เมื่อผมไม่รู้จะก้าวต่อไปทำไมกับสิ่งที่คนอื่นเรียกว่า "ความสำเร็จ"
เมื่อผมไม่รู้จะก้าวต่อไปทำไมกับสิ่งที่คนอื่นเรียกว่า "ความสำเร็จ" ตั้งแต่เด็กจนโต ถึงเราจะบ้าๆบอๆไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ได้รู้สึกว่ามีพรสวรรค์ด้านใดโดดเด่นกว่าคนอื่น เรียนก็ไม่เก่ง ศิลปะดนตรีก็ไม่ได้ กีฬาก็เข้าขั้นห่วยแตก เพราะร่างกายอ่อนแอมากในตอนนั้น แต่สิ่งที่ผมรู้อย่างหนึ่งก็คือเมื่อเวลาผ่านไป6ปี ผมจะต้องจบป.6 และผ่านไปอีก3ปี ก็จบมัธยมต้นเพื่อเรียกเรียนระหว่างสายศิลป์กับสายวิทย์
แม้จะสอบตกอยู่ทุกเทอม แต่ซ่อมจนผ่านมาได้ทุกคนในรุ่น เรียกว่าถ้าไม่เกเรหลงไปในทางมืดจนกู่ไม่กลับ พวกครูก็มีเมตตาช่วยให้ทุกคนผ่านจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน12ปีของประเทศจนได้
ผมเข้ามหาวิทยาลัยโดยไม่รู้อะไรเลยด้วยว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง เรียนจบไปจะไปสมัครงานที่ไหนอย่างไรยังไม่รู้เลย รู้แต่ว่าชีวิตที่ต้องไกลบ้านมามัน อิสระมากขึ้น ถึงตอนนี้เริ่มคิดอยากมี เงินเยอะๆ บ้างแล้ว เพราะรู้ว่าชีวิตหลังจบมหาวิทยาลัยคงจะต้องพึ่งพาตัวเองให้มากขึ้น คงต้องสร้างครอบครัว ต้องดูแลในบ้านให้ได้ ความกดดันต่างๆเริ่มเข้ามามหาศาลเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจริงๆหลังเรียนจบ
หลังจากได้ลองทำงานอยู่หลายประเภท เราก็รู้เลยว่านี่เป็นชีวิตที่เรากำหนดไม่ได้ เรากำหนดเงินเดือนของเราไม่ได้ด้วยซ้ำ โบนัส เวลาทำงาน ตำแหน่งหน้าที่การงาน ทุกอย่างต้องพึ่งพาสภาพแวดล้อมองค์กร ใครที่โปรไฟล์ดีๆก็โชคดีไปได้เข้าทำงานในองค์กรที่ดีมีความมั่นคง และหากใครได้หัวหน้าดีๆก็เหมือนโชคดีสองชั้นที่จะได้บรรยากาศในการทำงานที่ดีอีกด้วย
นั่นไม่ใช่ตัวตนของผมเลย เพราะผมชอบกำหนดชีวิตด้วยตัวเองมาตลอด ไม่ว่าจะผิด จะกำไรหรือเจ๊งก็อยากตัดสินใจเอง ใจร้อนและไม่ค่อยเห็นด้วยกับการเสแสร้งใดๆก็ตาม ซึ่งบางคนอาจจะเรียกว่ามารยาท วัฒนธรรม หรือความอดทนอดกลั้นอะไรก็แล้วแต่ ผมจึงเลือกค้นหาตัวเองต่อไปด้วยการตัดสินใจไปเรียนต่อในระดับปริญญาโท โดยหวังว่าจะทำให้ชีวิตผมได้พบกับ ทางเลือก มากขึ้น
ชีวิตตอนเรียนก็สนุกสนานดี คนรอบข้างก็เหมือนองค์กรทั่วไปมีทั้งที่ดีกับเรา และไม่ดีกับเราบ้าง แต่ทุกคนก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือมาเรียน มาหาเพื่อนใหม่ๆ ไม่ใช่การมุ่งเอาชนะชิงดีชิงเด่นกันแบบในที่ทำงาน จึงทำให้บรรยากาศโดยรวมค่อนข้างจะราบรื่น ส่วนชีวิตส่วนตัวผมกลับมีความเครียดมากกว่าเดิม เพราะว่าหนทางแห่งความร่ำรวยดูยังไม่ได้เปิดออกเลยด้วยซ้ำสำหรับผม
การมาเรียนปริญญาโท นอกจากทำให้เราเปิดมุมมองใหม่ๆแล้ว เรายังได้รับรู้อีกด้วยว่าในโลกนี้มีคนเก่งอยู่มากมายเต็มไปหมด เพื่อนๆทุกคนมีประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดา ถึงบางคนก็ธุรกิจที่บ้านใหญ่โต แต่ก็ขยันและตั้งใจเรียนมากกว่าคนธรรมดาอย่างผมอีกด้วยซ้ำ
เมื่อกำลังจะเรียนจบผมก็มีทางเลือกอยู่ไม่มากนัก หนึ่งคือกลับไปหางานทำตามปกติ ซึ่งอาจจะมีตัวเลือกมากขึ้นสักหน่อย หรือ เริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเองที่เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ใช่ธุรกิจฉาบฉวย
ตอนแรกผมเลือกทั้งสองอย่างคือ หางานไปด้วย และค้นหาธุรกิจที่จะทำไปด้วย เพราะยังตัดสินใจไม่ได้แน่นอน ผมได้งานที่ต้องไปต่างประเทศ เป็นงานที่น่าจะชอบอยุ่พอสมควร แล้วก็ไปได้ธุรกิจที่อยากทำมากๆอยู่พร้อมกันเลยในเวลาเดียว สุดท้ายแล้วผมกลับเลือกทำธุรกิจของตัวเองเพราะเลือกฝันไว้ว่าจะสร้างครอบครัว เลยไม่อยากไปต่างประเทศ
6 เดือนแรกของการทำธุรกิจเหมือนตกอยู่ในนรก ปัญหาต่างๆที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ยั้ง จากเดิมที่ผมคิดว่าเราสามารถบริหารจัดการให้ทุกคนมีความสุขได้ กลับกลายเป็นว่าผมควบคุมอะไรไม่ได้เลย โดนหุ้นส่วนหลอก ลูกน้องก็เบี้ยวงานตลอด ยอดขายก็แย่ลงทุกวัน เงินทุนที่มีอยู่ก็หมด แถมยังคำเยาะเย้ยจากคนในครอบครัวตัวเองมันช่างเจ็บแสบอย่างที่สุด ชีวิตผมเหมือนถูกถีบตกลงไปในหลุมลึกอยู่คนเดียว ไม่มีใครมาช่วยไม่มีใครเห็นใจ จนสุดท้ายผมต้องตัดสินใจหยุดร้านเคลียร์กับหุ้นส่วนเพื่อให้ถอนตัวออกไป ต้องคิดรูปแบบทุกอย่างเองใหม่หมด
หลังจากหยุดไป 1เดือนแล้วเปิดใหม่ในที่เดิม กลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเพราะว่าลูกน้องใหม่ที่รับเข้ามา วันแรกก็หายหัวไปเลย ยังดีที่ผมไม่เคยทำพิธีเปิดแบบGrand Opening เลยไม่ได้มีลูกค้าเข้ามามากมาย วันแรกแค่พอเอาตัวรอดไปแบบถูไถได้ เปิดไปได้สักพักยอดขายกลับแย่ลงกว่าเดิมเข้าไปอีก ไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น ปัญหาเดิมๆวนเวียนเข้ามา และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือเงินในร้านไม่มีเพียงพอที่จะจ่ายลูกน้องอีกแล้ว แถมยังมีปัญหาจิตตกเพราะเลิกกับแฟนอีก เรียกได้ว่าหลุมที่ตกลงมาลึกแล้ว ผมยังไม่ทันปีนขึ้นมาก็ตกลงไปลึกกว่าเดิมอีก
ผมต้องไปกู้เงินบัตรเงินสด ทั้งๆที่ชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะใช้บริการอะไรพวกนี้เลย เมื่อชีวิตตกต่ำสุดขีดแล้วเราก็ต้องตะเกียกตะกายเอาตัวรอดด้วยตัวเอง ถ้าเจ๊งครั้งนี้คือหมดสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง กลับมามองที่ปัญหาทุกอย่างที่อยู่สินค้า ที่มีปัญหา เราก็มาสถิติมาดูอย่างละเอียดว่าตัวไหนมีปัญหา และตัวไหนพอจะไปรอด ก็เพิ่มอะไรที่สอดคล้องกัน และตัดอะไรที่ดูไม่มีอนาคตทิ้งซะ ปรับเปลี่ยนใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม ผมไม่แคยถามลูกค้าว่าชอบหรือเปล่า แต่จะตัดสินจากสายตาและท่าทางของพวกเขาเอง เพราะคำพูดใครๆก็พูดได้ แต่เรื่องของสายตาและท่าทางยากที่จะโกหกได้
ผ่านไปอีก3เดือนสถานการณ์เริ่มค่อยๆดีขึ้น มีการทำลายสถิติยอดขายสูงสุดของเดิมอยู่เรื่อยๆ ทำให้เราเริ่มมีกำลังใจบ้างแล้ว แม้ว่ายังไม่เชื่อมั่นว่าหนทางที่เลือกนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ชีวิตผมก็มาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับไปได้แล้ว สิ่งที่เราตั้งใจไว้คือการขายของที่มีความคุ้มค่าในราคา เรามีกำไรพอประมาณ ลูกค้ารู้สึกคุ้มกับที่จ่ายเงิน ลูกน้องมีรายได้ที่ดี มีความภูมิใจในอาชีพของเขา นี่คือความสุขใจที่ทำให้ผมยืนหยัดต่อมาได้ และพัฒนามาอย่างไม่หยุดยั้งไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไรก็ตาม
ผ่านมา3ปีผมปีนขึ้นจากหลุมแห่งความตายได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ปัญหาต่อจากนี้คือแล้วเมื่อผมออกจากหลุมแล้ว ชีวิตผมจะไปไหนต่อ เมื่อผมไม่เคยจินตนาการถึงสถานการณ์ชีวิตในตอนนี้เลย แต่ก่อนเราคิดว่าเราควบคุมได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่หลังจากเราได้ผ่านวิกฤตชีวิตอีกครั้งหนึ่งทำให้ผมรับรู้ได้เลยว่า กว่าเราจะรอดมาได้เราต้องสูญเสียอะไรไปมากมายเหลือเกินอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นหมายถึงถ้าเราก้าวต่อไปเราก็ต้องเตรียมพบกับความสูญเสียอะไรบางอย่างไปเพื่อแลกกับสิ่งที่คนทั่วไปเขาเรียกกันว่า ความสำเร็จ
หากสนใจโปรดติดตามต่อไปในตอนที่2 (ตอนจบ) ขอบคุณมากครับ ฝากcommentกันบ้างนะครับถ้าอ่านจบแล้ว ต้องการกำลังใจพอสมควร
Create Date : 06 ธันวาคม 2555 |
Last Update : 6 ธันวาคม 2555 3:24:24 น. |
|
11 comments
|
Counter : 3245 Pageviews. |
|
|
|