระดาษสำหรับเช็ดมือออกมาซับมือกับหน้าจนแห้ง จากนั้นก็ออกจากห้องน้ำและเดินไปชะโงกมองผ่านพาร์ติชั่นที่กั้นห้องครัว ทำให้เห็นแผ่นหลังของร่างสูงใหญ่ที่กำลังยืนชงกาแฟอยู่พอดี พอเขาเดินเข้าไปหา คนที่ยืนอยู่ก่อนก็เหลียวกลับมามองและยิ้มอ่อนๆ ให้

“ว่าไง เห็นไม่อยู่ที่โต๊ะฉันก็นึกว่าหนีกลับไปก่อนแล้วซะอีก”

ภัทรฟังแล้วก็ได้แต่ย่นจมูก เพราะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่อีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าเขายังอยู่ในบริษัท ในเมื่อหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขาก็ยังไม่ปิด แล้วยังเสียงเปิดน้ำในห้องน้ำเมื่อกี้อีก ดังนั้นที่พูดแบบนั้นก็มีแต่เพราะอยากแซวเขาเท่านั้นแหละ

“คุณเชษฐ์เห็นผมเป็นคนยังไงกันครับ นี่ผมอยู่รอเพราะจะได้ไปกินข้าวเย็นด้วยหรอกนะ แต่ถ้าอยากให้ผมกลับก่อนเดี๋ยวผมไปตอนนี้เลยก็ได้”

ชายหนุ่มหันหลังแล้วทำท่าจะเดินหนี ไม่ใช่เพราะน้อยใจแต่เพราะหมั่นไส้มากกว่า แต่ก็ยังช้ากว่าเจ้าของเสียงหัวเราะที่ยื่นแขนมาดึงมือแล้วรั้งตัวเขาเข้าไปหาจนแผ่นหลังของภัทรแนบกับแผงอกกว้าง คนถูกกอดสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงลำแขนแข็งแรงที่รัดอยู่รอบเอว

“คุณเชษฐ์! เดี๋ยวน้าลั่นมาเห็นนะครับ!”

ภัทรรีบเตือนว่าในบริษัทยังมี รปภ. ที่นั่งเฝ้าเคาน์เตอร์อยู่ตรงทางเข้าอีกคน แล้วก็ต้องรีบหดคอหนีเมื่อรู้สึกถึงปลายจมูกที่จรดลงบนขมับ แต่ว่าเจ้าของอ้อมแขนแข็งแรงที่รั้งเอวเขาไว้ก็ไม่ได้หย่อนแรงลง

“น้าลั่นไม่เข้ามาหรอก เมื่อกี้ฉันเพิ่งเอากระทิงแดงในตู้เย็นกับขนมไปให้เอง แกก็คงนั่งดูทีวีของแกอยู่ที่เคาน์เตอร์นั่นแหละ”

เชษฐ์ตอบก่อนจะก้มลงเอาคางเกยไหล่เขาไว้ ภัทรจึงพยายามไม่ทำตัวขยุกขยิกให้มากนักแม้จะจั๊กจี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยเขินที่โดนกอดแล้วก็ตาม แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ชินกับการทำแบบนี้ในออฟฟิศอยู่ดี

หลังจากต่างยืนนิ่งกันได้สักครู่ ภัทรก็ชักทนไม่ไหว เพราะเสียงหัวใจเขามันเต้นดังเสียจนก้องในหูตัวเอง และเขามั่นใจว่าคนที่ยืนกอดอยู่ก็คงรับรู้ได้เหมือนกันแน่ๆ

“เอ่อ...คุณเชษฐ์ไม่หิวเหรอครับ? ไปหาอะไรกินกันข้างล่างดีกว่า เดี๋ยวก็ต้องกลับขึ้นมารอประชุมอีกนี่นา?”

ภัทรทักขึ้น และได้สบตากับเชษฐ์ตรงๆ เมื่อคนตัวใหญ่เหลือบตาขึ้นมองเขา คนถูกถามหัวเราะก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วคลายอ้อมแขนแต่โดยดี

“เอาอย่างนั้นก็ได้ ถ้างั้นเธอไปเก็บกระเป๋ากับปิดคอมเลยก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันไปหยิบกระเป๋าสตางค์ที่ห้องก่อน”

ภัทรพยักหน้าก่อนจะรีบเดินเร็วๆ ออกมาจากครัวโดยมีร่างสูงใหญ่ก้าวตามมาห่างๆ พอถึงแถวที่นั่งของตัวเอง เขาก็เลี้ยวแยกไปที่โต๊ะโดยที่เชษฐ์เดินต่อไปที่ห้องประจำตำแหน่ง ไม่ถึงอึดใจ ทั้งสองก็เดินออกจากปีกด้านตะวันออกของออฟฟิศด้วยกัน

พนักงาน รปภ. ที่นั่งประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์หันมายิ้มให้เมื่อเห็นทั้งคู่ “จะกลับกันแล้วหรือครับ คุณเชษฐ์ คุณภัทร?”

ชายวัยกลางคนร่างกะทัดรัดในเครื่องแบบเบนสายตาจากโทรทัศน์ขนาดเล็กที่กำลังดูฆ่าเวลามาเอ่ยถาม เชษฐ์จึงยิ้มบางๆ ก่อนจะพยักหน้าไปทางคนข้างตัว “คนนี้น่ะกลับ แต่เดี๋ยวผมจะไปกินข้าวก่อนค่อยขึ้นมาเพราะยังไม่ได้ประชุมกับทางสำนักงานใหญ่ น้าลั่นอยากได้อะไรหรือเปล่าผมจะได้แวะซื้อขึ้นมาให้”

น้าลั่นส่ายหน้าพลางชูขวดกระทิงแดงที่เปิดฝาแล้วขึ้นจากโต๊ะ “โอ้ย ไม่ต้องลำบากหรอกครับคุณเชษฐ์ ผมมีข้าวกล่องอยู่แล้ว อีกอย่างได้ไอ้นี่มาก็ช่วยได้มากแล้วครับ เชิญทั้งสองคนตามสบายเถอะ”

ภัทรยิ้มแล้วยกมือไหว้ชายวัยกลางคนก่อนจะเดินไปที่ลิฟต์พร้อมกับเชษฐ์ ความจริงฝ่ายนั้นก็คงสงสัยว่าทำไมคืนที่คุณผู้จัดการหนุ่มอยู่ดึกๆ จึงมักมีพนักงานโอเปอเรชันคนนี้อยู่รอทานข้าวด้วยประจำ แต่โชคดีที่แกไม่ใช่คนชอบสู่รู้และจะเข้างานแค่ช่วงกลางคืน ภัทรจึงไม่ค่อยลำบากใจว่าแกจะไปพูดต่อให้ใครฟังเท่าไรนัก

หลังจากที่ลงลิฟต์มาถึงชั้นล่าง เชษฐ์ก็เดินนำภัทรไปที่ร้านอาหารซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปประมาณสี่ช่วงตึก เนื่องจากย่านนี้จะคึกคักเฉพาะตอนกลางวัน จึงมีร้านอาหารที่เปิดจนถึงดึกเพียงไม่กี่ร้าน ยังดีที่มีสถานีรถไฟฟ้าตั้งอยู่ด้านหน้าตึกสำนักงาน ไม่เช่นนั้นแล้วช่วงดึกๆ ถนนเส้นนี้ก็คงจะทั้งเปลี่ยวและมืดจนไม่น่าเดิน

ภายในร้านอาหารจีนซึ่งเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำไว้มีลูกค้านั่งอยู่ไม่กี่โต๊ะ แต่ทั้งสองก็เลือกนั่งที่โต๊ะด้านในสุดติดกับผนังกระจกที่พ่นทรายเป็นลายมังกร หลังจากที่ทานมื้อเย็นกันเสร็จในเวลาไม่นานเพราะความหิว เชษฐ์ก็จ่ายเงินและเดินไปส่งภัทรจนถึงหน้าช่องตรวจตั๋วของสถานีรถไฟฟ้าซึ่งในเวลานี้แทบไม่มีใครนอกจากพนักงาน

“ถ้างั้น...ผมกลับแล้วนะครับคุณเชษฐ์ พรุ่งนี้เจอกันครับ”

ภัทรหันไปลาพลางกระชับสายสะพายกระเป๋าซึ่งเป็นใบที่จับสลากได้เมื่อตอนปีใหม่ แต่แล้วก็ชะงักฝีเท้าที่กำลังจะเดินไปที่ช่องตรวจตั๋วเมื่อได้ยินเสียงจากคนที่มาส่ง

“ความจริงถ้ามาอยู่บ้านฉันซะก็ไม่ต้องมาลากันอย่างนี้ทุกเย็นหรอก จริงมั้ย?”

ชายหนุ่มเอี้ยวคอกลับมามองคนพูดซึ่งกำลังใช้นิ้วชี้ดันแว่นขึ้นและมองเขายิ้มๆ แต่ก็เลือกจะไม่ตอบและรีบสาวเท้าเข้าไปด้านในสถานีเร็วๆ ต่อให้ไม่มีตามองหลัง แต่ภัทรก็มั่นใจว่าคนตัวใหญ่คงยืนมองปฏิกิริยาของเขาพร้อมกับหัวเราะในคออยู่แน่ๆ ดูเหมือนว่าไม่ว่าทั้งคู่จะสนิทสนมคุ้นเคยกันมากขึ้นแค่ไหน แต่ไอ้นิสัยชอบแกล้งของคุณเชษฐ์ก็ยังคงเส้นคงวา ไม่มีวี่แววว่าจะน้อยลงจากเมื่อก่อนแม้แต่นิดเดียว

แถมป่านนี้แล้วจะขอให้แก้ก็คงยากซะด้วย คนที่ควรจะต้องรับมือการแกล้งของอีกฝ่ายให้ดีกว่านี้ก็มีแต่เขานี่เอง...

ภัทรคิดแล้วอดจะยิ้มไม่ได้ เมื่อได้เข้าไปในรถไฟฟ้าแล้วก็เลือกนั่งตรงที่ที่ใกล้ประตูที่สุดเพื่อจะได้ลงจากรถไปเปลี่ยนขบวนที่สถานีเชื่อมต่อได้สะดวก แต่เพราะที่สถานีนี้มีคนใช้บริการเยอะมาก พอเปลี่ยนรถเขาจึงต้องยืนแทนที่จะได้นั่ง ขณะที่กำลังใกล้จะถึงสถานีปลายทาง ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ว่าโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่น จึงเบียดตัวขอทางผู้โดยสารคนอื่นไปที่ประตูพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า และพบว่าคนที่โทรมาก็คือพี่สาวคนเดียวที่ไม่ได้คุยกันมาเกือบสองเดือน

“ฮัลโหล?”

ภัทรรอจนออกมาจากขบวนรถแล้วจึงค่อยกดรับสาย และได้ยินเสียงแจ๋วๆ จากหลานสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นตัวน้อยแทนที่จะเป็นพี่สาว

“น้าภัทรขา คิดถึงน้าภัทรจังเลย ทำไมไม่มาหาหนูเลยคะ”

เสียงตัดพ้อจากหลานสาวตัวน้อยทำเอาภัทรใจอ่อนยวบ ชายหนุ่มยิ้มบางๆ ด้วยความเอ็นดูถึงแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็น “ขอโทษจ้ะมิมิ ช่วงนี้น้าภัทรงานยุ่งมากเลย เดี๋ยวถึงวันเกิดหนูเดือนหน้าเมื่อไหร่น้าภัทรจะไปหานะ”

“…ไม่เอา เดือนหน้านานไป พรุ่งนี้น้าภัทรต้องมาฉลองวันเกิดกับมิมิด้วย”

เสียงหลานสาวตัวน้อยขุ่นอย่างเอาแต่ใจ ภัทรจึงได้แต่ขมวดคิ้ว เพราะเขาจำได้ว่ากว่าจะวันเกิดหลานสาวก็ต้นเดือนหน้าซึ่งยังอีกตั้งสองอาทิตย์ แต่แล้วปลายสายก็ถูกเปลี่ยนมือและเสียงพี่แพนดังขึ้นแทน

“ขอโทษจ้ะภัทร พอดีโทรุต้องบินไปเทรนงานที่ญี่ปุ่นตั้งแต่วันมะรืนนี้แล้วก็อยู่ยาวเป็นเดือนเลย พวกพี่ก็เลยตั้งใจกันว่าจะจัดเลี้ยงวันเกิดให้มายูมิเร็วหน่อยเป็นคืนพรุ่งนี้ ภัทรพอจะว่างมาได้หรือเปล่า? พวกพี่คงไปฉลองกันที่ร้านแถวๆ บ้านนี่แหละ”

ภัทรฟังคำอธิบายจึงค่อยถึงบางอ้อ และเข้าใจว่าทำไมเมื่อครู่หลานสาวถึงทำเสียงเครือเหมือนจะร้องไห้ เพราะหากคิดแบบเด็กวัยห้าขวบ การที่คุณพ่อติดภารกิจจนอยู่ฉลองวันเกิดด้วยไม่ได้ก็คงทำให้น้อยอกน้อยใจไม่น้อยเลย

“คืนพรุ่งนี้น่าจะได้นะพี่แพน เดี๋ยวภัทรจะรีบเคลียร์งานจะได้ไม่ต้องอยู่ดึก ว่าแต่มายูมิอยากได้ของขวัญอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?”

ภัทรถามขณะเดินออกจากช่องตรวจตั๋ว จากตัวสถานีรถไฟฟ้าสามารถมองเห็นคอนโดของเขาที่อยู่เลยออกไปอีกไม่กี่ช่วงตึกได้อย่างชัดเจน ซึ่งความสะดวกนี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาไม่ได้ย้ายไปไหนถึงแม้พี่สาวที่เคยอาศัยด้วยจะแต่งงานและแยกบ้านออกไปหลายปีแล้ว

“ก็ไม่เห็นว่าอยากได้อะไรเป็นพิเศษนะ ถ้าถามตอนนี้ก็คงมีแต่อยากให้พ่ออยู่ฉลองวันเกิดด้วยเท่านั้นแหละ ภัทรก็ไม่ต้องซื้ออะไรแพงๆ มาให้หรอก แค่ได้ฉลองกันพร้อมหน้าทั้งครอบครัวหลานก็คงดีใจแล้วล่ะ”

ชายหนุ่มพยักหน้า “นั่นสิ ถ้างั้นก็ตกลงตามนั้น เดี๋ยวพรุ่งนี้เลิกงานแล้วภัทรจะโทรหาพี่แพนอีกที”

“เอ้อนี่ภัทร ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ชวนแฟนเรามาฉลองวันเกิดหลานไปด้วยเลยสิ พรุ่งนี้เช้าตอนโทรไปจองโต๊ะพี่จะได้นับเขาเพิ่มไปด้วย”

ภัทรที่กำลังเดินลงบันไดจากสถานีรถไฟฟ้าเกือบสะดุดขาตัวเอง “เอ๋? เอ่อ...จะดีเหรอพี่แพน ช่วงนี้คุณเชษฐ์งานยุ่งมากเลยนะ ภัทรไม่อยากรบกวน”

ชายหนุ่มตอบไปพลางก็นึกถึงคนที่ตอนนี้คงกำลังนั่งเฝ้าออฟฟิศ แต่ปลายสายกลับทำเสียงจุ๊ปากอย่างไม่ค่อยพอใจ “นี่ภัทร เธอก็ชวนเขาในฐานะแฟนสิจ๊ะไม่ใช่ลูกน้อง คบกันมาก็หลายเดือนแล้วไม่ใช่เหรอ ใจคอจะไม่ให้พี่สาวได้รู้จักคนที่กำลังคบด้วยเลยหรือไง?”

คนถูกท้วงห่อปาก “ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ภัทรแค่เกรงใจเพราะช่วงนี้คุณเชษฐ์ต้องอยู่ที่บริษัทจนดึกแทบทุกคืนต่างหาก”

ชายหนุ่มพยายามจะอธิบาย แต่แล้วก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของหลานสาวดังผ่านลำโพงมาแว่วๆ

“ตายละ มายูมิเริ่มงอแงกับพ่อเขาอีกแล้ว เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ภัทรชวนคุณเชษฐ์มาด้วยก็แล้วกัน ถ้าไม่เห็นแก่พี่ก็ถือว่าจะได้แนะนำน้าเขยให้หลานรู้จักก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปพายายตัวเล็กเข้านอนก่อนนะ”

พี่สาวของเขาตัดบทแล้วก็วางสายทันที ภัทรจึงได้แต่เผยอปากค้าง แต่ก็รู้ว่าไร้ประโยชน์ที่จะโทรกลับไป เพราะตอนนี้อีกฝ่ายคงกำลังวุ่นกับการพยายามกล่อมลูกสาวตัวน้อยให้หยุดร้องไห้และเข้านอน จึงได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ขณะเดินกลับไปที่คอนโด

พอถึงห้องแล้ว ภัทรก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเอนหลังดูโทรทัศน์อยู่บนเตียง ขณะที่กำลังเคลิ้มๆ ก็ได้ยินเสียงจากมือถือว่ามีข้อความเข้า เมื่อกดเปิดดูก็พบว่าคนส่งคือคุณผู้จัดการโปรเจ็กต์ที่ต้องอยู่เฝ้าบริษัทจนดึกดื่น

“I’m going home now. Good night.”

ภัทรเหลือบตามองนาฬิกาบนผนัง และพบว่าเป็นเวลาเกือบจะห้าทุ่มแล้ว ทำให้อดจะเห็นใจคนที่ส่งเมสเสจมาไม่ได้ที่เพิ่งจะได้กลับเอาป่านนี้

นิ้วมือเีรียวยาวเลื่อนไปที่ปุ่มโทรออก แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เลือกที่จะตอบกลับด้วยการพิมพ์ข้อความสั้นๆ แทน

“OK. Good night.”

ภัทรกดส่งข้อความก่อนจะวางมือถือไว้ที่เดิม จากนั้นจึงกดรีโมทปิดโทรทัศน์และค่อยๆ ซุกตัวลงใต้ผ้าห่ม ร่างเพรียวระบายลมหายใจยาวก่อนจะหลับตาลง

ไหนๆ วันนี้คุณเชษฐ์ก็ต้องเหนื่อยกับงานจนดึกแล้ว เรื่องนี้ค่อยเอาไว้ถามวันพรุ่งนี้ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง...


++------++


เช้าวันถัดมา ภัทรมาถึงบริษัทตั้งแต่เช้าตรู่เพราะตั้งใจว่าจะเคลียร์งานให้ได้มากที่สุด พอถึงตอนเย็นจะได้ขอกลับเร็วหน่อยเพื่อไปซื้อของขวัญให้หลานสาวก่อนจะไปกินข้าวเย็นด้วย และอาจเพราะช่วงนี้หลายแผนกต่างก็งานยุ่งเหมือนกัน ทำให้มีคนมาถึงบริษัทแต่เช้าเหมือนกับเขาหลายคน

สำหรับวันนี้ ภัทรได้รับภารกิจพิเศษจากป๋วยให้รับผิดชอบคนเดียวไปเลยทั้งวัน ก็คือการปรินท์และจัดเตรียมเอกสารสำหรับแจกลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยร่วมออกงานในปีก่อนๆ โดยทางบริษัทของเขาได้เชิญลูกค้าเหล่านี้ให้มาเข้าร่วมประชุมที่บริษัทเพื่อจะได้แจกแจงรายละเอียดและตอบคำถามพร้อมกันทีเดียวในวันรุ่งขึ้น ภัทรจึงง่วนอยู่กับการเตรียมเอกสารเหล่านั้นและส่งอีเมล์หาลูกค้าเพื่อย้ำเรื่องการเข้าประชุมตั้งแต่เช้า

พอถึงเวลาเที่ยง แม่บ้านก็ปิดไฟในบริษัทตามนโยบายประหยัดไฟ เสียงถอนหายใจจึงดังขึ้นจากมุมนั้นมุมนี้ขณะที่บางคนก็ลุกไปเข้าห้องน้ำหรือออกไปรอลิฟต์ แต่แทนที่จะเดินออกไปพร้อมคนอื่นๆ ภัทรกลับกดสั่งพิมพ์เอกสารแล้วเดินไปที่เครื่องปรินเตอร์ซึ่งวางอยู่ในห้องเล็กๆ ตรงมุมด้านในใกล้กับห้องของเหล่าผู้จัดการ ความจริงตามที่นั่งแต่ละแถวของพนักงานจะมีเครื่องปรินเตอร์ขาวดำที่ถูกเชื่อมต่อให้ใช้การอยู่แล้ว แต่เนื่องจากมีเอกสารบางส่วนที่เขาจำเป็นต้องปรินท์สี ซึ่งเครื่องเดียวที่พนักงานทั่วไปสามารถใช้ปรินท์สีได้ก็คือเครื่องปรินเตอร์ใหญ่ที่ถูกตั้งไว้ในห้องนี้

ชายหนุ่มเลื่อนประตูห้องที่เป็นบานกระจกติดฟิล์มสีเข้มออก จากนั้นก็ตรงเข้าไปที่เครื่องปรินเตอร์สีซึ่งตั้งอยู่ติดผนัง เนื่องจากเขาสั่งปรินท์เอกสารไปหลายชุด ชุดหนึ่งก็มีหลายสิบหน้า ทำให้ต้องยืนรอระหว่างที่เครื่องยังปรินท์ไม่เสร็จ ครู่หนึ่งเครื่องก็ส่งเสียงสัญญาณดังติ๊ดๆๆ ว่ากระดาษหมด ภัทรจึงหันไปฉีกกระดาษรีมใหม่มาและก้มลงเรียงใส่ถาดปรินท์เพิ่ม เมื่อยืดตัวขึ้นอีกครั้งก็เห็นท้องฟ้าภายนอกผ่านกระจกหน้าต่างเนื่องจากบริษัทของเขาอยู่ถึงชั้นสามสิบสอง

แดดแรงชะมัด...เดี๋ยวโทรฝากพี่ป๋วยซื้ออะไรขึ้นมาให้ดีกว่าจะได้ไม่ต้องลงไป

ภัทรหยีตามองแสงแดดที่แรงชวนแสบตาทั้งที่มองผ่านกระจกติดฟิล์ม ความที่มัวแต่เหม่อมองวิวด้านนอก เขาจึงไม่รู้ตัวเลยว่าใครบางคนเพิ่งจะเปิดประตูออกจากห้องประจำตำแหน่งและมองเข้ามาเห็นเขาอยู่ในห้องปรินเตอร์คนเดียว จึงเดินตามเข้ามาแล้วเลื่อนปิดประตูตามหลัง จากนั้นก็มายืนซ้อนอยู่ข้างหลังอย่างเงียบเชียบ

“ไม่ไปกินข้าวเที่ยงหรือไง? ภัทรกร”

“หวา!”

ลมอุ่นๆ ที่เป่ากระทบใบหู บวกกับชื่อเต็มยศที่ไม่ได้ยินมานานทำเอาภัทรรีบยกมือหนึ่งขึ้นปิดหูแล้วถอยห่างอย่างตกใจ แต่คุณผู้จัดการดันใช้มืออีกข้างยันเครื่องปรินเตอร์กันไว้ก่อนแล้วจนเขาถอยไม่ได้มากนัก ภัทรจึงหันไปมองอีกฝ่ายตาขุ่นที่มาแกล้งเขาอีกแล้ว แต่เชษฐ์ก็เพียงยิ้มตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สา

เห็นเขาไม่เคยโต้กลับเลยได้ใจ แกล้งได้แกล้งเอาเลยนะ...

“พอดีผมยังมีเอกสารที่อยากปรินท์ให้เสร็จก่อนน่ะครับ จะได้จัดเข้าไฟล์ไว้เตรียมแจกลูกค้าตอนประชุมวันพรุ่งนี้ให้เรียบร้อย”

น้ำเสียงท้ายประโยคของคนพูดสะบัดนิดหน่อย ก็...มันอดไม่ได้นี่นา แต่คุณผู้จัดการก็แค่พยักหน้ารับรู้พลางหยิบเอกสารแผ่นหนึ่งขึ้นอ่าน “อืม...พวกลูกค้าใหม่สินะ”

ร่างสูงใหญ่ถอยหลังให้นิดหนึ่งขณะไล่สายตาตามรายละเอียดบนแผ่นกระดาษ ประกายเฉียบคมเข้าแทนที่ความขี้เล่นเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานของบริษัท ภัทรจึงถือโอกาสนั้นถอยห่างคนตัวใหญ่อีกนิด แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นว่าข้างเท้าของคุณผู้จัดการมีกระเป๋าเอกสารทรงสี่เหลี่ยมวางอยู่

“กำลังจะออกไปประชุมข้างนอกเหรอครับ?”

เชษฐ์มองตามสายตาเขาแล้วก็พยักหน้า “อืม พอดีตอนบ่ายมีประชุมกับลูกค้าใหญ่น่ะ แล้วตอนเย็นก็ต้องไปงานเลี้ยงครบรอบของสมาคมที่เป็นพันธมิตรกับบริษัทเราด้วย พอดีท่านประธานสั่งไว้ว่าอยากให้ผู้จัดการโปรเจ็กต์ไปร่วมงานทุกคน เพราะสมาคมนี้ก็ทำงานร่วมกับบริษัทเรามาหลายปี ควรจะไปให้เกียรติกันแบบพร้อมหน้าหน่อย”

ภัทรฟังแล้วก็รู้สึกใจหายไปนิดหนึ่ง เพราะถ้าหากอีกฝ่ายต้องไปร่วมงานเลี้ยงตามคำสั่งของท่านประธาน ก็หมายความว่าเย็นนี้คงไม่สะดวกจะมาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของหลานเขาน่ะสิ...

เชษฐ์มองเห็นแววตาของภัทรก็เข้าใจผิดไปอีกทาง นัยน์ตาคมเข้มฉายประกายอ่อนโยนลงพลางยกมือหนึ่งขึ้นเสยผมให้เบาๆ

“ขอโทษนะที่วันนี้คงกลับมากินข้าวเย็นด้วยไม่ได้ ไว้วันหลังฉันจะชดเชยให้ก็แล้วกัน”

ภัทรรีบส่ายหน้า “ก็ครั้งนี้มันจำเป็นนี่ครับ อีกอย่างเย็นนี้ผมก็มีนัดกินข้าวกับพี่แพนอยู่แล้วด้วย เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอกครับ”

คราวนี้ผู้สูงวัยกว่ามุ่นหัวคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง “นัดกับพี่สาวเอาไว้แล้ว? เนื่องในโอกาสพิเศษอะไรหรือเปล่า?”

นี่เห็นเขาเป็นพวกไม่พบปะพี่น้องถ้าหากไม่มีโอกาสพิเศษหรือไงกัน แต่ก็นั่นแหละ คราวนี้คุณเชษฐ์ดันเดาถูกเสียด้วย ความที่ไม่อยากโกหก ภัทรจึงตอบเสียงอ่อยๆ

“...พอดีมีงานเลี้ยงวันเกิดล่วงหน้าให้หลานผมน่ะครับ เพราะว่าพ่อแกต้องไปญี่ปุ่นเดือนนึงตั้งแต่วันพรุ่งนี้เลยอยู่ฉลองตอนวันเกิดจริงๆ ของแกไม่ได้”

คำตอบที่ได้ทำให้คนฟังขมวดคิ้วมากขึ้นอีก “แล้วนี่ตั้งใจจะไม่ชวนฉันไปด้วยเลยเหรอ?”

น้ำเสียงที่เรียบนิ่งแต่จับอารมณ์ไม่ถูกทำให้ภัทรเหลือบตาขึ้นอีกครั้ง พอเห็นคิ้วที่ขมวดหน่อยๆ ของคนถาม เขาก็ใจหายวูบ

“ไม่ใช่นะครับ! พี่แพนก็เพิ่งจะโทรบอกผมเมื่อคืนนี้เอง แต่มันดึกแล้วผมเลยไม่ได้โทรไปบอกคุณเชษฐ์ แล้ววันนี้ก็เพิ่งจะได้คุยกัน ยิ่งได้ยินว่าคุณเชษฐ์มีงานเลี้ยงต้องไปอยู่แล้ว ผมก็ไม่อยาก...”

ภัทรพูดไม่จบ เพราะยิ่งฟังก็ยิ่งเหมือนกำลังปัดความผิด นี่ถ้าไม่ใช่เพราะถูกทักขึ้นมาว่าทำไมถึงจะไปเจอพี่สาวตอนเย็น เขาก็คงเกรงใจที่คืนนี้อีกฝ่ายมีงานเลี้ยงสำคัญต้องไปร่วมจนไม่คิดจะบอกเรื่องนี้แน่ๆ

เชษฐ์ยกมือขึ้นกอดอกพลางมองภัทรนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง “จริงๆ ไอ้งานเลี้ยงเย็นนี้น่ะ ในเมื่อผู้จัดการคนอื่นก็ไปกันหมดแล้ว ฉันไม่ต้องไปสักคนงานก็คงไม่ล่มหรอก เดี๋ยวฉันบอกคุณปรีชาว่าเย็นนี้ฉันไม่ว่างแล้วก็ได้”

ภัทรทำหน้าตื่น “ไม่ต้องหรอกครับคุณเชษฐ์ ถ้าเกิดท่านประธานให้ผู้จัดการไปกันทุกคนก็แปลว่าอาจจะมีเรื่องสำคัญต้องคุย อีกอย่างวันนี้ก็ไม่ใช่วันเกิดจริงๆ ของหลานผม ไว้วันหลังที่เราว่างตรงกันค่อยไปเจอกันใหม่ก็ได้ครับ”

ผู้สูงวัยกว่ายังทำหน้านิ่งอยู่ ก่อนจะใช้นิ้วชี้ข้างหนึ่งดันแว่นขึ้นแล้วถาม “ร้านที่เธอจะไปกินเลี้ยงกับพี่สาวคืนนี้อยู่แถวไหน?”

ภัทรกะพริบตาทีหนึ่งก่อนจะตอบ เชษฐ์จึงทำท่าคิด “ไกลจากโรงแรมที่ฉันต้องไปงานเลี้ยงอยู่เหมือนกัน เอาเป็นว่าฉันจะพยายามตามไป เธอก็บอกพี่เธอด้วยล่ะว่าจะมีแขกเพิ่มอีกคน”

“คุณเชษฐ์ครับ ถ้าเกิดว่าคุณเชษฐ์ไม่สะดวก…”

“ฉันนึกว่าเราผ่านขั้นที่จะมัวแต่เกรงใจกันไปแล้วซะอีกนะ”

เขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกคุณผู้จัดการขัดจังหวะ คราวนี้ภัทรเลยได้แต่อ้ำอึ้ง มันก็จริงหรอกที่ทั้งคู่น่าจะข้ามผ่านขั้นของความสัมพันธ์ที่มัวแต่เกรงใจกันได้แล้ว แต่นิสัยของเขามันไม่ใช่สิ่งที่จะแก้กันง่ายๆ แบบนั้นี่

ร่างสูงใหญ่มองคนตัวเล็กกว่าที่หลุบตาหนีตัวเอง แล้วก็ถอนหายใจสั้นๆ ทีหนึ่งก่อนจะก้มลงหยิบกระเป๋าเอกสารขึ้นมาถือ แต่ที่ทำเอาภัทรสะดุ้งโหยงคือการที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็ก้มลงมาหอมแก้มเขาหน้าตาเฉย!

“คุณเชษฐ์!!”

ใบหน้าคมเข้มยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นภัทรรีบยกมือขึ้นปิดแก้มข้างที่โดนฉวยโอกาส “แบบนี้ค่อยน่าดูกว่าหน้าตาตอนหงอยๆ หน่อย แล้วก็อย่าเอาแต่ทำงานจนลืมกินข้าวซะด้วยล่ะ เย็นนี้เจอกันที่ร้าน อาจจะดึกหน่อยแต่ฉันจะตามไป”

เชษฐ์ทิ้งท้ายก่อนจะเลื่อนประตูกระจกที่ติดฟิล์มสีเข้มออก ภัทรถึงได้รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้กล้าทำอุกอาจเมื่อครู่ เพราะนอกจากจะปิดประตูห้องปรินเตอร์ไว้ ด้านนอกยังไม่มีใครอยู่อีกต่างหากเพราะว่าลงไปพักเที่ยงกันหมด ภัทรมองตามแผ่นหลังของร่างสูงใหญ่ที่เดินตัวตรงออกไปทางด้านหน้าของบริษัท ตรงแก้มที่เพิ่งโดนสัมผัสยังรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากร่องรอยของริมฝีปาก เขาเลยได้แต่ถูแก้มตัวเองแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มๆ

อย่างน้อย...คืนนี้เขาก็จะได้แนะนำคุณเชษฐ์กับครอบครัวเสียทีละนะ...


+---tbc---+


A/N: ในที่สุดของที่สุด ไหดองอันหนาหนัก สภาพประหนึ่งเครื่องลายครามบ้านเชียงก็แตก (เว่อร์) ตอนก่อนจะได้เริ่มเขียนตอนนี้ก็ได้กลับไปอ่านทอล์คของตอนเก่าๆ รวมทั้งเนื้อหาที่ลงไปแล้ว แล้วก็ให้รู้สึกหน้าร้อนๆ อ๊าย อาย เพราะในตอนล่าสุดนั่นพล่ามไว้ราวกับกำลังจะเขียนจบแล้ว แถมพูดถึงเรื่องที่ติดต่อน้องที่วาดปกไปแล้วอีกต่างหาก ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าน้องเสือได้เปลี่ยนไปวาดปกให้แม้นมั่นคำสัญญาก่อน ส่วนเรื่องนี้ก็โดนปล่อยไว้เฉยๆ เกือบจะครบปี เล่นเอาคนเขียนเองเกือบต่อไม่ติด ส่วนคนอ่าน...คาดว่าหลายๆ คนที่คอยทวงกันมาก็อาจมึนๆ เบลอๆ ไปแล้วว่าเนื้อหาเป็นมายังไง สำหรับคุณเชษฐ์กับภัทรนี่ อาจยังสัญญาไม่ได้ว่าจะมาลงให้ทุกสัปดาห์เหมือนตอนที่เขียนต้นกับไผ่ แต่ก็หวังว่าคงไม่ทิ้งช่วงยาวเกือบปีเหมือนที่ผ่านมาแล้วล่ะค่ะ

สำหรับตอนนี้ก็โล่งใจไปหนึ่งเปลาะที่เข็นตอนใหม่ออกมาได้เสียที ต้องขอขอบคุณทุกเสียงทวงที่เป็นกำลังใจ (ทั้งปากเปล่า ในบอร์ดและ facebook) ทำให้รู้ว่ามีคนอ่านรอคอยคุณเชษฐ์กับน้องภัทรอยู่เสมอ ยังไงคอยติดตามกันต่อ + พบกันใหม่ในตอนต่อไปนะคะ ปล. คนเขียนคนนี้กินคอมเม้นต์เป็นอาหารเด้อค่า ฮ่าๆๆ




 

Create Date : 06 มิถุนายน 2554    
Last Update : 6 มิถุนายน 2554 21:31:42 น.
Counter : 2330 Pageviews.  

แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก 11

A/N: มาแล้วค่ะ ขอโทษที่ห่างหายไปเป็นเดือน ขอไม่แก้ตัวล่ะนะว่าทำไมมาช้า ความจริงแอบรู้สึกว่าตัวเอง ‘เผา’ ตอนนี้อย่างไรชอบกล แถมเป็นครั้งแรกที่อธิบายงานของบริษัทที่เชษฐ์กับภัทรทำเสียยืดยาว ถ้ายังงงกันอยู่ก็บอกได้นะคะ (พยายามอธิบายให้มันเข้าใจง่ายแล้วล่ะ แต่ก็ไม่แปลกใจถ้าจะมีคนบอกว่าก็ยังงงอยู่ดี =w=”)

สำหรับตอนต่อไป ยังบอกไม่ได้แน่นอนว่าจะมาเมื่อไหร่เพราะกำหนดตารางชีวิตลำบากชะมัด แถมยังมีรีไรท์เรื่องเก่าที่อัพเดตทุกสัปดาห์อีก แต่ยังไงก็จะรีบเอาตอนใหม่มาลงทันทีที่ทำได้ค่ะ ที่สำคัญก็หาเรื่องกดดันตัวเองไว้แล้วด้วยการติดต่อคนวาดปกให้วาดรอสำหรับรวมเล่มเลย คราวนี้ไม่ได้ให้น้อง Jiro วาดเพราะอยากจะลองเปลี่ยนลายเส้นดูบ้าง และเพราะคนวาดคนนี้มีงานวาดส่ง สนพ. ดังอยู่แล้วด้วย เลยต้องให้เวลาล่วงหน้าหลายเดือนหน่อย ตื่นเต้นมากเพราะไปหลงรักลายเส้นเขาจนตามไปตะแง้วๆให้ตกลงวาดให้จนได้ ก็เป็นครั้งแรกที่เราจะให้ตัวเอกขึ้นปกกันแบบเต็มตา แต่เพราะเชื่อในฝีมือว่าคนวาดคนนี้ถ่ายทอดหน้าตาแบบที่เราต้องการได้แน่ ดังนั้นก็รอลุ้นด้วยกันว่าจะออกมาเป็นยังไงแล้วกันค่ะ (เอ่อ...คงได้เห็นประมาณปลายปี ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเขียนจบพร้อมกับอาร์ตหรือเปล่า แหะๆๆ)

แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะค้า~


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++


ตอนที่ 11.


หลังจากพายุฝนกระหน่ำในยามบ่ายของวันก่อน เช้าวันถัดมาท้องฟ้าก็ปลอดโปร่ง ขอบฟ้าที่ตัดกับผืนทะเลในยามรุ่งสางเรื่อไปด้วยแสงสีส้มจางจากพระอาทิตย์ที่ยังไม่โผล่เหนือผิวน้ำอย่างเต็มดวง ขณะเดียวกันก็มีเสียงร้องของนกทะเลดังมาให้ได้ยินจากที่ไกลๆ

ประตูห้องพักบีชฟร้อนท์สวีทถูกผลักเปิดออกอย่างช้าๆ ก่อนที่คนเปิดจะค่อยก้าวออกมายืนบนระเบียงหน้าห้อง ชายหนุ่มร่างเพรียวสูดอากาศยามเช้าริมทะเลที่เจือกลิ่นน้ำค้างจากต้นไม้ใบหญ้ารอบห้องพักเข้าเต็มปอด จากนั้นจึงเหลียวกลับไปมองร่างที่ยังนอนหลับไหลอยู่บนเตียงกลางห้อง

แม้ว่าภายในห้องจะค่อนข้างสลัวเพราะว่าผ้าม่านถูกรูดปิดไว้ทุกด้าน แต่เนื่องจากอีกฝ่ายนอนตะแคงหันมาทางเขา ภัทรจึงเห็นได้ถนัดว่าเปลือกตาทั้งสองของเชษฐ์ยังปิดสนิท แผ่นอกที่สะท้อนขึ้นลงรับกับจังหวะหายใจสม่ำเสมอ บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวยังไม่รู้สึกตัวตื่นหรือรับรู้ว่าเขาลุกจากเตียงแล้ว ชายหนุ่มจึงพยายามงับประตูตามหลังโดยไม่ให้เกิดเสียงดัง จากนั้นก็พ่นลมออกจากปากเบาๆขณะหมุนตัวหันหลังให้ประตู

นัยน์ตาเรียวทอดมองไปยังท้องทะเลกว้างเบื้องหน้า ผืนฟ้าด้านบนยังเป็นสีเทาหม่นเนื่องจากแสงอาทิตย์ยังอ่อนเกินกว่าจะฉายให้เห็นสีฟ้าใส ร่างเพรียวเดินเท้าเปล่าไปทรุดตัวลงบนม้านั่งที่ทำจากไม้ซึ่งตอกติดกับระเบียงห้องทั้งแถบและมีช่องพอจะให้สอดขาเข้าไปนั่งห้อยขาได้ จากนั้นก็วางแขนทั้งสองประสานกันบนขอบพนักและเอาคางเกยไว้ด้านบน สายลมยามเช้าตรู่พัดมาไล้ตัวอย่างแผ่วเบาแต่ก็ไม่ถึงกับทำให้รู้สึกหนาว เขาจึงไม่นึกอยากลุกไปหาผ้ามาห่มและปักหลักนั่งมองทิวทัศน์หน้าห้องอยู่อย่างนั้น

ตื่นก่อนอีกแล้วสิ...ทั้งที่เวลานอนคนเดียวจะไม่ตื่นเช้าแบบนี้ในวันหยุดแท้ๆ

ภัทรคิดในใจขณะแกว่งขาไปมาอย่างเนือยๆ เนื่องจากส่วนระเบียงที่ยื่นออกไปนั้นสูงจากพื้นทรายประมาณหนึ่งฟุตกว่า เมื่อเขาห้อยขาออกไปจึงแตะไม่ถึงพื้น ลมทะเลยามเช้าพัดผมด้านหน้าให้ปลิวมาเข้าตาจนต้องยกมือเสยเป็นระยะ ทำให้เขาตั้งใจว่ากลับไปกรุงเทพฯเมื่อไหร่คงต้องไปตัดผมเสียที

ชายหนุ่มนั่งมองขอบฟ้าค่อยๆเปลี่ยนสีโดยไม่รู้สึกง่วงหรืออยากกลับเข้าไปนอนเลยสักนิด ไม่ช้า แสงเรืองรอบพระอาทิตย์สีส้มดวงใหญ่ก็เริ่มขยายขอบเขตจนกลืนผืนฟ้าสีเทาหม่นให้สดใสขึ้นทีละน้อย ความสว่างนั้นช่วยขับรูปทรงของเรือประมงและหมู่เกาะที่อยู่ไกลลิบให้เป็นสีเข้มตัดกับฟ้าเบื้องหลังมากยิ่งขึ้น และทำให้ภัทรรู้ตัวว่าตนคงออกมานั่งเล่นคนเดียวได้นานพอสมควรแล้ว

มือเรียวล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกง จากนั้นก็กดเปิดเครื่องแล้วรออยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มไล้นิ้วโป้งบนหน้าจอเบาๆเมื่อพบว่าเครื่องหาสัญญานเจอ นัยน์ตาใสกระจ่างจับจ้องที่ตัวเลขแสดงเวลาพลางคิดถึงคนที่ตั้งใจจะไปเยี่ยมในวันนี้

ปกติน้าจินชอบตื่นเช้าไปตักบาตร ตอนนี้เกือบจะเจ็ดโมง...ก็น่าจะตื่นได้สักพักแล้วล่ะมั้ง

ภัทรคิดในใจก่อนจะกดโทรออกแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู เสียงเพลงรอสายซึ่งเป็นเพลงของนักร้องลูกกรุงชื่อดังสมัยก่อนเขาเกิดดังให้ได้ยินครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตัดเป็นเสียงพูดของหญิงวัยกลางคนที่ภัทรคุ้นหูเป็นอย่างดี

“ฮัลโหล? ภัทรเหรอลูก?”

เสียงที่ไม่ว่าเมื่อใดก็สะท้อนถึงความรักใคร่เอ็นดูอย่างเต็มเปี่ยมเอ่ยทักมาตามสาย อาจเพราะปกติน้าของเขาเป็นคนพูดช้าและเสียงเบา เวลาคุยโทรศัพท์ภัทรจึงต้องคอยเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจทุกครั้ง ทว่าน้ำเสียงจากญาติผู้ใหญ่ที่เคารพซึ่งไม่ได้ยินมาหลายเดือนก็ทำให้ความคิดถึงพลุ่งขึ้นจนขอบตาร้อนผ่าว ชายหนุ่มจึงรีบสูดน้ำมูกและใช้อุ้งมือข้างที่ว่างเช็ดหยาดน้ำตรงหางตาออกไป

“ครับน้าจิน ผมเอง ผมไม่ได้โทรมาปลุกน้าจินใช่มั้ย?”

ภัทรรีบถาม เพราะตั้งแต่หลังปีใหม่เขาก็ไม่ได้ติดต่อไปหาน้าสาวและน้าเขยเลย ดังนั้นหากพบว่าตนโทรไประหว่างที่น้ายังไม่ตื่นนอนก็คงรู้สึกเสียมารยาทมาก ทว่าปลายสายกลับหัวเราะเบาๆ

“น้าก็ตื่นตั้งแต่หกโมงเช้าทุกวันนั่นแหละ ว่าแต่เราเถอะ ปกติวันหยุดต้องตื่นแปดเก้าโมงโน่นไม่ใช่เหรอ แล้วนี่มีอะไรหรือเปล่าถึงได้โทรมาเสียเช้าเชียว? หรือว่ามีใครเป็นอะไรไป?”

น้ำเสียงของคนถามร้อนใจขึ้นเมื่อถึงประโยคสุดท้าย ภัทรจึงส่ายหน้ายิ้มๆทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็น “เปล่าครับ ผมแค่คิดถึง แล้วก็...เอ่อ ผมจะถามว่าวันนี้น้าจินกับน้าบรรณอยู่บ้านกันหรือเปล่า พอดีผมกะว่าช่วงสายๆจะเข้าไปหา...”

ภัทรตอบเสียงสะดุดเล็กน้อย ทั้งที่ความจริงแล้วเขาก็ใช้ชีวิตที่บ้านเดียวกับน้าทั้งสองอยู่หลายปีสมัยเรียนมัธยม เนื่องจากพี่สาวแยกไปอยู่หอเพราะพ่อกับแม่เสียตอนที่แพนเรียนระดับมหาวิทยาลัยแล้ว ดังนั้นบ้านที่จันทบุรีก็เปรียบเหมือนบ้านอีกหลังของเขา แถมน้าทั้งสองยังเอ็นดูเขามากเพราะไม่มีลูก ดังนั้นภัทรจึงไม่จำเป็นจะต้องรู้สึกเกรงใจกับการเข้าไปเยี่ยมก็ได้ แต่คงเพราะว่าการไปครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียว ชายหนุ่มจึงรู้สึกเกร็งนิดหน่อย

คู่สนทนาได้ยินคำถามก็อุทาน “อ้าว! ตายจริง ไปยังไงมายังไงถึงจะมาวันนี้ละนี่ ตอนนี้น้าจินกับน้าบรรณมาช่วยงานบวชของลูกเพื่อนที่ชุมพรอยู่นะลูก ไม่มีใครอยู่บ้านเลยสักคน ทำไมไม่บอกล่วงหน้าก่อนว่าจะมาเยี่ยมละจ๊ะ น้าจะได้รู้ว่าภัทรจะมาหา จะได้บอกปัดทางนี้เขาไป”

เสียงของผู้เป็นน้าเอ่ยติงเบาๆ ชายหนุ่มจึงรู้สึกว่าสีหน้าของตัวเองเจื่อนลง

“...ขอโทษครับ พอดีผมมาเที่ยวระยองเมื่อวาน แล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้น่าจะแวะไปหาน้าจินก่อนกลับกรุงเทพฯเสียหน่อย เลยไม่ได้โทรมาบอกล่วงหน้าไว้ก่อน”

ภัทรอธิบายเสียงอ่อย ถึงแม้ใจหนึ่งจะนึกเสียดายที่จะไม่ได้พาเชษฐ์ไปเยี่ยมน้าของเขา แต่ความเสียดายที่ตนพลาดโอกาสได้พบผู้มีพระคุณทั้งสองนั้นมีมากกว่าเสียอีก

เสียงถอนหายใจเบาๆดังมาตามสาย “ไม่เป็นไรหรอก เอาเป็นว่าคราวหน้าเราก็บอกน้าแต่เนิ่นๆก็แล้วกันว่าจะมา นี่น้าบรรณก็บ่นว่าเดี๋ยวนี้หลานๆไม่ติดต่อมาหาเลย คนแก่ก็เหงาเป็นนะจ๊ะ ฝากบอกแพนด้วยว่าพวกน้าอยากเจอมายูมิ ถ้าเขาว่างเมื่อไหร่ให้พายายตัวเล็กมาให้อุ้มบ้าง”

เมื่อได้ยินผู้เป็นน้าเอ่ยถึงพี่สาวกับหลาน ภัทรจึงยิ้มออกได้ ชายหนุ่มตอบรับด้วยน้ำเสียงที่สดใสขึ้นเมื่อนึกถึงแก้มยุ้ยๆและความช่างฉอเลาะของหลานสาว “ได้ครับ เดี๋ยวผมจะบอกพี่แพนให้ แต่ช่วงนี้เห็นว่าพี่โทรุเขายุ่งๆ อาจจะต้องรอให้ว่างก่อน แล้วคงได้พากันไปเยี่ยมน้าจินพร้อมหน้าทั้งครอบครัว”

ภัทรได้ยินคู่สนทนาหัวเราะเบาๆ จากนั้นอีกฝ่ายก็เงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงที่ขรึมขึ้น

“จริงสิ…ว่าก็ว่าเถอะ แล้วช่วงนี้ภัทรเป็นยังไงบ้างลูก ของพี่แพนน่ะน้าไม่ห่วงเขาแล้ว แต่ของเรานี่สิ ได้เจอใครบ้างหรือยัง? ตาคนเก่านั่นน่ะเลิกคิดถึงได้แล้วนะ หรือถ้าเบื่อกรุงเทพฯเมื่อไหร่ก็กลับมาอยู่กับน้าก็ได้ งานที่เมืองจันทน์ก็มีให้ภัทรทำออกเยอะแยะ เดี๋ยวให้น้าบรรณถามพวกเพื่อนๆเค้าให้ก็ได้”

ผู้เป็นหน้าถามไถ่ก่อนจะตบท้ายด้วยการหว่านล้อมเช่นทุกครั้ง ภัทรจึงยิ้มบางๆ น่าแปลกที่แม้เวลาจะผ่านมาจนป่านนี้ แต่เขาก็ยังรู้สึกหน่วงๆในอกส่วนลึกยามได้ยินใครพูดถึงธรทุกครั้ง ถึงแม้คนพูดจะไม่ได้เอ่ยชื่อก็ตาม นั่นคงเป็นเพราะแผลในใจของเขายังรักษาไม่หายสนิทร้อยเปอร์เซ็นต์เสียทีกระมัง

แต่ว่า...ความรู้สึกอึดอัดนั้นก็ไม่ได้มากเท่ากับเมื่อตอนที่เขาถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวใหม่ๆ เพราะว่าตอนนี้ ภัทรตระหนักดีว่าตนเองไม่ได้ ‘ตัวคนเดียว’ อีกต่อไปแล้ว

“น้าจินไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นแล้วล่ะครับ ผม...เอ้อ...”

ภัทรเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วก็ไปต่อไม่ได้ นี่เขาควรจะพูดว่ายังไงดีล่ะ ‘ผมมีแฟนใหม่แล้ว’ งั้นเหรอ? จริงอยู่ว่าหากบอกไปน้าจินคงสบายใจขึ้น แต่ทำไมเขาถึงยังกระดากปากก็ไม่รู้สิ...

ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง นึกขัดใจกับความหน้าบางของตัวเองในเวลาเช่นนี้ แต่คงเพราะอีกฝ่ายเลี้ยงดูเขามาหลายปีตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น คำตอบสั้นๆที่ได้จึงทำให้ผู้เป็นน้าปะติดปะต่อเรื่องราวได้เอง

“หือ? ตกลงว่าภัทรมีใครแล้วเหรอลูก? งั้นที่จะมาเยี่ยมน้าวันนี้ก็คือจะพาเขามาด้วยใช่หรือเปล่า?”

เสียงพูดที่เร็วและดังขึ้นเล็กน้อยบอกให้รู้ว่าคนพูดกำลังตื่นเต้น ภัทรจึงได้แต่ยิ้มแล้วถอนหายใจด้วยความระอาตัวเอง ทำไมคนรอบตัวถึงมีแต่คนที่อ่านเขาออกทั้งนั้นเลยนะ มีแต่เขานี่ล่ะ…อ่านใครไม่เคยออกเลยสักคน

“…ก็ทำนองนั้นล่ะครับน้าจิน พอดีผมก็ไม่ทันรู้ว่าจะโดนพามาระยอง เพิ่งมานึกได้ก็ตอนถึงที่นี่แล้วว่ามันใกล้เมืองจันทน์นิดเดียวเอง แต่ถ้าน้าจินไม่อยู่ก็คงต้องนัดกันใหม่”

ภัทรพูดพลางเอียงหน้าลงบนแขนข้างที่ยังวางไว้บนขอบพนัก แต่สองตายังคงมองไปยังพระอาทิตย์ที่เริ่มลอยขึ้นเหนือผิวน้ำ สีฟ้าสดของฟ้ายามเช้าเริ่มแผ่ตัวกลบความหม่นทึบของฟ้าใกล้รุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และคงเพราะความสนใจของเขาถูกจดจ่ออยู่กับคู่สนทนาในสาย ชายหนุ่มจึงไม่ทันได้ยินเสียงเปิดประตูห้องที่ดังขึ้นจากด้านหลังเลยสักนิด

“อืม...น่าเสียดายจัง ยังไงคราวหน้าภัทรโทรมาบอกน้าก่อนจะมาก็แล้วกันนะลูกนะ แล้วก็พาเขามาด้วย น้าสองคนจะได้รู้จักไว้ ว่าแต่เขาดีกับภัทรใช่มั้ย? น้าเป็นห่วง...กลัวเราจะเจอคนไม่ดีอีกนี่แหละ”

ท้ายประโยคจบลงด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเป็นกังวล ภัทรได้ยินดังนั้นก็ยกมุมปากขึ้นน้อยๆ ชายหนุ่มนึกดีใจว่าถึงแม้ตนจะเสียพ่อกับแม่ไปตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น แต่ว่าครอบครัวของน้าที่รับเขาไปดูแลก็คอยให้ความเอาใจใส่และคอยให้กำลังใจทุกเรื่อง แม้เมื่อยามที่รักครั้งแรกจบลงด้วยความผิดหวัง แต่น้าทั้งสองก็ไม่เคยซ้ำเติมว่าภัทรหาเรื่องใส่ตัว และเพราะช่วงนั้นพี่สาวของเขายังอยู่ที่ญี่ปุ่นและไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น ภัทรจึงมีที่พึ่งทางใจเพียงครอบครัวของน้าที่จันทบุรีเท่านั้น หากตอนนั้นไม่มีน้าจินกับน้าบรรณ เขาก็คงไม่สามารถรวบรวมความเข้มแข็งกลับคืนได้เร็วอย่างที่ผ่านมาแน่

“ครับ...ถ้าเรื่องนั้นน้าจินไม่ต้องห่วง เขาเป็นคนดีครับ”

คราวนี้ภัทรตอบได้อย่างเต็มเสียง เพราะเขามั่นใจในทุกคำที่พูดออกไป ถึงแม้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะนับได้ว่ายังอยู่ในขั้นทำความเรียนรู้กันและกัน แต่เขาก็ค่อนข้างแน่ใจว่าเส้นทางของเขากับเชษฐ์จะไม่ย้ำรอยความรักครั้งก่อนอย่างแน่นอน

“...ถ้าเราว่าอย่างนั้น น้าก็เบาใจ”

เสียงของผู้เป็นน้ากลับไปเบาลงและเนิบนาบตามเสียงพูดปกติ จากนั้นทั้งสองก็ถามไถ่กันเรื่องความเป็นไปของแต่ละฝ่ายเพิ่มอีกเล็กน้อย ภัทรให้สัญญาว่าจะหาโอกาสไปเยี่ยมก่อนสิ้นปีก่อนที่จะวางสาย ทว่ายังไม่ทันจะเก็บโทรศัพท์มือถือกลับเข้ากระเป๋ากางเกง เสียงกระแอมจากคนที่มายืนอยู่ข้างหลังก็ทำเอาเขาสะดุ้ง

“แอบลุกออกมาก่อนอีกแล้วนะ”

“คุณเชษฐ์!”

ภัทรหันขวับไปหาเจ้าของเสียง แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายยืนเอามือล้วงกระเป๋าอยู่ด้านหลังเขาในระยะห่างออกไปเพียงไม่กี่คืบ ทว่าแม้น้ำเสียงจะฟังเหมือนดุ นัยน์ตาคมหลังเลนส์แว่นกลับทอยิ้มน้อยๆ

“...ก็พอตื่นแล้ว ผมหลับต่อไม่ลงนี่ครับ”

คนที่นั่งอยู่เอ่ยแก้ตัวเสียงอ่อย ร่างสูงใหญ่จึงก้าวไปหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ แต่ไม่ได้หันออกไปนั่งห้อยขาเหมือนภัทร มือใหญ่ยกขึ้นเกลี่ยปอยผมที่โดนลมพัดจนเกือบเข้าตาของคนข้างๆแล้วเสยไปด้านหลังให้

“นอนข้างฉันแล้วหลับไม่สนิทหรือไง? ฉันว่าฉันก็ไม่ได้นอนดิ้นหรือกรนนี่”

เชษฐ์เอ่ยถาม เพราะหากว่าไม่นับรวมวันนี้ เช้าวันก่อนที่ไปนอนที่บ้านของคุณผู้จัดการ ภัทรก็ตื่นก่อนแล้วแอบเดินลงไปที่ห้องครัวก่อนเหมือนกัน จึงช่วยไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะสันนิษฐานว่าการที่อีกฝ่ายตื่นเช้ากว่านั้นมีสาเหตุมาจากตัวเอง

ภัทรได้ยินคำถามก็ทำตาโตและรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่นะครับ! ไม่เกี่ยวกับคุณเชษฐ์เลย พอดีผมแค่...ยังไม่ชิน...ก็เท่านั้นเอง”

ชายหนุ่มหลบตาแล้วก็ตอบเสียงอุบอิบ เพราะอีกฝ่ายเล่นจ้องเขาจริงๆจังๆจนเกือบจะเหมือนคาดคั้น แต่ว่าเหตุผลที่ภัทรให้ไปนั้นเป็นจริงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้นอนเคียงข้างใครมานาน ดังนั้นจึงยังไม่คุ้นกับการนอนบนเตียงที่มีคนอีกคนอยู่ด้วย แต่อีกสาเหตุที่ภัทรไม่อยากพูดออกมาก็คือ เพราะเขามักจะยังสับสน เกรงว่าความอบอุ่นที่ได้สัมผัสในยามหลับนั้นเป็นความฝันที่จะสลายไปเมื่อตื่นขึ้นมา ดังนั้นเมื่อลืมตาขึ้นและได้เห็นร่างสูงใหญ่ที่นอนอยู่ข้างๆจึงทำให้รู้สึกโล่งใจ แต่นั่นก็ส่งผลให้เขาข่มตาหลับต่อไม่ลงไปด้วยเหมือนกัน

เชษฐ์มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่ทำทีเป็นมองไปยังท้องทะเล อาจเป็นเพราะทั้งสองคบกันมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เขาจึงพอรู้ว่าด้วยนิสัยของภัทรนั้น ถ้าหากตั้งใจแล้วว่าจะไม่พูด ต่อให้โดนเค้นถามแค่ไหนก็ไม่มีวันพูด ร่างสูงจึงส่ายหน้าแล้วยกมือขึ้นตบไหล่บางเบาๆ

“เอาเถอะ ถ้าเพราะยังไม่ชินก็แล้วไป ว่าแต่เมื่อกี้โทรหาน้าเธอแล้วใช่มั้ย ตกลงว่ายังจะไปเยี่ยมกันอยู่หรือเปล่า?”

ภัทรมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม...ก็เมื่อกี้มาแอบยืนอยู่ข้างหลังเขาตั้งนานไม่ใช่หรือไง นี่คุณเชษฐ์ทันได้ฟังบทสนทนาตั้งแต่ช่วงไหนกันแน่…

ภัทรคิดขณะหันกลับไปหาคนถาม เขาพยายามจะอ่านสีหน้าของคุณผู้จัดการให้ออก แต่แล้วก็ต้องยอมแพ้เพราะไม่ได้ความกระจ่างใดๆเลย จึงตอบออกไปตามตรง

“น้าจินกับน้าบรรณไปชุมพรอยู่น่ะครับ ตอนนี้ถึงไปที่บ้านก็ไม่เจอใครอยู่ดี น้าผมบอกว่าถ้าจะไปหาคราวหน้าก็โทรไปบอกก่อน เขาจะได้รู้แล้วจะได้อยู่รอ”

ผู้สูงวัยกว่าได้ยินก็พยักหน้า “อืม...เข้าใจละ งั้นวันนี้พวกเราก็ว่างกันแล้วสิ”

รูปประโยคทำให้คิดว่าคนพูดรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะเป็นคำถาม ภัทรจึงพยักหน้าเพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไร เชษฐ์มองหน้าอีกฝ่ายแล้วก็ยิ้ม

"งั้นไปกินข้าวเช้าก่อน ไหนๆก็มีเวลาเหลือแล้ว เดี๋ยวแวะเที่ยวตามทางก่อนกลับกรุงเทพฯก็แล้วกัน”

++------++

หลังจากทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของรีสอร์ทเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็เก็บข้าวของแล้วเช็คเอ๊าท์ออกจากที่พักก่อนเวลาเที่ยงเล็กน้อย ขากลับคราวนี้เชษฐ์ไม่ได้ขับรถเร็วเหมือนขามา และพาแวะเที่ยวตลอดทางเหมือนกับยังไม่อยากให้ถึงกรุงเทพฯเร็วนัก แต่ว่าภัทรก็ไม่ได้ทักท้วงเพราะเขาเองก็ไม่ได้รีบร้อนจะกลับเหมือนกัน

และที่สำคัญ...เขาก็รู้ดีว่าหลังจากนี้ทั้งสองคงไม่มีเวลาได้ไปไหนมาไหนกันแบบนี้อีกหลายเดือน เพราะว่าตอนนี้เริ่มเข้าสู่ช่วงที่ใกล้การจัดงานมหกรรมที่ทางบริษัทของเขาจัดเป็นประจำทุกปี หรือที่คนในบริษัทเรียกกันว่าช่วง ‘หน้างาน’ แล้ว

บริษัทที่ภัทรและเชษฐ์ทำงานนั้นเป็นบริษัทจัดงานแสดงมหกรรมเครื่องจักรและเทคโนโลยี ซึ่งต่างจากบริษัทจัดงานอิเว้นท์ทั่วไปตรงที่ไม่ได้รับทำประชาสัมพันธ์หรือกิจกรรมส่งเสริมการขายให้ลูกค้ารายใดรายหนึ่ง แต่ดำเนินธุรกิจด้วยวิธีเหมาสถานที่สำหรับจัดแสดงงานในช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นก็ขายพื้นที่ให้ลูกค้าเพื่อนำเครื่องจักรและอุปกรณ์อื่นๆมาออกบู๊ธ และผู้ที่จะมาชมงานหรือเลือกซื้อก็คือวิศวกรหรือเจ้าของกิจการด้านการรับช่วงผลิต ซึ่งนับได้ว่าเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างเฉพาะทางมาก และถึงแม้บริษัทของภัทรจะไม่ใช่รายเดียวในประเทศที่จัดงานลักษณะเช่นนี้ แต่ว่าก็มีคู่แข่งน้อยรายเนื่องจากบริษัทอื่นจะเน้นจัดงานที่ขายผลิตภัณฑ์สำเร็จเช่นเฟอร์นิเจอร์หรืองานเลหลังสินค้ากันเสียมากกว่า และที่สำคัญก็คือคุณปรีชาซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ก่อตั้งบริษัทก็เป็นหนึ่งในผู้ที่บุกเบิกธุรกิจนี้เป็นรายแรกๆในประเทศ ก่อนที่ต่อมาจะนำบริษัทไปเข้าร่วมเป็นพันธมิตรของบริษัทแนวเดียวกันในยุโรปซึ่งใหญ่กว่าและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ดังนั้นทุกงานที่จัดจึงค่อนข้างมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนในวงการ แม้แต่ชาวต่างประเทศที่อยู่ในแวดวงก็ยังบินมาเยี่ยมชมงานทุกปี และการจัดงานแต่ละครั้งก็มีเงินหมุนเวียนเป็นหลักเกือบพันล้าน

ภายในการจัดงานแต่ละครั้งนั้นจะไม่ได้มีการนำเสนอแบบรวมทุกอุตสาหกรรม แต่ว่ามีการแยกตามสายอุตสาหกรรมด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้คนที่เป็นเซลส์ขายพื้นที่แบ่งงานกันง่ายขึ้นโดยไม่ต้องแย่งลูกค้ากัน อย่างเช่นงานที่เน้นอุตสาหกรรมพลาสติกก็ขายพื้นที่ให้แต่บริษัทที่ขายเครื่องจักรฉีดพลาสติก งานที่เน้นอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ก็ขายพื้นที่ให้แต่บริษัทที่ขายเครื่องผลิตแม่พิมพ์ โดยเซลส์ของแต่ละงานจะอยู่ใต้การดูแลและวางแผนโดยผู้จัดการโปรเจ็กต์อีกที จึงเป็นที่มาว่าทำไมบริษัทของภัทรจึงมีผู้จัดการโปรเจ็กต์ถึงสี่คน และเพราะการขายพื้นที่ในงานแบบนี้นั้น ลูกค้าที่สนใจจะออกบู๊ธต้องเสียค่าซื้อพื้นที่เป็นเงินหลักแสนหรือหลักล้านทั้งที่จัดแสดงเพียงสี่วัน ขึ้นอยู่กับว่าเลือกใช้พื้นที่มากแค่ไหนและซื้อแพคเกจประชาสัมพันธ์แบบใด การจะขายพื้นที่จึงต้องทำกันล่วงหน้าปีต่อปี คนที่เป็นผู้จัดการและเซลส์ของแต่ละโปรเจ็กต์จึงต้องทำงานหนักกันข้ามปีเพื่อจะขายพื้นที่ให้ได้มากที่สุด

ในแต่ละวันที่เซลส์ออกไปพบลูกค้า แผนกอื่นๆก็ต้องช่วยกันสนับสนุนการขายด้วย โดยทีมประชาสัมพันธ์ก็ต้องเขียนข่าวและจัดกิจกรรมให้งานเป็นที่รู้จัก ทีมก๊อปปี้ไรเตอร์และกราฟฟิคดีไซน์เนอร์ก็ต้องทำโบรชัวร์หรือสื่อโฆษณาเพื่อดึงดูดลูกค้าที่มีแนวโน้มว่าจะมาออกบู๊ธ ทีมคอลเซ็นเตอร์ก็ต้องโทรและส่งอีเมล์ติดต่อเชิญชวนทั้งผู้ที่มีแนวโน้มจะมาออกงานและมาชมงาน และเมื่อถึงกำหนดเวลาปิดการขาย ฝ่ายเซลส์ก็จะสรุปยอดผู้เข้าออกแสดงสินค้าและส่งต่อรายชื่อรวมทั้งตำแหน่งออกบู๊ธของลูกค้าแต่ละรายให้แก่ฝ่ายโอเปอเรชัน ซึ่งแผนกนี้ต้องรับช่วงในการประสานงานระหว่างลูกค้ากับสถานที่จัดงานให้ตั้งแต่ก่อนจนถึงหลังงานจบและรื้อถอนบู๊ธ ซึ่งงานของภัทรจะตกอยู่ในส่วนนี้นั่นเอง ถึงแม้กระบวนการต่างๆเหล่านี้จะดูเหมือนง่าย แต่ว่าความจริงแล้วกินเวลาและมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมากทีเดียว กว่าภัทรจะเข้าใจถึงสิ่งที่รุ่นพี่ของเขาช่วยสอนให้ก็ยังต้องใช้เวลาร่วมปี และหลังจากที่เคยได้ผ่านงานของปีก่อนมาแล้ว คราวนี้เขาจึงรู้ว่าช่วงที่ทุกคนในบริษัทจะยุ่งที่สุดก็คือช่วงหนึ่งเดือนสุดท้ายก่อนจะเปิดงาน หรือก็คือช่วงนี้นั่นเอง

จริงอยู่ว่าภัทรเป็นคนมีนิสัยมุ่งมั่นกับการทำงาน เพราะมันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าและได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับบริษัท แต่ขณะเดียวกัน ส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นนั้นก็มาจากความที่เขาต้องการหาอะไรทำเพื่อดึงความสนใจจากการจมจ่อมอยู่กับอดีต และมันก็ได้ผลจริงๆจนทำให้ภัทรแทบไม่ค่อยสมาคมหรือสังสรรค์กับคนในบริษัทนัก แต่ว่าเขาก็ไม่เคยได้มานั่งนึกเสียดายตรงจุดนี้ และถ้าหากเป็นเมื่อก่อนแล้วล่ะก็ ภัทรก็คงไม่นึกเสียดายหรืออาลัยเวลาสำหรับการพักผ่อนมากขนาดนี้อย่างแน่นอน แต่เพราะตอนนี้เขาเริ่มพบว่าตัวเองกำลังได้ค้นพบตัวตนที่ทำหายไปอีกครั้งจากการได้ใช้เวลาอยู่กับเชษฐ์ การเดินทางกลับกรุงเทพฯคราวนี้จึงอวลไปด้วยความรู้สึกดีใจปนเหงาหงอย รวมทั้งความรู้สึกที่อยากจะยืดเวลาที่พวกเขายังไม่ต้องกลับไปเผชิญกับชีวิตการทำงานให้เนิ่นนานขึ้นอีกนิดด้วย

ภัทรได้แต่คิดวนไปวนมาถึงเรื่องนี้ระหว่างทางที่เชษฐ์ขับรถพากลับกรุงเทพฯซึ่งเป็นเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มตกดิน และถึงแม้ว่าเจ้าของรถจะเปิดเพลงจากแผ่นซีดีเอาไว้เพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบเกินไป แต่ก็ไม่อาจกลบเสียงถอนหายใจที่หลุดให้ได้ยินเป็นระยะจากร่างเพรียวที่นั่งอยู่ฝั่งผู้โดยสารได้ คนตัวใหญ่ลอบมองคนที่เอาแต่นั่งเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็ยิ้ม

“ภัทร”

“ครับ?”

คนถูกเรียกหันกลับมา คิ้วเรียวทั้งสองข้างขมวดเล็กน้อย แต่ดูเหมือนเจ้าตัวคงไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าเหงาๆอยู่ คนตัวใหญ่ที่ตอนแรกคิดจะแกล้งแซวจึงเริ่มลังเลขึ้นมา เชษฐ์เบนสายตากลับไปมองถนนเบื้องหน้าแล้วก็เคาะนิ้วข้างหนึ่งลงบนพวงมาลัย และสุดท้ายก็เปลี่ยนใจ

“เดี๋ยวลงจากทางด่วนก็ใกล้ถึงคอนโดเธอแล้วนะ อยากแวะกินข้าวหรือซื้อของอะไรก่อนหรือเปล่า?”

“เอ๋? เอ่อ...”

พอได้ยินคำถาม ภัทรจึงเหลือบตามองป้ายบนทางด่วน ทำให้พบว่าตอนนี้ทั้งสองเข้าเขตกรุงเทพฯกันแล้ว และอีกราวครึ่งชั่วโมงก็คงถึงคอนโดของเขาถ้าหากรถไม่ติด ชายหนุ่มตกใจเล็กน้อยเพราะว่าเอาแต่เหม่อจนไม่ทันรู้ตัว

เวลาเที่ยวเล่นมักจะผ่านไปเร็วจริงๆด้วย...

ภัทรถอนหายใจอีกครั้ง แล้วก็ต้องเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจที่เห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะทั้งที่ไม่ได้หันมาทางเขา แต่ก็ไม่ได้คิดมากหรือทักท้วงขึ้นมา ชายหนุ่มเพียงยกมือหนึ่งลูบท้องตัวเองเบาๆอย่างครุ่นคิด

“ผมยังไม่หิว...”

ภัทรพูดได้แค่นั้น แล้วก็ให้นึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพาซื่อจนปากตรงกับใจ เพราะการที่เชษฐ์ถามเขาแบบนั้นอาจเป็นเพราะจะได้ยืดเวลาให้ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันก็ได้ แต่การที่เขาพูดแบบนี้ก็เหมือนตัดรอนกันกลายๆว่าได้เวลาแยกย้ายกันแล้ว ทว่าเมื่อภัทรมองไปก็ไม่ได้พบว่าเชษฐ์ทำสีหน้าไม่พอใจแต่อย่างใด อีกฝ่ายเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ และเมื่อถึงทางแยกก็หักเลี้ยวลงและขับตรงไปทางคอนโดของเขาเท่านั้น

“ถ้างั้นก็กลับกันเลยก็แล้วกัน”

ภัทรมองคนข้างๆอย่างไม่เข้าใจว่ากำลังคิดอะไร จะว่าหงุดหงิดหรือเปล่าก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเขาเคยเห็นเวลาคุณเชษฐ์อารมณ์ไม่ดีเพราะเรื่องของเขามาก่อนแล้ว ทำให้รู้ว่าถ้าหากอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจเขาก็น่าจะดูออก แต่ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของคุณผู้จัดการในตอนนี้กลับไม่ได้แสดงท่าทางเช่นนั้นให้เห็นเลยสักนิด คราวนี้เขาจึงเริ่มเป็นฝ่ายร้อนใจเสียเอง

อะไรเนี่ย...หรือว่าที่จริงกำลังโมโห แต่ว่าไม่ยอมแสดงออกมาให้รู้อยู่หรือเปล่านะ

ชายหนุ่มคิดในใจขณะที่เชษฐ์ขับรถมาถึงลานจอดชั้นใต้ดินของคอนโดเขาแล้ว อีกฝ่ายยังคงไม่ได้พูดอะไรขณะที่เข้าเกียร์จอดแต่ไม่ได้ดับเครื่อง ภัทรจึงได้แต่เม้มริมฝีปาก เพราะที่คนข้างตัวทำอยู่นั้นเหมือนกำลังรอให้เขาบอกลาแล้วรีบๆลงจากรถไปไม่มีผิด

ก่อนจะทันรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร ภัทรก็ยื่นมือไปจับแขนอีกฝ่ายเอาไว้ และดูเหมือนเชษฐ์เองก็คงไม่ได้คิดว่าเขาจะแสดงกิริยาเช่นนั้นออกมาเหมือนกัน ใบหน้าคมจึงหันมาเหลือบมองคนข้างๆแล้วก็เลิกคิ้ว ภัทรเห็นสายตาแสดงความประหลาดใจของอีกฝ่ายจึงรู้สึกตัวและรีบปล่อยมือ

“ผมไม่ได้หมายความว่าอยากรีบไล่คุณเชษฐ์กลับนะครับ”

คนถูกพามาส่งก้มหน้าแล้วพูดเสียงอ่อย แต่กลับกลายเป็นว่าคราวนี้คนฟังกลับหัวเราะเสียงดัง ภัทรจึงเงยหน้าขึ้นแล้วกะพริบตาปริบๆอย่างงุนงง ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆแขนใหญ่ข้างหนึ่งก็รั้งเขาเข้าไปหา

“คิดมากเกินไปแล้ว ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ ก็วันนี้พาไปเที่ยวตะลอนๆตลอดบ่าย ฉันก็นึกว่าเธอคงเหนื่อย อยากกลับไปพักแล้วน่ะสิ”

คนตัวใหญ่พูดพลางบีบไหล่ของคนในอ้อมแขน ร่างเพรียวจึงถอยตัวออกเพื่อมองหน้าอีกฝ่ายให้ชัดๆ ทำให้ได้เห็นรอยยิ้มขันในดวงตาเป็นประกายหลังเลนส์แว่น และก็ได้รู้ตัวว่าเผลอปล่อยไก่ตัวใหญ่อีกแล้ว

เมื่อไหร่เขาจะเลิกทำตัวเปิ่นๆแบบนี้เสียทีนะ...

ภัทรคิดขณะที่รู้สึกว่าผิวแก้มอุ่นวาบขึ้น นี่ถ้าหากใครที่ออฟฟิศมาเห็นเขาตอนนี้คงได้พากันหัวเราะแน่ๆ แต่เขาก็เพียงแต่พูดตามที่คิดเพราะกลัวคุณเชษฐ์จะโกรธเท่านั้นนี่นา

“ผมไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแต่ยังไม่หิวเพราะเมื่อบ่ายก็แวะกินกันไปแล้ว แล้วก็ไม่อยากไปซื้อของอะไรด้วย ผมแค่...”

ชายหนุ่มพูดยังไม่จบประโยคก็เงียบไป นัยน์ตาเรียวเหลือบกลับขึ้นสบตากับอีกฝ่าย เขาอยากจะพูดต่อว่า ‘ผมแค่ยังไม่อยากให้คุณเชษฐ์กลับ’ แต่ก็เกรงว่าตัวเองอาจกำลังเอาแต่ใจ เพราะว่าเชษฐ์ก็ขับรถพาเขาไปที่นั่นที่นี่มาทั้งวัน บางทีตอนนี้อีกฝ่ายอาจจะกำลังอยากกลับไปพักผ่อนก็ได้

ทั้งสองนั่งสบตากันโดยไม่มีใครเอ่ยอะไรก่อน แต่แล้วภัทรก็หลับตาลงเมื่ออีกฝ่ายขยับตัวเข้าหา ชายหนุ่มรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่รดอยู่บนหน้าผาก ก่อนอีกฝ่ายจะแนบริมฝีปากลงบนเปลือกตาข้างหนึ่งของเขาอย่างแผ่วเบา

ร่างเพรียวรู้สึกได้ถึงข้อนิ้วใหญ่ที่ไล้แก้มให้เขาอยู่ แต่นอกจากสัมผัสอันอ่อนหวานบนเปลือกตา เชษฐ์ก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น นัยน์ตาเรียวค่อยปรือขึ้นช้าๆเมื่อสัมผัสอบอุ่นนั้นผละไป แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มอ่อนๆให้

“ที่จริงก็อยากจะขอตื๊อขึ้นไปเยี่ยมห้องอยู่หรอกนะ แต่เมื่อตอนบ่ายฉันโดนโทรมาบอกว่าให้ช่วยทำพรีเซ้นต์ให้คุณปรีชาด่วนเพราะต้องไปเอาไประชุมกับสมาคมพรุ่งนี้เช้า พอดีมันมีข้อมูลที่ต้องใช้จากตอนที่ฉันไปเทรนนิงที่ต่างประเทศด้วย ท่าทางคงจะกินเวลาอยู่เหมือนกัน”

ภัทรเบิกตาโต พออีกฝ่ายพูดเขาจึงนึกขึ้นได้ว่าตอนที่แวะทานมื้อบ่ายกันนั้นมีโทรศัพท์มาหาและเชษฐ์ลุกออกไปคุยที่อื่น แต่เพราะเจ้าตัวไม่ได้บอกเขาว่าท่านประธานเป็นคนโทรมาหรือว่ามีเรื่องด่วน แถมยังขับรถพากลับเข้าเมืองแบบไม่รีบร้อนอีก เขาจึงไม่ระแคะระคายสักนิดว่าคนข้างตัวมีธุระที่ต้องรีบกลับไปทำ

“ขอโทษครับ ผมไม่รู้เลย...”

ภัทรเอ่ยเสียงเบา รู้สึกราวกับตัวเองเป็นตัวถ่วงเวลาอันมีค่าของอีกฝ่ายขึ้นมา แต่เชษฐ์กลับส่ายหน้าแล้วยกมือขึ้นเสยผมที่ลงมาปรกหน้าผากของภัทรให้

“เธอไม่ผิดหรอกน่า ตอนที่คุณปรีชาโทรมาก็ขอโทษเหมือนกันที่ต้องให้ทำกะทันหันแบบนี้ เพราะที่จริงเขามอบหมายให้เลขาเป็นคนทำแล้วแต่เจ้าหล่อนเกิดป่วยเมื่อคืนวาน ทีนี้คนที่รู้รายละเอียดเรื่องโปรเจ็กต์ใหม่นั่นก็มีแต่ฉัน ฉันก็เลยต้องเป็นคนช่วยทำให้นี่แหละ”

“มีอะไรที่ผมช่วยได้มั้ยครับ?”

ชายหนุ่มถามขึ้น ไหนๆเขาก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เชษฐ์เสียเวลาวันนี้ไปหลายชั่วโมงแล้ว ดังนั้นถ้าหากมีอะไรที่เขาพอช่วยแบ่งเบาได้ ภัทรก็อยากจะทำให้อีกฝ่ายบ้าง

เชษฐ์ส่ายหน้า “งานทำพาวเวอร์พ้อยท์มันไม่ยากหรอก มันติดตรงที่ต้องดึงข้อมูลมาจากในนี้เท่านั้นแหละ”

อีกฝ่ายพูดพลางเคาะนิ้วข้างหนึ่งที่ขมับตัวเองเบาๆ ภัทรจึงได้แต่รู้สึกถึงความไร้ความสามารถของตนเอง เพราะสุดท้ายเขาก็ช่วยอะไรในงานของเชษฐ์ไม่ได้เลย

“ถ้างั้น...ก็ไม่เป็นไรครับ งั้นอย่าทำจนดึกมากนักก็แล้วกันนะครับ”

ภัทรเอ่ยพลางถอดเข็มขัดนิรภัยออก จากนั้นก็ดึงสายกระเป๋าขึ้นมาพาดบ่า นัยน์ตาเรียวเอาแต่หลีกเลี่ยงการสบตากับอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัวว่าทำให้คนมองรู้สึกอย่างไร ทว่าพอจะหันไปเปิดประตูนั่นเอง ชายหนุ่มก็ต้องเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อเชษฐ์ยื่นแขนมาคร่อมระหว่างเขากับประตูเอาไว้

“คุณเชษฐ์?...”

ชายหนุ่มไม่มีโอกาสถามต่อให้จบว่า ‘…มีอะไรหรือเปล่า?’ เพราะเชษฐ์ใช้มืออีกข้างถอดแว่นออกแล้วก็ขยับตัวเข้ามาใกล้จนแตะริมฝีปากลงบนริมฝีปากของเขา และการรุกเร้าอย่างกะทันหันนั้นก็ทำให้นัยน์ตาเรียวเบิกกว้างด้วยความตกใจ

“อื้ม...”

คนตัวเล็กกว่าส่งเสียงอู้อี้ในคอ เชษฐ์ไม่ได้จูบเขาอย่างเร่าร้อนรุนแรงก็จริง เพียงแค่แนบริมฝีปากที่เผยอลงมาบนริมฝีปากของเขาซ้ำๆเท่านั้น แต่ก็ทำให้คนที่ไม่ได้ตั้งตัวถึงกับลมหายใจสะดุด ภัทรครางเบาๆเมื่อถูกขบเม้มริมฝีปากล่างก่อนอีกฝ่ายจะถอยออกไป แต่ว่าแขนที่คร่อมเขาไว้ยังคงวางอยู่ที่เดิม

ร่างเพรียวรู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นเร็วขึ้นจนเหมือนกับจะได้ยินเสียง เช่นเดียวกับลมหายใจที่ติดขัดเมื่อเห็นแววตาของอีกฝ่ายจนต้องหลุบตาหนี เขามั่นใจว่าเชษฐ์ก็น่าจะตระหนักดีว่าตอนนี้ทั้งสองอยู่ในรถในลานจอดชั้นใต้ดินใกล้ประตูเข้าลิฟต์ ซึ่งเป็นบริเวณที่จะมีใครเดินเข้าออกและมาเห็นพวกเขาเมื่อไรก็ได้ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้นำพาเลยแม้แต่น้อย

เชษฐ์มองท่าทางของคนตรงหน้ายิ้มๆขณะสวมแว่นกลับตามเดิม “เปลี่ยนจากคำอวยพรเป็นสัญญาแทนได้มั้ย? ว่าหลังจบงานนี้เมื่อไหร่จะไปเยี่ยมน้าเธอด้วยกัน น้าเธอจะได้เห็นให้สบายใจว่าตกลงฉันดีพอสำหรับเธอจริงหรือเปล่า”

“เอ๊ะ?”

ภัทรเลิกคิ้วพลางตวัดสายตาขึ้นสบกับนัยน์ตาคมอย่างงุนงง แต่แล้วก็ร้อนวูบบนผิวหน้าเมื่อเข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดถึงอะไร

หมายความว่า...ตอนที่เขาคุยโทรศัพท์กับน้าจินนั่น คุณเชษฐ์...ได้ยิน...

ชายหนุ่มรู้สึกว่าผิวหน้าตัวเองเริ่มร้อนจนควบคุมไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนอีกฝ่ายคงจะเห็นได้จากแสงไฟในลานจอดที่ส่องผ่านกระจกรถเข้ามา เพราะเชษฐ์ยิ้มแล้วก้มลงจูบหน้าผากเขาเร็วๆอีกครั้ง

“กลับขึ้นห้องได้แล้วล่ะ ไม่งั้นมีหวังฉันไม่ได้กลับไปทำงานให้คุณปรีชาแน่ แล้วก็อย่านอนดึกนัก พรุ่งนี้เช้าค่อยเจอกันที่ออฟฟิศ”

ร่างสูงเอ่ยเสียงอ่อนโยนขณะที่เสยผมบนหน้าผากให้คนตรงหน้า ภัทรจึงได้แต่กระชับมือที่กำอยู่รอบสายสะพายกระเป๋าและตอบเสียงอุบอิบ

“ครับ พรุ่งนี้เจอกันครับ”

ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ จากนั้นก็โบกมือให้เชษฐ์และยืนมองดูรถสีเทาควันบุหรี่คันใหญ่ที่ขับออกไปจนพ้นทางเข้า ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นเสยผมที่หล่นลงมาปรกหน้าผากจนเกือบเข้าตาแล้วก็ชะงัก

ความอบอุ่นจากมือของใครคนหนึ่งราวกับยังหลงเหลืออยู่จนภัทรเผลอวางมือนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่น่าเชื่อว่าทั้งที่เพิ่งจะแยกจากกันได้เพียงไม่ถึงนาที เขาก็เริ่มคิดถึงช่วงเวลาที่ทั้งสองใช้ร่วมกันระหว่างที่ไปเที่ยวทะเลเสียแล้ว

ชักจะทำตัวเป็นหนุ่มวัยรุ่นเข้าไปทุกทีแล้วสิเรา...

ภัทรส่ายหน้าแล้วก็หยิบคีย์การ์ดมารูดเปิดประตูก่อนจะก้าวเข้าลิฟต์ ชายหนุ่มกดหมายเลขชั้นที่ห้องของตัวอยู่แล้วก็ยกมือกอดอก ขณะที่ลิฟต์เลื่อนสูงขึ้นก็พลันนึกอะไรขึ้นได้ มือเรียวจึงล้วงหยิบมือถือออกจากกระเป๋ากางเกงมากด

เพิ่งจะแยกกันไปหยกๆเมื่อกี้ ถ้าโทรหาทันทีคงดูเหมือนเขา ‘ติด’ อีกฝ่ายมากไปหน่อย ถ้างั้นขอส่งแค่เมสเสจก็แล้วกัน

“Don’t work too hard & have a good dream.”

ภัทรพิมพ์ข้อความเสร็จเมื่อประตูลิฟต์เปิดพอดี จึงกดส่งข้อความนั้นก่อนจะหย่อนมือถือลงกระเป๋าเหมือนเดิม เมื่อเข้าไปในห้องแล้วก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและจัดการพับกองผ้าที่วางทิ้งไว้เมื่อวานกลับเข้าตู้ จากนั้นก็เพียงแต่เทนมสดจากกล่องในตู้เย็นมาอุ่นดื่มเป็นมื้อค่ำเท่านั้น ชายหนุ่มนั่งดูโทรทัศน์ไปเรื่อยๆขณะรอว่าเมื่อไรอีกฝ่ายจะตอบเมสเสจกลับมา แต่ความเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวันคงทำให้เขาง่วงเร็วกว่าปกติ ภัทรจึงสัปหงกอยู่หน้าโทรทัศน์ทั้งที่ยังหัวค่ำ เมื่อจู่ๆได้ยินเสียงสัญญานจากมือถือว่ามีข้อความใหม่เข้าจึงสะดุ้งเฮือก

ภัทรกะพริบตาพลางสะบัดหัวให้หายง่วงขณะหยิบมือถือขึ้นมากดอ่านข้อความ แวบแรกที่ได้เห็นสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอ คิ้วเรียวก็เลิกขึ้นราวกับไม่แน่ใจว่านั่นคือข้อความที่เชษฐ์ส่งกลับมาจริงๆ แต่ไม่ช้าริมฝีปากบางก็ค่อยๆยกยิ้ม

“:)”

สั้นชะมัด...ทีเขายังพิมพ์ให้ตั้งยาว...คุณเชษฐ์ดันตอบกลับมาแค่นี้เอง...

ถึงจะคิดอย่างนั้น แต่ภัทรกลับรู้สึกว่าตัวเองยิ้มจนแก้มแทบจะปริ จึงพยายามสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอามือข้างหนึ่งขึ้นหยิกแก้มให้หยุดยิ้ม แต่ดูเหมือนจะไร้ผลเพราะรอยยิ้มบนหน้าเขาก็ยังคงอยู่อย่างเดิม ชายหนุ่มจึงตัดสินใจว่าจะปิดโทรทัศน์แล้วเข้านอนเสียที เพราะสาเหตุเดียวที่เขายังไม่นอนก็เพราะนั่งรอข้อความตอบกลับจากอีกฝ่ายอยู่นั่นเอง

พอคิดได้ดังนั้น ภัทรจึงลุกไปแปรงฟันแล้วก็ปิดไฟในห้องก่อนจะเอนหลังลงบนเตียง แต่ทว่าคราวนี้เขากลับหลับไม่ลงง่ายๆ หลังจากนอนพลิกไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็หยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูข้อความที่ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเครื่องหมายสองอย่างที่ประกอบกันแล้วกลายเป็นรูปหน้ายิ้มอีกรอบ พอแสงบนหน้าจอดับไปก็กดเพื่อดูใหม่ซ้ำๆอยู่อย่างนั้น จวบจนความง่วงงุนเริ่มทำให้เปลือกตาบนทั้งสองข้างหย่อนลงมากขึ้นทุกที เขาจึงยอมปิดเครื่องและหลับตาลง แม้ว่ารอยยิ้มที่มุมปากจะไม่ได้จางหายไปเลยก็ตาม

เวลาแห่งการได้เที่ยวอย่างอิสระของสุดสัปดาห์นี้อาจจะจบลงแล้ว และสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างอยู่ที่รีสอร์ทก็คงกลายเป็นเพียงความทรงจำที่ดีสำหรับเขากับเชษฐ์เท่านั้น แต่ภัทรก็ไม่นึกเสียดายอีกเพราะรู้ว่าพวกเขายังมีโอกาสได้ใช้เวลาด้วยกันอีกมาก และเพราะเขารู้ดีว่าทั้งในวันพรุ่งนี้และต่อๆไป เขาก็ยังจะได้เห็นรอยยิ้มของคนตัวใหญ่ที่พร้อมจะมอบให้เขาอยู่เสมอนั่นเอง


+---tbc---+




 

Create Date : 23 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 1 สิงหาคม 2553 21:35:05 น.
Counter : 1852 Pageviews.  

แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก 10 (ครึ่งหลัง)

A/N: ครึ่งหลังที่ยาวกว่าครึ่งแรกตามมาแล้วค่า (การระบุเวลาว่าตอนใหม่จะมาเมื่อไหร่นี่เป็นการเอาห่วงผูกคอจริงๆ) ไม่อยากบ่นเลย แต่ว่าอาทิตย์ที่ผ่านมามีวันหนึ่งต้องอยู่ออฟฟิศยันตีสี่ของอีกวันเพื่อเร่งปิดต้นฉบับของนิตยสารที่ไปช่วยงานกอง บก. ให้อยู่ แถมต้องเตรียมเอกสารจิปาถะของ ป.โท ไปด้วย รู้สึกชีวิตง่วนรอบด้าน วันนี้ก็ไปเรียนวันแรกด้วยความมึนอย่างสุดๆ อาจเพราะทิ้งการเรียนมานาน แถมเนื้อหามันไม่ใช่ด้านที่จบมาโดยตรงด้วยล่ะค่ะ แต่ก็จะสู้ต่อไป เพียงแต่สังหรณ์จาก text ที่อาจารย์ให้มาว่าต่อไปคงต้องกระเบียดกระเสียรเวลาน่าดูในการมาต่อนิยาย (ย้ากกกก) ยังไงถ้าตอนต่อไปทิ้งช่วงนานหน่อยก็อย่าเพิ่งทิ้งคุณเชษฐ์กับภัทรกันนะคะ

คิดถึงคนอ่านทุกคนค่า~


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++


ตอนที่ 10. (ครึ่งหลัง)


พายุที่หอบเอาสายฝนกระหน่ำมาเมื่อครู่ก่อนพัดผ่านบริเวณรีสอร์ทไปแล้ว ปุยเมฆบนฟ้าเริ่มกระจายตัวออกจากกันมากพอจะเผยให้เห็นแสงอาทิตย์สุดท้ายของวัน ละอองฝนประปรายที่ยังเหลือตกค้างทำให้บรรยากาศภายนอกชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำ แม้แต่สีเขียวของต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นอยู่รอบรีสอร์ทก็ดูจะเข้มขึ้นกว่าเดิมเนื่องจากได้รับน้ำฝนจนอิ่ม

หลังจากแต่งตัวกันเรียบร้อยและเห็นว่าพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าแล้ว เชษฐ์ก็ขับรถพาภัทรออกไปหาร้านอาหารเพื่อทานมื้อเย็นด้วยกัน ทั้งคู่ตัดสินใจไม่ทานที่ห้องอาหารของรีสอร์ท เพราะจะได้เปลี่ยนบรรยากาศจากการอยู่แต่ในบริเวณที่พักกับชายหาดหน้าห้องบ้าง และหลังจากที่ขับรถวนสำรวจถนนเลียบหาดไปหนึ่งรอบ ทั้งคู่ก็เห็นพ้องกันว่าจะเลือกร้านริมทะเลร้านหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากที่พักออกไปราวสองกิโลเมตร เพราะดูแล้วไม่ถึงกับโหรงเหรงหรือมีลูกค้าแน่นเกินไปจนต้องรออาหารนาน

ร้านที่เชษฐ์กับภัทรเลือกนั้นมีทั้งส่วนที่เป็นห้องอาหารหลักและศาลามุงจากหลังย่อมๆอีกจำนวนหนึ่งสำหรับรับลูกค้าที่มาเป็นกลุ่มเล็ก โต๊ะและเก้าอี้สำหรับที่นั่งตรงศาลาก็ทำจากไม้ไผ่ที่ประกอบกันเป็นแคร่ ซึ่งต่างจากโต๊ะและเก้าอี้เหล็กพับในส่วนของห้องอาหารหลัก โชคดีที่ทางร้านนำผ้าพลาสติกมาคลุมศาลาเหล่านี้เอาไว้ระหว่างที่มีพายุฝน โต๊ะและที่นั่งซึ่งถูกคลุมเอาไว้จึงไม่เปียกเฉอะแฉะ

พนักงานของร้านเดินนำทั้งคู่ไปนั่งที่โต๊ะริมทะเลซึ่งประกอบขึ้นจากไม้ไผ่และมีหลังคามุงจากบนเสาไม้ทั้งสี่ด้าน หลังจากได้ที่นั่งแล้ว ทั้งสองก็สั่งเมนูที่ทางร้านแนะนำให้และอาหารทะเลเผาอีกสองสามอย่าง ลมเย็นที่โชยมาในยามค่ำให้ความรู้สึกสดชื่นโดยไม่ทำให้เหนียวตัว ทั้งสองจึงนั่งทานอาหารและคุยกันไปเรื่อยๆโดยมีตะเกียงที่ให้แสงสว่างตั้งอยู่กลางโต๊ะ จวบจนเวลาผ่านไปสองชั่วโมงและดวงจันทร์ลอยขึ้นสูงแล้วจึงเรียกพนักงานมาเก็บเงินและเดินทางกลับ

เนื่องจากที่รีสอร์ทแถมน้ำดื่มให้แขกที่มาพักเพียงห้องละสองขวด ทั้งสองจึงแวะซื้อน้ำจากร้านสะดวกซื้อซึ่งตั้งอยู่ระหว่างทางก่อนจะกลับที่พัก หลังจากเชษฐ์จอดรถและล็อกประตูแล้วก็ฉวยถุงใส่ขวดน้ำไปถือและเดินนำไปก่อน ขณะที่กำลังเดินไปตามทางเดินเพื่อกลับห้องพักนั่นเอง ภัทรที่เดินตามหลังร่างสูงใหญ่ไม่ห่างนักก็แหงนหน้ามองผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ ดวงดาวที่กำลังกะพริบแสงดูแล้วเหมือนกับมีใครเอากากเพชรสีทองไปโปรยไว้ ชายหนุ่มจึงเร่งฝีเท้าไปแตะข้อศอกของคนที่เดินนำหน้าเบาๆ

“คุณเชษฐ์ ผมยังไม่ง่วงเลย เดี๋ยวผมไปเดินเล่นก่อนนะครับ”

ภัทรเอ่ยขึ้น เพราะนับตั้งแต่ย้ายมาทำงานที่บริษัทนี้ เขาก็แทบจะไม่ได้ออกจากกรุงเทพฯมาเที่ยวต่างจังหวัดบ่อยนัก ดังนั้นเมื่อมีโอกาสจึงอยากจะซึมซับช่วงเวลาและบรรยากาศของการพักผ่อนให้นานขึ้นอีกหน่อย เพราะวันพรุ่งนี้ทั้งคู่ก็ต้องกลับกรุงเทพฯกันแล้ว

เชษฐ์ปรายตามองมือเรียวที่ยังแตะอยู่บนข้อศอกของตน จากนั้นก็เหลือบตาขึ้นแล้วถามเจ้าของมือยิ้มๆ

“แล้วฉันล่ะ?”

“เอ๊ะ?”

คำถามของอีกฝ่ายทำให้ภัทรเลิกคิ้วอย่างงุนงง เชษฐ์จึงอธิบายต่อให้

“ก็เห็นเธอพูดเหมือนอยากจะไปเดินเล่นคนเดียว ใจคอจะไม่ชวนกันเลยหรือไง?”

พอได้ยินคำอธิบาย ภัทรก็ให้นึกอยากจะจิกเล็บลงบนแขนแข็งแรงที่ตัวเองวางมือทาบอยู่ขึ้นมาติดหมัด เพราะเขายังไม่ได้พูดแบบนั้นเลยสักคำ มีแต่คุณเชษฐ์นี่ล่ะที่ชอบเอาคำพูดเขาไปตีความใหม่อยู่เรื่อย

“...อยากมาก็มาสิครับ ผมไม่ได้บอกว่าไม่ให้ตามมานี่”

ชายหนุ่มปล่อยมือข้างที่ยื่นออกไปเมื่อครู่ลงข้างตัว หัวคิ้วทั้งสองข้างมุ่นขึ้นเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจ เชษฐ์ที่ได้เห็นสีหน้าเช่นนั้นจึงหัวเราะเบาๆ

“เข้าใจละ งั้นเธอไปรอที่หาดก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันเอาน้ำไปเก็บที่ห้องเสร็จแล้วจะตามไป”

คนตัวใหญ่เอ่ยพลางชูถุงใส่ขวดน้ำในมือขึ้น ภัทรจึงค่อยยิ้มและพยักหน้า จากนั้นก็ปลีกตัวเดินย้อนไปตามทางที่เดินมาเพื่อจะเลี้ยวลงชายหาด ดูเหมือนว่านอกจากพวกเขาสองคนที่เลือกพักที่ห้องสวีทริมทะเลแล้ว แขกที่มาพักกลุ่มอื่นๆจะเลือกพักในส่วนที่เป็นตึกโรงแรมซึ่งอยู่ใกล้ล็อบบี้มากกว่า เพราะว่าภัทรเห็นแสงไฟและเงาที่ลอดผ่านผ้าม่านของห้องบางห้องได้ลางๆ ซึ่งเหตุผลหนึ่งก็คงเป็นเพราะราคาห้องพักที่ถูกกว่าห้องบีชฟร้อนท์สวีทแบบที่เชษฐ์เลือกอยู่หลายพันบาทนั่นเอง

ลมทะเลยามค่ำที่ค่อนข้างแรงคงทำให้แขกคนอื่นเลือกจะอยู่ในห้องมากกว่าออกมาเดินเล่น ดังนั้นนอกจากเสียงลมแล้วก็มีเพียงเสียงคลื่นที่กำลังม้วนตัวเข้าซัดหาดทรายให้ได้ยิน แสงจากดวงจันทร์ข้างขึ้นสีเงินยวงช่วยให้มองเห็นจุดที่เส้นขอบฟ้าบรรจบกับท้องน้ำได้ลางเลือน นอกจากนี้ก็มีแสงสว่างจากโคมไฟดวงเล็กที่ทางรีสอร์ทเปิดไว้เป็นระยะบริเวณรั้ว บริเวณหน้าหาดจึงไม่ถึงกับมืดมิดจนมองอะไรไม่เห็น

พื้นทรายที่ภัทรเหยียบย่ำลงไปนั้นยังชื้นเพราะพายุฝนเมื่อช่วงบ่าย ชายหนุ่มจึงถอดรองเท้าแตะออกแล้วเดินเท้าเปล่าลงไปบริเวณที่คลื่นซัดขึ้นมาจนน้ำปริ่มข้อเท้า ร่างเพรียวเหยียดแขนขึ้นสูงก่อนจะสูดกลิ่นอายทะเลและอากาศบริสุทธิ์ยามค่ำคืนเข้าเต็มปอด ความจริงแล้วตอนเด็กเขาก็โตมากับทะเลภาคตะวันออก และชอบเล่นน้ำทะเลเวลาที่อารมณ์ครึ้มพอ แต่เพราะว่าเมื่อตอนบ่ายนั่นเขาโดนเชษฐ์บังคับอุ้มลงไป ทำให้ไม่ได้สนุกกับการเล่นน้ำอย่างเต็มที่เท่าไหร่นัก

นัยน์ตาเรียวทอดมองออกไปยังผืนทะเลกว้างที่มีเงาของดวงจันทร์สะท้อนอยู่เป็นวง เงาสีขาวนวลเต้นระยิบไปมาตามริ้วคลื่นลูกแล้วลูกเล่าที่โถมเข้าหาฝั่ง ชายหนุ่มยืนนิ่งขณะทอดสายตามองไปยังแสงไฟจากเหล่าเรือหาปลาที่อยู่ไกลจนเห็นเป็นเพียงกลุ่มแสงจุดเล็กๆ หลังจากใช้เวลาอยู่กับเชษฐ์มาทั้งวัน เมื่อได้มายืนมองทะเลตามลำพังเช่นนี้ ภัทรก็ให้นึกถึงผู้มีพระคุณในครอบครัวที่เขารักและเคารพที่สุดขึ้นมา

…ป่านนี้น้าจินกับน้าบรรณเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ตั้งแต่สิ้นปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้โทรไปหาเลย ถ้าจู่ๆโผล่ไปเยี่ยมจะเป็นยังไงนะ อุตส่าห์มาถึงระยองทั้งที ขับรถต่อไปอีกหน่อยก็ถึงจันทบุรีแล้ว

แต่ว่า...จะให้พาคุณเชษฐ์ไปแนะนำเลยน่ะหรือ.... จะเร็วเกินไปหรือเปล่า

ชายหนุ่มหวนนึกถึงตอนที่เชษฐ์ขับรถพาเขาออกมาจากกรุงเทพฯเมื่อเที่ยงวัน ตอนนั้นเขาไม่ได้บอกว่าสาเหตุที่แสดงท่าทางแปลกๆตอนเห็นป้ายบอกทางไปจันทบุรีก็เพราะนึกถึงน้าขึ้นมา นับตั้งแต่พ่อกับแม่เสียไปเพราะอุบัติเหตุทางเรือตอนที่ภัทรยังเรียนมัธยมนั้น ก็เป็นน้าจิน น้องสาวของแม่ กับน้าบรรณซึ่งเป็นสามีที่คอยดูแลและช่วยเหลือสองพี่น้องเหมือนเป็นลูกแท้ๆ ความที่ทั้งสองไม่มีลูกจึงเอ็นดูพวกเขามาก แม้กระทั่งยามที่ภัทรสอบติดมหาวิทยาลัยและย้ายตามแพนไปอยู่กรุงเทพฯแล้ว ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองก็ยังคงติดต่อมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอยู่เสมอ ตอนที่เขาท้อถอยเพราะถูกคนรักเก่าทอดทิ้งจนไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานต่อ ก็เป็นบ้านของน้าจินกับน้าบรรณที่เขาหลบมาพักเพื่อเยียวยาแผลที่เกิดขึ้นและเพื่อเรียกความเข้มแข็งกลับมาจนมีกำลังใจกลับไปสู้ชีวิตที่กรุงเทพฯอีกครั้ง ทั้งที่น้าจินซึ่งเขาเคารพเหมือนแม่คนที่สองก็เคยแนะนำว่าให้หางานทำที่จันทบุรีแล้วพักอยู่ที่บ้านด้วยกัน แต่ถ้าหากว่าตอนนั้นเขาไม่ได้กลับเข้ากรุงเทพฯ เขาก็คงไม่ได้พบกับเชษฐ์...และไม่ได้รู้ว่าตัวเองก็ยังมีค่าให้ใครอีกคนเอาใจใส่ดูแลดังเช่นตอนนี้

ภัทรล้วงมือข้างหนึ่งเข้าไปในกระเป๋ากางเกงที่ใส่โทรศัพท์มือถือไว้ ปลายนิ้วเรียวลูบตัวเครื่องไปมา ขณะที่ความคิดในใจกำลังขัดแย้งระหว่างจะโทรหรือไม่โทรหาผู้มีพระคุณนั่นเอง ชายหนุ่มก็สะดุ้งกับเสียงทุ้มลึกที่ดังมาจากด้านหลัง

“อยากว่ายแข่งแก้มืออีกรอบมั้ย?”

ภัทรสะดุ้งชักมือออกจากกระเป๋าแล้วก็หันไปทางต้นเสียง ทำให้พบว่าเชษฐ์กำลังยืนมองเขาอยู่ ร่างสูงใหญ่เอาสองมือล้วงกระเป๋ากางเกงผ้าฝ้ายที่ม้วนชายขึ้นเหนือข้อเท้าจนเห็นสายคาดรองเท้าแตะสานทำจากหนัง ใบหน้าคมที่มองเห็นใต้แสงจันทร์สลัวอมยิ้มน้อยๆ จากนั้นก็บุ้ยคางไปแถวกลางทะเลเลยจุดที่ภัทรยืนอยู่ออกไป

ร่างเพรียวเบนสายตาตามไปยังทิศทางนั้น ทำให้ได้เห็นเรือลำที่เป็นเส้นชัยการแข่งขันเมื่อตอนบ่ายยังคงทอดสมออยู่ที่เดิม ลำเรือโยกเอียงไม่อยู่นิ่งตามแรงคลื่นที่ซัดเข้ากระทบ ชายหนุ่มจึงหันกลับไปหาคนถามอีกครั้ง

“เรื่องอะไรล่ะครับ แพ้รอบเดียวก็พอแล้ว อีกอย่างคราวนี้ผมไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนแล้วจริงๆนะ บอกไว้ก่อน”

ชายหนุ่มพูดดักคอโดยเอ่ยเป็นนัยๆถึงเรื่องที่เขาโดนอุ้มลงน้ำทั้งที่ไม่เต็มใจเมื่อช่วงบ่าย แต่เรื่องที่เขาไม่มีเสื้อผ้าจะเปลี่ยนแล้วนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะภัทรตั้งใจจะใส่เสื้อยืดที่ใส่นอนคืนนี้กลับบ้าน เนื่องจากเสื้อผ้าเปียกที่เขาผึ่งเอาไว้คงไม่มีทางแห้งทันพรุ่งนี้เช้า และถ้าจะให้ถอดเสื้อลงเล่นน้ำตอนกลางคืนที่ลมค่อนข้างแรงแบบนี้ คราวนี้เขาก็คงไม่แคล้วจะไม่สบายเอาจริงๆ

เชษฐ์หัวเราะแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ภัทรจึงเดินขึ้นจากน้ำไปบนหาดแล้วก็สวมรองเท้าที่ถูกถอดทิ้งไว้ ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาหาแล้วก็ยื่นมือข้างหนึ่งมาให้

นัยน์ตาเรียวตวัดลงมองมือแข็งแรงข้างนั้นก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองเจ้าของมือ ทว่าอีกฝ่ายเพียงยืนรอเงียบๆโดยไม่พูดอะไร และไม่ได้บังคับคว้ามือเขาไปจับเองโดยพลการ ราวกับจะรอให้ภัทรเป็นฝ่ายยื่นมือกลับไปหาด้วยตัวเอง

หลังจากเวลาผ่านไปชั่วอึดใจ มือเรียวจึงถูกยื่นออกไปวางทาบลงบนมือใหญ่อบอุ่นที่รออยู่ ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อเชษฐ์ดึงตัวเขาเข้าไปใกล้ จากนั้นก็ปล่อยมือและยกแขนขึ้นโอบไหล่เขาไว้หลวมๆขณะพาออกเดินไปบนหาดทรายด้วยกัน

กลิ่นบุหรี่อ่อนจางโชยมาเข้าจมูกภัทร ทำให้ชายหนุ่มรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงจะเพิ่งสูบบุหรี่มาก่อนจะลงมาหาเขาที่หาด และทั้งที่นึกขึ้นได้ว่าตั้งใจจะคุยเรื่องนี้กับเชษฐ์ตั้งแต่เมื่อเช้า แต่ภัทรก็เริ่มไม่แน่ใจว่าถ้าหากทำอย่างนั้น เขาจะล้ำเส้นอะไรไปหรือเปล่า ถึงอย่างไรนี่ก็คือส่วนหนึ่งของ ‘ตัวตน’ ของเชษฐ์ซึ่งเขาไม่มีสิทธิ์ไปกะเกณฑ์ แค่การที่อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขาไม่ชอบและพยายามหลีกเลี่ยงการจุดบุหรี่ให้เห็นต่อหน้า บางทีนี่ก็อาจเป็นวิธีแสดงการยอมรับในสิทธิ์ที่ภัทรพึงได้รับแล้วก็ได้

แต่ว่า...ถึงยังไงสูบบุหรี่ก็ไม่ดีต่อสุขภาพอยู่ดีนั่นแหละ

ภัทรมุ่นหัวคิ้วขณะที่โต้เถียงกับตัวเองในใจ มือหนึ่งยกขึ้นจับชายเสื้อด้านหลังของเชษฐ์แน่นโดยไม่รู้ตัว ความที่กำลังใช้ความคิดติดพัน ชายหนุ่มจึงไม่รู้ตัวสักนิดว่าสายตาของอีกฝ่ายกำลังจับจ้องตนอยู่

“ว่าจะลดลงแล้วล่ะ”

จู่ๆคนตัวใหญ่ก็ทะลุกลางปล้องขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ภัทรที่ยังเถียงกับตัวเองจึงไม่ทันได้สนใจจับใจความของประโยคที่ได้ยิน แต่ครู่หนึ่งชายหนุ่มก็ชะงักฝีเท้าแล้วกะพริบตาด้วยความงุนงง เชษฐ์ที่เดินโอบไหล่เขาอยู่จึงหยุดเดินตามไปด้วย

“อะไรนะครับ?”

ภัทรเหลือบตาขึ้นแล้วก็เอ่ยถาม เพราะเขาไม่แน่ใจนักว่าเชษฐ์กำลังพูดถึงเรื่องเดียวกับที่เขาคิดอยู่หรือเปล่า เชษฐ์จึงยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า

“ไม่รู้ตัวล่ะสิท่า เมื่อกี้ตอนฉันดึงเธอมาใกล้ๆน่ะเธอย่นจมูกทันทีเลย ทีหลังถ้าหากไม่ชอบอะไรก็บอกกันตรงๆสิ มัวแต่เกรงใจแล้วคนอื่นจะรู้เหรอว่าเธอคิดอะไรอยู่?”

ภัทรทำหน้าเหลอ เขาไม่รู้ตัวจริงๆว่าเผลอแสดงกิริยาแบบนั้นออกไป แต่ปกติเขาก็ไม่ถูกกับบุหรี่อยู่แล้ว ยังดีที่ไม่ได้แพ้ควันจนถึงกับผื่นขึ้นก็เท่านั้น แต่ดูเหมือนปฏิกิริยาตอบสนองทางกายของเขาจะเป็นไปเองโดยที่ตัวเองก็ควบคุมไม่ได้

“ขอโทษครับ...แต่คุณเชษฐ์ก็เคยได้ยินผมพูดว่าไม่ชอบบุหรี่ไปตั้งแต่ตอนเจอกันแรกๆแล้วนี่”

ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนจะก้าวขาต่อ ทำให้เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองกำลังกำเสื้อด้านหลังของอีกฝ่ายแน่น แต่จะให้ปล่อยมือตอนนี้ก็คงอิหลักอิเหลื่อพิกล จึงแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วก็ยังคงจับยึดชายเสื้อของอีกฝ่ายไว้อย่างนั้น

ดูเหมือนเชษฐ์จะเข้าใจทันทีว่าภัทรหมายถึงตอนที่เขาเพิ่งย้ายมาทำงานที่บริษัทเดียวกันใหม่ๆ และเคยแสดงความเห็นเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงานตอนที่กำลังจะไปทานข้าวกลางวันกัน ซึ่งบังเอิญเหลือเกินที่คุณผู้จัดการดันยืนสูบบุหรี่อยู่แถวนั้นตอนที่เขากำลังพูดพอดี หากฟังเผินๆจึงเหมือนภัทรตำหนิอีกฝ่ายทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะพาดพิงถึงใครเป็นพิเศษ

“ตอนนั้นเธอพูดกับคนอื่นแล้วฉันบังเอิญได้ยินต่างหาก มันไม่เหมือนกับการที่เธอมาบอกฉันด้วยตัวเองนี่นา ถ้าหากเธอพูด...ฉันอาจจะยอมคิดอย่างจริงจังก็ได้”

ภัทรฟังแล้วก็ทบทวนคำพูดของอีกฝ่ายในหัว งั้นก็หมายความว่า...ต่อให้เขาขอร้อง คุณเชษฐ์ก็อาจจะไม่ได้ยอมทำตามทันทีเสียหน่อยน่ะสิ แต่หากพิจารณาจากบุคลิกของเจ้าตัวและความรั้นที่แทบจะไม่ยอมลงให้ใครในเวลางาน ซึ่งขัดแย้งเหลือเกินกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนทั้งสองอาบน้ำด้วยกันเมื่อตอนบ่าย นี่อาจจะหมายถึงการ ‘ยอม’ มากที่สุดเท่าที่อีกฝ่ายเคยทำมาแล้วก็ได้

ยิ่งเมื่อนึกได้ว่าเมื่อครู่ก่อนเชษฐ์พูดว่าอะไรตอนที่เขากำลังเหม่อ ภัทรก็เหลือบตาขึ้นมองคนข้างตัวอีกครั้ง และคราวนี้ริมฝีปากบางเผยอยิ้มขึ้นน้อยๆ

อย่างน้อยที่สุด...คุณเชษฐ์ก็กำลังพยายามเหมือนกันล่ะนะ…

“เข้าใจแล้วครับ”

ภัทรเอ่ยพลางเอนศีรษะลงบนไหล่หนาขณะที่ทั้งสองออกเดินต่อ มือข้างที่เมื่อครู่กำชายเสื้ออีกฝ่ายค่อยๆคลายออกแล้วเปลี่ยนเป็นเลื่อนไปโอบเอวแกร่งไว้แทน และเขาก็รู้สึกได้ว่าแขนที่โอบอยู่บนไหล่ของตัวเองก็กระชับแน่นขึ้นเหมือนกัน

ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำที่มีเมฆพาดผ่านเป็นริ้วและมีหมู่ดาวระยิบระยับลอยสูงเหนือขึ้นไป วูบหนึ่ง เขาอดคิดไม่ได้ว่า หากสามารถหยุดเวลาไว้ตรงนี้ตลอดไปได้ก็คงดี

หลังจากเดินกันมาจนไกลพอสมควร ทั้งสองก็หมุนตัวย้อนกลับทางเดิมเพื่อกลับไปที่ห้องพัก แต่ครั้งนี้ไม่ได้โอบไหล่กันเช่นขามา ภัทรเพียงใช้นิ้วชี้เกี่ยวไว้กับนิ้วก้อยของเชษฐ์ ระหว่างทาง นัยน์ตาเรียวก็ทอดมองไปยังผืนทะเลและเรือลำที่ทอดสมออยู่อีกครั้ง ความทรงจำของเมื่อยามบ่ายที่หวนคืนมาทำให้ภัทรหันกลับไปหาคนที่เดินอยู่ข้างๆ

คุณเชษฐ์ลืมไปแล้วหรือยังไงนะ ตอนที่อาบน้ำก็ไม่เห็นพูดถึงเลย...

ความสงสัยทำให้ภัทรกระตุกนิ้วที่ไขว้เกี่ยวกับนิ้วแข็งแรงเพื่อเรียกความสนใจ พออีกฝ่ายหันมาหาก็เอ่ยถาม

“คุณเชษฐ์...แล้วเรื่องของรางวัลที่คุณเชษฐ์แข่งชนะล่ะครับ?”

ร่างสูงใหญ่เลิกคิ้วขึ้น และภัทรก็จ้องตาอีกฝ่ายนิ่งท่ามกลางแสงจันทร์สลัวที่ทอดลงมาโอบล้อมคนทั้งคู่ จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้ชอบใจนักที่ตัวเองแพ้ แต่ว่าก็ไม่ได้ถึงกับยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ และถึงแม้ว่าการแข่งขันเมื่อตอนบ่ายจะไม่ใช่การแข่งแบบจริงจัง แต่ในเมื่อเชษฐ์ชนะ อีกฝ่ายก็มีสิทธิ์ที่จะทวงสิ่งที่ตนพึงได้

และที่สำคัญ…ภัทรก็อยากจะรู้ว่าถ้าหากจะต้องขอรางวัลจากเขาจริงๆ อีกฝ่ายจะขออะไร

เจ้าของนัยน์ตาคมมองคนถามราวกำลังใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกปลายนิ้วชี้ของมือข้างที่ไม่ได้กุมกันไว้ขึ้นดันแว่นและตอบเสียงเรื่อยๆ “ไม่สำคัญหรอก เพราะตอนนี้ฉันได้ของดีกว่าที่อยากขอไปแล้ว”

คำตอบที่ได้ทำให้ภัทรทำตาโตอย่างประหลาดใจ และที่ตามมาหลังความประหลาดใจก็คือความงุนงงสงสัย ในเมื่อเขายังไม่ได้ให้อะไรกับอีกฝ่ายเลยสักอย่าง จะมาบอกว่าได้ไปแล้วได้อย่างไรกัน?

“หมายความว่าไงครับ? แล้วตอนแรกคุณเชษฐ์ตั้งใจจะขออะไรกันแน่ ในเมื่อผมยัง...ไม่ได้ให้...อะไรเลย”

ชายหนุ่มจบประโยคอย่างตะกุกตะกัก ในชั่ววินาทีที่รู้ตัวว่าแพ้หลังการแข่งขันจบลงนั้น เขามั่นใจว่าเชษฐ์คงจะขอให้เขายอมให้ทั้งคู่นำความสัมพันธ์ก้าวหน้าไปอีกขั้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเลยสักครั้ง ทั้งๆที่มีโอกาสจะทวง ‘รางวัล’ อย่างเต็มที่ตลอดเวลาที่อาบน้ำด้วยกัน

เชษฐ์เงียบไปครู่หนึ่ง มือใหญ่ที่เกาะเกี่ยวนิ้วกับภัทรเอาไว้ถูกปล่อยลงก่อนที่อีกฝ่ายจะก้าวเดินช้าๆไปข้างหน้า และนั่นก็ทำให้ภัทรใจหายวูบ นี่เขาพูดอะไรผิดไปหรือ?

“จริงอยู่ว่าถ้าหากจะยึดเอาการแข่งนั่นเป็นจริงเป็นจัง ฉันก็มีสิทธิ์ออกคำสั่งกับเธอได้จริง แล้วก็ที่คิดน่ะไม่ผิดหรอก ที่ฉันอยากจะขอก็คือสิ่งที่เธอคิดนั่นแหละ”

เชษฐ์เอ่ยจบก็หันกลับมาหา ตอนนี้อีกฝ่ายหยุดยืนห่างจากเขาไปประมาณห้าช่วงก้าว มือทั้งสองข้างไขว้หลังไว้หลวมๆ ทว่าสีหน้าไม่บ่งบอกความรู้สึก มีเพียงนัยน์ตาเท่านั้นที่จับจ้องผู้อ่อนวัยกว่าไม่วางตา

ภัทรขมวดคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน ร่างเพรียวก้าวช้าๆเข้าไปหาคนตัวใหญ่ทีละก้าว ลมทะเลที่พัดมาไม่หยุดทำให้เกิดเสียงยามปะทะกับเสื้อและผมของทั้งคู่ ชายหนุ่มหยุดฝีเท้าลงเมื่ออยู่ในระยะที่ห่างจากอีกฝ่ายเพียงเอื้อมมือถึง

“แล้วคุณเชษฐ์รู้เหรอครับว่าผมคิดว่าคุณเชษฐ์จะขออะไร?”

ภัทรกลั้นใจทำปากแข็ง รู้สึกเสียหน้านิดหน่อยที่ถูกอีกฝ่ายอ่านความคิดออกอีกแล้ว แต่หากจะให้ยอมรับตรงๆก็จะดูเหมือนเขาหลงตัวเองเกินไป เชษฐ์ที่ทอดสายตามองมาจึงยิ้มบางๆ

“อยากให้พูดจริงๆรึ?”

ร่างสูงใหญ่ถามพลางยกนิ้วโป้งข้างหนึ่งขึ้นไล้แก้มของภัทรอย่างแผ่วเบา ภัทรจึงเหลือบตาขึ้นสบกับนัยน์ตาคมตรงๆ แต่เมื่อได้เห็นประกายที่สะท้อนออกมาในดวงตาหลังเลนส์แว่นก็ต้องส่ายหน้า ผิวแก้มบริเวณที่ถูกสัมผัสร้อนวาบราวกับกำลังยืนอังไฟกองใหญ่อยู่

ก็แววตาแบบนั้น...มันเหมือนกับตอนที่อีกฝ่ายมองเขาในห้องอาบน้ำไม่มีผิด

“ไม่ต้องก็ได้ครับ”

ภัทรเบนสายตาลง แววตาที่บ่งบอกถึงความปรารถนาในตัวเขาอย่างชัดเจนทำให้เขาไม่กล้าสบตาคู่นั้นกลับ ต่างคนต่างก็ยืนนิ่งไปชั่วครู่ สักพักเชษฐ์ก็ลดมือข้างที่แตะแก้มภัทรลงแล้วเลื่อนไปกุมมือเรียวข้างหนึ่งไว้แทน

“ฟังให้ดีนะ ที่เมื่อกี้ฉันบอกว่าได้สิ่งที่สำคัญกว่าสิ่งที่จะขอมาแล้ว...เพราะตอนนี้เธอเลิกกลัวฉันแล้วใช่ไหมล่ะ?”

ภัทรตวัดสายตากลับขึ้นมองคนพูด เรียวคิ้วโก่งขมวดมุ่นเพราะสิ่งที่ได้ยิน “ผม? เคยกลัวคุณเชษฐ์?”

เจ้าของใบหน้าคมพยักรับบางเบา “เธออาจจะไม่ทันคิด แต่ฉันก็รู้สึกว่าตั้งแต่เราตกลงคบกันมา ยังมีกำแพงที่ทำให้ฉันเข้าถึงเธอไม่ได้สักที และถ้าหากฉันอยากจะทำลายกำแพงนั่นให้ได้ ถ้าไม่ใช่อดทนทำให้เธอค่อยๆเชื่อใจ ก็มีแต่จะต้องทำให้เข้าใจกันด้วยร่างกายเท่านั้น ถ้าจะให้พูดตามตรง เมื่อตอนบ่ายนั่นฉันก็ไม่ได้ผ่านมันมาง่ายๆหรอกนะ”

ภัทรทบทวนสิ่งที่ได้ยินในหัว เป็นอย่างนั้นหรือ...แต่อีกฝ่ายอาจพูดถูกก็ได้ บางทีเขาอาจจะรู้สึกแบบนั้นมาตลอดตั้งแต่ที่เริ่มคบกัน เพียงแต่เขาไม่เคยเอาเวลามานั่งวิเคราะห์เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนอย่างจริงจัง จึงทำให้ไม่เคยรู้ตัวก็เท่านั้นเอง

เมื่อนึกถึงสิ่งที่เชษฐ์พูดช่วงท้ายประโยค ภัทรก็ให้รู้สึกว่าอุณหภูมิบนผิวแก้มที่ลดลงแล้วกลับสูงขึ้นมาอีก เพราะเขาเข้าใจดีว่าเรื่องที่อีกฝ่ายบอกว่าไม่ได้ผ่านมาง่ายๆคือเรื่องไหน และถ้าหากจะว่ากันตามจริงแล้ว ถ้าตอนนั้นอีกฝ่ายดึงดันจะใช้กำลังขึ้นมา ต่อให้เขาขัดขืนอย่างไรก็คงไม่มีประโยชน์แน่ๆ

“ถ้างั้น...เรื่องรางวัลอะไรนั่นก็จะให้ถือว่าเป็นโมฆะเหรอครับ?”

ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นอีก เขาไม่แน่ใจนักว่าตนเองเสียดายหรือโล่งอกกับการที่เชษฐ์จะทิ้งไพ่ที่เหนือกว่าใบนี้ไปจากมือ แต่ที่เขามั่นใจโดยไร้ข้อกังขาก็คือ อย่างน้อยเชษฐ์ก็ได้สิ่งที่สำคัญกว่าร่างกายเขาไปแล้วจริงๆ และเป็นสิ่งที่เขาทำหายไปตั้งแต่ที่เลิกกับธรเมื่อสองปีก่อนด้วย

ความเชื่อใจ...

อาจเพราะธรเป็นรักครั้งแรก เป็นคนที่ทำให้ภัทรรู้สึกว่าตัวเองได้เป็นคนพิเศษของใครเป็นคนแรกนอกจากครอบครัวที่เหลืออยู่ การที่ถูกฝ่ายนั้นทอดทิ้งเพื่อไปหาคนอื่นในภายหลังจึงเป็นการทำลายความเชื่อมั่นในใจจนไม่เหลือชิ้นดี และถึงแม้เขาจะถอยกลับมาจากปากเหวแห่งความสิ้นหวังได้และยืนหยัดขึ้นใหม่อีกครั้ง แต่ก็เป็นเรื่องยากที่ภัทรจะมอบความไว้วางใจให้ใครง่ายๆอีกเป็นครั้งที่สอง ดังนั้นถึงแม้ว่าเชษฐ์จะเป็นคนแรกหลังจากนั้นที่เข้ามากะเทาะน้ำแข็งที่เกาะกุมหัวใจเขาและเรียกความรู้สึกหวั่นไหวให้กลับมา แต่ลึกลงไปในใจ ภัทรก็ยังคงหวาดระแวงอยู่ตลอดว่าเมื่อคบกันไปจนอีกฝ่ายได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ท้ายที่สุดเขาก็จะหมดค่าและถูกทิ้งเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วอีกครั้งหรือเปล่า และคงเพราะความกลัวนี้เองที่ยังฉุดรั้งเขาไว้ไม่ให้กล้าก้าวเดินต่อไปอย่างเต็มตัว ทั้งๆที่อีกฝ่ายไม่มีจุดไหนที่คล้ายกับคนรักเก่าของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ภัทรก็รีบกะพริบตาไล่หยาดน้ำที่เอ่อขึ้นมาอย่างกะทันหันออกไป แต่ก็เหมือนกับทุกครั้งที่คนข้างตัวดูจะเดาออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ร่างสูงใหญ่จึงก้าวเข้าไปหาและรั้งร่างของภัทรเข้าไปกอด ริมฝีปากอุ่นแนบลงข้างขมับก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มที่ข้างหู

“ยังไม่เป็นโมฆะหรอก ถึงยังไงฉันก็ไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆแน่ ดังนั้นสิทธิ์นี่น่ะไม่ต้องรีบทวงตอนนี้ก็ได้”

น้ำเสียงที่ยึดมั่นในความคิดอย่างไม่ยอมให้โต้แย้งทำให้ภัทรหัวเราะออกมาเบาๆทั้งที่ขอบตายังร้อนผ่าว ร่างเพรียวยกมือขึ้นทาบบนแผ่นหลังกว้างแล้วก็ซุกตัวเข้าหาอ้อมอกของคนตรงหน้ามากขึ้น มือใหญ่ที่ลูบแผ่นหลังให้เขาถ่ายทอดความอบอุ่นมาให้ เช่นเดียวกับที่ภัทรได้รับมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่เริ่มคบกัน และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกราวกับอะไรบางอย่างที่คอยหน่วงรั้งในอกได้รับการปลดพันธนาการออกจนตัวเบาไปทั้งร่าง

ถ้าหากเป็นคนคนนี้...ถ้าเป็นคุณเชษฐ์...เขาเชื่อว่าตนเองจะยินดีรอวันที่อีกฝ่ายทวงสิทธิ์ ‘ของรางวัล’ ในอนาคตอันใกล้นี้ได้แน่

“ครับ…”

“ฉันรักเธอนะ”

ภัทรตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินจนยืนตัวแข็ง จริงอยู่ว่าตลอดสามเดือนที่ผ่านมา เชษฐ์ใช้ถ้อยคำและการกระทำต่างๆที่แสดงออกถึงความรู้สึกที่มีให้เขาอยู่เสมอ แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่เขาได้ยินคำว่า 'รัก' จากปากอีกฝ่ายอย่างเต็มสองหู และความรู้สึกที่ตามมาหลังได้ยินคำนี้ก็ผสมปนเปไปหมดจนภัทรคิดคำพูดโต้ตอบไม่ออก

“ผม...”

ภัทรอ้ำอึ้ง เขาควรจะตอบรับออกไป หรืออย่างน้อยก็ทำให้เชษฐ์รู้ว่าเขาคิดเหมือนกัน แต่ภัทรกลับไม่สามารถเปล่งเสียงคำนั้นออกมาได้อย่างง่ายดายอย่างที่ต้องการ และความกลัวว่าเชษฐ์จะเข้าใจผิดที่เขาไม่ตอบรับก็ทำให้ภัทรรีบเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย ริมฝีปากบางเผยอขึ้น ทว่าไม่มีเสียงใดหลุดลอดออกมา

พูดสิ ภัทร…พูดอะไรสักคำ อะไรก็ได้

ทั้งที่บอกตัวเองเช่นนั้น แต่ชายหนุ่มกลับยิ่งรู้สึกว่าในหัวตื้อมากขึ้น หัวคิ้วเรียวโก่งมุ่นเข้าหากันด้วยความร้อนรน มือทั้งสองกำเสื้อผ้าฝ้ายบนบ่าของคนตรงหน้าแน่นจนเหมือนกับจะทึ้ง แล้วร่างเพรียวก็สะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายก้มลงใช้ริมฝีปากแนบลงประทับริมฝีปากของเขาไว้

“อื้อ...”

ชายหนุ่มพูดอะไรไม่ออกอีก ทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้อยู่ในคอ แต่แล้วหัวใจที่เต้นรัวเพราะความกระวนกระวายก็ค่อยผ่อนจังหวะลงจากริมฝีปากอุ่นที่แตะแนบลงมาซ้ำๆราวจะเอ่ยปลอบเขาว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน มือใหญ่ข้างหนึ่งที่เลื่อนจากเอวผอมขึ้นแนบบนแก้มราวจะตอกย้ำสารนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ริมฝีปากบางเลื่อนช้าๆจากริมฝีปากของภัทรไปบนโหนกแก้ม ก่อนจะหยุดอ้อยอิ่งอยู่บนเปลือกตา ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นจากปลายจมูกโด่งที่ระอยู่บนหน้าผาก กว่าจูบที่อวลด้วยความหวานซ่านจะจบลง เขาก็ไม่รู้สึกถึงความหนาวของลมทะเลยามค่ำเลยสักนิด วงแขนแกร่งกระชับรอบร่างของภัทรแน่นขึ้นก่อนที่เชษฐ์จะเกยคางลงบนกระหม่อมของคนในอ้อมแขน

ทั้งสองยืนเงียบในอ้อมแขนของกันและกันอยู่ครู่ใหญ่ เสียงทุ้มอ่อนโยนจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ “ถ้ายังไม่พร้อมจะพูดก็ไม่ต้องบังคับตัวเองหรอก แค่เธอไม่รังเกียจเวลาฉันจูบก็พอแล้ว”

เชษฐ์พูดพลางลูบท้ายทอยของภัทรไปด้วย แม้คำพูดของอีกฝ่ายจะสะท้อนความเอาใจใส่อย่างเต็มเปี่ยม แต่เมื่อภัทรนึกย้อนกลับไปถึงความทรงจำของทั้งคู่นับตั้งแต่จูบแรก ชายหนุ่มก็อดย่นจมูกแล้วติงเสียงเบาไม่ได้

"คุณเชษฐ์ จูบผมไปกี่ครั้งแล้วล่ะครับ เพิ่งจะมาพูดเอาป่านนี้เหรอ?"

คนถูกถามเลิกคิ้ว ร่างสูงใหญ่ถอยตัวออกแล้วมองเข้าไปในดวงตาเรียวตรงๆ

"แล้วก่อนหน้านี้เคยมีปัญหาไหมล่ะ?"

น้ำเสียงกวนๆกับรอยยิ้มของคนถามทำให้ภัทรนึกอยากแกล้งกลับด้วยการตอบว่ามี แต่ความจริงก็คือ ถึงแม้ว่าจะขัดเขินหรือลำบากใจในบางครั้ง แต่ภัทรไม่เคยนึกรังเกียจสัมผัสของอีกฝ่ายอย่างจริงจังเลย และเขาก็ไม่อยากโกหกในเรื่องสำคัญเช่นนี้

เพราะคุณบอกว่ารักผมหรอกนะ...

"กลับห้องกันดีกว่าครับคุณเชษฐ์ ผมง่วงแล้ว"

ภัทรตัดสินใจเลี่ยงที่จะตอบด้วยการเฉไฉไปเรื่องอื่นแทน ชายหนุ่มปล่อยมือจากบ่ากว้างแล้วก็ปลีกตัวเดินนำกลับไปที่ห้องพัก เชษฐ์ที่เดินตามหลังโดยเว้นระยะห่างสองสามก้าวจึงหัวเราะในคอ แต่ว่าก็ไม่ได้พูดกระเซ้าเย้าแหย่คนที่เดินนำอยู่ข้างหน้าอีก

หลังจากถึงห้องซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม ทั้งสองก็เปิดโทรทัศน์ดูรายการข่าวอีกนิดหน่อยก่อนจะทำธุระส่วนตัวและปิดไฟเตรียมเข้านอน แต่แม้ว่าจะเพลียจากการแข่งว่ายน้ำเมื่อยามบ่าย ภัทรก็ยังไม่ได้ปิดตาหลับลงในทันที ชายหนุ่มยังคงนอนหงายโดยประสานมือทั้งสองไว้เหนืออก นัยน์ตาเรียวจับจ้องเพดานห้องขณะที่นอนฟังเสียงทะเลและเสียงหายใจของคนที่นอนอยู่ข้างตัวไปเรื่อยๆ

วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเยอะเหลือเกิน เยอะจนเขาทำใจให้นอนหลับไม่ได้ง่ายนัก

"นอนได้แล้ว ไหนเมื่อกี้บอกว่าง่วงไง"

ภัทรสะดุ้งเมื่อจู่ๆก็ได้ยินเสียงของเชษฐ์ทั้งที่คิดว่าหลับไปแล้ว พอเอียงหน้าไปหา แสงจากโคมไฟตรงระเบียงที่ลอดม่านหน้าต่างเข้ามาก็ทำให้เห็นว่าอีกฝ่ายนอนลืมตามองเขาอยู่

ร่างเพรียวตะแคงตัวไปหาคนข้างๆทั้งตัว ตอนนี้เขาไม่นึกหนักใจกับการนอนเคียงข้างคุณผู้จัดการแล้ว เพราะถึงแม้บางครั้งอีกฝ่ายจะชอบมัดมือชกเขา แต่กับเรื่องที่ละเอียดอ่อนจริงๆ เชษฐ์จะไม่บังคับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องน้ำเมื่อตอนบ่ายเป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างดี

"ขอโทษครับ ผมทำให้ตื่นหรือเปล่า?"

ภัทรถามเสียงเบาเพราะไม่แน่ใจว่าคนข้างตัวง่วงอยู่หรือไม่ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งอีกเมื่อมือใหญ่เลื่อนลงไปรั้งสะโพกของเขาให้เข้าไปเบียดกับหน้าขาของตัวเอง

"ตอนนี้น่ะยัง แต่ถ้าเธอยังไม่ยอมนอนอีกล่ะก็…ไม่แน่"

"คุณเชษฐ์!!"

ภัทรโวยวายแล้วก็รีบปัดมือใหญ่ให้พ้นตัวเป็นพัลวัน เพราะถึงจะบอกว่ายังไม่ตื่น แต่ด้วยสรีระของผู้ชาย ไม่ว่าใครที่โดนกระตุ้นเข้าก็ตื่นตัวได้ง่ายๆกันทั้งนั้น นัยน์ตาที่ฉายรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ยิ่งทำให้ภัทรนึกอยากถองคนที่นอนอยู่ข้างๆมากเข้าไปอีก

“เธอก็นอนสักทีสิ ทีเมื่อกี้ยังบอกว่าเหนื่อยอยู่เลย หรือว่ามัวแต่คิดมากเรื่องอะไรอยู่ถึงนอนไม่หลับ?”

คราวนี้คนตัวใหญ่รั้งเอวเขาไปกอดเอาไว้หลวมๆ แต่ว่าไม่ได้แกล้งเบียดร่างกายเข้าหาเหมือนเมื่อครู่อีก ภัทรจึงเหลือบตามองคนถามแล้วก็เม้มริมฝีปากอย่างชั่งใจ

คงไม่เป็นไรมั้ง...ก็แค่ลองถามดูเฉยๆเท่านั้นเอง

“พรุ่งนี้เราต้องรีบกลับกันหรือเปล่าครับ? ผมกำลังคิดว่า...ถ้าหากจะชวนไปเยี่ยมน้าของผมที่จันทบุรีด้วยกัน คุณเชษฐ์จะสะดวกไหม”

ภัทรถามพลางสบตาคนตรงหน้านิ่ง ที่เขายังนอนไม่หลับเมื่อครู่ก็เพราะมัวแต่คิดเรื่องนี้ ความจริงการไปเยี่ยมครอบครัวเขาไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะว่าทั้งน้าสาวและน้าเขยต่างเป็นคนใจดี เพียงแต่ภัทรก็ไม่แน่ใจว่าเชษฐ์จะพร้อมทำความรู้จักกับญาติผู้ใหญ่ของเขาหรือยัง

“น้าของเธอ? ที่เคยบอกว่าช่วยดูแลเธอกับพี่สาวหลังจากพ่อกับแม่เสียน่ะเหรอ?”

เชษฐ์ถามขึ้น ภัทรจึงพยักหน้า เขาเคยเล่าให้อีกฝ่ายฟังถึงเรื่องครอบครัวของตัวเองบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องทั่วๆไปเท่านั้น เขาไม่เคยเล่าถึงเรื่องที่หลังจากเลิกกับธรแล้วก็ไปอาศัยที่บ้านสวนของน้าเพื่อทำใจเรื่องนี้ เพราะเพียงแค่นึกถึงเรื่องในตอนนั้นเมื่อใดก็จะรู้สึกเหมือนมีอะไรจุกในอกจนไม่อยากเอ่ยถึง

“ครับ...พอดีผมเห็นว่าขับไปจากนี่อีกหน่อยเดียวก็จันทบุรีแล้ว แต่ถ้าหากคุณเชษฐ์ต้องรีบกลับ…ก็....เอาไว้คราวหน้าก็ได้”

ภัทรเอ่ยอย่างเกรงใจพลางเหลือบตาลงต่ำ เขาคิดถึงน้าทั้งสองก็จริง แต่ก็ไม่ต้องการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนเขากำลังบังคับให้ไปเจอครอบครัว เพราะนั่นไม่ใช่ความตั้งใจของเขาแม้แต่นิด นัยน์ตาเรียวกะพริบถี่เมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็ยกนิ้วขึ้นเกลี่ยผมที่ลงมาปรกหน้าผากให้ เมื่อภัทรเหลือบตาขึ้นก็พบว่านัยน์ตาคมกำลังทอยิ้ม

“ไปสิ ญาติคนสำคัญของเธอใช่ไหมล่ะ? งั้นก็รีบนอนซะ พรุ่งนี้เช็คเอ๊าท์กันแต่เช้าหน่อย จะได้มีเวลาเยี่ยมน้าเธอได้ทั้งวัน”

“คุณเชษฐ์ไม่มีปัญหาเหรอครับ?”

ภัทรเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เขาไม่คิดว่าเชษฐ์จะตอบตกลงง่ายดายเช่นนี้ เพราะขนาดมาเที่ยวกันแท้ๆ อีกฝ่ายก็ยังติดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คมาทำงานด้วย ภัทรได้รู้มาบ้างว่าโปรเจ็กต์ใหม่ที่ท่านประธานมอบหมายให้เชษฐ์ดูแลทำให้ต้องติดต่อสปอนเซอร์หลายรายเพื่อหาเงินมาสนับสนุนงบประมาณที่ค่อนข้างจำกัดของบริษัท ซึ่งทั้งนี้ก็มาจากผลประกอบการโดยรวมที่ลดลงตั้งแต่ปีที่แล้วนั่นเอง ดังนั้นที่อีกฝ่ายพาเขามาทะเลคราวนี้ก็อาจจะเพื่อพักผ่อนทิ้งท้ายก่อนที่จะต้องกลับไปลุยงานใหญ่ก็เป็นได้

“ไหนๆก็มาถึงนี่กันแล้วนี่นา อีกอย่างกว่าฉันจะมีเวลาพาเธอไปไหนได้อีกก็คงต้องหลังจบโปรเจ็กต์ที่คุณปรีชาให้มาก่อนนั่นแหละ อุตส่าห์มีโอกาสได้ไปเยี่ยมครอบครัวของเธอด้วยกันทั้งทีก็ต้องไปสิ”

เชษฐ์เอ่ยพลางลูบหลังของภัทรไปมา และคราวนี้คนในอ้อมแขนก็ยิ้มออกมาได้ ภัทรพยักหน้าแล้วก็ขยับตัวเข้าหาร่างสูงใหญ่ที่นอนอยู่ข้างๆ แขนเรียวข้างหนึ่งยกขึ้นโอบเอวอีกฝ่ายบ้างก่อนจะซุกหน้าลงและเอ่ยเสียงเบา

“ขอบคุณนะครับคุณเชษฐ์”

ภัทรระบายลมหายใจยาวด้วยความโล่งอก ชายหนุ่มตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นจะรีบตื่นมาโทรหาน้าจินแต่เช้า จะบอกให้รู้ว่าเขาจะไปเยี่ยม และจะพาคนสำคัญของเขาในตอนนี้ไปหาด้วย น้าจินคงดีใจที่เห็นว่าเขามีคนที่ดีคอยดูแลอยู่ข้างๆแล้ว

เสียงคลื่นทะเลกับอ้อมแขนอุ่นทำให้ภัทรผ่อนคลายจนเริ่มรู้สึกง่วง นัยน์ตาเรียวปิดลงช้าๆด้วยความรู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานาน และสิ่งสุดท้ายที่เขารับรู้ก่อนจะหลับสนิทก็คือริมฝีปากอุ่นของคนข้างตัวที่แนบลงบนหน้าผาก



+---tbc---+




 

Create Date : 20 มิถุนายน 2553    
Last Update : 20 มิถุนายน 2553 0:55:09 น.
Counter : 955 Pageviews.  

แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก 10 (ครึ่งแรก)

A/N: สวัสดีกับ(ครึ่งแรก)ตอนใหม่ค่ะ รู้สึกตัวเองนิสัยเสียเหมือนกันนะเนี่ย เพราะความที่ไม่เขียนงานสต๊อคเอาไว้ ตอนใหม่ที่เอามาลงแต่ละทีก็เลยทิ้งช่วงจนทำคนอ่านอารมณ์ค้างอยู่บ่อยๆ ก็เลยต้องใช้วิธีแก้ด้วยการมาลงถี่แต่สั้นหน่อย ดีกว่าทิ้งช่วงนาน น้าน นาน แล้วมาทุ่มลงทีเดียวก็หายไปเป็นเดือนๆอีกล่ะค่ะ สำหรับตอนที่แล้วก็ทิ้งท้ายไว้ให้ลุ้นกันน่าดู แต่ในตอนนี้คนอ่านจะได้พบกับสิ่งที่คาดหวังและรอคอย(?)หรือไม่ ไปอ่านกันเลยละกันค่ะ

ป๋อหลอ. อย่างน้อยครึ่งแรกคราวนี้ก็ยาวน้า อิอิอิ


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++


ตอนที่ 10. (ครึ่งแรก)


ในที่สุดการแข่งขันว่ายน้ำก็จบลง พร้อมๆกับที่เม็ดฝนเริ่มโปรยลงมาจากฟ้า ดูเหมือนระหว่างที่ทั้งสองแข่งกันนั้น ลมจะพัดเร็วขึ้นอย่างกะทันหันจนมวลเมฆครึ้มลอยมาเหนือแถบรีสอร์ทโดยไม่รู้ตัว ภัทรยกมือหนึ่งแตะข้างลำเรือซึ่งเป็นเส้นชัยขณะที่อีกข้างลูบน้ำออกจากหน้า ชายหนุ่มหอบหายใจหนักหน่วง ทรวงอกเพรียวสะท้อนขึ้นลงอย่างแรงเนื่องจากเพิ่งออกกำลังว่ายน้ำอย่างสุดตัวจนแทบหายใจไม่ทัน

“ฝนลงเม็ดแล้วสิ กลับขึ้นไปที่ห้องกันมั้ย?”

เชษฐ์ที่ลอยตัวอยู่ในน้ำไม่ห่างจากเขานักแหงนมองท้องฟ้าแล้วก็ถามขึ้น ภัทรจึงเบนสายตาไปยังคนพูด จากนั้นก็ขมวดคิ้วและทอดตาลงต่ำ ทั้งที่เมื่อครู่ใหญ่ก่อนหน้านี้เขายังอิดออดที่จะลงน้ำ แต่หลังจากที่ผลการแข่งขันออกมาแล้ว ตอนนี้เขากลับไม่ค่อยอยากกลับไปที่ห้องสักเท่าไหร่

“ภัทร”

คงเพราะเห็นว่าเขาไม่ตอบ คนตัวใหญ่จึงเรียกชื่อเขาแล้วก็ยื่นมือข้างหนึ่งมาให้ ภัทรเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าคมที่มีรอยยิ้มติดอยู่จางๆและมือที่อีกฝ่ายหงายมาตรงหน้าด้วยแววตาอ่านยาก ทว่าแทนที่ภัทรจะยื่นมือกลับไปหา เขากลับฉีกตัวว่ายน้ำไปอีกทาง

“ก็กลับสิครับ”

ภัทรเอ่ยขณะที่ว่ายน้ำผ่านหน้าเชษฐ์ ทำให้ได้ยินเสียงหัวเราะในคอเบาๆจากคนที่ว่ายตามมาข้างหลัง และยิ่งได้เห็นคุณผู้จัดการอารมณ์ดีมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งหายใจไม่ทั่วท้องมากขึ้นเท่านั้น แต่หากใครที่ได้รู้เงื่อนไขของการแข่งขันก็คงไม่แปลกใจที่ฝ่ายนั้นจะอารมณ์ดี เพราะว่าตอนนี้คนที่ตกหลุมพรางต้องทำตามเงื่อนไขของการเป็นผู้แพ้ด้วยการ ‘ทำอะไรก็แล้วแต่ที่คนชนะสั่ง’ ดันเป็นเขานี่น่ะสิ

ทำไมเมื่อกี้ตอนโดนท้าให้แข่งถึงไม่รู้จักบอกปัดไปนะ คุณเชษฐ์ก็เหลือเกิน รู้ว่าตัวเองได้เปรียบยังจะมาสร้างเงื่อนไขแบบนี้กับเขาอีก นี่ถ้ามาขอให้เขาทำอะไรแผลงๆล่ะได้มีโกรธกันจริงๆแน่

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ภัทรก็ต้องรีบหยุดตัวเองไม่ให้คิดต่อ เขาไม่กล้าจินตนาการว่าจะโดน ‘ขอ’ ให้ทำอะไรที่ไม่อยากทำหรือไม่ จึงได้แต่รีบจ้วงแขนว่ายน้ำให้ทิ้งห่างจากเชษฐ์มากเข้าไปอีก ลมที่พัดแรงทำให้ฝนที่เป็นเพียงหยดน้ำเปาะแปะเมื่อครู่เริ่มทวีความแรงจนมองเห็นบ้านพักได้เพียงลางๆ ขณะที่เดินขึ้นไปบนชายหาด ภัทรก็นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายถอดแว่นทิ้งเอาไว้แถวนั้นก่อนจะพาเขาลงน้ำ ชายหนุ่มจึงรีบเดินตรงไปยังจุดที่จำได้ว่าเห็นแว่นครั้งสุดท้าย พอพบแล้วก็รีบหยิบขึ้นมาแล้วใช้ปลายนิ้วปัดทรายออกอย่างเบามือ เพราะถ้าเกิดพลาดพลั้งทำให้เลนส์มีรอยขีดข่วนจะทำให้ต้องไปตัดเลนส์ใหม่ ภัทรเหลือบมองคนที่เดินตามขึ้นมาจากน้ำแล้วก็ยื่นของในมือให้โดยไม่สบตาด้วย

“ทีหลังอย่าโยนแว่นทิ้งแบบเมื่อกี้อีกนะครับคุณเชษฐ์ ถ้าเกิดหายไปหรือเลนส์เป็นรอยมันจะยุ่ง”

น้ำเสียงของคนพูดซึ่งคล้ายจะดุอยู่ในทีทำให้เชษฐ์เลิกคิ้ว แต่น่าแปลกที่ท่าทางและน้ำเสียงของภัทรไม่ได้ทำให้คนตัวใหญ่รู้สึกไม่พอใจเลยสักนิด ตรงกันข้าม ใบหน้าคมเข้มยิ้มอ่อนๆขณะที่รับแว่นกลับไปสวม

“จะจำไว้ก็แล้วกัน”

ทั้งสองรีบเดินกึ่งวิ่งกลับไปที่ห้องพักท่ามกลางพายุฝนที่กรรโชกแรงขึ้นเรื่อยๆ กว่าจะไปถึงหน้าชานพักและเชษฐ์หยิบกุญแจมาไขเปิดห้องได้ ฟ้าก็คะนองและมีสายฟ้าแลบแปลบให้เห็นเป็นระยะ ขนาดทั้งสองเข้าไปในห้องและงับประตูปิดสนิทแล้ว เสียงฟ้าร้องและเสียงน้ำฝนที่ตกกระทบสรรพสิ่งภายนอกก็ยังดังแทรกเข้ามาให้ได้ยินอย่างชัดเจน

เชษฐ์กดสวิตช์เปิดไฟในห้องก่อนจะปรายตามองคนข้างตัว จากนั้นก็ก้าวเร็วๆเข้าไปในห้องน้ำขณะที่ภัทรยืนกอดตัวเองด้วยความหนาวอยู่บนพรมเช็ดเท้าหน้าประตู เสื้อกับกางเกงที่ใส่อุ้มน้ำจนแนบติดกับเนื้อตัว และน้ำส่วนที่เนื้อผ้าดูดซับไม่ไหวก็หยดลงเป็นสายตามเรียวขาจนชุ่มผืนพรมที่รองอยู่ ปกติเขาก็เป็นคนไม่ค่อยได้ออกกำลังกายอยู่แล้ว เมื่อไปโหมออกแรงว่ายน้ำและวิ่งฝ่าฝนบนพื้นทรายเมื่อครู่จึงทำให้ใช้พลังงานไปมาก กล้ามเนื้อทั่วร่างจึงเมื่อยล้าไปหมดด้วยความไม่คุ้นชิน แต่ถ้าหากเขาทรุดตัวลงนั่งตอนนี้ ภัทรก็คิดว่าคงต้องใช้เวลาหลายนาทีแน่กว่าตัวเองจะลุกกลับขึ้นมาไหว

ชายหนุ่มได้ยินเสียงน้ำไหลดังซู่มาจากในห้องน้ำ ความแรงของน้ำและเสียงยามตกกระทบพื้นทำให้เดาได้ว่าเชษฐ์คงกำลังเปิดน้ำในอ่างอยู่ ไม่นานนักอีกฝ่ายก็เดินออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนใหญ่สองผืนที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ให้ ผืนหนึ่งคล้องอยู่รอบบ่าหนาที่ถอดเสื้อเปียกโชกออกไปแล้ว ร่างกายท่อนบนดูเหมือนจะโดนซับน้ำออกไปจนหมาด แต่กางเกงขาสั้นที่เจ้าตัวใส่ลงน้ำยังไม่ถูกถอดออกไป น้ำจึงหยดจากชายกางเกงลงบนพื้นเป็นทาง ภัทรกะพริบตาปริบๆเมื่ออีกฝ่ายใช้ผ้าขนหนูอีกผืนคลุมลงบนไหล่เขาแล้วก็ช่วยซับน้ำตามเนื้อตัวให้ จากนั้นก็ยกชายผ้าขึ้นมาเช็ดผมที่เปียกชุ่มของเขาให้อีกด้วย

"หนาวล่ะสิท่า ปากซีดเชียว เมื่อกี้ฉันเปิดน้ำอุ่นไว้ในอ่างแล้ว เดี๋ยวไปแช่ซะจะได้หายหนาว"

เชษฐ์พูดพลางใช้ปลายนิ้วโป้งไล้ริมฝีปากที่ซีดจนเกือบเขียวให้ภัทรอย่างแผ่วเบา เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความเป็นห่วง ครู่หนึ่งภัทรก็รู้สึกว่าผิวกายที่เย็นเฉียบของตนเริ่มอบอุ่นขึ้นมาบ้าง แต่เขาก็ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะผ้าขนหนูนุ่มฟูที่อีกฝ่ายใช้เช็ดตัวให้ หรือเพราะไออุ่นจากร่างที่ยืนใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจแผ่วๆที่เป่ารดลงบนหน้าผากกันแน่

ร่างเพรียวรวบชายผ้าทั้งสองด้านมาห่มตัวจนกลมดิก จากนั้นก็เอ่ยขึ้นช้าๆ สองตาจับแน่วนิ่งที่ช่วงบ่าของอีกฝ่ายเพราะไม่อยากมองต่ำลงไปกว่านั้น

"เดี๋ยวผมรอก็ได้ครับ คุณเชษฐ์เข้าไปอาบให้เสร็จก่อนเถอะ"

ภัทรพูดแล้วก็กระชับผ้าขนหนูรอบตัวมากขึ้น ไอเย็นจากแอร์ซึ่งหลงเหลือในห้องก่อนที่ทั้งสองจะออกไปเดินเล่น เมื่อรวมกับความเย็นจากพายุฝนภายนอกก็ทำเอาคนที่สวมเสื้อผ้าชื้นๆถึงกับตัวสั่น แต่ถึงจะต้องทนหนาวต่ออีกหน่อย เขาก็ยังยินดีจะรออาบน้ำโดยลำพัง ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เห็นดีด้วย เพราะเชษฐ์ส่ายหน้าแล้วก็ออกแรงรั้งไหล่ภัทรให้เข้าไปในห้องน้ำด้วยกัน

“ขืนรอให้ฉันอาบเสร็จก่อนเธอจะได้ไม่สบายเอาน่ะสิ ไม่รู้หรือไงว่าตัวเองหนาวจนสั่นไปหมดแล้ว อาบพร้อมกันไปเลยนี่แหละ”

เสียงของอีกฝ่ายตำหนิเขาราวกับเป็นเด็กๆ ภัทรจึงนึกอยากจะเอ่ยแย้งและขืนตัวออก แต่ว่าก็จนใจเพราะตอนนี้เขาทั้งเหนื่อยทั้งหนาว ต่อให้อยากดื้ออย่างไรก็ดิ้นหนีมือใหญ่ที่ยึดไหล่ไว้แน่นไม่ไหวแน่

พอเข้าไปในห้องน้ำได้แล้ว เชษฐ์จึงยอมปล่อยมือจากร่างเพรียวแล้วหันไปล็อกประตู คราวนี้ภัทรจึงได้แต่ทำหน้ามุ่ย

“คุณเชษฐ์ ผมรอได้จริงๆนะครับ”

ชายหนุ่มพยายามจะขอร้อง แต่ดูเหมือนว่าคู่กรณีจะเริ่มหมดความอดทนเข้าไปทุกที เพราะว่าเชษฐ์ยกแขนทั้งสองขึ้นกอดอกแล้วก็ถามเสียงเฉียบขาด

“จะอาบด้วยกัน หรือให้ฉันอาบให้ก่อน?”

คราวนี้ภัทรหุบปากฉับ เพราะถึงแม้อีกฝ่ายจะยื่นข้อเสนอให้ แต่ไม่ว่าตัวเลือกเอหรือบีก็ไม่เข้าท่าสำหรับเขาทั้งนั้น สุดท้ายภัทรจึงได้แต่ตอบรับเสียงอุบอิบ ดูเหมือนว่าเขาจะดื้อกับคุณผู้จัดการไม่ขึ้นเลยจริงๆ

“...อาบด้วยกันก็ได้ครับ”


++------++


น้ำที่เชษฐ์เปิดรอไว้เริ่มเอ่อขึ้นจนเกือบถึงขอบอ่าง ภัทรเหลือบตามองคนที่หันไปปิดก๊อกน้ำก่อนจะถอดแว่นออกวางไว้ จากนั้นก็ดึงสายตากลับมาและเริ่มถอดเสื้อตัวเองออกช้าๆอย่างไม่ค่อยเต็มใจ

หลังจากที่ยอมตกลงว่าจะอาบน้ำด้วย ชายหนุ่มก็เอาผ้าขนหนูที่ห่มตัวเมื่อครู่ไปแขวนบนราวพาดข้างอ่างล้างหน้า เพราะถึงอย่างไรก็คงต้องฟอกสบู่และสระผมในห้องกระจกซึ่งกั้นไว้สำหรับอาบน้ำฝักบัวก่อนจะไปลงแช่น้ำอุ่น ความจริง ถ้าคุณผู้จัดการจะยอมฟังเขาสักนิด เขาก็คงขอให้ต่างคนต่างแยกกันอาบในอ่างกับในห้องกระจกไปแล้วในเมื่ออีกฝ่ายกลัวเขาจะไม่สบายนัก แต่ก็คิดว่าพอจะเดาคำตอบได้จึงไม่ได้เอ่ยออกมา

ภัทรเลื่อนมือลงปลดกระดุมกางเกงแล้วก็หยุดมือนิ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ยังทำใจรูดซิปกางเกงลงไม่ไหว ถึงแม้เขาจะใส่กางเกงในแบบบรีฟไว้ข้างในอีกชั้นก็ตาม แต่เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาถอดเสื้อผ้าให้อีกฝ่ายดูในสภาพมะล่อกมะแล่กแบบนี้

เอาเถอะน่ะ...คุณเชษฐ์ตอนนี้ก็ไม่ได้ดูดีไปกว่าเขาเท่าไหร่หรอก...

ภัทรพยายามปลอบใจตัวเอง พลันหางตาก็เห็นการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายแวบๆ เช่นเดียวกับหูที่ได้ยินเสียงรูดซิปกางเกง ตามด้วยเสียงเฉอะแฉะของผ้าเปียกที่โดนรูดออกพ้นขาคนตัวใหญ่

ทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจจะรับรู้ แต่ความที่ทั้งสองอยู่ในห้องน้ำด้วยกัน ภัทรจึงได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถของคนร่วมห้องเต็มสองหู หลังจากเชษฐ์โยนกองเสื้อผ้าที่เฉอะแฉะไว้มุมหนึ่งของห้องน้ำแล้วก็เปิดประตูเข้าไปในห้องกระจก จากนั้นภัทรก็ได้ยินเสียงเปิดน้ำฝักบัวซึ่งเป็นแบบที่ยึดติดไว้กับฝาผนัง ไอสีขาวลอยอวลขึ้นจากกระแสน้ำอุ่นที่สาดลงมาเป็นฝอยละเอียดจนทั้งห้องอุ่นขึ้น และภัทรก็รู้สึกได้ว่าสายตาของอีกฝ่ายกำลังจับจ้องมาที่ร่างของเขาไม่วางตา

“ต้องให้ถอดให้หรือเปล่า?”

คราวนี้เสียงคนถามไม่มีแววหงุดหงิดโมโห ฟังแล้วเหมือนกำลังอารมณ์ดีมากเสียด้วยซ้ำ ภัทรจึงได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น ผิวแก้มเริ่มร้อนขึ้นมาเพราะรู้ว่าสายตาของอีกฝ่ายยังไม่ละจากเขาไปไหน แต่ถ้าเขายังปักหลักยืนอยู่ในกางเกงเปียกๆแบบนี้ต่อไปล่ะก็ได้เป็นหวัดแน่ สุดท้ายภัทรจึงข่มใจแล้วบอกกับคนข้างหลังโดยไม่หันกลับไปมอง

“คุณเชษฐ์ก็หันหลังไปสิครับ เดี๋ยวผมถอดเสร็จก็ตามเข้าไปเองน่ะแหละ”

ถึงจะยังไงก็ต้องอาบน้ำด้วยกัน แต่ตอนถอดก็ขอความเป็นส่วนตัวบ้างก็ยังดี...

“งั้นก็ตามใจ”

ภัทรได้ยินเสียงเชษฐ์ตอบรับ จากนั้นก็ตามด้วยเสียงฟื้ดเหมือนอีกฝ่ายกดแชมพูจากขวดปั๊มไปขยี้บนผม ทำให้รู้ว่าอย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยังฟังเขาบ้าง ชายหนุ่มระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ตัดสินใจถอดเสื้อผ้าที่เหลืออยู่บนร่างกายให้เสร็จเสียที

จะช้าจะเร็วก็ต้องโดนเห็นอยู่แล้ว ขืนมัวแต่กระบิดกระบวนเหมือนผู้หญิงอยู่ก็คงน่าหัวเราะมากกว่ากระมัง...

เมื่อคิดตกแล้ว ชายหนุ่มก็รูดซิปแล้วดึงกางเกงทั้งตัวนอกตัวในออกพร้อมกันทีเดียว ถึงจะทุลักทุเลนิดหน่อยเพราะกางเกงทั้งสองชิ้นอุ้มน้ำจนหนักและแนบเนื้อจนรูดลงยาก หลังจากที่ร่างกายเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ใดปกคลุมอีก ภัทรก็ขยุ้มเสื้อผ้าเปียกๆของตนวางกองที่มุมห้องข้างเสื้อผ้าที่เชษฐ์ถอดทิ้งไว้ ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเดินไปเปิดประตูกระจกของส่วนที่กั้นไว้แล้วก้าวเข้าไปด้านใน

ดูเหมือนเชษฐ์ที่เข้ามาก่อนจะสระผมเสร็จแล้ว เพราะว่าภัทรเห็นแต่เรือนผมเปียกน้ำที่โดนเสยขึ้นไปจนลู่ มีเพียงคราบฟองสายเล็กๆบนไหล่ที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะล้างแชมพูออกไป และเนื่องจากห้องกระจกที่กั้นไว้สำหรับอาบน้ำนี้ไม่ได้กว้างขวางนัก แค่เพียงพอให้คนสองคนเข้ามาอาบน้ำพร้อมกันได้โดยไม่ถึงกับต้องยืนตรงเท่านั้น เชษฐ์ที่รับรู้ว่าภัทรเดินเข้ามาแล้วจึงหันมาหา สายตาคมกริบตวัดลงมองเขาทั้งร่างแวบหนึ่งก่อนจะยิ้ม และคนถูกมองก็รู้สึกว่าความร้อนแล่นลามไปทั้งหน้า

“ยิ้มอะไรครับคุณเชษฐ์ ผมก็มีเหมือนที่คุณเชษฐ์มีนั่นแหละ”

ภัทรพยายามบังคับสายตาให้มองแต่ใบหน้าของอีกฝ่ายเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะอายกับแววตาที่ทอประกายกรุ้มกริ่มชัดเจน แต่ก็ยังดีกว่าให้มองต่ำลงจนสายตาอาจไปปะทะกับ ‘อะไรๆ’ เข้า เพราะแค่เพียงเมื่อครู่ที่ได้มองด้านหลังอีกฝ่ายทั้งตัว เขาก็แทบอยากเดินหนีออกไปรอหน้าห้องน้ำอยู่แล้ว

ชายหนุ่มพยายามทำเป็นไม่สนใจสายตาของคนที่ยืนอยู่ก่อนแล้วก็เบียดตัวเข้าไปยืนใต้ฝักบัวบ้าง ภัทรหลับตาแหงนหน้าให้สายน้ำชะลงบนใบหน้าและลำตัวเพื่อจะได้ลืมว่าตัวเองยืนเปลือยอยู่กับใคร กระแสน้ำอุ่นจัดจนเกือบร้อนช่วยขับความหนาวออกจากร่างกายได้เป็นอย่างดี ผิวเนียนที่เย็นจนซีดเมื่อครู่จึงเริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นบ้าง แต่แล้วเสียงของเชษฐ์ที่เอ่ยถามกลั้วหัวเราะก็ทำเอาเขาต้องหันขวับไปมอง

“ใครบอกล่ะว่าเหมือนกัน?”

“คุณเชษฐ์!”

ภัทรตวาดแว้ด แต่เมื่อได้ประสานสายตากับนัยน์ตาคมกริบที่ทอประกายลึกซึ้งอย่างไม่ปกปิดความรู้สึก เขาก็รู้สึกว่าลมหายใจติดขัดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ภัทรเริ่มตระหนักว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้เป็นเพียง ‘ผู้ชาย’ ธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ใช่ผู้จัดการ ไม่ใช่คนที่อายุมากหรือวุฒิการศึกษาสูงกว่า ไม่มีความจำเป็นต้องเก็บซ่อนอารมณ์หรือปิดบังความต้องการเหมือนกับเวลาที่พวกเขาอยู่ต่อหน้าคนอื่นๆ เพราะในยามนี้ ณ ที่ตรงนี้มีแต่พวกเขาสองคน และสิ่งที่เพิ่งตระหนักก็ทำให้ภัทรพูดอะไรต่อไม่ออก

ร่างเพรียวรีบหลบสายตาที่จ้องมองแล้วก็ยื่นมือไปหมายจะเปิดประตู เพราะสายตาร้อนแรงที่มองมาทำให้เขารู้สึกเหมือนหากไม่ถอยให้ห่างคงจะถูกหลอมละลาย แต่ก็ยังช้ากว่าอ้อมแขนกำยำที่เหนี่ยวเอวเขากลับไปโอบเอาไว้

“ยังอาบน้ำไม่เสร็จ จะรีบไปไหน”

เชษฐ์เอ่ยถามขณะที่กอดภัทรแน่นจากด้านหลัง ทว่าร่างเพรียวตกใจจนไม่ได้เอ่ยตอบ การแนบชิดที่เกิดขึ้นนั้นกะทันหันเกินไปจนเขาไม่ได้เตรียมตั้งรับ ถึงแม้ละอองน้ำจากฝักบัวจะยังคงหลั่งไหลมาโดนผิวกายของทั้งคู่ แต่ความอุ่นร้อนนั้นก็เทียบไม่ได้เลยกับอุณหภูมิของเลือดเนื้อที่กำลังแนบชิดกันอย่างไร้ที่ว่างในขณะนี้

ภัทรรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมาจากอก จริงอยู่ว่าอ้อมแขนแข็งแรงวงนี้เคยโอบกอดให้ความอบอุ่นแก่เขามาแล้วไม่รู้ต่อกี่ครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่ทั้งสองจะชิดใกล้กันแนบแน่นโดยปราศจากสิ่งกั้นขวางเช่นครั้งนี้ ร่างที่ยืนตัวแข็งสะดุ้งเฮือกเมื่อรับรู้ถึงความรุ่มร้อนที่กำลังเบียดเนินเนื้อของเขาจากด้านหลัง

“คุณเชษฐ์...”

ภัทรเอ่ยเสียงสั่น ไม่กล้าแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว และใช่ว่าจะไม่ประสีประสาจนไม่รู้ว่าเพศชายด้วยกันนั้นปลดปล่อยความต้องการที่มีต่อกันอย่างไร แต่กระนั้นความหวาดหวั่นที่สลัดไม่หลุดก็ทำให้เขาไม่พร้อมจะรับมือกับอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ที่สำคัญที่สุด สถานการณ์ตรงหน้าก็ทำให้ภัทรได้คำตอบให้กับสิ่งที่เขาเฝ้าถามตนเองมาตลอดตั้งแต่เมื่อเย็นวาน

เขายังไม่พร้อมจะทำเรื่องนี้กับเชษฐ์...

อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในนาทีนี้ ไม่ใช่เพราะว่ารังเกียจหรือต่อต้าน แต่อะไรบางอย่างทำให้เขายังไม่กล้าพาตัวเองไปสู่ขั้นนั้น และสมองที่กำลังมึนงงของภัทรก็สับสนเกินกว่าจะวิเคราะห์ว่าคำตอบของอะไรบางอย่างนั้นคืออะไร

ทันทีที่ตระหนักถึงความจริงข้อนี้ ภัทรก็ให้ยิ่งลนลานกับสิ่งที่ยืนยันความปรารถนาในตัวเขาจากร่างแกร่งที่ยืนซ้อนอยู่มากยิ่งขึ้น เสียงหัวใจที่ถ่ายทอดมาทางแผ่นหลังทำให้วงจรความคิดของภัทรว้าวุ่น เขากลัวว่าถ้าหากพูดอย่างที่คิดออกไปจะทำให้เชษฐ์โกรธ แต่ถ้าไม่พูด คนที่อาจจะเสียใจทีหลังก็จะเป็นเขาเอง ชายหนุ่มเกร็งไหล่แล้วก็ปิดตาแน่นเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสอ้อยอิ่งจากริมฝีปากบางที่จรดอยู่ข้างใบหู

ได้โปรดเถอะ อย่าเพิ่งขออะไรจากเขาตอนนี้เลย...

“...อยู่นิ่งๆสิ เดี๋ยวมันก็หายไปเองนั่นล่ะ”

เสียงกระซิบทุ้มต่ำที่แหบพร่าเล็กน้อยดังขึ้นข้างหู สิ่งที่ได้ยินทำให้ภัทรลืมตาขึ้นช้าๆอย่างงุนงง แล้วก็ให้แปลกใจที่จู่ๆอ้อมแขนที่รัดรอบเอวเขาไว้แน่นก็คลายออกและเปลี่ยนเป็นโอบไว้เพียงหลวมๆ ร่างเพรียวสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะค่อยพรูออกมาอย่างแผ่วเบา แล้วก็ให้ลมหายใจสะดุดอีกเมื่อคนตัวใหญ่ก้มลงใช้คางเกยไหล่เขาไว้ แต่ว่านอกเหนือไปจากนี้แล้ว เชษฐ์ก็เพียงยืนกอดเขานิ่งๆโดยไม่ได้ขยับตัวอีก

หัวใจของภัทรที่เต้นแรงจนเจ็บอกเมื่อครู่ค่อยผ่อนจังหวะ จากรัวถี่ก็ช้าลง เนิ่นนาน...จนภัทรรู้สึกว่าลมหายใจของตัวเองกลับมาเป็นปรกติ ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกและยาวติดต่อกันหลายครั้ง คิ้วที่ขมวดมุ่นเมื่ออึดใจก่อนค่อยคลายตัวลงหลังจากได้รับรู้ความเปลี่ยนแปลงอีกหนึ่งอย่าง

ความแข็งแกร่งและร้อนรุ่มที่กดดันเขาเมื่อครู่หายไปแล้ว

ภัทรค่อยๆเอียงหน้ากลับไปหาคนที่เกยคางอยู่บนไหล่ ถึงแม้ท่าทีที่เปลี่ยนไปของเชษฐ์จะทำให้เขาโล่งใจ แต่ความงุนงงที่ตามมาก็ทำให้ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ร่างเพรียวย่นคอด้วยความจั๊กกะจี้เมื่อโดนริมฝีปากบางก้มลงประทับบนบ่าอย่างรวดเร็วหนึ่งครั้ง ทว่าสัมผัสนั้นอ่อนโยนและไร้การรุกเร้าจนไม่ทำให้ตื่นกลัวอีก

“หายกลัวหรือยัง?”

เชษฐ์ถามพลางไซ้ปลายจมูกโด่งเข้าที่เรือนผมเปียกชื้นเหนือกกหูบาง ทว่าอ้อมแขนที่ยังโอบรอบเอวภัทรก็ยังคงอยู่ที่เดิม ไม่ได้เปะป่ายจาบจ้วง ทว่าก็ไม่ได้แสดงความเย็นชา ราวกับเพียงจะสื่อว่าอีกฝ่ายพร้อมจะให้ความอบอุ่นแก่เขาอยู่อย่างนั้น และจนกว่าเขาจะอนุญาตให้ล่วงล้ำได้ เชษฐ์ก็จะไม่ทำอะไรเกินเลยไปกว่านี้

วินาทีที่ได้ตระหนักในความจริงข้อนี้ทำให้ความเต็มตื้นเอ่อท้นขึ้นในอกของภัทร

“ครับ...”

ชายหนุ่มหลับตาลงแล้วตอบเสียงเบา มือทั้งสองที่เมื่อครู่เตรียมจะผลักไสเจ้าของอ้อมแขนออกห่างกลับเพียงทาบทับบนลำแขนแกร่งราวจะยึดเอาไว้ ความหวาดกลัวในใจเมื่อครู่หายไปจนไม่เหลืออีกแล้ว กล้ามเนื้อทั่วร่างที่เกร็งเครียดเมื่อครู่ค่อยผ่อนคลายลง และภัทรก็ยอมปล่อยตัวเองให้พิงกับอกอุ่นที่รออยู่ด้านหลังแต่โดยดี เพราะเขารู้แล้วว่าเจ้าของแผ่นอกนี้จะไม่ทำร้ายเขาอย่างเด็ดขาด

ลมหายใจและจังหวะหัวใจของทั้งคู่ราวจะสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ภัทรสูดกลิ่นสบู่อ่อนๆจากตัวของอีกฝ่ายด้วยความสบายใจก่อนจะระบายลมหายใจยาว นัยน์ตาเรียวปรือขึ้นช้าๆอีกครั้งแล้วทอดมองผ่านประตูกระจกไปยังอ่างซึ่งมีน้ำอุ่นเต็มอ่าง ชายหนุ่มยิ้มแล้วก็เอี้ยวคอไปมองเจ้าของเรือนร่างแข็งแรงที่ยืนเป็นหลักให้เขาพิง

“ไปแช่น้ำกันไหมครับคุณเชษฐ์ ขืนปล่อยไว้นานๆเดี๋ยวน้ำอุ่นจะเย็นหมด”

คนถูกถามเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่แล้วใบหน้าคมก็ยิ้มให้ก่อนจะกระชับอ้อมแขนและแนบริมฝีปากลงบนเรือนผมหมาดน้ำของภัทรอีกครั้ง

“ไปสิ แต่ต้องหลังจากฉันอาบน้ำให้เธอเสร็จก่อนก็แล้วกัน”

คราวนี้คนตัวใหญ่เปลี่ยนมายิ้มขี้เล่นให้อีกครั้ง ใบหน้าของคนฟังจึงซับสีเลือดเป็นสีเรื่อขึ้น แต่ภัทรก็เพียงยิ้มเขินๆและไม่ได้ปฏิเสธ เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำอะไรที่ฝืนใจเขาอย่างแน่นอน

หลังจากนั้น เชษฐ์ก็ช่วยอาบน้ำให้ภัทรโดยไม่ได้แสดงเจตนาที่จะหักหาญน้ำใจหรือครอบครองอีกเลยจริงๆ อาจมีบ้างที่มือใหญ่อ้อยอิ่งอยู่ตรงไหนนานเกินกว่าที่ควร แต่ว่าอีกฝ่ายก็เพียงแต่หัวเราะเมื่อโดนภัทรเตือนหรือยกมือขึ้นทุบไหล่ และสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ภัทรรู้สึกราวกับเขาและเชษฐ์คบกันมายาวนานมากกว่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสามเดือนสั้นๆเช่นในความเป็นจริง

หลังจากที่จัดการล้างฟองสบู่และแชมพูให้ภัทรจนหมดแล้ว เชษฐ์ก็ปิดฝักบัวและผลักประตูกระจกที่โดนไอน้ำเกาะจนเป็นฝ้าพลางจูงร่างเพรียวไปที่อ่าง โชคดีว่าอีกฝ่ายเปิดอุณหภูมิน้ำไว้ค่อนข้างสูงตั้งแต่แรก ดังนั้นแม้ว่าทั้งคู่จะเสียเวลาอาบน้ำนานไปสักนิด แต่ว่าน้ำก็ยังคงอุ่นพอเหมาะจะนั่งแช่เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และจังหวะที่ทั้งคู่ก้าวลงในอ่างนั่นเอง ภัทรก็หนีไม่พ้น ต้องเหลือบตาไปเห็นสิ่งที่หลบเลี่ยงจะเห็นมาตั้งแต่แรกจนได้ แต่ถ้าหากว่าเขาไม่เหลือบตาลงต่ำ ภัทรก็คงกะไม่ถูกแน่ว่าต้องก้าวสูงแค่ไหนถึงจะพ้นขอบอ่าง

ดูเหมือนเชษฐ์จะรู้ว่าภัทรเป็นอะไรจากการที่อีกฝ่ายเบนสายตาไปทางอื่นกะทันหันแล้วก็รีบหันหลังย่อตัวลงนั่งในน้ำ หลังจากที่ขยับตัวจนร่างสูงใหญ่พิงกับขอบอ่างและให้ภัทรนั่งเอนลงบนอกตนได้โดยที่ต่างคนต่างไม่เมื่อยแล้ว เชษฐ์ก็ยกแขนขึ้นวางพาดไปตามแนวขอบอ่างทั้งสองด้านแล้วกระซิบถามคนตรงหน้ายิ้มๆ

“บอกแล้วว่าไม่เหมือนใช่ไหมล่ะ?”

ภัทรหันไปทำตาเขียวใส่คนข้างหลังก่อนจะหันขวับกลับไปด้านหน้า เพราะเขารู้ดีโดยไม่ต้องถามว่าคนพูดเอ่ยถึงอะไร นึกเสียดายที่นั่งท่านี้ทำให้หันไปทุบไหล่อีกฝ่ายไม่สะดวกเท่าไหร่ แต่ถ้าให้นั่งหันหน้าเข้าหากันก็คงจะทุลักทุเล จึงได้แต่ต้องยอมให้เชษฐ์แซวเขาอยู่อย่างนั้นโดยที่โต้ตอบไม่ได้

เอ้า...แซวเขาแล้วสนุกนักก็ปล่อยให้แซวไปแล้วกัน ปกติอยู่ที่ออฟฟิศมีแต่ต้องเครียดกับงานและลูกน้องตลอด อย่างน้อยถ้าหากหัวเราะได้เวลาอยู่กับเขาก็ดีแล้วล่ะ...

ภัทรคิดพลางยกมือทั้งสองข้างรองน้ำอุ่นขึ้นแล้วก็ปล่อยให้ไหลลงผ่านง่ามมือ ฉับพลันก็ต้องครางในคออย่างประหลาดใจเมื่อถูกข้อนิ้วแข็งแรงกดลงบนแผ่นหลังให้

“คุณเชษฐ์นวดเป็นด้วย?”

คนถูกนวดเอี้ยวคอกลับไปถาม แรงที่ถ่ายมาจากมือของเชษฐ์นั้นจัดว่าค่อนข้างหนัก แต่พอกดลงบนเส้นประสาทที่เมื่อยล้าของเขาแล้วก็ทำให้รู้สึกสบายจนไม่อยากเบี่ยงตัวหนี คนถูกทักจึงตอบยิ้มๆโดยไม่หยุดออกแรงตามปลายนิ้วไปบนแผ่นหลังเนียนขาว

“แน่ล่ะสิ ฉันเคยเป็นนักกีฬาโรงเรียนมาก่อนนี่ สมัยเรียนก็ต้องช่วยกันนวดให้เพื่อนในทีมเองแบบนี้แหละ”

ภัทรนึกถึงรูปถ่ายของอีกฝ่ายในชุดนักกีฬาเทนนิสซึ่งเขาเคยเห็นในห้องนั่งเล่นที่บ้าน รูปนั้นน่าจะเป็นรูปสมัยมัธยม แต่เขาจำได้ว่าในรูปนั้นเชษฐ์ไม่ได้ใส่แว่น ความสงสัยที่ผุดขึ้นทำให้ภัทรเอ่ยถาม

“คุณเชษฐ์สายตาสั้นเท่าไหร่ครับ? ผมเห็นรูปสมัยเรียนบางรูปก็ใส่แว่น บางรูปก็ไม่ใส่”

ทั้งที่เรื่องเหล่านี้เป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่คนใกล้ชิดในสถานะเช่นเขาควรจะรู้ แต่ที่ผ่านมาภัทรไม่เคยถามเลยเพราะเกรงใจ และคิดว่าเชษฐ์อาจจะมองว่าเขาอยากรู้อยากเห็นกับเรื่องไม่มีสาระ แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าอยากรู้จักคนคนนี้ให้มากขึ้นกว่านี้

เชษฐ์ใช้ปลายนิ้วโป้งกดคลึงให้บนช่วงคอที่ต่อกับแผ่นหลังของภัทร จากนั้นก็ตอบเสียงเนือยๆ “ถ้าตอนนี้ก็ประมาณสามร้อยกว่าทั้งสองข้าง แต่ตอนที่เล่นเทนนิสนั่นสั้นแค่สองร้อยเลยไม่ได้ใส่แว่นตลอด เพิ่งจะมาใส่ประจำก็หลังเข้ามหาลัยนั่นแหละ”

“สามร้อยกว่า? ก็ไม่สั้นมากนี่ครับ ทำไมไม่ใส่คอนแทคต์เลนส์ไปเลยล่ะ ขนาดพี่สาวผมสายตาสั้นตั้งห้าร้อยยังใส่คอนแทคต์มาตั้งแต่ม.ปลายเลย”

ภัทรถามขึ้นอีก เพราะเขาเชื่อว่าเชษฐ์ก็คงรู้ตัวว่ารูปร่างหน้าตาของตัวเองนั้นค่อนข้างโดดเด่นทีเดียว แล้วขนาดเขาเอง เวลาเห็นอีกฝ่ายไม่สวมแว่นยังรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวดูผ่อนคลายและให้ความกันเองขึ้นตั้งขนาดนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้าพวกสาวน้อยสาวใหญ่ที่ออฟฟิศได้เห็นใบหน้าเกลี้ยงๆของคุณผู้จัดการโปรเจ็กต์ทุกวัน มีหวังคงไม่ได้เป็นอันทำงานกันแน่

คำถามของภัทรทำให้เชษฐ์หัวเราะ มือที่นวดต้นคอและท้ายทอยให้เมื่อครู่ถูกปล่อยลงมาโอบไว้รอบเอวบางหลวมๆแทน

“ทำไมล่ะ ใส่แว่นแล้วไม่ชอบหรือไง?”

คนถูกถามหน้าแดงขึ้นเมื่อโดนกระซิบถามเสียชิดริมหู ก็จริงที่เขาชอบเวลาได้เห็นอีกฝ่ายไม่สวมแว่น เพราะมันทำให้ภัทรรู้สึกว่าเชษฐ์ในเวลานั้นปล่อยวางภาระการงานไว้เบื้องหลังแล้วได้ปลดปล่อยตัวเองต่อหน้าเขาจริงๆ แต่ภัทรก็ไม่ปฏิเสธว่าเขาก็ชอบยามที่คุณผู้จัดการยกมือขยับขาแว่นหรือใช้ปลายนิ้วดันแว่นขึ้นไประหว่างที่ทำงานหรือคุยกันเหมือนกัน เพราะเขาเห็นภาพเหล่านั้นประจำจนชินตาไปแล้ว และหากอีกฝ่ายเลิกสวมแว่นไปเลย เขาก็คงจะรู้สึกเหงาๆเหมือนอะไรบางอย่างขาดหายไปอย่างแน่นอน

“เปล่าครับ...ผมแค่ถามดูเฉยๆ”

ภัทรตอบเสียงอ้อมแอ้ม แล้วก็เหลือบตาลงเมื่อเชษฐ์จับมือของเขาข้างหนึ่งหงายขึ้นแล้วลูบด้วยนิ้วโป้งเบาๆ

“นิ้วย่นหมดแล้วสิ น้ำก็เริ่มไม่อุ่นแล้วด้วย งั้นไปแต่งตัวแล้วหาข้าวเย็นกินกันดีกว่า”

“อ๊ะ ครับ”

ภัทรตอบเหมือนเพิ่งรู้ตัว พอเชษฐ์พูดขึ้นมา เขาจึงได้รู้สึกว่าน้ำในอ่างเริ่มหายอุ่นไปกว่าตอนแรกที่ลงแช่เยอะแล้วจริงๆ แต่เพราะว่าเขานั่งพิงอกอีกฝ่ายอยู่ ไออุ่นที่ได้รับจึงทำให้ไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าน้ำเริ่มเย็นแล้ว

เชษฐ์รอจนทั้งคู่ก้าวออกจากอ่างแล้วจึงบิดล็อคเพื่อระบายน้ำให้ไหลออกทางปลายอ่าง ระหว่างนั้นภัทรก็รีบหยิบผ้าขนหนูของตัวเองมาเหน็บรอบเอวอย่างแน่นหนา จากนั้นจึงค่อยส่งผ้าขนหนูอีกผืนให้เชษฐ์ใช้เช็ดตัว แต่แทนที่อีกฝ่ายจะใช้ผ้านั้นปกปิดร่างกายเหมือนกัน คนตัวใหญ่กลับใช้ผ้าขยี้ผมที่เริ่มหมาดและซับน้ำตามเนื้อตัวโดยไม่สนใจจะปิดบังร่างกายที่เปลือยเปล่าเลยสักนิด

“คุณเชษฐ์...จะไม่เกรงใจผมบ้างเลยเหรอครับ”

ภัทรถามเสียงอ่อนโดยพยายามไม่หันไปมอง ถึงเมื่อกี้เขาจะได้เห็นแบบเต็มๆตาไปแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่ใช่คนโรคจิตชอบมองเรือนร่างคนอื่นเวลาไม่ใส่เสื้อผ้าเสียหน่อย ทว่าคำตอบของเชษฐ์ทำเอาเขาอยากจะวางมือจากเสื้อผ้าเปียกที่กำลังคลี่ออกผึ่งแล้วหันไปทุบไหล่หนาสักบึ้กใหญ่ๆ

“จะเป็นไรไปล่ะ เดี๋ยวต่อไปเธอก็ต้องได้เห็นจนชินอยู่แล้วนี่ รีบทำให้ชินไว้ก่อนจะเป็นไรไป”

“คุณเชษฐ์”

ภัทรเอ่ยปรามเสียงดุ แต่แก้มเนียนทั้งสองข้างแดงก่ำ เขารู้ดีว่าความหมายแฝงที่ซ่อนในคำพูดของอีกฝ่ายคืออะไร แต่ป่วยการจะเถียงกับคุณผู้จัดการถึงเรื่องในอนาคตตอนนี้ จึงไม่ได้พูดอะไรอีกแล้วก็รีบเดินออกจากห้องน้ำไปหยิบเสื้อผ้าสำหรับใส่เปลี่ยน และคราวนี้ก็ยังขอกลับเข้าไปแต่งตัวในห้องน้ำคนเดียวเหมือนเดิม ไม่ใช่เพราะว่าอายหลังจากที่ก็อาบน้ำด้วยกันไปแล้ว แต่เพราะเขาอายที่จะต้องเห็นอีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าต่างหาก

ถ้าจะชินก็ให้มันเป็นเรื่องในอนาคตเถอะ ตอนนี้เขายังห้ามใจไม่ให้เต้นแรงเวลาเห็นร่างกายของคุณเชษฐ์ไม่ได้นี่...



+---tbc---+




 

Create Date : 11 มิถุนายน 2553    
Last Update : 5 กันยายน 2553 1:59:27 น.
Counter : 936 Pageviews.  

แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก 9 (ครึ่งหลัง)

A/N: ก่อนอื่น ขออภัยทุกคนในความสั้นของตอนนี้ก่อนนะคะ ยอมรับว่าเป็น "ครึ่งหลัง" ที่เข็นออกมาได้ลำบากยากเย็นมากๆ คือที่จริงเคยได้ร่างไว้ก่อนนี้แล้วล่ะ แต่ช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา มันเกิดเรื่องแบบที่ทุกคนก็รู้ว่าเรื่องอะไร ดังนั้นถึงจะได้หยุดยาวอยู่บ้านแต่ก็ทำใจเขียนอะไรไม่ค่อยออก พออะไรๆเริ่มสงบแล้วถึงได้มาเขียนต่อได้ แต่ก็ต้องจูนอารมณ์กันพอสมควร ทีนี้ดูท่าเรื่องต่อจากเหตุการณ์ตอนนี้มันจะยาว เลยขอปัดไปเป็นตอนหน้าเลยก็แล้วกัน อาจขัดตาทัพไปนิด แต่อย่างน้อยคนอ่านก็จะได้ไม่ต้องรอนานล่ะเน้อ แหะๆ (แก้ตัวไปเรื่อยเลยแฮะ)

แล้วเจอกันตอนหน้าค่า ~


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++


ตอนที่ 9. (ครึ่งหลัง)


“ออกไปเดินเล่นกันมั้ย?”

ภัทรเงยหน้ามองคนถามที่มายืนข้างโซฟาที่เขานั่งตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ จากนั้นก็เหลือบมองไปยังทิวทัศน์ภายนอกผ่านกระจกหน้าต่าง จึงได้เห็นว่าแดดที่สาดแสงเมื่อครู่เริ่มอ่อนลงกว่าตอนที่เพิ่งเดินทางมาถึงมากแล้ว ภัทรจึงปิดนิตยสารท่องเที่ยวที่อ่านค้างไว้แล้วก็ลุกขึ้นยืนบ้าง

“ก็ดีเหมือนกันครับ”

ตอบแล้วชายหนุ่มก็เอานิตยสารไปเก็บที่ชั้นใต้ที่วางโทรทัศน์ตามเดิม เนื่องจากตอนที่เดินทางมาถึงรีสอร์ทนั้นอากาศภายนอกยังร้อนและแดดก็ยังแรง เชษฐ์กับเขาจึงตกลงว่าจะนั่งพักในห้องกันก่อนโดยต่างก็เปลี่ยนกางเกงยีนส์ขายาวที่ใส่มาเป็นกางเกงขาสั้นลำลอง ระหว่างนั้นภัทรเจอนิตยสารท่องเที่ยวที่ทางรีสอร์ทจัดไว้ให้ในห้องพักจึงหยิบมานั่งอ่านที่โซฟาริมหน้าต่าง ส่วนเชษฐ์นั่งเช็คอีเมล์งานอยู่บนเตียงผ่านคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่เอามาด้วย

หลังจากล็อกประตูห้องเรียบร้อย เชษฐ์ก็เอาแผ่นป้ายที่ร้อยกุญแจไว้ใส่ในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง เนื่องจากห้องที่ทั้งสองเข้าพักนั้นอยู่ติดชายหาดอยู่แล้ว เพียงเดินลงจากระเบียงด้านหน้าไปไม่กี่ก้าวก็ถึงหาดทราย ทั้งคู่จึงตัดสินใจทิ้งรองเท้าไว้ที่ห้องพักแล้วก็เดินเท้าเปล่า เมื่อออกจากห้องที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำเอาไว้ ความอบอุ่นของอากาศภายนอกก็ปะทะเข้าบนผิวทันที แต่โชคดีที่มีลมซึ่งพัดมาจากทะเลจึงช่วยลดความอบอ้าวไปได้มากทีเดียว

บริเวณชายหาดหน้ารีสอร์ทซึ่งมีเก้าอี้วางอยู่เป็นระยะนั้นไร้ผู้คน อาจเพราะแขกที่มาพักคนอื่นยังอยู่ในห้องหรือไม่ก็ไปเดินเที่ยวตลาดแถวท่าเรือกัน และกลุ่มคนที่กำลังเล่นน้ำที่พอจะเห็นได้ก็อยู่ไกลออกไปหลายร้อยเมตร ดังนั้นตลอดแนวชายหาดของรีสอร์ทจึงไม่มีคนอื่นอยู่เลยนอกจากพวกเขาเท่านั้น

ภัทรเดินเคียงข้างไปกับเชษฐ์ที่เดินล้วงกระเป๋าด้วยท่าทางสบายๆ ทรายที่ทั้งสองเหยียบย่ำเป็นสีเข้มและชื้นนิดๆ เมื่อก้าวลงไปก็จะทิ้งรอยเท้าไว้เป็นทาง แต่ผืนน้ำยามบ่ายลดระดับลงจนอยู่ห่างออกไป ลมที่พัดมากระทบผิวหอบเอาไอชื้นมาด้วย ชายหนุ่มจึงแหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วเอ่ยขึ้นเปรยๆ

“ท่าทางคืนนี้ฝนจะตกนะครับ”

เชษฐ์หันมาเลิกคิ้วมองคนพูดแวบหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้ามองท้องฟ้าบ้าง มวลเมฆที่ลอยเหนือบริเวณรีสอร์ทยังไม่รวมตัวกันหนาแน่นก็จริง แต่ขอบฟ้าสีเทาเข้มที่เห็นอยู่ลิบๆก็ทำให้คนตัวใหญ่พยักหน้า

“ก็คงจะอย่างนั้น ฟ้าตรงโน้นมืดเชียว”

ทั้งสองหยุดยืนดูทะเลเมื่อเดินกันมาได้ครู่หนึ่ง เชษฐ์ยังคงยืนล้วงกระเป๋า แต่สองตาทอดมองออกไปเหนือผืนน้ำกว้างซึ่งสามารถมองเห็นเกาะต่างๆได้จากระยะไกล

“จะว่าไป...ไม่ได้มาเที่ยวทะเลหลายปีแล้วเหมือนกันนะ”

ภัทรที่ยืนอยู่ข้างๆเลิกคิ้วแล้วก็หันไปถามด้วยความสงสัย “เอ๊ะ? แต่พี่ป๋วยเคยบอกผมว่าที่ออฟฟิศเคยพาพนักงานไปเอ๊าท์ติ้งที่ภูเก็ตเมื่อสองปีก่อนไม่ใช่เหรอครับ? เห็นว่าตอนนั้นให้เอาสมาชิกครอบครัวไปด้วยก็ได้นี่”

ภัทรยังจำได้ที่รุ่นพี่สาวเคยเล่าให้ฟัง ว่าเมื่อสองปีที่แล้วซึ่งเขายังไม่เข้าบรรจุเป็นพนักงานที่นี่นั้น ทางบริษัทได้พาพนักงานไปเที่ยวประจำปีไกลถึงเกาะทางใต้เนื่องจากผลประกอบการดีมาก แถมหากใครที่ต้องการพาครอบครัวไปด้วยก็สามารถทำได้ เพียงแต่ต้องออกค่าใช้จ่ายในส่วนของคนที่พาไปด้วยเพิ่มเอง แต่เนื่องจากปีที่เขาเข้ามานั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ทางบริษัทจึงเพียงพาพนักงานไปทำบุญและเที่ยวเมืองเก่าในอยุธยาแบบไปเช้าเย็นกลับเท่านั้น เขายังจำได้ว่ารุ่นพี่หลายคนบ่นกันอู้เรื่องนี้

เชษฐ์ยกมือขึ้นกอดอกแล้วก็ส่ายหน้า จากนั้นจึงยิ้มให้กับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ไปเที่ยวกับบริษัทมันก็เหมือนโดนบังคับไปนั่นแหละ หรือถึงจะบอกว่าให้พาคนในครอบครัวไปได้ แต่ปีนั้นเธอยังไม่เข้ามานี่นา”

ภัทรพยายามบังคับสายตาให้มองตรงไปข้างหน้าและบังคับใจให้ไม่หันไปค้อนคนพูด แล้วก็พยายามคิดว่าจะชวนคุยหัวข้อไหนให้พ้นจากตัวเองได้บ้าง ไอ้เรื่องที่คนคบกันจะหยอกล้อหรือแซวกันมันไม่แปลกหรอก แต่เพราะเขามักจะโดนอยู่ฝ่ายเดียวเลยรู้สึกเสียเปรียบชอบกล แต่ยังไม่ทันจะคิดอะไรออก เสียงทุ้มต่ำของคนตัวใหญ่ก็ลอยมาเข้าหูเสียก่อน

“ว่าแต่อุตส่าห์มาทะเลกันทั้งที ไม่ลงเล่นน้ำก็น่าเสียดายนะ”

ภัทรสะดุ้งเมื่อจู่ๆเจ้าของเสียงก็ขยับเข้ามาใกล้ พอเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังอมยิ้มเจ้าเล่ห์ และรอยยิ้มนั้นก็ดูไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย เขาจึงรีบรัวคำตอบออกไปทันทีที่ตั้งตัวได้

“อยากลงก็ลงสิครับคุณเชษฐ์ เดี๋ยวผมนั่งรออยู่แถวนี้แหละ พอดีผมไม่ได้เอากางเกงมาเปลี่ยน”

ร่างเพรียวปรายตาไปทางเก้าอี้ชายหาดซึ่งตั้งเรียงเป็นระยะราวกับนั่นคือที่หลบภัย แต่เชษฐ์กลับยักไหล่อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ

“ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ไม่ได้เอากางเกงมาเปลี่ยนก็ใส่ตัวนี้ลงไปเลยสิ"

คราวนี้ประกายตาหลังเลนส์แว่นทำเอาภัทรเริ่มก้าวถอย เพราะแววตาของอีกฝ่ายทำให้เขานึกถึงสัตว์ป่าที่เตรียมจะเข้าขย้ำเหยื่อยังไงยังงั้น และท่าทางเหยื่อที่ว่าก็ไม่แคล้วจะเป็นเขาเสียด้วย

“ไม่เอาครับคุณเชษฐ์ ผมบอกว่าไม่ลงไง เฮ้ย! คุณเชษฐ์! ปล่อยผมลงนะ!!”

ยังไม่ทันจะได้หมุนตัวแล้ววิ่งหนีตามที่สัญชาตญานบอก จู่ๆภัทรก็เห็นพื้นทรายตีลังกาไปอยู่เหนือหัวแทน กว่าเขาจะตั้งตัวได้และรู้ว่าโดนอีกฝ่ายอุ้มขึ้นพาดบ่า เชษฐ์ก็พาเดินลงไปที่ทะเลแล้วราวกับไม่รู้สึกถึงน้ำหนักที่อยู่บนไหล่สักนิด แถมอีกฝ่ายยังถอดแว่นออกแล้วโยนลงบนผืนทรายอย่างไม่ไยดีอีกด้วย

“คุณเชษฐ์! เดี๋ยวแว่นหายนะครับ!”

แม้จะตกใจ แต่ภัทรก็ยังไม่วายร้องเตือนเมื่อเห็นแว่นกรอบเงินที่ตกอยู่บนพื้น แต่เชษฐ์กลับตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แถมยังไม่ชะลอฝีเท้าลงเลยสักก้าว

“ไม่มีใครเอาไปไหนหรอกน่า”

ภัทรสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงละอองน้ำที่กระเซ็นขึ้นมาบนขาเมื่ออีกฝ่ายเริ่มก้าวลงน้ำ จึงพยายามจะยึดไหล่หนาไว้แล้วผงกหัวขึ้นเพื่อดิ้นหนี แต่ถึงแม้ว่ายิ่งเชษฐ์เดินลุยน้ำลงไปลึกเท่าไหร่ ฝีเท้าของอีกฝ่ายก็ยิ่งช้าลงเพราะถูกแรงน้ำต้านก็ตาม ทว่าลำแขนแข็งแรงที่ยึดขาเขาไว้แน่นก็ไม่ยอมผ่อนแรงลงเลยสักนิด จนกระทั่งคนตัวใหญ่พาเขามาถึงจุดที่น้ำน่าจะลึกประมาณอก ภัทรก็รู้สึกได้ว่ากางเกงที่ตัวเองใส่เริ่มเปียกน้ำจนแนบไปกับต้นขา ชายหนุ่มรู้สึกว่าผิวหน้าร้อนไปหมดขณะพยายามจะดิ้นเพื่อให้เป็นอิสระอีกครั้ง เพราะการโดนเนื้อตัวกันผ่านผ้าที่เปียกจนแนบเนื้อก็ให้สัมผัสไม่ต่างจากการไม่สวมเสื้อผ้าสักเท่าไหร่

“คุณเชษฐ์!...ปล่อยผม! หวา!!”

ภัทรร้องขึ้นอีก แต่เสียงยังหลุดจากปากไม่ทันขาดคำ คนที่อุ้มเขาอยู่ก็เอียงไหล่แล้วปล่อยร่างที่ถูกอุ้มให้หล่นลงจนเกิดเสียงน้ำแหวกกระจายดังตูม การถูกปล่อยลงน้ำอย่างกะทันหันทำให้ภัทรเตรียมกลั้นหายใจไม่ทัน น้ำทะเลเค็มๆจึงทะลักเข้าปากและโพรงจมูกจนแสบไปหมด ส่วนหูทั้งสองข้างก็อื้อด้วยแรงกดของน้ำ แต่พอตั้งสติได้ เขาก็รีบเหยียดขาแล้วถีบตัวขึ้นเหนือน้ำทันที ชายหนุ่มไอโขลกเพราะยังสำลักน้ำที่ตกค้างอยู่ในจมูกและคอ แต่พอลองพยายามจะใช้เท้าหยั่งพื้นก็พบว่าระดับน้ำตรงนั้นเพียงปริ่มไหล่เท่านั้น ภัทรรีบยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบน้ำทะเลออกจากหน้าก่อนจะหยีตาขึ้น ตั้งใจว่าจะต่อว่าคนที่แกล้งตัวเองให้ตกใจอย่างเต็มที่ แต่แล้วนัยน์ตาเรียวก็ต้องเบิกกว้างเมื่อรอบตัวมีแต่ความว่างเปล่า ไม่ว่าจะหันมองไปทางไหนก็ไม่มีแม้แต่เงาของร่างสูงใหญ่ที่บังคับอุ้มเขามาลงน้ำเลย

คุณเชษฐ์!!

ภัทรมองไปรอบตัวอย่างตื่นตระหนก เพราะแค่ถูกแกล้งโยนลงน้ำก็ทำเขาตกใจพอแล้ว พอได้พบว่าคนที่น่าจะอยู่ด้วยกลับหายไปก็ทำให้ใจเสียขึ้นมาทันที แต่แล้วขณะที่ภัทรกำลังตัดสินใจจะตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายนั่นเอง ชายหนุ่มก็ต้องร้องเสียงหลงเพราะจู่ๆก็ถูก ‘ใครบางคน’ ฉุดให้ลงไปใต้น้ำอีกครั้ง

ร่างเพรียวรู้สึกได้ถึงอ้อมแขนแข็งแรงที่โอบรัดเอวตัวเองอยู่ แล้วก็ให้ตระหนักขึ้นมาทันทีว่าเสียรู้เข้าแล้ว จึงพยายามจะดิ้นหนีและดีดตัวขึ้นเหนือน้ำสุดชีวิต แต่ดูเหมือนเจ้าของอ้อมแขนจะยังไม่อยากปล่อยเขาให้เป็นอิสระง่ายๆ เพราะว่ายิ่งภัทรดิ้นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งโดนกอดแน่นขึ้นเท่านั้น ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงมือใหญ่ข้างหนึ่งที่เลื่อนขึ้นไปรั้งท้ายทอยเขาไว้ขณะที่อีกข้างยังโอบอยู่รอบเอว จากนั้นสัมผัสนิ่มๆหยุ่นๆก็ทาบลงมาบนริมฝีปากของเขาอย่างเอาแต่ใจ

ภัทรรู้แล้วว่าเพราะอะไรอีกฝ่ายถึงดึงเขาลงมาใต้น้ำ จึงได้แต่หลับตาแล้วก็เม้มปากแน่น ส่วนสองมือก็ทุบไหล่กว้างอย่างประท้วง ทว่ามือใหญ่ที่ยึดท้ายทอยไว้ก็ทำให้ไม่สามารถหันหนีหรือขัดขืนได้เลย และก่อนที่ภัทรจะรู้สึกเหมือนกลั้นหายใจต่อไม่ไหว เจ้าของอ้อมแขนแข็งแรงก็รั้งร่างเขาแล้วดีดตัวพาขึ้นเหนือผิวน้ำด้วยกัน พอโผล่พ้นน้ำขึ้นมาอีกครั้งและสูดอากาศเข้าปอดอย่างเต็มที่ได้ ร่างเพรียวก็รีบผลักแผ่นอกกว้างของอีกฝ่ายแล้วถีบตัวออกห่างทันที

ภัทรถลึงตาใส่คนตัวใหญ่และรักษาระยะห่างระหว่างทั้งคู่ร่วมเมตร โหนกแก้มทั้งสองข้างของเขาซับสีเลือดจนแดงซ่าน ทั้งอายทั้งโมโหจนไม่รู้จะพูดอะไรดี ยิ่งเห็นอีกฝ่ายมองมายิ้มๆขณะเสยผมที่ปรกตาขึ้นไปก็ยิ่งนึกขวางมากเข้าไปอีก

“เปียกหมดอย่างนี้ก็ไม่ต้องเปลี่ยนชุดแล้วจริงมั้ย?”

เชษฐ์เอ่ยขึ้นเป็นเชิงถาม แต่ภัทรได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว ก็เล่นบังคับอุ้มลงน้ำแบบนี้ เขามีทางเลือกให้ไม่เปียกได้ที่ไหนกันเล่า!

“แหงสิครับ คุณเชษฐ์จับผมลงมาเองนี่”

เชษฐ์มองอีกฝ่ายที่ทำท่าเหมือนลูกแมวที่โดนแกล้งจนเริ่มพองขนขู่ ริมฝีปากบางจึงหยักยิ้มมากขึ้น ก่อนที่จะเหลือบมองไปยังเรือประมงที่ทอดสมออยู่ห่างออกไปไม่ถึงร้อยเมตร

“สนใจจะว่ายน้ำแข่งไปถึงเรือลำนั้นกันมั้ย?”

คนตัวใหญ่เอ่ยถามขณะที่ภัทรกำลังจะหมุนตัวหนีและว่ายน้ำกลับขึ้นฝั่ง ชายหนุ่มจึงหันกลับไปมองคนถาม จากนั้นก็มองไปยังเรือลำที่ถูกพาดพิงถึง นัยน์ตาเรียวเบนกลับมายังคนตรงหน้าอีกครั้งด้วยความระแวงอย่างไม่ปิดบัง นี่คุณเชษฐ์จะมาไม้ไหนของเขาอีกนะ?

“ผมเลือกได้ด้วยเหรอครับ?”

คราวนี้เชษฐ์เลิกคิ้ว แต่แล้วก็หัวเราะในคอเบาๆ เพราะดูเหมือนเขาจะแหย่มากไปจน ‘ภัทรกร’ ที่ปกติเก็บอารมณ์เสมอเริ่มหงุดหงิดเสียแล้ว แต่ว่าภัทรไม่ได้รู้ตัวเลยว่านั่นก็เป็นแผนของอีกฝ่ายเหมือนกันที่อยากเห็นเขาแสดงอารมณ์อื่นนอกจากความเกรงใจออกมาบ้าง

“ไหนๆก็ลงน้ำมาแล้วนี่นา หรือเธอกลัวแพ้เลยไม่กล้าแข่ง?”

เชษฐ์พูดแล้วก็ยิ้ม ส่วนคนถูกท้าก็ให้นึกหมั่นไส้รอยยิ้มท้าทายบนหน้าคนตัวใหญ่เป็นกำลัง ภัทรเบนสายตากลับไปยังเรือลำที่เป็นจุดหมายอีกครั้งแล้วก็คะเนระยะทาง ถึงแม้ว่าโดยนิสัยแล้วเขาจะเป็นคนไม่ชอบการแข่งขัน และปกติก็จะนั่งมองดูคนอื่นเวลาเล่นกีฬามากกว่า แต่สำหรับเรื่องว่ายน้ำนั้นเขาค่อนข้างถนัดพอตัวเพราะโดนพี่สาวชวนแข่งอยู่บ่อยๆตั้งแต่เด็ก และถึงแม้จะห่างหายการว่ายน้ำแบบเอาจริงเอาจังไปนาน แต่ถ้าหากระยะประมาณนี้เขาก็น่าจะพอแข่งไหว อีกอย่างถ้าหากว่าเขาปฏิเสธ สงสัยคุณเชษฐ์ก็คงไม่ยอมให้เขาได้ขึ้นจากน้ำแน่ และเขาก็ไม่อยากคิดว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีไหนรั้งให้เขา'เล่นน้ำต่อ'ด้วย

“ระยะแค่นี้ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ แต่แข่งเสร็จเมื่อไหร่ผมจะขึ้นแล้วนะ”

ภัทรตอบเสียงสะบัดก่อนจะหันหน้าไปทางเรือลำที่เป็นเส้นชัย แต่ฉับพลันก็ให้นึกสังหรณ์ใจขึ้นมา เชษฐ์บังคับเขามาลงน้ำแบบนี้ แล้วยังมาท้าแข่งว่ายน้ำอีก เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะไม่มีจุดประสงค์แอบแฝงอยู่แล้ว ดูจากที่เมื่อกี้ยังกล้าฉุดเขาลงไปทำอะไรทะลึ่งๆใต้น้ำนั่นปะไร

ร่างเพรียวหันไปมองคนตัวใหญ่ข้างๆทันที เรียวคิ้วโก่งที่เมื่อครู่คลายไปแล้วกลับขมวดมุ่นขึ้นใหม่ อดหวังไม่ได้ว่าถ้าเขาถอนตัวตอนนี้ยังจะทันหรือเปล่า

“คุณเชษฐ์ แข่งนี่แข่งเล่นเฉยๆไม่มีการให้รางวัลหรือทำโทษใช่มั้ยครับ?”

คนตัวใหญ่หันมาเลิกคิ้วให้คนถาม จากนั้นก็ยิ้มก่อนจะหันกลับไปด้านหน้าอีกครั้ง

"ไม่มีไม่ได้หรอก ขืนทำอย่างนั้นก็ไม่ใช่การแข่งน่ะสิ"

คำตอบที่ได้ทำเอาภัทรหันหลังหนีทันที แต่ก็ยังช้ากว่ามือแข็งแรงที่ยื่นมารั้งต้นแขนเขาเอาไว้ และถึงแม้จะพยายามบิดแขนออกแต่ว่าก็สู้แรงไม่ได้

"คุณเชษฐ์ ไม่เอาผมไม่แข่งแล้ว"

ภัทรส่งเสียงโอดครวญ ทว่าเชษฐ์ก็ไม่ปล่อยมือ แถมยังหัวเราะกับท่าทางลนลานของเขาเสียอีก

"ฉันยังไม่ได้บอกสักคำว่ารางวัลคืออะไรแล้วจะรีบหนีไปไหนล่ะ อีกอย่างลูกผู้ชายบอกว่าจะแข่งแล้วก็ห้ามคืนคำสิ"


+---tbc---+




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 27 พฤษภาคม 2553 15:43:18 น.
Counter : 1598 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.