Group Blog
 
All blogs
 
แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก ตอนพิเศษ 1

A/N: ไหนๆวันนี้ก็คริสต์มาสอีฟ และเนื่องจากคนเขียนเกิดอาการตันเนื้อเรื่องของตอนปัจจุบัน (กล้าบอกอีก อายเค้ามั้ยเนี่ย อายม้ายยยย) เลยขอเข็นตอนพิเศษมาเอาใจแฟนๆของคุณเชษฐ์กับน้องภัทรก่อน โดยเวลาในตอนพิเศษนี้จะเป็นช่วงงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่า ก่อนที่ทั้งคู่จะตกลงคบกันในวันวาเลนไทน์ของปีถัดมา ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนที่ 1 ค่ะ อารมณ์ประมาณว่า what happened before นั่นเอง รู้สึกเราจะถนัดเขียนเรื่องแนวเติมช่องว่างในอดีตนะเนี่ย

เกรงว่าช่วงปีใหม่จะยุ่งแล้วไม่ว่างมาอัพ ทั้งเพราะจะออกจากงานและเตรียมไปเที่ยวช่วงวันหยุดด้วย เลยขออวยพรคนอ่านไว้ก่อน ยังไงก็เมอร์รีคริสต์มาสและแฮปปี้นิวเยียร์ทุกท่านล่วงหน้านะค้า


+------+


ตอนพิเศษ 1: อีกปีที่ผันผ่าน (for X-Mas & New Year's Celebration)


เสียงดนตรีครึกครื้นดังกระหึ่มผ่านลำโพงตั้งพื้นในสวนอาหารกลางแจ้งแห่งหนึ่ง ขณะเดียวกับที่ผู้คนซึ่งนั่งทานอาหารเฮฮาไปกับการแสดงที่อยู่บนเวที ในเวลาเดียวกัน ที่ด้านในของสวนอาหารซึ่งอยู่ลึกเข้าไปด้านใน ใกล้กับห้องน้ำคือห้องเก็บของของพนักงานร้านที่คืนนี้ถูกหยิบยืมเป็นห้องแต่งตัวชั่วคราว และภายในห้องแต่งตัวนั้น หลายชีวิตกำลังวุ่นวายกับการเติมเครื่องสำอางครั้งสุดท้ายและจัดชุดให้เข้าที่ แม้แต่คนที่เดินผ่านไปมาเพื่อเข้าห้องน้ำที่อยู่ห่างไปไม่กี่เมตรก็ต้องได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดที่หลุดมาจากด้านในได้เป็นระยะ

ภัทรเงี่ยหูฟังเสียงปรบมือและผิวปากหลังการแสดงที่เพิ่งผ่านไปจบลง จากนั้นจึงเคาะประตูเรียกคนในห้อง

“พี่ป๋วย ของกลุ่มคุณเชษฐ์เค้าแสดงจบไปแล้วนะ ข้างในแต่งตัวกันเสร็จหรือยัง?”

“ว้าย! ทำไมเร็วอย่างงั้นล่ะ เดี๋ยวนะเดี๋ยว เฮ้ยนุ่น รองเท้าแกอยู่นี่ แหม่มๆ วิกเอียงอยู่แน่ะ โอ๊ยยยยย! นี่ภัทร เธอไปที่เวทีแล้วพูดอะไรถ่วงเวลาไปก่อนทีซิ!”

ท้ายประโยครุ่นพี่สาวเปิดประตูห้องแต่งตัวออกมาสั่งอย่างเร่งรีบ ยังไม่ทันที่คนถูกสั่งจะอ้าปากก็โดนประตูบานเดิมปิดดังปังใส่หน้า หลังเงี่ยหูฟังความวุ่นวายในห้องที่ยังดำเนินไปไม่หยุด ภัทรก็ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า กับอีแค่การประกวดการแสดงภายในบริษัทเพื่อฉลองส่งท้ายปีนี่ต้องเอาจริงเอาจังกันขนาดนี้เลยหรือ

ชายหนุ่มหมุนตัวเดินจากห้องแต่งตัวเพื่อไปยังส่วนจัดงานที่อยู่ด้านหน้า เนื่องจากคืนนี้เป็นโอกาสพิเศษที่ทางบริษัทจะได้จัดแค่ปีละครั้ง เพื่อเป็นการสังสรรค์ร่วมกันก่อนที่พนักงานทุกคนจะได้หยุดไปพักผ่อนในช่วงปีใหม่ แต่ละปีแผนกบุคคลจึงมักหากิจกรรมมาให้พนักงานได้เข้าร่วมเสมอ และปีนี้ก็ใช้วิธีจองสวนอาหารเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริษัทนักเป็นสถานที่จัดงาน โดยกำหนดให้ทุกคนได้เลิกงานเร็วกว่าปกติ เพื่อที่แต่ละแผนกที่ต้องเตรียมการแสดงส่งจะได้มีเวลาแต่งตัวและซักซ้อม โดยฝั่งธุรกิจหลักหรือ Core Business ที่ภัทรสังกัดอยู่นั้นจะแบ่งเป็นสี่กลุ่มตามสี่ Business Unit โดยเรียกด้วยชื่อย่อว่า ทีม BU 1, BU 2, BU 3 และ BU 4 โดยแต่ละทีมจะมีทั้งพนักงานขาย พนักงานโอเปอเรชัน ก๊อปปีไรเตอร์ พนักงานประชาสัมพันธ์ และผู้ประสานงานโปรเจ็กต์อยู่ด้วยกัน ส่วนฝั่งสนับสนุนหรือ support ก็ใช้วิธีแบ่งตามแผนกไปเลย เช่น แผนกบัญชี แผนกกราฟฟิคดีไซเนอร์ แผนกไอที และแผนกคอลเซ็นเตอร์ ส่วนพนักงานระดับผู้จัดการขึ้นไปได้รับสิทธิ์ยกเว้นไม่ต้องแสดง แต่เป็นเพียงคนดูและกรรมการเท่านั้น

นับว่าฝ่ายบุคคลเลือกสถานที่จัดงานได้เหมาะสมกับขนาดของพนักงานบริษัทซึ่งมีร่วมร้อยชีวิต โดยด้านหน้าของร้านจะมีลานจอดรถที่รองรับได้ประมาณห้าสิบคัน และเมื่อผ่านลานจอดรถเข้ามาแล้วจะพบส่วนจัดเลี้ยงและเวทีซึ่งมีป้ายชื่องานขึงเอาไว้ทันที ที่เยื้องไปด้านข้างเวทีคือต้นคริสต์มาสเทียมและโต๊ะวางของขวัญที่พนักงานนำมาร่วมจับสลาก โดยพนักงานระดับผู้บริหารจะถูกกำหนดราคาของขวัญให้สูงกว่าพนักงานทั่วไปตามลำดับขั้นและความอาวุโส

เนื่องจากทางสวนอาหารไม่ได้มีการจัดงานเลี้ยงใหญ่เช่นนี้เป็นประจำจึงไม่มีห้องแต่งตัว และห้องน้ำก็มีน้อยและไม่สะดวกสำหรับการเปลี่ยนเสื้อผ้าของหลายๆคนพร้อมกัน ทางผู้จัดการร้านจึงสละห้องเก็บของของพนักงานให้ทางบริษัทใช้แทนห้องแต่งตัว โดยลักษณะของห้องนี้จะเป็นอาคารชั้นเดียวขนาดสามสิบตารางเมตร และนักแสดงของทุกทีมต้องใช้ห้องนี้ร่วมกัน ซึ่งในแง่สะดวกก็ถือว่าสะดวกเพราะอยู่ใกล้ห้องน้ำ แต่ในอีกแง่ก็ลำบากสำหรับเหล่านักแสดงเพราะเท่ากับเวลาไปขึ้นเวทีต้องเดินผ่านเพื่อนร่วมบริษัทคนอื่นที่นั่งทานอาหารอยู่ ไม่สามารถหลบออกไปขึ้นด้านหลังเวทีเลยเพื่อให้ทุกคนประหลาดใจได้

และก็เพราะส่วนของห้องเก็บของนี้ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ร้านเปิดให้บริการนี่เอง ทางเดินโรยกรวดหน้าอาคารซึ่งทอดไปบรรจบกับทางเดินระหว่างบริเวณงานเลี้ยงกับห้องน้ำจึงไม่ค่อยสว่างนัก ภัทรอดนึกเป็นห่วงไม่ได้ว่าหากพวกสาวๆที่ต้องขึ้นแสดงเดินมาตามทางนี้ด้วยรองเท้าส้นสูงจะพากันหกล้มเพราะมองทางไม่ค่อยเห็นหรือเปล่า

ขณะที่กำลังจะเดินเลี้ยวผ่านพุ่มไม้ที่ปลูกขึ้นเพื่อบังทางเดินตรงนี้เอาไว้ ชายหนุ่มก็แทบล้มหงายหลังเมื่อชนเข้ากับคนที่กำลังเดินสวนมาเข้าพอดี ความเจ็บที่ปลายจมูกชนเข้ากับอะไรแข็งๆทำให้เขาต้องยกมือลูบจมูกพลางครางเสียงเบา

“อูย...”

“ภัทรกร? เธอมาทำอะไรตรงนี้น่ะ?”

เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ เพราะทั้งบริษัทมีคนเดียวเท่านั้นที่เรียกเขาด้วยชื่อเต็มยศแบบนี้ และเมื่อสายตาประสานกันท่ามกลางแสงนวลตาจากโคมไฟสูงระดับเอวที่เรียงกันเป็นระยะข้างทางเดิน ภัทรจึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายคือคนที่เขาคิดจริงๆด้วย

“คุณเชษฐ์...ขอโทษครับ ผมรีบไปหน่อย”

คนที่ยังเอามือลูบจมูกเอ่ยเสียงอู้อี้ ปกติเขาไม่ค่อยได้คุยกับอีกฝ่ายซึ่งเป็นผู้จัดการโปรเจ็กต์หนึ่งในสี่ของบริษัทมากนักเพราะไม่ใช่เจ้านายโดยตรง แต่เพราะบริษัทของเขามีพนักงานแค่ราวหนึ่งร้อยคนเศษ และปกติยามรับพนักงานใหม่เข้ามา ฝ่ายบุคคลจะต้องแนะนำบุคลากรใหม่เหล่านี้ให้ทุกคนรู้จักในงานเลี้ยงตอนสิ้นเดือนอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้งคู่จะรู้จักและจำกันได้ ทว่าภัทรก็ไม่ค่อยชินกับการถูกอีกฝ่ายเรียกด้วยชื่อเต็มเช่นนี้อยู่ดี เพราะว่าครั้งสุดท้ายที่เขาโดนเรียกด้วยชื่อเต็มยศก็ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยซึ่งก็ผ่านมานานพอสมควร

เชษฐ์มองคนตัวเล็กกว่านิ่งแต่ไม่ได้เอ่ยตอบ ภัทรไม่ค่อยแน่ใจนักว่าประกายที่เห็นจากนัยน์ตาหลังเลนส์แว่นนั้นคือรอยยิ้มหรือเปล่า พลันเขาก็ให้สำนึกได้ว่ากระดานแข็งๆที่ตนเพิ่งเดินชนเมื่อครู่คือแผ่นอกของคนตรงหน้า และตอนนี้มือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายก็ยังยึดต้นแขนเขาเอาไว้แน่น

ภัทรเผลอเกร็งตัวขึ้นมาทันที ชายหนุ่มถอยหลังก้าวหนึ่งพลางจับมือใหญ่ออกจากแขนตัวเอง แม้จะด้วยท่าทางที่สุภาพแต่ก็ปิดความร้อนรนไม่มิด เขาไม่ชินกับการถูกใครแตะเนื้อต้องตัวมานานมากแล้ว และหากไม่ใช่คนที่ใกล้ชิดกันจริงๆอย่างพี่สาวหรือเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทระดับหนึ่ง เขาก็แทบจะทนการถูกสัมผัสจากคนอื่นไม่ได้เอาเลยทีเดียว

เจ้าของร่างสูงใหญ่เลิกคิ้วกับท่าทางลุกลี้ลุกลนของคนตรงหน้า แต่ว่าก็ตัดสินใจทำเป็นไม่เห็นและถามเรื่องอื่นแทน

“จะรีบไปไหนรึ มืดๆอย่างนี้เดี๋ยวก็เดินสะดุดอะไรกันพอดี”

ภัทรรู้สึกว่าหางตากระตุกขึ้นนิดหนึ่ง ความจริงแล้วที่อีกฝ่ายพูดมาก็ถูก แต่ว่าเขาก็ไม่ได้เป็นเด็กห้าขวบที่ต้องให้ใครมาเตือนเรื่องนี้เสียหน่อย

“ขอโทษครับ พอดีนักแสดงกลุ่มผมเค้ายังแต่งตัวกันไม่เสร็จ ผมเลยต้องรีบไปประกาศแจ้งที่เวทีก่อน”

เอ่ยจบแล้วชายหนุ่มก็รีบเบี่ยงตัวเพื่อจะเดินอ้อม ‘กำแพง’ ตัวใหญ่ที่ขวางทางเขาอยู่เพื่อไปที่เวที แต่แล้วก็ต้องหันกลับไปด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงย่ำกรวดอย่างไม่รีบร้อน ทำให้ได้เห็นว่าคู่สนทนาเมื่อครู่กำลังเดินล้วงกระเป๋าตามมา จึงอดจะเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้

“คุณเชษฐ์ เมื่อกี้กำลังจะไปห้องน้ำไม่ใช่เหรอครับ?”

ถามออกไปแล้วภัทรก็แทบกัดลิ้น นี่เขาจะสงสัยให้วุ่นวายไปทำไมกันนะ อีกฝ่ายจะไปไหนมันใช่ธุระกงการของเขาเสียเมื่อไหร่ ทว่าเชษฐ์กลับยิ้มนิดๆตอบพลางใช้นิ้วชี้ดันแว่นขึ้น

“เมื่อกี้ก็ว่าจะไปห้องน้ำหรอก แต่รอดูการแสดงของกลุ่มเธอก่อนก็ได้”

ภัทรมุ่นหัวคิ้วขึ้นโดยไม่ตั้งใจ นี่คงไม่ใช่ว่าคุณผู้จัดการโปรเจ็กต์คนเก่งจะตามมาให้กำลังใจเขาหรอกนะ ทว่าชายหนุ่มก็ไม่อยากไถ่ถามต่อให้มากความ และที่สำคัญเขาก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในการแสดงครั้งนี้ แค่โดนพี่ป๋วยใช้ให้ไปช่วยพูดฆ่าเวลาเฉยๆ ร่างเพรียวจึงหันกลับและเดินต่อ พลางคิดว่าบางทีสาวๆกลุ่มเขาอาจดีใจก็ได้ เพราะถึงคุณเชษฐ์จะขึ้นชื่อเรื่องความเฉียบขาดในเวลางาน แต่หลายคนก็แอบปลื้มบุคลิกแบบนี้ของเจ้าตัวอยู่เหมือนกัน

เมื่อทั้งสองไปถึงบริเวณจัดงาน ภัทรก็ปลีกตัวไปที่เวทีซึ่งพิธีกรกำลังกล่าวถึงมุกตลกเพื่อช่วยฆ่าเวลาระหว่างรอการแสดงของกลุ่มต่อไป ซึ่งพิธีกรของงานก็คือพนักงานจากฝ่ายบุคคลและฝ่ายแอดมินซึ่งเป็นแม่งานนั่นเอง หลังส่งสัญญาณบอกและก้าวขึ้นไปรับไมโครโฟนแล้ว เมื่อหันกลับไปยังเหล่าเพื่อนร่วมบริษัทที่นั่งกันอยู่ตามโต๊ะและกำลังมองเขาเป็นจุดเดียว ชายหนุ่มก็เริ่มจะประหม่าขึ้นมา

ใช่ว่าเขาจะไม่เคยต้องออกไปพูดหน้าคนจำนวนมากเอาเสียเลย เพราะอย่างน้อยสมัยเรียนก็ต้องออกไปนำเสนอรายงานหน้าชั้นอยู่บ้าง แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ใช่คนที่ชื่นชอบการเป็นจุดสนใจของใครต่อใครนัก แถมเมื่อชำเลืองไปทางเชษฐ์ซึ่งตอนนี้แทรกตัวกลับไปนั่งที่โต๊ะรวมกับเหล่าผู้บริหารด้วยกัน ภัทรก็ให้ยิ่งกระอักกระอ่วนจนต้องสูดหายใจเข้าลึก

....เอาน่ะ คุณเชษฐ์เขาคงแค่สนใจว่ากลุ่มเราจะแสดงอะไรเท่านั้นหรอก ก็พี่ป๋วยเล่นไปอวดไว้เสียเยอะนี่นาว่ารางวัลขวัญใจท่านประธานปีนี้เป็นของทีมเราแน่

ภัทรคิดได้ดังนั้น จึงค่อยหายใจออกอย่างปลอดโปร่งและกระชับไมโครโฟนในมือแน่นขึ้น

“สวัสดีครับ ผมภัทรกร ตัวแทนของ BU 3 นะครับ ขอโทษที่ต้องให้ทุกคนรอ เนื่องจากการแสดงของกลุ่มเราค่อนข้างต้องใช้เวลาเตรียมตัวนิดหน่อย”

คนพูดเว้นจังหวะ ขณะที่เพื่อนร่วมงานปรบมือและรอฟังต่ออย่างคาดหวัง เพราะไม่เคยมีใครเห็นภัทรออกมาพูดต่อหน้าคนในบริษัทมาก่อนจึงค่อนข้างให้ความสนใจในฐานะเด็กใหม่ ขณะที่บางคนที่เริ่มเมาไวน์แล้วถึงกับเป่าปากแซวทีเดียว ภัทรเห็นว่าหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือเอ๋ รุ่นพี่ในแผนกกราฟฟิคดีไซน์ซึ่งเขาค่อนข้างสนิทด้วยนั่นเอง ไม่แคล้วหลังจบงานนี้เขาคงโดนล้อเรื่องขึ้นเวทีจับไมค์อย่างไม่ต้องสงสัย

ขณะพยายามเค้นความคิดว่าจะพูดอะไรต่อ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าพวกของป๋วยใกล้จะพร้อมแสดงหรือยัง สายตาร่วมร้อยคู่จากสมาชิกร่วมบริษัทก็ทำให้เหงื่อเย็นๆซึมมาตามนิ้วมือที่กำไมโครโฟนเอาไว้ สายตาของภัทรเหลือบไปทางนินนาทซึ่งเป็นผู้จัดการโปรเจ็กต์และเจ้านายโดยตรงอย่างขอความช่วยเหลือ แต่อีกฝ่ายกลับกำลังนั่งจิบไวน์และคุยอยู่กับภรรยาที่พามาร่วมงานด้วย และแล้ว ก่อนที่ภัทรจะตัดสินใจขอตัดบทแล้วไปตามรุ่นพี่ตัวเองจากห้องแต่งตัว เสียงหวานแหลมก็ดังมาจากด้านหลังของทุกคนอย่างได้เวลาเหมาะเจาะ

“มาแล้วค่า ขอโทษทุกคนที่ให้รอ การแสดงแฟนซีของ BU 3 พร้อมแล้วค่ะ”

เสียงของป๋วยดังนำมาก่อน จากนั้นเหล่าสาวๆในทีมของเขาที่แต่งองค์ทรงเครื่องพร้อมสำหรับการแสดงแล้วก็เดินเรียงแถวกันมาที่เวที สีสันจากชุดปักเลื่อมวิบวับและพู่ขนนกที่ประดับบนหมวกและไหล่เสื้อสีสดใสของแต่ละคนทำเอาภัทรอ้าปากค้าง บุญของเขาจริงๆที่เคยขอร้องนินนาทไว้ว่าถึงอย่างไรเขาก็ขอไม่เข้าร่วมในการแสดงครั้งนี้

ปกติการแสดงในงานเลี้ยงฉลองปลายปีของบริษัทนั้น แผนกไหนที่มีคนเยอะหน่อยก็จะกึ่งบังคับให้พนักงานใหม่เป็นคนขึ้นแสดง สำหรับภัทรนั้น ตอนแรกเขาทั้งโดนขู่ทั้งบังคับจากป๋วยที่คอยสอนงานเขาว่ายังไงเขาก็ต้องร่วม แต่ตอนที่ประชุมในกลุ่มเพื่อระดมไอเดียว่าจะส่งการแสดงแบบไหนกัน ภัทรก็ยืนกรานจะขอเป็นฝ่ายสนับสนุนลูกเดียว จนร้อนถึงขั้นต้องขอให้นินนาทช่วยพูดกับป๋วยให้เพราะเขาอ้อนวอนอย่างไรรุ่นพี่สาวก็ไม่ยอม เล่นเอาเขาถึงกับโดนอีกฝ่ายงอนไปสองสามวัน แต่ตอนนี้ภัทรอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองคิดถูกที่ยอมให้รุ่นพี่โกรธไปตอนนั้น ไม่อย่างนั้นคืนนี้เขาคงไม่กล้าแม้แต่จะเดินออกมาจากห้องแต่งตัวแน่ๆ

ป๋วยคว้าไมค์จากมือภัทรก่อนจะบุ้ยคางเป็นเชิงบอกว่าให้ลงจากเวทีได้ ชายหนุ่มจึงรีบพยักหน้าและหลบลงบันไดข้างเวทีเพื่อให้คนคุมดนตรีเปิดเพลงที่คิวกันเอาไว้ หลังจากเสียงดนตรีดังขึ้นและการแสดงเริ่มในที่สุด ภัทรก็เดินไปยืนดูกลุ่มตัวเองแสดงร่วมกับเหล่าพนักงานคนอื่นๆที่อีกด้านของเวที แต่ว่าเขาเลือกที่จะยืนเยื้องไปด้านหลังใกล้กับจุดที่วางอาหารบุฟเฟต์เพราะยังไม่อยากกลับไปนั่งที่โต๊ะ

ท่าทางช่วงบ่ายของแต่ละวันที่สาวๆทีมเขาเบรกไปใช้ห้องประชุมเพื่อซ้อมการแสดงจะไม่เสียเปล่า เพราะท่าเต้นแต่ละท่านั้นทำเอาทุกคนที่ได้ดูปรบมือและเป่าปากกันไม่หยุด ทั้งที่รางวัลจากท่านประธานต่อกลุ่มที่แสดงได้ถูกใจที่สุดนั้นเป็นเงินไม่กี่พัน เมื่อนำมาหักค่าเช่าเสื้อผ้าหรือค่าใช้จ่ายอื่นก็เหลือเพียงไม่กี่บาท หรือเผลอๆถึงขั้นต้องควักเนื้อกันด้วยซ้ำ แต่กิจกรรมครั้งนี้ก็ทำให้เขาได้ซึ้งถึงสัจธรรมอย่างหนึ่ง ว่าสัญชาตญานในการเอาชนะของคนในทีมเขานั้นยากจะเคี้ยวลงเสียจริงๆ

ภัทรยืนกอดอกขณะมองดูรุ่นพี่และเพื่อนร่วมทีมเต้นประกอบดนตรีด้วยเสื้อผ้าอู้ฟู่ แล้วก็ต้องยิ้มให้กับความกล้าของแต่ละคน แต่แล้วก็แทบสะอึกเมื่อโดนมือใหญ่ตบหลังอย่างแรงพร้อมเสียงหัวเราะ

“อะไรวะภัทร เด็กใหม่เหมือนกันไม่ใช่เหรอเรา ทำไมรอดตัวไม่ต้องไปแสดงกับเขาได้ละเนี่ย”

เสียงคนถามยานคางเล็กน้อยแบบคนเมา เมื่อภัทรหันไปเห็นหน้าที่แดงเพราะแอลกอฮอลล์ของคนทักแล้วก็ส่ายหน้า

“อย่าเลยพี่เอ๋ ให้พวกสาวๆเขาแสดงไปแหละดีแล้ว ขืนให้ผมแต่งตัวแบบนั้นไปเต้นบนเวทีคงทำคนดูปวดตาเปล่าๆ”

“เฮ่ย พี่ว่าภัทรทำไม่น่าปวดตาหรอก ไอ้เอ๋นี่สิ ขนาดแต่งตัวธรรมดายังไม่มีใครอยากมองให้ปวดตาเลย”

รุ่นพี่อีกคนในแผนกกราฟฟิคซึ่งอายุมากกว่าเอ่ยแซวเพื่อนตัวเอง ก่อนที่คนอื่นซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆจะพากันหัวเราะพลางแกล้งไล่เตะกันจนไม่น่าเชื่อว่าแต่ละคนอายุมากกว่าเขาทั้งนั้น ภัทรจึงยิ้มตามบ้าง

หลังจากการแสดงของกลุ่มเขาจบลง เสียงปรบมือเกรียวกราวก็ดังขึ้นตลอดทางที่นักแสดงลงจากเวทีเพื่อกลับไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวที่ห้องเก็บของ ด้านพิธีกรก็ขึ้นเวทีเพื่อกล่าวแนะนำการแสดงของกลุ่มต่อไป ส่วนบริเวณที่ตักอาหารบุฟเฟต์ก็มีคนแวะเวียนมาเติมอาหารและเครื่องดื่มกันไม่ขาดสาย และทั้งๆที่ภัทรควรจะตักอาหารไปนั่งทานที่โต๊ะได้แล้ว เพราะอีกไม่นานป๋วยและเพื่อนร่วมทีมคนอื่นของเขาก็คงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จและกลับมานั่งด้วย แต่ตอนนี้ความรู้สึกบางอย่างกลับผลักดันให้เขาอยากปลีกตัวไปหาที่นั่งเงียบๆคนเดียว

ความที่ภัทรมาถึงสถานที่จัดงานเร็วเพราะนั่งรถไฟฟ้าหลังออกจากออฟฟิศ เขาจึงมีเวลาสำรวจส่วนต่างๆของร้านก่อนคนอื่นที่ขับรถมาจากบริษัท และทำให้พบว่าด้านหลังของร้านซึ่งอยู่คนละทิศกับห้องน้ำหลักและห้องเก็บของนั้นมีสนามเด็กเล่นอยู่ ความจริงตรงจุดนี้ก็มีห้องน้ำเหมือนกัน แต่ว่าจัดให้สำหรับชายหญิงเพียงอย่างละห้อง เนื่องจากคนที่จะเข้าก็มีแต่เด็กหรือพี่เลี้ยงที่มาดูแลเด็กเวลาเล่นชิงช้าหรือสนามทรายเท่านั้น และเพราะวันนี้ทั้งร้านถูกเหมาเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงให้บริษัทของเขา ส่วนของสนามเด็กเล่นจึงไม่มีใครมาใช้ และทางร้านก็ประหยัดไฟด้วยการไม่เปิดไฟที่แขวนเสาสูงตรงกลางสนาม แต่เปิดเพียงพวงหลอดไฟสีส้มอ่อนขนาดจิ๋วซึ่งพันไว้ตามรั้วไม้รอบสนามเท่านั้น

แสงนวลตาจากพวงหลอดไฟไม่สว่างจัดจ้า เพียงช่วยทำให้เห็นส่วนประกอบต่างๆของสนามเด็กเล่น เช่นม้าหมุน กระดานลื่นหรือชิงช้าได้ลางๆ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับภัทรในตอนนี้ เพราะเขาเพียงต้องการที่พักหายใจจากบรรยากาศรื่นเริงชั่วขณะ จากนั้นก็จะกลับเข้าไปโดยไม่ให้ใครรู้ว่าเขาหายออกมาเท่านั้นเอง

หลังจากก้าวตัดสนามทรายและหย่อนตัวลงบนชิงช้าตัวหนึ่งแล้ว ภัทรก็เหยียดขาออกแล้วโยกตัวให้ชิงช้าแกว่งเบาๆ ทั้งที่บรรยากาศในงานกำลังสนุกสนานกันอย่างเต็มที่ แต่ส่วนหนึ่งในใจเขากลับไม่สามารถปล่อยตัวเองให้เพลิดเพลินเช่นเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆได้เอาเสียเลย

อีกปีแล้วสินะที่ไม่ได้ฉลองเป็นส่วนตัวกับใครบางคน... ภัทรแค่นยิ้มกับตัวเองอย่างเหงาๆ ความจริงเขาควรจะเริ่มชินได้แล้ว เพราะนี่ไม่ใช่ปีแรกที่เขาต้องผ่านเทศกาลสำคัญอย่างวันเกิด วาเลนไทน์ สงกรานต์ หรือแม้แต่วันคริสต์มาสและส่งท้ายปีเก่าตามลำพัง จริงอยู่ว่า ณ เวลานี้เขากำลังอยู่ในงานเลี้ยงกับเพื่อนร่วมบริษัทอีกเป็นร้อยชีวิต ดังนั้นเขาควรปล่อยวางความเศร้าหมองแล้วทำตัวรื่นเริงร่วมไปกับทุกคน แต่ทั้งที่รู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำในตอนนี้ เขาก็ไม่อาจบังคับจิตใจของตัวเองและตัดความรู้สึกด้านลบไปได้ราวกับสับสวิตช์ไฟแบบนั้น

ทำไมไม่ยอมลืมเสียทีนะ...หรือเพราะไม่มีใครอยู่ข้างๆถึงได้ฟุ้งซ่านอยู่เรื่อย

เมื่อคิดถึงตรงนี้ภัทรก็หลับตาลง ขาที่แกว่งชิงช้าเมื่อครู่หยุดนิ่ง ความรู้สึกขมฝาดเอ่อขึ้นในคอเมื่อนึกถึงความทรงจำเก่าๆ ในคืนวันที่เขามีใครอีกคนข้างกายในวันพิเศษเสมอ ทว่าวันคืนเหล่านั้นก็จบสิ้นลงเหมือนม้วนฟิล์มของหนังที่ฉายจบไปแล้ว ต่างกันเพียงในชีวิตจริงนั้น ฟิล์มของหนังเรื่องเดิมไม่สามารถนำกลับมาฉายใหม่ได้ มีแต่ต้องปล่อยให้เนื้อฟิล์มเสื่อมสลายไป เหลือไว้เพียงภาพบางฉากตอนที่ยังคงฝังใจไม่มีวันลืมเท่านั้น และแย่หน่อยที่บ่อยครั้ง ฉากที่เขาไม่อยากจดจำมากที่สุดก็มักเป็นฉากที่ทำให้เขาเจ็บระบมในใจที่สุดเช่นกัน

‘คิดซะว่านี่เป็นโอกาสที่ภัทรจะได้เจอคนอื่นบ้างก็แล้วกัน’

นั่นเป็นคำพูดตัดรอนสุดท้ายที่คนฟังจำได้แม่นยำไม่เคยลืม ก่อนที่คนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นฝ่ายตามตื๊อ คอยดูแลห่วงใย หรือแม้แต่โมโหใส่อารมณ์แล้วตามมางอนง้อขอคืนดีจะจากเขาไปเพื่อแต่งงาน ภัทรไม่ได้ไปร่วมงานมงคลของอีกฝ่าย ไม่ใช่เพราะฝ่ายนั้นไม่ส่งการ์ดเชิญมาให้ แต่เพราะเขาไม่มีความกล้าพอจะเผชิญหน้ากับภาพแห่งความสุขที่ใครๆต่างชื่นชมยินดีโดยไม่หลั่งน้ำตาต่างหาก ทว่าแทนที่ภัทรจะประชดชีวิตด้วยการหาคนรักใหม่ทันที หรือปล่อยตัวใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยเพื่อเรียกร้องความสนใจ เขาเลือกที่จะเก็บความเจ็บนั้นไว้ตามลำพังโดยไม่แม้แต่จะเล่าสู่แก่พี่สาวซึ่งเป็นญาติเพียงคนเดียวหลังจากพ่อแม่เสียไป จากนั้นก็ลาออกจากงานซึ่งที่ตั้งบริษัทอยู่ใกล้กับที่ทำงานของอดีตคนรักเพื่อจะได้ตัดใจให้เด็ดขาด และใช้เวลาที่ยังไม่ได้สมัครงานใหม่ไปอยู่บ้านสวนของน้าที่ต่างจังหวัด ก่อนจะเริ่มเรียกความเข้มแข็งคืนมาได้ และตัดสินใจกลับมาหางานสู้ชีวิตในเมืองหลวงใหม่อีกครั้ง

ภัทรถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยกสองอุ้งมือขึ้นขยี้ตา เขาเกลียดตัวเองทุกครั้งยามถูกความทรงจำเก่าๆหวนมาย้อนกัดกร่อนให้จิตใจอ่อนไหว ทั้งที่เขาเคยปลอบตัวเองตลอดเวลาหลังเลิกกับธรว่าเขาเคยอยู่คนเดียวได้ และจากนี้เขาก็เพียงต้องปรับตัวกลับไปสู่วันคืนก่อนที่จะรู้จักผู้ชายคนนั้นเท่านั้น แต่ความเจ็บจุกในอกที่มักเสียดยอกขึ้นมายามถึงเทศกาลเปี่ยมความอบอุ่นต่างๆก็ทำให้ภัทรได้รู้ ว่าต่อให้คิดว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นแล้วแค่ไหน แต่ว่าก็ไม่เคยเพียงพอจะทำให้เขาหลุดจากหล่มความทรงจำในอดีตได้ และแทบจะไม่เคยผลักดันตัวเองให้เปิดใจและก้าวไปข้างหน้าได้เลยเช่นเดียวกัน

เสียงปรบมือและเสียงหัวเราะที่แว่วขึ้นเรียกความสนใจจากคนที่นั่งซึม ภัทรยกนาฬิกาข้อมือซึ่งมีพรายน้ำของตัวเองขึ้นดูเวลา แล้วก็คะเนในใจว่าป่านนี้การแสดงตรงเวทีของทุกแผนกคงจะจบลงและคงประกาศกลุ่มที่จะได้รางวัลแล้ว ต่อจากนั้นก็คงเป็นเวลาจับสลากแลกของขวัญก่อนทุกคนจะแยกย้ายกันกลับบ้านเสียที ชายหนุ่มจึงยกหลังมือขึ้นปาดไอน้ำที่เอ่อบนขอบตาแล้วแหงนหน้าขึ้นสูดหายใจลึก

จุดแสงเล็กๆของดวงดาวในเมืองหลวงไม่ระยิบระยับพร่าพรายเหมือนที่บ้านน้าของเขาที่ต่างจังหวัด แต่กระนั้นก็ทำให้จิตใจของภัทรสงบลงได้บ้างเมื่อคิดได้ว่าปัญหาของตนเป็นเพียงเรื่องเล็กจ้อยในจักรวาลอันกว้างใหญ่ และเขาก็ควรจะตัดใจไม่จ่อมจมกับเรื่องนี้ให้ได้สักที ถึงแม้สิ่งที่ตั้งใจจะทำนั้นช่างลำบากยากเย็นเหลือเกินก็ตาม

ร่างเพรียวหยัดตัวลุกขึ้นแล้วก้มลงปัดชายกางเกงที่โดนฝุ่นทรายจับ ทว่าขณะที่กำลังจะเดินออกจากสนามเด็กเล่น ภัทรก็แทบสะดุดฝีเท้าตัวเองเมื่อเห็นเงาร่างใครบางคนกำลังยืนล้วงกระเป๋าสูบบุหรี่อยู่ ถึงแม้แสงบริเวณนี้จะไม่ได้สว่างจนทำให้เห็นแล้วชี้บอกได้ทันควันว่าเป็นใคร แต่รูปร่างและท่าทางของคนที่เขาเพิ่งเดินชนไปเมื่อตอนหัวค่ำ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางจำผิดไปได้

“คุณเชษฐ์...”

คนโดนเรียกหันไปหาเจ้าของเสียง บุหรี่ในมือซึ่งถูกสูบไปแล้วเกินครึ่งมวนถูกยกขึ้นจรดริมฝีปากอีกครั้งช้าๆ

“ไง”

ร่างสูงทักขึ้นก่อนจะหันไปพ่นควันทางทิศใต้ลม ทว่าภัทรกลับไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะสื่ออะไรด้วยคำที่คล้ายคำถามนั้น ทั้งไม่แน่ใจว่าตัวเองจำเป็นต้องตอบไหม แต่แล้วเมื่อเหลือบลงมองพื้นอย่างไม่ตั้งใจ ก้นกรองบุหรี่ที่หล่นอยู่ก่อนแล้วก็ทำให้เขาเงยหน้าพรวดอย่างตกตื่น

“คุณเชษฐ์ มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”

ภัทรเอ่ยถามเสียงเบา แต่กระนั้นก็ยังซ่อนเร้นความตระหนกในน้ำเสียงไว้ไม่มิด ตั้งแต่เข้ามาทำงานที่บริษัทใหม่นี้เขาก็พยายามเหลือเกินที่จะรักษาความเป็นส่วนตัวด้วยการไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกมากนัก และพยายามเป็นมิตรกับทุกคนแต่ไม่ให้ความสนิทสนมมากจนเกินไป ความผิดหวังและเจ็บช้ำจากความรักครั้งแรกทำให้เขาไม่กล้าเปิดตัวเองกับคนแปลกหน้าง่ายๆ ดังนั้นความคิดที่ว่าตนเองถูกจับตามองขณะโดนครอบงำด้วยความอ่อนแอเมื่อครู่จึงทำให้เขาทั้งอายทั้งโมโห แต่ตำแหน่งกับความอาวุโสของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่อยู่ในฐานะจะไปติเตียนได้ อีกอย่างภัทรก็เป็นคนไม่ถนัดด้านการขึ้นเสียงกับใคร ดังนั้นเขาจึงได้แต่ยืนกำมือแน่นเพราะไม่รู้จะรับมือสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไรดี

เชษฐ์มองสีหน้าของคนตัวเล็กกว่าที่ประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวแดง แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเอ็นดู ความจริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะแอบตามมาสังเกตุการณ์อีกฝ่ายเลยสักนิด เพียงแต่หลังจากดูการแสดงหลายกลุ่มติดๆกันเข้าเพราะต้องเป็นหนึ่งในกรรมการ เขาก็เริ่มจะเหนื่อยเลยอยากหลบออกมาหาที่เงียบๆสูบบุหรี่ และเขาก็เล็งที่ตรงนี้ไว้ตั้งแต่ตอนมาถึงและเดินเล่นดูรอบๆร้านก่อนงานเริ่มแล้ว เพราะว่าบริเวณห้องน้ำติดกับห้องแต่งตัวนั้นจอแจเกินไป คิดไม่ถึงว่าจะมีคนใจตรงกับเขาชิงตัดหน้ามาจับจองที่ในสนามเด็กเล่นไปก่อน และตอนแรกเขาก็ตั้งใจจะเดินไปแถวลานจอดรถแทนแล้วเพราะคิดว่าภัทรอาจต้องการความเป็นส่วนตัว แต่เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจและเห็นท่าทางแกว่งชิงช้าอย่างเหงาหงอย เขาก็ให้เกิดเป็นห่วงจนไม่อยากทิ้งอีกฝ่ายไว้ตามลำพัง แต่หากตอบไปตามตรงว่าตนยืนอยู่ตรงนี้นานพอที่จะสูบบุหรี่มวนที่สองเกือบหมดแล้วก็คงไม่เหมาะนัก เชษฐ์จึงเอ่ยตอบเสียงเนิบ

“ไม่นานหรอก ฉันก็เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย เพิ่งจะมาถึงตรงนี้ก็ตอนเธอกำลังเดินออกมานี่แหละ”

นี่เห็นว่าเขาอายุเท่าไหร่กันนะ...ภัทรนึกค่อนคนพูดในใจอย่างอดไม่ได้ ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจความปรารถนาดีของอีกฝ่ายที่คงไม่ต้องการให้เขาอาย แต่ว่าเขาก็ไม่ใช่เด็กอมมือที่จะหลงเชื่อคำโกหกตามมารยาทนี้เสียหน่อย ที่เขาข้องใจคือคุณผู้จัดการโปรเจ็กต์ที่ไม่ใช่เจ้านายตามสายงานของเขาจะสนใจมายืนดูเขาเงียบๆทำไมตั้งนานต่างหาก

พอความคิดแล่นมาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็ให้รู้สึกอุ่นวาบไปทั้งหน้า จะบอกว่าเชษฐ์เป็นคนที่เขาตะขิดตะขวงใจที่จะให้เห็นยามเขากำลังอ่อนแอที่สุดในบริษัทก็ได้ ทั้งที่ภัทรเองก็ไม่เข้าใจว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้น จะเป็นเพราะว่านอกจากท่านประธานแล้ว เชษฐ์เป็นคนเดียวในบริษัทที่เขาเคยคุยด้วยน้อยที่สุด หรือเพราะความบังเอิญที่อีกฝ่ายมักอยู่ผิดที่ผิดเวลาในตอนที่เขาอยากอยู่คนเดียวก็ไม่รู้เหมือนกัน

“ถ้าอย่างนั้น...ผมกลับเข้าไปที่งานก่อนแล้วกันนะครับ ป่านนี้น่าจะเริ่มจับสลากกันแล้ว”

ภัทรเอ่ยตะกุกตะกักแล้วก็เตรียมจะเดินจากไป เขาหายออกมานานกว่าที่ตั้งใจแบบนี้ กลับไปคงไม่วายโดนพี่ป๋วยว่าที่ปลีกตัวออกมาตั้งนาน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยินดีกลับไปโดนว่าและร่วมงานรื่นเริงที่เขาไม่มีอารมณ์ร่วมเท่าไรนัก มากกว่าจะยืนอยู่กับเชษฐ์สองต่อสองตรงนี้ และปล่อยให้ความกระอักกระอ่วนยามถูกสายตาอีกฝ่ายจ้องทำให้เสียความมั่นใจยิ่งกว่าที่กำลังเป็น แต่ออกเดินได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายลอยมาเข้าหู

“เดี๋ยวสิ ฉันไม่น่าคุยด้วยขนาดนั้นเลยเหรอถึงต้องรีบเดินหนีแบบนี้?”

น้ำเสียงคนถามไม่ได้แฝงแววตัดพ้อ แถมออกจะแฝงแววขบขันเสียด้วยซ้ำ และแค่นั้นก็เพียงพอจะรั้งคนที่กำลังเดินจ้ำให้ชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมาเอ่ยโต้

“ผมไม่ได้...”

ภัทรเอ่ยได้แค่ต้นประโยคแล้วก็อับจนด้วยถ้อยคำ เพราะเห็นชัดๆอยู่ว่าอีกฝ่ายก็พอจะดูออกว่าเขากำลังแสดงท่าทางอย่างไร พลันเขาก็เหมือนจะเข้าใจขึ้นมาว่าสาเหตุที่ทำให้ไม่ค่อยชอบเวลาอยู่ต่อหน้าเชษฐ์นั้น เพราะทั้งที่ตัวเองเคยสนทนากับอีกฝ่ายน้อยแสนน้อยจนแทบนับประโยคได้ แต่คนตัวโตกลับมักมองเขาด้วยสายตาที่ราวจะอ่านทะลุคำพูดและการกระทำของเขาได้ชัดเจนกว่าใครในบริษัทก็ไม่ปาน

ร่างสูงใหญ่ขยับฝีเท้าเข้ามาใกล้อย่างไม่เร่งร้อน ก่อนจะหยุดลงเมื่อห่างจากคนตัวเล็กกว่าในระยะเพียงมือเอื้อม ภัทรจึงหมุนตัวหันข้างให้ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับต้นแขนอีกข้างโดยสัญชาตญาน ทั้งที่บอกตัวเองไม่ได้ว่าทำไมจึงต้องทำเหมือนกำลังสร้างกำแพงที่มองไม่เห็นเช่นนี้ แต่ว่าก็ไม่กล้าจะปล่อยวางเกราะป้องกันลงยามอยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย

“จะว่าไป...พวกเราก็ไม่ค่อยได้คุยกันที่บริษัทเลยนี่นะ”

เชษฐ์เอ่ยเสียงเรียบเรื่อย แต่ภัทรกลับขมวดคิ้ว ยังไงเขาก็ไม่ชอบน้ำเสียงที่เหมือนคนพูดกำลังยิ้มไปด้วยแบบนี้เลย และถึงแม้แสงตรงบริเวณนี้จะไม่สว่างสักเท่าไหร่ แต่ภัทรก็มั่นใจว่าหากเงยหน้าไปหา เขาจะต้องได้เห็นมุมปากที่หยักขึ้นของอีกฝ่ายแน่ๆ

“ไม่แปลกหรอกครับ ก็ผมขึ้นกับคุณนินนี่นา ไม่ใช่คุณเชษฐ์”

เพราะว่ามุ่งมั่นที่จะไม่หันไปสบตากับคนตัวใหญ่กว่า ดังนั้นภัทรจึงไม่ทันเห็นคิ้วเข้มที่เลิกขึ้นข้างหนึ่งหลังจากเขาพูดจบ ก่อนที่รอยหยักยิ้มบนมุมปากอีกฝ่ายจะยกสูงขึ้น และสุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำในคอที่ลอยมาเข้าหูในที่สุด

“!?”

ภัทรทั้งอายทั้งไม่เข้าใจว่าคำตอบของเขาน่าขำตรงไหน ในเมื่อเขาพูดเรื่องจริงแท้ๆ และทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะเล่นมุกเลยสักนิด แต่คนตัวใหญ่กว่ากลับทำเหมือนเพิ่งได้ฟังเขาเล่าเรื่องขำขันก็ไม่ปาน

ชายหนุ่มยืนงงอยู่กับที่ แล้วก็ให้หัวใจกระตุกเมื่อเชษฐ์ใช้มือหนึ่งถอดแว่นออกพลางยกมืออีกข้างขึ้นบีบหว่างคิ้วทั้งที่ยังหัวเราะ ความที่ไม่เคยเห็นใบหน้าคมเข้มของอีกฝ่ายยามถอดแว่นมาก่อน อีกทั้งไม่คาดคิดจะได้เห็นกิริยาท่าทางแบบนี้จากคนที่ได้ชื่อว่าเข้มงวดที่สุดคนหนึ่งในบริษัท ภัทรจึงลืมตัวลดมือลงแล้วหันไปประจันหน้าอีกฝ่ายตรงๆ

“อา...ขอโทษที แต่เธอทำฉันอดคิดไม่ได้ว่าคุณนินนี่โชคดีซะจริงๆ”

ประโยคนั้นทำให้ภัทรรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า ความประดักประเดิดที่บรรยายไม่ถูกซ่านขึ้นมาจนหัวใจเต้นแรง ชายหนุ่มรีบกลืนคำถามว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะหมายความว่าอย่างไรลงคอ เพราะเขาไม่แน่ใจว่าคำตอบที่ได้จะไม่ทำให้ยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังขุดหลุมฝังตัวเองมากไปกว่านี้

“ผม...กลับไปที่งานล่ะครับ”

คนพูดก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตากับเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งสวมแว่นกลับเข้าไปพลางหมุนตัวจ้ำอ้าว อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเวลาได้ยินลูกน้องคุณเชษฐ์พูดถึงเจ้านายว่าดุอย่างนั้น เข้มงวดอย่างนี้ ทำไมไม่เคยมีใครพูดบ้างนะว่านอกเวลางานแล้วอีกฝ่ายเป็นคนขี้แกล้งจะตายไป

แต่ว่า...ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการได้เห็นใครบางคนตอนที่เขากำลังเหงานั้น ทำให้ความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยวลดลงไปได้บ้างเหมือนกัน

ภัทรเดินออกจากสนามเด็กเล่นและมุ่งหน้าไปทางบริเวณจัดงานเลี้ยงที่ด้านหน้า ขณะนั้นพิธีกรกำลังประกาศหาตัวเจ้าของของขวัญที่ต้องมอบให้กับคนที่จับได้พอดี ดังนั้นชายหนุ่มจึงค่อนข้างตกใจที่ทุกคนหันมาทางเขาเป็นตาเดียวเมื่อก้าวเข้าไปในบริเวณงาน

“มาแล้วค่า ปล่อยให้ทุกคนหากันแทบแย่ เจ้าของของขวัญเบอร์ 35 ที่พี่โจจับได้คือพี่ภัทร จาก BU 3 ค่า ขอเชิญพี่ภัทรมาที่เวทีด้วยค่ะ”

เสียงของกุ้ง พนักงานโอเปอเรเตอร์ซึ่งคืนนี้รับหน้าที่พิธีกรของช่วงจับสลากของขวัญเอ่ยออกไมโครโฟนอย่างสดใส ภัทรกะพริบตาปริบๆเมื่อป๋วยเดินตรงมาหาเขาแล้วรีบจูงมือไปที่ด้านหน้าเวที ตอนนี้รุ่นพี่สาวไม่ได้แต่งตัวแฟนซีพร้อมขนนกฟู่ฟ่าเหมือนตอนขึ้นแสดงแล้ว แต่ว่าเครื่องสำอางสีร้อนแรงบนหน้าก็ยังไม่ได้รับการลบออกไป

“ไปไหนมานะเธอเนี่ย จนเขาเกือบจะให้พี่ขึ้นไปมอบของขวัญให้ตาโจแทนแล้ว รีบๆขึ้นไปบนเวทีเร็วๆเข้า”

ชายหนุ่มยอมให้รุ่นพี่รุนหลังขึ้นไปยืนกลางเวทีด้วยความงุนงง ตรงนั้นมีรุ่นพี่ของแผนกกราฟฟิคดีไซน์ที่จับได้ของขวัญของเขายืนรออยู่แล้วพร้อมกับพิธีกรทั้งสองในชุดสีแดง ซึ่งพิธีกรคู่ของกุ้งนั้นเป็นพนักงานฝ่ายไอทีหนุ่มรูปร่างตุ้ยนุ้ย ดูเผินๆจึงเหมาะสมกับชุดซานตาคลอสที่แต่งอยู่จนถ้าติดเคราสีขาวเข้าไปคงโดนนึกว่าเป็นซานต้าตัวจริง

“เอาล่ะค่ะ นี่ของขวัญของพี่ภัทรนะคะ เนื่องจากพี่โจจับได้ของพี่ภัทร เจ้าของของขวัญก็เลยต้องเป็นคนมอบให้คนที่จับได้ค่ะ”

รุ่นน้องสาวยกกล่องของขวัญของเขาจากโต๊ะที่ย้ายขึ้นมาบนเวทีและยื่นส่งให้ ภัทรจึงรับมาไว้ในมือ และแม้จะยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก แต่เขาก็หันไปมอบให้กับรุ่นพี่ร่างผอมสูงที่ยิ้มบางๆให้ขณะรับของขวัญไป แล้วก็ต้องกะพริบตาด้วยความแสบเมื่อโดนแสงแฟลชจากช่างภาพหน้าเวทีที่คอยถ่ายรูปการมอบของขวัญของแต่ละคนไปด้วย

หลังจากได้ของขวัญแล้วโจก็เดินลงจากเวทีไป ภัทรจึงก้าวเท้าจะเดินตามไปบ้าง แต่แล้วก็โดนมือเล็กคว้าข้อศอกเอาไว้เสียก่อน

“ยังไปไหนไม่ได้นะคะพี่ภัทร เมื่อกี้พี่ภัทรมอบของขวัญของตัวเองไปแล้ว คราวนี้พี่ภัทรต้องจับว่าตัวเองได้ของขวัญของใครต่อค่ะ”

กุ้งเอ่ยพร้อมรอยยิ้มพลางอธิบายออกไมโครโฟนขณะที่คล้องแขนเขาเอาไว้ ทำเอาภัทรหน้าแดงและนึกอยากค้อนรุ่นน้องสาวขึ้นมา เพราะประกาศแบบนี้ก็เท่ากับทำให้รู้กันหมดว่าเขาไม่ได้อยู่ในงานตั้งแต่ตอนเริ่มจับสลาก จึงไม่รู้ว่าทีมงานตั้งกติกาการจับเอาไว้อย่างไร ชายหนุ่มหันไปทางพิธีกรชายร่างนุ้ยที่เขย่ากล่องใส่กระดาษหมายเลขแล้วยื่นมาให้ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็ล้วงมือลงไปสุ่มหยิบขึ้นมาใบหนึ่งโดยไม่ควานมือไปมาให้เสียเวลา

สาวน้อยรุ่นน้องรับกระดาษที่พับทบจนเป็นชิ้นเล็กจิ๋วไปจากมือของภัทร จากนั้นก็คลี่ออกดูหมายเลขและชื่อของเจ้าของ แล้วภัทรก็ต้องเลิกคิ้วเมื่อเห็นพิธีกรสาวทำตาโตขึ้นแว่บหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มจนตาหยี กุ้งก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่งแล้วชูกระดาษขึ้นพลางประกาศด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“หมายเลขที่พี่ภัทรจับได้ คือหมายเลขที่ 28 ค่ะ ขอเชิญเจ้าของของขวัญขึ้นมามอบด้วยนะคะ ไม่ทราบว่าคุณเชษฐ์ ผู้จัดการโปรเจ็กต์ของ BU 2 อยู่ไหนคะ?”

ภัทรแทบสะอึกเมื่อได้ยินว่าตนจับได้ของขวัญของใคร อะไรจะบังเอิญได้ขนาดนี้นะ อุตส่าห์คิดว่าคืนนี้คงไม่ต้องยุ่งกับคุณเชษฐ์แล้วเชียว รู้งี้เมื่อกี้ไม่รีบหยิบสลากขึ้นมาก็ดีหรอกเผื่อจะได้จับได้ชื่อของคนอื่น

เพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ตามโต๊ะต่างพากันเหลียวไปมาและส่งเสียงช่วยถามหาเจ้าของของขวัญให้วุ่น แต่ภัทรกลับคิดในใจว่าให้เจ้าตัวยังไม่ต้องกลับมาเร็วๆก็ดี จะได้ให้คนอื่นเป็นตัวแทนมามอบของขวัญให้ จะว่าไป ทำไมบริษัทเขาถึงต้องทำให้การจับสลากแลกรางวัลในงานเลี้ยงปีใหม่เป็นพิธีการมากเรื่องแบบนี้ด้วยนะ

“มาแล้วๆ! คุณเชษฐ์มาแล้ว!”

เสียงใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหลังร้องบอก ภัทรจึงได้เห็นภาพฉายซ้ำเหมือนตอนเขาเดินเข้ามาอีกครั้ง คือทุกคนต่างหันไปมองร่างสูงใหญ่ของเชษฐ์ที่กำลังเดินเข้ามาในบริเวณจัดเลี้ยงเป็นตาเดียว แต่แทนที่จะแสดงท่าทางตื่นๆเหมือนกับเขา เชษฐ์กลับเพียงเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น ขณะที่ลูกน้องในทีมคนหนึ่งอธิบายให้ฟังว่าทำไมทุกคนจึงทำท่าตื่นเต้นนักที่เห็นเจ้าตัว

ถึงแม้ว่าแสงไฟที่สาดจ้าขึ้นมาบนเวทีทำให้ภัทรมองลงไปเห็นบริเวณที่นั่งไม่ค่อยชัด ทว่าก็พอจะเห็นลางๆว่าเชษฐ์เพียงพยักหน้าเข้าใจกับลูกน้องคนนั้นก่อนจะเดินตรงมาที่เวที แต่เมื่ออีกฝ่ายเดินเลี้ยวขึ้นบันไดที่อยู่ด้านข้างและทำให้ภัทรได้เห็นรอยยิ้มมุมปากของเจ้าตัวจากมุมที่คนอื่นไม่เห็น เขาก็ให้นึกอยากหนีลงจากเวทีเร็วๆ ทั้งที่เป็นแค่การรอรับของขวัญที่เขาดันจับขึ้นมาได้เท่านั้นเอง

ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าไปยืนข้างคนที่ยืนรออยู่กลางเวที และขณะที่พิธีกรทั้งสองกำลังหันไปช่วยกันหากล่องของขวัญที่มีหมายเลขของเชษฐ์ติดอยู่นั่นเอง เจ้าตัวก็เอ่ยถามคนตัวเล็กกว่าด้วยน้ำเสียงที่ดังพอจะได้ยินกันเพียงสองคน

“เธอจับได้ฉันรึ?”

ภัทรทำหน้าไม่ถูกเมื่อได้ยินคำถามนั้น ได้แต่คิดในใจว่าคุณเชษฐ์นี่ยังไงนะ ก็น่าจะรู้อยู่แล้วจะถามทำไม อีกอย่างเล่นตัดทอนคำเสียแบบนี้ เกิดใครมาได้ยินเข้าก็ได้คิดลึกกันพอดี

“นี่ของขวัญเบอร์ 28 ของคุณเชษฐ์ค่ะ แล้วก็พี่ภัทร รับของจากคุณเชษฐ์ด้วยค่ะ”

หลังหากล่องของขวัญเจอแล้ว กุ้งก็หันกลับมาบอกกับคนทั้งสองที่ยืนอยู่กลางเวทีพร้อมรอยยิ้ม ภัทรจึงหันไปยกมือไหว้ขอบคุณเชษฐ์ก่อนจะรับกล่องที่ห่อกระดาษพิมพ์ลายนูนสีเงินผูกด้วยริบบิ้นสีน้ำเงินมาไว้ในมือ ยิ่งพอสบตากันแล้วเห็นรอยยิ้มที่ซุกซ่อนในแววตาคมหลังเลนส์แว่นของคนให้ ภัทรก็ยิ่งรู้สึกร้อนหน้าจนอยากหายตัวไปจากตรงนั้นมากขึ้นทุกที

ชายหนุ่มระบายลมหายใจเฮือกใหญ่หลังรับของขวัญมาและลงมาจากเวทีได้แล้ว และไม่ได้หันไปสนใจอีกว่าเชษฐ์ที่ยังอยู่บนเวทีจะจับสลากได้ของใคร แต่พอเดินกลับไปถึงที่โต๊ะก็โดนรุ่นพี่และเพื่อนๆมารุมล้อมทันที

“ภัทรได้อะไรจากคุณเชษฐ์น่ะ แกะเร็วๆ อยากรู้”

คนถูกถามแทบจะยกกล่องในมือให้คนที่มารุมถามแกะให้แทน ส่วนตัวเขาเองไม่ใช่คนชอบอวดข้าวของ ความจริงจึงตั้งใจจะเอากลับไปแกะที่คอนโดคนเดียวเงียบๆหลังงานเลี้ยงจบลงแล้ว แต่พอจะยื่นกล่องให้เพื่อนคนหนึ่งแกะให้ ป๋วยก็รีบดึงกล่องนั้นกลับมาแล้วส่งคืนให้ภัทรทันที

“ไม่ได้นะ ของแบบนี้ต้องให้คนที่ได้เขาแกะเองสิ เสียมารยาทกันจริงเชียวพวกเธอนี่”

รุ่นพี่สาวหันไปตำหนิคนอื่นในกลุ่มก่อนจะหันกลับมาทางภัทร เขาจึงจำต้องรับกล่องของขวัญกลับมาอีกครั้ง และท่ามกลางสายตาแสดงความสนใจจากเพื่อนๆซึ่งต่างเลิกเห่อของขวัญของตัวเองกันไปแล้วนั่นเอง ชายหนุ่มก็เริ่มแกะริบบิ้นและกระดาษที่ได้รับการห่ออย่างดีแบบไม่เต็มใจนัก เนื่องจากน้ำหนักของกล่องขนาดราวหนึ่งฟุตคูณหนึ่งฟุตนั้นไม่เบาแต่ก็ไม่ได้ถึงกับหนัก แถมเมื่อเขย่าก็ไม่ได้ยินเสียง ทำให้รู้ว่าข้างในคงโดนบุกันกระแทกเอาไว้อย่างดี ทำให้ยากจะเดาได้ว่าของข้างในเป็นอะไร แต่พอภัทรดึงห่อของในกล่องและแกะกระดาษที่ห่อทบหลายชั้นจนเห็นตัวของขวัญ เหล่าไทยมุงย่อมๆที่รอลุ้นก็พากันส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดทันที

“ว้าย! กระเป๋ายี่ห้อนี้มันยังไม่มีช็อปในเมืองไทยเลยนี่นา นี่คุณเชษฐ์เค้าไม่ได้ซื้อของเกินกำหนดขั้นต่ำของระดับผู้จัดการไปตั้งเยอะเหรอ?”

รุ่นพี่สาวอีกคนที่ไม่ใช่ป๋วยดึงกระเป๋าสะพายหนังสีน้ำตาลในมือภัทรไปพลิกดูแล้วก็ร้องอุทาน ส่วนคนอื่นก็ต่างรับไปดูกันต่อเป็นทอดๆอย่างตื่นเต้น เนื่องจากทรงของกระเป๋าเป็นรูปแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าเรียบๆ ขนาดพอดีสำหรับบรรจุคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คหรือเอกสาร ทำให้เป็นแบบที่ใช้ได้ทั้งชายหญิง หลังจากหลายคนได้ลูบคลำอย่างชื่นชมแล้วก็พากันหันไปค้อนเจ้าของซึ่งได้แตะของขวัญไม่ถึงสามวินาทีอย่างอิจฉา

“คนโชคดีนี่ก็โชคดีจริงจริ๊ง ภัทรรู้มั้ยเนี่ยว่ากระเป๋าใบนี้เมืองนอกเค้าขายกันเท่าไหร่ เผลอๆชิ้นนี้ราคาแพงกว่าสร้อยทองที่ท่านประธานเอามาจับสลากด้วยซ้ำมั้ง”

รุ่นพี่คนเดิมเอ่ยบอกก่อนจะส่งกระเป๋ากลับคืน ภัทรจึงรับของขวัญกลับมาด้วยสีหน้าอ่านยาก เขาไม่แน่ใจนักว่าตัวเองอยากรู้ว่าของในมือมีราคาค่างวดเท่าไร เพราะหากรู้เขาอาจนึกอยากเอาไปคืนคนที่ซื้อมาจับก็เป็นได้ และถ้าพูดกันตามตรงแล้วเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะจับได้ของของคุณเชษฐ์เสียหน่อย

หลังจากการจับสลากของขวัญชิ้นสุดท้ายสิ้นสุดลงก็กินเวลาไปเกือบห้าทุ่ม คุณปรีชาซึ่งเป็นประธานบริษัทจึงขึ้นกล่าวปิดงานเลี้ยงและอวยพรปีใหม่ให้กับทุกคน ถึงแม้ท่านประธานจะอายุหกสิบกว่าแล้ว แต่ว่าก็ยังดูแลสุขภาพและการวางตัวดีจนเหมือนคนที่อายุราวห้าสิบเท่านั้น คนที่ไม่รู้จักจึงแทบเดาไม่ออกว่าความจริงท่านประธานมีลูกสี่คนแล้ว แถมตอนนี้ลูกสาวคนสุดท้องกำลังเรียนด้านการออกแบบเสื้อผ้าอยู่ที่ประเทศอังกฤษด้วยซ้ำ

เมื่องานเลี้ยงจบลง พนักงานบางคนยังคงนั่งดื่มไวน์และคุยกันต่อ ขณะที่บางกลุ่มก็เตรียมไปนั่งที่ร้านอื่นเพื่อฉลองวันหยุดยาว ขณะที่อีกกลุ่มก็เก็บสัมภาระเตรียมกลับบ้าน เสียงถามไถ่ว่าบ้านใครไปทางไหนเพื่อจะได้ขอติดรถดังขึ้นจากจุดนั้นจุดนี้ทั่วบริเวณงาน ขณะที่ภัทรกำลังเตรียมจะเดินตามป๋วยไปที่รถเพราะจะขอติดไปลงที่สถานีรถไฟฟ้านั่นเอง เขาก็เห็นใครคนหนึ่งกำลังก้าวขึ้นนั่งรถยุโรปสีเทาควันบุหรี่ที่จอดอยู่ด้านในสุด

ชายหนุ่มลังเลอยู่ชั่วอึดใจ แต่แล้วก็หันไปหารุ่นพี่สาวที่กำลังย้ายข้าวของส่วนตัวออกจากเบาะหน้าเพื่อให้เขาขึ้นนั่งได้

“พี่ป๋วย รอผมแป๊บนึงนะ เดี๋ยวผมจะรีบกลับมา”

รุ่นพี่สาวเงยหน้าขึ้นมองเขาพลางกะพริบตาอย่างงงๆ แต่ว่าก็ไม่ได้ถามและพยักหน้าอนุญาต ภัทรจึงถือกล่องของขวัญที่จับสลากได้ไว้แล้วรีบเดินลัดเลาะช่องทางเดินในลานจอดไปยังรถที่เป็นเป้าหมาย

เนื่องจากรถของเชษฐ์จอดอยู่ด้านในสุด เขาจึงยังขับออกไปไหนไม่ได้จนกว่ารถที่จอดอยู่ด้านนอกจะทยอยกันออกไปก่อน ร่างสูงใหญ่จึงเพียงสตาร์ทรถและเปิดแอร์รอ ขณะที่กำลังเลือกคลื่นวิทยุเพื่อฟังเพลงหรือข่าวฆ่าเวลาอยู่นั่นเองก็ได้ยินเสียงเคาะกระจกเบาๆ พอหันไปกดปุ่มเพื่อเลื่อนหน้าต่างลง คิ้วเข้มก็เลิกขึ้นเมื่อเห็นว่าคนที่มาเคาะกระจกเป็นใคร

นัยน์ตาคมเหลือบลงยังกล่องของขวัญที่ไม่มีกระดาษสีเงินหุ้มในมืออีกฝ่าย ก่อนจะค่อยเบนสายตากลับขึ้นมองใบหน้าของคนที่ได้ของขวัญของเขาไป เมื่อเห็นสีหน้าของคนที่มาเคาะเรียก รอยยิ้มอ่อนจางก็ผุดขึ้นที่มุมปากของคนในรถ

“ไง ชอบของขวัญหรือเปล่า?”

พอได้ยินคำถาม คนถูกถามก็มุ่นหัวคิ้ว “คุณเชษฐ์...กระเป๋านี่มันแพงเกินงบที่เค้ากำหนดไว้สำหรับระดับผู้จัดการไม่ใช่เหรอครับ?”

เชษฐ์เกือบหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินสิ่งที่คนอายุน้อยกว่าถาม ถ้าเป็นคนอื่นคงมาขอบคุณเขาที่ใจป้ำเอากระเป๋าหนังราคาแพงแบบนี้มาจับสลาก แต่ดูเหมือนกับเด็กคนนี้...คุณค่าทางวัตถุคงไม่มีผลกับจิตใจเท่าไหร่

“เค้าไม่ได้กำหนดนี่ว่าห้ามเอาของราคาเกินจากที่กำหนดมาจับ อีกอย่างตอนนี้มันก็เป็นของเธอแล้ว หรือว่าที่มาหานี่เพราะจะเอามาคืนฉัน?”

ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยถามอย่างนึกสนุก รู้ดีว่าตัวเองกำลังแกล้งให้อีกฝ่ายลำบากใจ เพราะการคืนของที่ได้รับไปแล้ว แม้ในกรณีที่มาจากการสุ่มจับสลากเช่นนี้ก็ยังถือว่าเสียมารยาท ยิ่งเมื่อได้เห็นริมฝีปากที่ยื่นออกมานิดๆของคนตรงหน้าซึ่งท่าทางคนทำจะไม่รู้ตัว เชษฐ์ก็ยิ่งอมยิ้มชอบใจมากเข้าไปอีก

ช่างไม่ได้รู้เอาเสียเลย ว่าที่โดนยั่วก็เพราะตัวเองจะเผยสีหน้าไร้การป้องกันตัวแบบนี้ออกมานี่แหละ...

เชษฐ์คิดขณะมองใบหน้าของคนที่ยังยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับพร้อมกล่องของขวัญในมือ ภัทรมองรอยยิ้มอ่อนๆของคนที่นั่งในรถ แล้วไม่รู้ทำไมถึงนึกอยากหันหลังแล้วเดินหนีเสียดื้อๆ แต่คนตรงหน้าไม่ใช่เพื่อนเล่นวัยเดียวกันที่เขาจะทำกิริยาแบบนั้นด้วยได้ สุดท้ายเขาจึงได้แต่พยายามสงบจิตใจแล้วกล่าวสิ่งที่ตั้งใจจะบอกแต่แรกแทน

“ผมได้ของคุณเชษฐ์มาแล้วก็คงคืนไม่ได้หรอกครับ ผมแค่จะมาบอกว่า เอ่อ...ขอบคุณนะครับ”

พูดจบประโยคภัทรก็รู้สึกว่าผิวหน้าอุ่นซ่านขึ้นมา กับอีแค่ขอบคุณเจ้าของของขวัญ ทำไมเขาจะต้องประหม่าอย่างกับสาวน้อยได้รับมอบดอกไม้แบบนี้ด้วยนะ แค่บังเอิญจับสลากได้ของที่อีกฝ่ายซื้อมาเท่านั้นแท้ๆ

เชษฐ์มองท่าทางของคนที่ปากเอ่ยขอบคุณแต่กลับไม่ยอมสบตากับเขาตรงๆ แล้วก็ให้นึกอยากแกล้งคนตรงหน้าเพื่อจะได้เห็นสีหน้าแบบที่เจ้าตัวไม่ค่อยทำต่อหน้าคนอื่นมากขึ้นไปอีก แต่ก็ตระหนักดีว่าถ้าแกล้งมากไป อีกฝ่ายอาจขยาดจนไม่กล้าเข้าหน้าเขาไปเลย และหากเป็นเช่นนั้นคงจะไม่ดีแน่ในระยะยาว ดังนั้นจึงเพียงพยักหน้าแล้วตอบรับ

“ไม่เป็นไร ดีแล้วล่ะที่เป็นเธอ อย่างน้อยฉันก็วางใจว่าคนที่ได้ของฉันไปคงจะรักษาของ ว่าแต่นี่จะกลับยังไง ให้ฉันแวะไปส่งให้เอามั้ย?”

ภัทรตวัดสายตาขึ้นมองคนถามแล้วก็รีบส่ายหน้าทันที ของขวัญปีใหม่ราคาแพงแสนแพงก็ได้มาแล้ว ยังจะให้อีกฝ่ายเปลืองค่าน้ำมันไปส่งที่คอนโดอีกน่ะหรือ ถ้าเป็นคนอื่นที่หน้าด้านกว่าเขาก็คงจะตอบตกลงกระมัง

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมกะติดรถพี่ป๋วยแล้วไปต่อรถไฟฟ้า กระเป๋าผมก็อยู่ในรถพี่ป๋วยแล้วด้วย ผมไม่รบกวนคุณเชษฐ์ดีกว่า ...ยังไงขับรถปลอดภัยแล้วกันนะครับ”

ภัทรเอ่ยแล้วก็ค้อมศีรษะลงทีหนึ่ง เนื่องจากสองมือประคองกล่องของขวัญขนาดค่อนข้างใหญ่ทำให้เขาไหว้ไม่ถนัดและจะดูเก้ๆกังๆเสียเปล่าๆ แต่ว่ายังไม่ทันจะได้ก้าวออกเดินก็ถูกคนในรถเรียกไว้ ชายหนุ่มจึงหันไปขมวดคิ้วเป็นเชิงถาม

“ครับ?”

คนในรถยิ้มบางๆให้ “สุขสันต์วันปีใหม่นะ แล้วค่อยเจอกันปีหน้า”

รอยยิ้มและคำพูดเพียงสองประโยคสั้นๆนั้นราวกับประกายไฟกองเล็กที่สร้างความอบอุ่นในอกของคนฟัง ภัทรรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นโดยไม่ตั้งใจ และก่อนที่จะทันได้ห้ามตัวเอง มุมปากของเขาก็มีรอยยิ้มติดอยู่เสียแล้ว

เอาเถอะ ก็แค่ตอบรับน้ำใจของอีกฝ่าย แค่นี้ไม่ยากจนเกินความสามารถหรอกน่ะ ภัทรกร...

ชายหนุ่มคิดในใจ ก่อนจะตอบคนที่นั่งอยู่ในรถด้วยคำอวยพรเดียวกัน “สุขสันต์วันปีใหม่ครับ”

ภัทรเอ่ยแล้วก็ออกเดินต่อ หูได้ยินเสียงจุดไฟแช็คจากคนด้านหลังแว่วๆแต่ก็ไม่ได้หันกลับไปมอง อ้อมแขนที่กอดกล่องของขวัญเอาไว้กระชับแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว จู่ๆก็นึกอยากให้เวลาเดินช้าลงเพื่อที่เขาจะได้ซึมซับความอุ่นอวลในใจนี้ให้นานขึ้นอีกหน่อย

น่าแปลก...แต่ดูเหมือนการก้าวสู่ปีใหม่คนเดียวครั้งนี้จะไม่ทำให้เขาเศร้าสร้อยเหมือนปีที่ผ่านมาอีกแล้ว...


++---End แค่สบตาก็รู้ว่ารัก Special Episode 1---++




Create Date : 23 ธันวาคม 2552
Last Update : 29 มกราคม 2553 0:17:00 น. 8 comments
Counter : 1057 Pageviews.

 
พอดีลองแวะมาเลยได้อ่านตอนพิเศษเรื่องนี้ ขอบคุณค่ะที่มีตอนใหม่มาให้อ่าน น่ารักดีค่ะเข้ากับช่วงเทศกาลท้ายปีพอดี รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ


โดย: porntip IP: 125.26.145.10 วันที่: 25 ธันวาคม 2552 เวลา:17:11:27 น.  

 
คุณ porntip เราร้างราจากเรื่องนี้ไปนานเลยค่ะ ยังดีว่าไม่ทำคุณเชษฐ์กับภัทรหลุดคาแรคเตอร์เพราะไม่ได้เขียนถึงนานมากกกก ยังไงจะรีบเข็นตอนต่อไปออกมาเร็วๆนะคะ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 28 ธันวาคม 2552 เวลา:9:37:50 น.  

 
อ๊ากกกกก หวานๆๆๆ ไม่หลุดเลยครับ ตาภัทรก็ยังโก๊ะเปิ่นน่ารักเหมือนเดิม พี่เชษฐ์ก็ฉายแววช่างแกล้งแบบอบอุ่นมาแต่ไกลเชียว ซ้วบ


โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:14:55:31 น.  

 
พี่พีท ที่จริงไม่ได้ตั้งใจเลยนะ แต่ทำมั้ยพระเอกของรินทุกเรื่องต้องติดนิสัยขี้แกล้งก็ไม่รู้สิ (สงสัยจะเหมือนคนเขียน 555)


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:15:42:14 น.  

 
หวานจริงๆ ...ตามรอยมาจากลายปากกาค่ะ


โดย: teansri วันที่: 16 มิถุนายน 2553 เวลา:23:34:50 น.  

 
คุณเทียนสีฯ เขินจัง ขอบคุณมากที่แวะมาอ่าน+คอมเม้นต์ค่า


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 17 มิถุนายน 2553 เวลา:9:19:54 น.  

 
“เธอจับได้ฉันรึ?”

เอร๊ย... คุณเชษฐ์เก็บอาการหน่อย พูดอย่างนี้เด็กชายภัทรก็เขินแย่สิ

ว่าแต่ ระหว่างคุณเชษฐ์ผูกโบว์ กะ กระเป๋าเนี่ย ถ้าให้เลือกเด็กชายภัทรจะเลือกอะไรน้อ...



โดย: aew IP: 125.27.65.235 วันที่: 21 มิถุนายน 2554 เวลา:17:17:47 น.  

 
มันช่างเป็นประโยคที่กำกวมจริงๆ นิ คุณเชษฐ์หนอคุณเชษฐ์ พูดออกไปด้ายยยยย ใครฟังแล้วจะไ่ม่เขินเนี่ย =_="

ว่าแต่ตัวเลือกที่ให้มาเนี่ย ถ้าจะเลือกช้อยส์แรก น้องภัทรคงกระมิดกระเมี้ยนน่าดูเหมือนกันนะคะ 5555



โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 21 มิถุนายน 2554 เวลา:20:35:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.