ที่พักนักตระเวนแดนฝัน
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๑๗ - ผลประโยชน์ร่วม

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ของทั้งสองท่านนะครับ เป็นประวัติการณ์จริงๆ ที่ได้รับคอมเมนต์ใน bloggang ถึง 2 คนในตอนเดียวพร้อมกันอย่างนี้ ^^

คุณ ริวไผ่ - ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ครับ ^^

รูอาร์คความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนตัวผมก็เห็นว่าอาเมียร์ค่อนข้างจะซีเรียสกับชีวิตเกินไปเหมือนกัน แต่ก็หวังว่าต่อไปจะมีพัฒนาการให้เห็นทั้งสองคนครับ

ตอบ ปล. ทั้งสองคนก็ตั้งใจจะบอกอยู่ครับ แต่อยากให้อาเมียร์มีความคิดเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ก่อน เพราะถ้าบอกไปตามตรงจริงๆ ทั้งสองคนนี้ยังไม่รู้แน่ด้วยซ้ำว่าอาเมียร์เป็นลูกของซิอ์บุล แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นลูกของซิอ์บุลแท้ๆ ก็เท่ากับว่าสิมาคบชู้ และถ้าจะให้เหตุผลว่าที่ต้องคบชู้เพราะไม่อยากแต่งงานกับราชาแต่ถูกบังคับให้แต่งด้วย ก็กลายเป็นว่าคนที่อาเมียร์คิดว่าเป็นพ่อและเคารพรักมากมาตลอดเป็นคนเลว ซึ่งซิอ์บุลกับสิมาไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เพราะตอนหลังราชาก็กลับตัวได้และเป็นคนช่วยชีวิตสิมาให้รอดตอนอาณาจักรล่มสลายครับ

คุณ บีบี - ตอนที่ 17 มาแล้วครับ ปกติตอนใหม่จะมาสัปดาห์ละครั้ง เข้ามาเช็คดูในวันศุกร์หรือเสาร์ได้เลยครับ :)

และขออนุญาตประชาสัมพันธ์ข่าวงานสัปดาห์หนังสือนะครับ เซ็ทตำนานอาณาจักรมนตรา 2 เล่ม ไม่ว่าจะรวมกันหรือเล่มใดเล่มหนึ่งลด 50% ในบูธสนพ. เลมอนที โซนซี โอ 17 (ใกล้ฟู้ดคอร์ท) ใครที่ต้องการซื้อจริงๆ แต่มีธุระติดขัดไม่สามารถไปงานหนังสือได้ สามารถสั่งซื้อได้ในเว็บ //www.phetprakai.com/ โดยสมัครสมาชิกฟรีก่อน ได้ถึงวันที่ 6 เม.ย. นี้ครับ หรือหากไม่สะดวกแต่อยากซื้อจริงๆ ก็สามารถติดต่อผม (อีเมลล์ anithin@hotmail.com ) เพื่อฝากผมซื้อและส่งไปรษณีย์พร้อมลายเซ็นได้ครับ

ผมจะไปช่วยที่บูธในวันเสาร์ที่ 28 มี.ค. กับ 4 เม.ษ. ตั้งแต่บ่าย ใครแวะไปช่วงนั้นมาทักทายกันได้นะครับ :)

* * *

บทที่ ๑๗ ผลประโยชน์ร่วม


“คะแนนการทดสอบรอบแรกออกมาแล้วเพคะ” เคียราพูดขึ้นเรียบๆ ขณะยกถาดของว่างเข้ามาให้แอชลีนน์ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องของตนในยามบ่าย

“อย่างนั้นหรือ” ผู้ฟังทำเป็นถามอย่างไม่ใส่ใจนัก “ดูลัสได้คะแนนสูงสุดใช่ไหมล่ะ”

คนถูกถามกลับเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะตอบด้วยเสียงที่หมองลง

“ที่สองเพคะ”

“หือม์” เด็กสาวหันกลับมาอย่างประหลาดใจ “แล้วใครได้ที่หนึ่ง”

“ลูกชายของเจ้ามณฑลชอร์ซาเพคะ ใครๆ เขาก็บอกกันว่าเป็นม้ามืด คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะได้คะแนนสอบข้อเขียนเป็นอันดับหนึ่งอย่างนี้”

“แล้วคะแนนห่างกันเท่าไร” แอชลีนน์เริ่มถามอย่างครุ่นคิดขึ้น

“เฉือนกัน...นิดหน่อยเพคะ เก้าสิบหกกับแปดสิบเก้า แต่เก้าสิบหกนี่เห็นเขาบอกว่าสูงมากจนไม่น่าเชื่อเพคะ ถึงอย่างนั้น...อีกสองรอบหลังจากนี้ ท่านดูลัสคงจะทำคะแนนนำได้ไม่ยาก”

“แล้ว...เฟลิม...” เด็กสาวอดตั้งคำถามไม่ได้

“เฟลิม...ใครหรือเพคะ”

“ลูกชายเจ้ามณฑลยาร์ลาธ”

“อ้อ” เคียรารับเบาๆ “ที่สามเพคะ แปดสิบสี่ ตอนนี้เขาเลยพูดกันว่าเป็นศึกสามมณฑลทีเดียว”

“คนอื่นๆ ล่ะคะแนนเท่าไร”

“ไล่ลงไปตั้งแต่เจ็ดสิบปลายๆ ได้เพคะ สามคนนี้มีคะแนนสูงที่สุดแล้ว แต่ยังต้องดูผลอีกสองรอบที่เหลือว่าจะพลิกกลับหรือเปล่า”

แอชลีนน์ฟังพร้อมกับคิดตาม ยังเหลือการทดสอบอีกสองครั้ง ครั้งที่สองจะคัดผู้ที่มีคะแนนสูงสุดสิบคนจากทั้งหมดมารับการทดสอบการตั้งป้อมค่ายและวางแผนการรบจำลอง ครั้งที่สามและครั้งสุดท้ายเป็นการคัดผู้เข้าทดสอบสี่คนที่มีคะแนนสูงสุดจากรอบแรกบวกรอบสองรวมมาประลองตัวต่อตัวแบบแพ้คัดออก เพื่อให้ได้ผู้ชนะคนสุดท้ายที่จะได้แต่งงานกับเธอ

ตอนนี้ผู้เข้าทดสอบทั้งสิบคนพร้อมกับกำลังพลได้เดินทางไปยังสนามรบจำลองเพื่อรับการทดสอบครั้งที่สองแล้ว คะแนนของการทดสอบครั้งนี้เท่าที่แอชลีนน์รู้คร่าวๆ ขึ้นอยู่กับการรักษาที่มั่นของตนเองและยึดครองดินแดนของผู้เข้าทดสอบคนอื่นๆ ให้ได้มากที่สุด...โดยไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตของกำลังพลทั้งสองฝ่าย

เธอไม่เคยได้ยินเรื่องของลูกชายเจ้ามณฑลชอร์ซาเลยว่าเป็นคนอย่างไรและมีฝีมือเพียงไร แต่ก็คิดว่าดูลัสเป็นคนที่เก่งมากคนหนึ่ง เช่นเดียวกับอาเมียร์ เฟลิมก็คงจะได้รับถ่ายทอดความรู้ความสามารถของอาเมียร์มาไม่มากก็น้อย

ยิ่งทั้งสองฝ่ายต้องมาปะทะกันเช่นนี้ แอชลีนน์ก็บอกไม่ถูกจริงๆ ว่าตนอยากให้ใครชนะ แม้จะภาวนาให้ผู้ชนะไม่ใช่คนที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ตาม

แต่แล้วเธอก็รู้สึกโกรธขึ้นมากับความคิดนั้น โกรธเพราะนึกได้ว่านั่นเป็นสิ่งที่อาเมียร์อยากให้เธอรู้สึก...ให้เธอนึกถึงเฟลิมมากกว่าคนอื่น ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้เลยว่าเธอมีคนที่รู้จักคุ้นเคยมากกว่าเฟลิมอยู่ใกล้ตัวแท้ๆ

ดูลัสเป็นคนที่เหมาะสมกับเธอที่สุดแล้ว เธอรู้จักเขามาตั้งแต่เธอยังเด็ก เขาเป็นเพื่อนของเสด็จพี่ไอลีช และเป็นเหมือนพี่ชายของเธออีกคนหนึ่ง เขาเป็นคนที่ช่วยชีวิตเธอในวันนั้น...ในวันที่เธอสูญเสียทั้งเสด็จพ่อเสด็จแม่กับเสด็จพี่ไป และเกือบสูญเสียชีวิตของตนไปด้วย

ถึงอย่างนั้น เฟลิมก็เป็นคนดีจริงๆ ไม่ใช่หรือ เขาคงไม่รู้เรื่องแผนการของอาเมียร์หรอก ในเมื่อเขาดูเป็นคนซื่อขนาดนั้น...ถ้านั่นจะไม่ใช่แค่การแสดงตบตาเธอ

“องค์หญิง” เคียราเรียกเธอพร้อมกับปิดหนังสือที่วางอยู่ข้างหน้าเก็บให้ “เสวยเครื่องว่างเถอะเพคะ ประเดี๋ยวจะหายร้อนหมด”

“อือ” แอชลีนน์รับก่อนจะถอนใจ สายตาทอดมองขนมพุดดิ้งหน้าครีมของโปรดที่จัดแต่งบนจานกระเบื้องเขียนลายวางบนถาดเงินอย่างประณีต ด้วยความรู้สึกไม่อยากอาหารเลยแม้แต่น้อยผิดกับทุกที

“องค์หญิงทรงเป็นห่วงท่านดูลัสหรือเพคะ” นางกำนัลสาวถามขึ้นขณะคลี่ผ้าเช็ดปากให้แล้ววางบนตัก “ไม่เป็นไรหรอกเพคะ ท่านดูลัสทั้งมีฝีมือ แล้วก็ทุ่มเทเพื่อองค์หญิงเต็มที่ถึงขนาดนี้ ท่านดูลัสต้องชนะได้แน่ๆ เพคะ องค์หญิงทรงเอาพระทัยช่วยท่านอยู่นี่นา”

เจ้าหญิงองค์เดียวแห่งธีร์ดีเรยังคงนิ่งเงียบ ไม่รู้เหมือนกันว่าใจจริงของเธออยากเอาใจช่วยใคร กระนั้นก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า...หรือเธอควรจะแต่งงานกับเฟลิม แล้วจัดการให้เคียรากับดูลัสได้แต่งงานกันแทน ให้สมกับที่นางกำนัลสาวแทบจะหายใจเป็นองครักษ์หนุ่มอยู่ทุกขณะแล้ว

แต่นั่นมันก็การทำตัวเป็นแม่สื่อเจ้ากี้เจ้าการ...เหมือนกับที่ใครอีกคนเคยทำกับเธอไม่ใช่หรือ

แอชลีนน์ตักขนมเข้าปากตามหน้าที่ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ขณะที่สั่งตนเองให้เลิกคิดเรื่องพวกนี้เสียที

ไม่ว่าจะอยากหรือไม่อยากให้ใครชนะ...เธอก็ไม่มีทางเลือกอะไรและทำได้เพียงรอเท่านั้น

* * *

“อย่างนี้มีอะไรก็ถอยหลังลงน้ำหนีเลยใช่ไหมอาจารย์”

อาเมียร์จ้องไปทางแม่น้ำที่ดูขุ่นเป็นฝ้าเป็นหย่อมๆ เพราะพื้นผิวด้านบนบางส่วนกลายเป็นน้ำแข็ง สองมือกอดอกแน่นขึ้นทั้งๆ ที่สวมเสื้อขนสัตว์อย่างหนาทับชุดเกราะอ่อนข้างในไว้แล้ว ไม่อยากเหลียวไปมองเจ้าคนพูดหัวแดงหรือเนินเขาที่ลาดชันลงสู่แม่น้ำสายนี้ให้ตอกย้ำความอับจนของพวกตนนัก

ถึงจะไม่ชอบอากาศร้อนจัดในทะเลทราย เด็กหนุ่มซึ่งมาจากอาณาจักรที่มีอากาศอบอุ่นและไร้หิมะทางตอนใต้ก็พบว่าอากาศที่หนาวจนมีหิมะตกของธีร์ดีเรไม่ถูกโรคกับร่างกายของตนมากกว่า ลองอากาศหนาวจนเป่าลมออกมาเป็นไอ เขาจะหายใจไม่ค่อยออกและปวดศีรษะมึนๆ อยู่บ่อยๆ เจ้าอาการพวกนี้เองที่กำลังเล่นงานอาเมียร์จนคิดอะไรไม่ค่อยออก บวกกับที่ตั้งค่ายของพวกเขาซึ่งเรียกได้ว่าเป็นชัยภูมิที่...ใช้ไม่ได้ยิ่งกว่าใช้ไม่ได้

ตั้งอยู่ตรงเนินเขาลาดลง ต้องเสียเวลาปีนเนินขึ้นไปก่อนจะไปรบกับใครได้...ถึงจะมีป่าสนช่วยกำบังได้บ้าง แถมด้านหลังอยู่สุดปลายแผนที่ติดตรงปลายๆ น้ำ ไม่เรียกว่าดวงตกในการจับฉลากถึงขีดสุดก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรดี

“ข้า...ข้าขอโทษขอรับอาจารย์” ‘คนจับฉลาก’ พูดเสียงอ่อยอยู่ใกล้ๆ เด็กหนุ่ม

คนคนนั้นคือเฟลิม ซึ่งพอพบว่าที่ตั้งค่ายของตนเป็นเช่นไรก็หน้าเสีย ขอโทษขอโพยเขากับบรรดาทหาร ทั้งพวกที่ติดตามมาจากมณฑลยาร์ลาธราวหนึ่งในสาม และพวกที่ทางกองทัพหลวงจัดมาให้อีกสองในสามเพื่อดูความสามารถในการควบคุมกำลังพลผสมผสาน จนอาเมียร์ต้องปรามเสียด้วยซ้ำว่าอย่าขอโทษให้มากไป และอย่าแสดงความลังเลหรือไม่มั่นใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นมากนัก ถึงอย่างนั้น เฟลิมก็ทำท่าราวกับถอดใจแล้วโดยสิ้นเชิง แม้จะรู้มาตั้งแต่ตอนก่อนจับฉลากว่าคะแนนสอบข้อเขียนของเขาสูงเป็นอันดับสามก็ตาม

“ข้าไม่ได้หวังจะชนะให้ได้อยู่แล้วล่ะขอรับ” ชายหนุ่มยังไม่วายพูด “ชัยภูมิไม่ดีอย่างนี้ ขอแค่ป้องกันที่มั่นของเราไว้ได้ก็พอแล้ว อย่าคิดจะไปไล่ตีคนอื่นให้ลำบากคนของเราเลย”

อาเมียร์ตระหนักได้ว่าเฟลิมเป็นคนที่ห่วงใยคนอื่นๆ...ในบางครั้งก็มากกว่าตนเอง แต่ก็ขาดความเด็ดเดี่ยวและกล้าได้กล้าเสียที่ผู้นำพึงมี หากอีกฝ่ายไม่ได้อยากทุ่มสุดตัวเพื่อเป็นราชาถึงขนาดนั้น เขาก็ไม่อยากบังคับ ถึงอย่างนั้นคะแนนสอบรอบก่อนหน้าของผู้เข้าทดสอบคนอื่นๆ ก็ทำให้เด็กหนุ่มกลับกังวลอีกอย่าง

เขาไม่แปลกใจเท่าไรกับคะแนนสอบของดูลัสผู้จบจากวิทยาลัยหลวง แต่คนมุทะลุหยิ่งยโสอย่างชาลัวห์...ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะได้คะแนนสูงถึงเพียงนั้นเลย

นอกจากนี้เขายังรู้สึกว่าลำดับและผลการจับฉลากเลือกชัยภูมิของพื้นที่ทดสอบรอบสองยังแปลกประหลาดเกินไป การจับสลากเปิดโอกาสให้กับผู้ทดสอบที่มีคะแนนน้อยกว่าก่อน นั่นหมายความว่าเฟลิมได้จับสลากเป็นคนที่สามเกือบสุดท้าย ดูลัสหลังจากนั้น และชาลัวห์คนสุดท้าย

แล้วผลก็ปรากฏออกมาว่าเฟลิมกับดูลัสได้ชัยภูมิติดแม่น้ำริมขอบสนามสอบเหมือนกัน ในขณะที่ชาลัวห์อยู่ในที่ปลอด หรือที่ราบซึ่งเดินทางเข้าออกสะดวก เหนือติดแม่น้ำด้านต้นน้ำ มียอดเนินเป็นพื้นที่สูงให้ตั้งป้อมค่าย ซ้ำยังมีพรมแดนติดกับทั้งสอง มีทางโจมตีขยายอาณาเขตแทบรอบด้านราวกับเสือติดปีก จะบีบอัดคู่แข่งที่มีคะแนนรองลงมาทั้งสองคนก่อนขยายไปบุกพื้นที่ของผู้ทดสอบคนอื่นๆ ที่มีคะแนนน้อยกว่าและกระจายกันออกไปอย่างไรก็ได้

และถ้าอาเมียร์เดาไม่ผิด คนอย่างชาลัวห์คงยังไม่โง่ขนาดแวะเวียนไปตีผู้ทดสอบคนอื่นๆ โดยเปิดหลังโล่งโจ้งให้เฟลิมหรือดูลัสตลบหลังเอาได้ง่ายๆ เขาต้องยึดอาณาเขตติดขอบสนามตะวันตกจนถึงติดแม่น้ำเสียก่อนเพื่อการป้องกันด้านหลังอย่างสมบูรณ์แบบ และนั่นก็เป็นเรื่องที่น่าจะทำได้ง่ายดายพอดู แม้ว่าดูลัสจะเป็นอัจฉริยะด้านยุทธศาสตร์อย่างไรก็ตาม

การทดสอบครั้งนี้ คณะกรรมการอาจจะตั้งใจให้เหมือนการรบจริงๆ ให้มากที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีวันเหมือนไปได้เพราะการฆ่าผู้นำทัพเพื่อเอาชัยชนะเด็ดขาด หรือฆ่าไพร่พลเพื่อลดทอนกำลังพลในสนามรบยังคงเป็นกุญแจสำคัญในการรบ ในสนามรบนี้ห้ามลักลอบเข้าไปลอบสังหารแม่ทัพในค่ายของอีกฝ่าย เพราะฉะนั้นเรื่องที่เขาจะเสี่ยงปลอมตัวเข้าค่ายของชาลัวห์ไปคนเดียวเป็นอันตกไป การวางเพลิงเผาค่ายโดยไม่ดูตาม้าตาเรือก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน เพราะถือเป็นการก่ออันตรายต่อชีวิตของผู้อื่นจริงๆ

ต้องใช้กำลังพลบีบอัด...แต่ด้วยไพร่พลที่มีเท่ากัน การบุกล้อมโดยไม่ทำให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสอีกจะเป็นไปได้อย่างไรเขาก็นึกไม่ออก ยิ่งรู้ว่าศัตรูไม่มีทางกล้าเอาชีวิตตนเองจริงๆ คงจะมีแต่ตีกันหัวร้างข้างแตกเสียเปล่าๆ เขาไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะยึดถือจริงจังกับกติกาที่ว่าหากถูกดาบไม้ฟันจนติดรอยสีจากดาบที่จุดตายเช่นคอหรือลำตัวที่ไม่ได้สวมเกราะเป็นอันถือว่าตายและต้องหยุดการเคลื่อนไหว ยิ่งถ้าต้องถอยหนี พวกของตัวเขาเองจะเข้าตาจนเพราะชัยภูมิของตนไม่เอื้อต่อการตั้งรับเอาเสียเลย

อาเมียร์ไม่ได้คิดจริงจังว่าเฟลิมต้องชนะ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากให้ชาลัวห์ชนะ ใครจะหาว่าเขามีอคติก็ยอม...แต่เขาคิดอยู่ดีว่าชาลัวห์ได้คะแนนสูงสุดและได้ชัยภูมิที่ดีที่สุดไปด้วยวิธีการโกงอะไรสักอย่าง

เกิดคนอย่างชาลัวห์ได้เป็นราชา ได้แต่งงานกันแอช...อาเมียร์ไม่มีวันยอมได้เด็ดขาด อาณาจักรนี้จะยิ่งฉ้อฉล ตัวแอชเองก็จะไม่มีความสุขไปชั่วชีวิต

อย่างน้อย...เพื่อช่วยแอชเขาต้องทำให้ชาลัวห์ไม่มีทางชนะไปได้ แต่จะทำอย่างไรนั้น...

“เลยคุ้งโน้นไปก็เป็นที่ของตาลูกเจ้ามณฑลอูลทูร์ นายอัจฉริยะคนนั้นสินะ” เสียงพูดทำให้เขาหันไปเห็นรูอาร์คชี้ขึ้นเหนือของแม่น้ำ ที่ของดูลัสติดน้ำเหมือนกับเฟลิม คงอยู่ราวกลางๆ ลำน้ำ แต่เลวร้ายกว่าพวกเขาตรงที่ด้านหน้าเป็นเนินลาดลงเหมือนบ่อหนอนแมลงช้าง เรียกได้ว่าชัยภูมิเป็นที่ขวางหรือที่ตายแบบ ‘คุกสวรรค์’ ตามตำราชัดๆ

อณูฝุ่นเล็กยาวเรียวจากด้านเหนือลมบอกเขาว่าอีกฝ่ายคงเริ่มตัดไม้เตรียมการตั้งค่ายแล้ว อาเมียร์พอนึกออกว่าดูลัสจะตั้งป้อมค่ายชั่วคราวของตนในรูปแบบไหนและคิดทางหนีทีไล่ของตนไว้อย่างไร แต่ถึงอย่างนั้น...ศึกคราวนี้สำหรับองครักษ์หนุ่มคงยิ่งยากลำบากนัก

“เดี๋ยวไปสำรวจป่าสนต่อเถอะ” เด็กหนุ่มตัดสินใจพูดหลังดูบริเวณริมแม่น้ำดีแล้ว “ไม่นานเราก็ต้องรีบตั้งค่ายเหมือนกัน”

และเขาก็ต้องเริ่มคิดหาทางหนีทีไล่ของตนเช่นกัน หากจะเอากองกำลังของเฟลิมให้รอดในสภาวการณ์นี้

...แล้วบางที...ถ้าจะ ‘ตัด’ ปีกเสือเพื่อช่วยแอชอีกทางก็อาจต้องคิดหนักกว่านั้น...

* * *

สามวันผ่านไป สถานการณ์ทางเขายังไม่เปลี่ยนแปลง ดูเหมือนว่าทันทีที่ตั้งค่ายเสร็จ ชาลัวห์ก็ยกพลไปโจมตีค่ายของดูลัสทันที ถึงอย่างนั้น ค่ายขององครักษ์หนุ่มก็ยังตั้งมั่นได้อยู่ แม้จะไร้วี่แววว่าโต้กลับได้

อาเมียร์พบว่าเป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ชาลัวห์ต้องเล่นงานดูลัสที่ดูเหมือนจะมีความสามารถสูงกว่าเฟลิมก่อน ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวและอยู่ในชัยภูมิที่เสียเปรียบเป็นที่สุด และด้านดูลัสก็คงคิดหนักเหมือนกันหากจะโต้กลับหรือเสี่ยงบุกสายฟ้าแลบ เพราะนี่ยังเพิ่งเริ่มต้นศึก หากไม่สามารถเอาชนะเด็ดขาดได้โดยการเอาชีวิตชาลัวห์ (อย่างหลอกๆ ตามกติกา) โดยเสียกำลังพลน้อยที่สุดก็ยังไม่ควรเสี่ยง

“ดูลัสเข้มงวดไปหน่อย แต่จริงๆ เขาก็เป็นคนใจดีนะ เขาเป็นเพื่อนของพี่ชายข้ามาก่อน แล้วก็เป็นเหมือนพี่ชายของข้าด้วย”

ดูเหมือนแอชจะเคยบอกเขาอย่างนี้ นึกดูอีกทีเด็กหนุ่มจึงตระหนักได้ว่าเจ้าหญิงแอชลีนน์สนิทกับราชองครักษ์ดูลัสเป็นพิเศษ บางที...อาจจะรู้สึกลึกซึ้งกับองครักษ์หนุ่มกว่าที่เขาคิดกระมัง จึงได้โมโหนักที่เห็นเขาทำตัวเป็นพ่อสื่อให้เฟลิมอย่างนี้

หรือถึงจะไม่ อาเมียร์ก็คิดว่าเขามองไม่ผิดหรอกว่าดูลัสเป็นห่วงแอช...จะเป็นห่วงจนคิดระแวงไม่ยอมญาติดีกับคนต่างชาติที่มีประวัติคลุมเครืออย่างเขาก็ไม่แปลกเลย

...ถ้าเป็นอย่างนั้น...

* * *

ชายหนุ่มประสานมือไว้บนหน้าผากขณะมองแผนที่ที่กางอยู่บนโต๊ะใต้แสงตะเกียง

เมื่อได้แต่ตั้งรับมาจนถึงวันนี้เขาเสียกำลังพลไปราวๆ หนึ่งในห้า...อาจฟังดูเหมือนเล็กน้อย แต่ถ้าบอกว่าเสียไปถึงยี่สิบกว่าคนจากร้อยคนก็นับว่ามาก แม้จะพยายามป้องกันพวกตนเองให้มากที่สุดและบำรุงขวัญพลทหารให้มากที่สุดขณะคิดหาทางโต้กลับที่เหมาะสมและเสียกำลังพลน้อยที่สุดก็ตาม

ชาลัวห์ออกมาบัญชาการรบเองก็จริง แต่ก็รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางพอจะไม่เข้ามาใกล้ระยะธนูหรืออาวุธไกลของฝ่ายเขา ขณะที่เขาเองก็ไม่กล้าเสี่ยงให้ทหารที่ไว้ใจบุกฝ่าไปประชิดตัวอีกฝ่าย ในเมื่อนั่นหมายถึงการฝ่าทั้งกองธนูและพลทหารที่ปิดล้อมเหนือทางลาดเป็นกำแพงหนาแน่น

ทางที่เขาคิดได้ในตอนนี้คือการยั่วโมโหอีกฝ่าย เขาได้ยินมาไม่น้อยว่าชาลัวห์เป็นคนมุทะลุ สืบไปมาก็พบว่าถึงขั้นที่เคยทะเลาะกับคนทะเลทรายชื่ออาเมียร์ที่บัดนี้ทำงานกับเจ้ามณฑลยาร์ลาธจนเสียท่าในการต่อสู้ องครักษ์หนุ่มจึงส่งสารท้าให้มันสองสามฉบับเพื่อเป็นการยั่ว และสั่งให้พวกทหารคอยร้องกวนโทโสดังๆ ให้มันได้ยินแล้ว ถึงอย่างนั้น อีกฝ่ายก็ยังนิ่งเฉยอยู่ได้จนเขาคิดว่าคงมีที่ปรึกษาตามมาเตือนสติอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาแน่แท้

อีกทางก็คือรอเวลาให้อุณหภูมิลดลงต่ำกว่านี้ เมื่อนั้นพวกเขาจะมี ‘หนทาง’ ลอบไปโจมตีค่ายของชาลัวห์ในทางที่มันไม่น่าจะคิดถึง แต่นั่นเท่ากับต้องรออีกอย่างน้อยวันหรือสองวัน และไม่มีทางรับประกันได้ว่าอากาศจะเป็นไปตามที่เขาต้องการหรือไม่

แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ ถ้าสิ้นหนทางจริงๆ เขาควรจะยอมสละตัวเองวิ่งเข้าไปแลกกับมันตอนที่มันตีค่ายเขาแตก ฆ่ามันให้ได้ก่อนที่ตนเองจะถูกพวกของมันฆ่าบ้าง อย่างน้อยถ้าเขี่ยมันไปจากสนามนี้ได้ก็จะตัดคะแนนมันไปก้อนโต ก่อนจะไปกู้คะแนนคืนในรอบประลองตัวต่อตัวดีไหมนะ

ถ้าเพื่อเจ้าหญิง...เขาก็พร้อมจะทำเช่นนั้น แต่ในเวลาที่อับสิ้นหนทางทั้งหมดจริงๆ แล้วเท่านั้น

“ท่านดูลัส” เสียงเรียกของเกอร์มอน ทหารคนสนิททำให้เขาเงยหน้าขึ้น “มีคนมาขอพบท่านขอรับ เขาบอกว่ามาจากทัพของผู้เข้าทดสอบอีกคน แต่ไม่ยอมบอกว่าเป็นใครขอรับ”

ดูลัสเลิกคิ้ว

“เขาไม่มีอาวุธลับติดตัวเลยขอรับ พวกเราค้นตัวเขาแล้ว ตอนที่หน่วยลาดตระเวนไปพบ เขาก็ยกมือขึ้นยอมจำนนทันที บอกว่าจะมาพบท่านให้ได้ เขายอมให้พวกเราริบดาบไม้กับมัดมือไว้ด้วยขอรับ”

“...ใช่คนผมสีดำยาว อายุไม่เกินยี่สิบหรือเปล่า”

“ใช่ขอรับ” เสียงของคนตอบฟังดูประหลาดใจ

“ให้เขาเข้ามา แล้วก็เฝ้าหน้ากระโจมข้าไว้ หากเกิดพิรุธอะไรให้จับตัวเขาไว้ให้ได้”

“ขอรับ” ทหารคนนั้นรับคำสั่งโดยไม่มีการถามตามที่พ่อของเขาฝึกไว้ แล้วไม่นานเด็กหนุ่มผมสีดำในชุดเกราะอ่อนที่ถูกมัดมือไพล่หลังก็ก้าวเข้ามาช้าๆ

องครักษ์หนุ่มแทบรู้จุดประสงค์ของเขาในทันที

“จะมาเจรจาขอความร่วมมืออย่างนั้นหรือ”

“ท่านรู้ดีนี่” อีกฝ่ายยิ้มน้อยๆ ยังผลให้ดูลัสเหยียดยิ้มข่มบ้าง

“แล้วทำไมเราจะต้องร่วมมือกัน ในเมื่อเรากำลังแย่งชิงผลประโยชน์เดียวกัน”

“เรายิ่งต้องร่วมมือกัน ในเมื่อเรามีศัตรูเดียวกัน และยังไม่ต้องแย่งชิงผลประโยชน์เดียวกัน” อาเมียร์แก้คำพูด “ท่านเฟลิมไม่ได้ต้องการแต่งงานกับเจ้าหญิง”

องครักษ์หนุ่มเพียงแค่นเสียงในใจ ผู้ที่เข้าร่วมประลองโดยไร้แรงจูงใจอย่างนี้มีอย่างที่ไหน

“แต่ข้าต้องการช่วยเจ้าหญิง และข้าคิดว่าท่านก็ต้องการช่วยพระองค์เหมือนกัน ท่านก็ทราบไม่น้อยกว่าข้าว่าชาลัวห์เป็นคนอย่างไร เราปล่อยให้เขาชนะการทดสอบรอบนี้ไม่ได้แน่ๆ”

“แล้วทำไมเจ้าถึงคิดว่าคนอย่างมันจะชนะ”

“ชัยภูมิของเขาดีกว่าใคร ยิ่งหากยึดที่มั่นของท่านกับท่านเฟลิมได้ เขาก็จะมีคะแนนเหลือเฟือสำหรับรอบต่อไป ต่อให้ท่านยอมแลกเอาชีวิตเขาให้ได้โดยเสียที่มั่นหรือชีวิตของตัว ท่านก็ยังจะเสียคะแนนและอาจตกรอบได้อยู่ดี”

ดูลัสนึกชมอีกฝ่ายที่เดาแผนการของเขาออก แต่ก็ไม่แพร่งพรายออกไป

“นั่นก็ดีสำหรับนายของเจ้าไม่ใช่หรือ”

“แต่ไม่ดีสำหรับเจ้าหญิง...ไม่ใช่หรือ” อาเมียร์กลับย้อนถามจริงจัง

องครักษ์หนุ่มยักไหล่น้อยๆ

“แต่ใครเป็นนายของเจ้า คิดจะทำตัวเป็นอัศวินพิทักษ์องค์หญิงล้ำหน้านายอย่างนี้ไม่ถือว่าเกินกำลังและเกินความจงรักภักดีต่อนายไปหน่อยหรือ”

“ข้าตั้งใจช่วยแอชในฐานะเพื่อน และท่านเฟลิมก็เห็นแอชเป็นเพื่อนเหมือนกัน...ถึงจะไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของนาง”

เขาอยากระเบิดหัวเราะเป็นกำลังกับคำพูดจริงจังของอีกฝ่าย แต่ก็สงวนท่าทีไว้

“ท่านอาจไม่เชื่อ แต่แอชเคยเล่าให้ข้าฟัง ว่าท่านเป็นเหมือนพี่ชายของนาง...ว่านางรักและเคารพท่านมากขนาดไหน ข้าคิดว่าท่านย่อมเป็นห่วงนาง...น่าจะมากกว่าข้าเสียอีก”

ดูลัสพบว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าแสดงละครได้ดีกว่าที่คิด และหากที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริง...ซึ่งก็มีแววสูงว่าจะเป็นความจริงเพราะเขาเองก็รู้ว่าเจ้าหญิงแอชลีนน์เป็นคนที่ซื่อและตรงไปตรงมาเพียงไร ก็คงคาดหวังว่านั่นจะเป็นไม้เด็ดที่ใช้กล่อมเขาให้ยอมร่วมมือกับแผนการอะไรก็ตามนั้นได้อยู่หมัด

“แล้วอย่างไร”

“นาง...คงอยากให้ท่านเป็นผู้ชนะไม่ใช่หรือ”

“เจ้านี่ช่างเดาใจใครๆ ไปทั่วเหลือเกินนะ” ชายหนุ่มเปรย “แต่อย่ามาหว่านล้อมข้าเลย ถ้าข้าจะยอมร่วมมือกับแผนการก็เป็นเพราะเห็นว่าแผนของเจ้าเป็นประโยชน์ต่อข้า ไม่ใช่เพราะเจ้าแสดงตัวว่ามีเจตนาดีอะไรนักหรอก”

“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ควรจะฟังแผนการเสียเลย” เด็กหนุ่มกลับเข้าประเด็นทันทีโดยไม่มีท่าทางขุ่นเคืองกับคำพูดของเขา “เพราะนั่นคือจุดประสงค์ที่ข้ามาที่นี่”

“เชิญว่ามา” องครักษ์หนุ่มพยักหน้า

“พรุ่งนี้...ท่านคิดว่าพอจะตั้งรับมันไว้ได้นานเท่าไรหากพวกมันบุกเต็มกำลังและท่านปล่อยให้พวกมันตีฝ่าเข้ามาในค่ายของท่านได้”

“เต็มกำลังนี่คือ?”

“สมมติว่าพวกมันยกพลมาราว...แปดสิบคน และทิ้งคนไว้รักษาค่ายราวยี่สิบคน”

“...ชั่วยามหนึ่งกระมัง แต่เรื่องนี้กะเกณฑ์ได้ยาก เจ้าต้องการเวลาเท่าไรล่ะ”

“ข้าคาดการณ์ไว้ว่าชั่วยามครึ่ง”

“ชั่วยามครึ่ง...” ดูลัสขมวดคิ้ว “ข้าจะลองดูว่าทำได้หรือไม่”

อาเมียร์พยักหน้ารับ

“ระหว่างนั้นข้าจะลอบเข้าไปในค่ายของชาลัวห์...”

องครักษ์หนุ่มเดาเป้าหมายของเขาได้ทันที

“เพื่อเผาธงของมันอย่างนั้นหรือ”

เด็กหนุ่มพยักหน้า

ธงเป็นสัญลักษณ์ของที่ตั้งค่าย การเสียธงเป็นการเสียคะแนนสูงสุดพอๆ กับเสียชีวิตผู้นำทัพในการทดสอบครั้งนี้และถือเป็นครึ่งหนึ่งของเงื่อนไขการพ่ายแพ้ และทางเดียวที่จะกู้คะแนนการเสียธงไปได้ก็มีเพียงการยึดธงของฝ่ายศัตรูที่ทำลายธงของตนมาทำลายให้ได้เท่านั้น

ดูลัสรู้ขั้นตอนต่อมาในเวลารวดเร็ว

“จากนั้นเจ้าก็จะล่าถอยกลับค่ายของตัว มันจะตามไปชิงธงของเจ้าในทันที และตามเข้าไปในป่าที่เจ้าให้คนซุ่มรออยู่”

“ใช่ ท่านพูดถูกแล้ว”

องครักษ์หนุ่มลอบยิ้มน้อยๆ

“เราคงอ่านตำราเล่มเดียวกันมา แต่เจ้าไม่คิดว่าแผนนี้จะเสี่ยงไปหน่อยสำหรับฝ่ายข้าหรือ หากเจ้าพลาดชิงธงไม่สำเร็จ หรือล่อให้มันตามไปในทันทีไม่ได้ ข้าก็ย่อมถูกมันตีแตกแน่ๆ”

“หากท่านพลาดตรึงกำลังไว้ไม่อยู่หรือไม่นานพอ ข้าที่ลอบเข้าไปในค่ายของชาลัวห์ก็มีสิทธิ์ถูกจับ และหากข้าถูกสังหาร...ท่านเฟลิมจะรับมือพวกมันลำบากและตามข้าไปในไม่ช้า ข้าไม่ได้พูดอย่างนี้เพราะสำคัญว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่น แต่ว่ากันตามความเป็นจริง”

ก็จริง...แต่เขายังประมาทไม่ได้ เพราะเฟลิมนั้นเป็นคนที่ดูเงียบๆ และเรียบง่ายธรรมดาจนดูลัสไม่อาจแน่ใจว่าที่แท้จริงแล้วเป็นเสือซ่อนเล็บหรือม้ามืดอีกตัวหนึ่งหรือเปล่า ผิดกับเด็กหนุ่มชาวทะเลทรายที่เขายังพออ่านท่าทีออก

“หรือถ้าท่านคิดว่างานนี้เสี่ยงเกินไปสำหรับท่าน เราสลับหน้าที่กันก็ได้ ข้าจะล่อให้พวกชาลัวห์โจมตีข้า ส่วนท่านก็ลอบเข้าไปเผาธง”

“นั่นต่างหากที่เสี่ยงเกินไป” องครักษ์หนุ่มตอบตามจริง “พวกเจ้ามีป่ากำบัง แต่ฝั่งข้าเป็นเนินโล่ง แบ่งกันตามเดิมจะเหมาะสมกับพื้นที่ของพวกเรามากกว่า”

“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะจัดการให้แน่ใจว่าท่านได้รับผลตอบแทนคุ้มค่า ถ้าพวกของชาลัวห์โจมตีพวกข้าเต็มกำลัง...” อาเมียร์พูดช้าๆ “...ท่านก็ตรงไปยึดที่ตั้งค่ายของมันเลย ท่านจะได้ชัยภูมิที่ดีกว่ามาก ถึงจุดนั้นมันคงทิ้งกำลังไว้เฝ้าค่ายไม่มากนัก”

“ถ้าข้าทำอย่างนั้น เจ้าก็กำลังถอดปีกของมันมาสวมให้ข้าแท้ๆ นะ”

“เป้าหมายของข้าคือการป้องกันไม่ให้ชาลัวห์ชนะ ส่วนเรื่องของท่านค่อยว่ากันอีกที”

ดูลัสโคลงศีรษะด้วยความขบขันพิกล

“ถ้ามันทิ้งกำลังไว้เฝ้าค่ายไม่มากนัก...ข้าจะแบ่งกำลังพลเข้าป่าตามไปช่วยตลบหลังเจ้านั่นมันด้วยแล้วกัน ใครดีก็ได้คะแนนเด็ดหัวมันไป...ดีไหม”

“แล้วแต่ท่าน” อีกฝ่ายตอบง่ายๆ

องครักษ์หนุ่มผงกศีรษะ

“แล้วเวลาเริ่มแผนการ?”

ทั้งสองตกลงเรื่องเวลาและรายละเอียดต่างๆ ให้เรียบร้อยโดยเร็ว ก่อนที่ผู้มาเยือนจะขอตัวลากลับไป

“ข้าหวังว่าท่านจะเห็นว่าข้าจริงใจ”

ดูลัสรักษาสีหน้าให้เรียบเฉยขณะที่เด็กหนุ่มค้อมศีรษะ ก่อนจะเรียกเกอร์มอนให้มาพาตัวอีกฝ่ายออกไป

เมื่อนั้นเอง เขาจึงได้อยู่ตามลำพังเบื้องหน้าแผนที่อีกครั้งหนึ่ง มองแผนที่ดูทางหนีทีไล่ตามข้อเสนอที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้จนถ้วนถี่ แล้วจึงตัดสินใจว่าจะทำตามนั้น ถึงจะเสี่ยง แต่ก็เป็นแผนที่เห็นโอกาสและผลสำเร็จมากกว่าสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำเพียงลำพัง

แต่คนที่จะปกป้องเจ้าหญิงแอชลีนน์ได้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น

ชายหนุ่มเลิกแขนเสื้อขึ้น...ดูรอยแดงรูปเส้นโค้งสองรอยขนานกันบนผิวขาวจัดของตน

รอยฟันของเด็กสาววัยสิบสามคนหนึ่ง...เด็กสาวที่พยายามดิ้นรนสารพัดบนหลังม้าข้างหน้าเขา ทั้งตบตีหรือแม้กระทั่งก้มหน้าลงกัดแขนของเขาเสียจมเขี้ยว หลังจากกรีดร้องละล่ำละลักทั้งน้ำตานองหน้า

“กลับไปนะ! ดูลัส! กลับไปเดี๋ยวนี้! กลับไปหาเสด็จพ่อ...เสด็จแม่...เสด็จพี่...ได้ยินไหม!! บอกให้กลับไป--!!”

ดูลัสในวัยสิบเก้าไม่ยอมย้อนกลับไป ท่ามกลางป่าสองข้างทาง...เขาข่มความเจ็บปวดที่แขนขณะบังคับม้าให้มุ่งต่อไปเรื่อยๆ ข้างหน้า จนกระทั่งเจ้าหญิงแอชลีนน์รอดชีวิตมาได้

...เพียงลำพัง...

องครักษ์หนุ่มเสียแม่ไปตั้งแต่อายุเพียงสิบขวบด้วยอุบัติเหตุกะทันหัน ไม่ยากเลยที่จะเข้าใจความรู้สึกของเด็กสาวผู้สูญเสียทั้งพ่อ แม่ พี่ชายไปพร้อมกันในทีเดียวด้วยเหตุสะเทือนขวัญยิ่งกว่า สภาพพระศพที่ยับเยินและถูกหยามหมิ่นเกียรติอย่างหยาบช้าก่อความแค้นเคืองให้ในใจทหารองครักษ์และขุนนางธีร์ดีเรทุกคนที่ได้เห็น

และแม้ศพของเหล่าผู้กระทำการจะถูกนำมาแขวนประจานให้ประชาชนก่นด่าและขว้างปาระบายความแค้น...นั่นก็ไม่มีวันสาสม ไม่อาจลบล้างสิ่งที่พวกมันทำต่อพระราชวงศ์ และที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือทำต่อใจของเด็กสาวตัวเล็กๆ คนนั้นได้

ดูลัสยังจำภาพหนึ่งในงานพระราชพิธีศพได้ติดใจ เจ้าหญิงแอชลีนน์ในฉลองพระองค์สีดำหลั่งน้ำตาอาบหน้า สะบัดหลุดจากเคียราที่ประคองอยู่ไปกอดโลงพระศพใบที่ใกล้ที่สุดก่อนจะกรีดร้องบอกให้เปิดโลงทั้งหมด...เพื่อยืนยันเธอว่าเหล่าร่างที่อยู่ภายในนั้นคือญาติร่วมสายเลือดทั้งสามของเธอจริงๆ

...แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าทำเช่นนั้น...ไม่มีใครกล้าให้เจ้าหญิงแอชลีนน์ได้ทอดพระเนตรศพของทั้งสองฝ่าย...สำหรับเด็กสาวแล้ว พ่อแม่และพี่ชายของเธอเพียงอันตรธานไปเสียเฉยๆ อย่างไร้ร่องรอย ว่างเปล่าเกินกว่าจะเรียกได้ว่าความตาย...เหล่าคนร้ายลอบสังหารก็เป็นเหมือนกับปีศาจล่องหนที่เธอเคยได้ยินเพียงคำพาดพิงถึง

องครักษ์หนุ่มสาบานกับรอยแผลเป็นที่แขนของตนในบัดนั้นเองว่าเขาจะปกป้องเจ้าหญิงแอชลีนน์ไว้ด้วยชีวิต...ตามกระแสรับสั่งสุดท้ายของฝ่าพระบาทและพระราชินี และเจ้าชายไอลีช...พระเชษฐาของเจ้าหญิงผู้เมตตาต่อเขาอย่างพระสหาย

และก็ยิ่งต้องปกป้องไว้ให้ได้...ท่ามกลางพวกคนที่ไม่น่าไว้ใจที่หวังแต่จะใช้ประโยชน์จากเธอทั้งหมดนี้

...รวมทั้งคนที่มันพรากครอบครัวของเธอไปจากเธอ ด้วยจุดประสงค์ที่เขามารู้ในทีหลังว่าไม่ต่างกันเลย...

บทที่ ๑๘ ศึกประสาน

* * *

ดูลัสมองรอยฟันที่สาวเจ้าฝากไว้เมื่อหลายปีก่อนให้ซึ้งใจ...เผยความมาโซออกมาจนได้สิน่า (ฮา...แซวเล่นครับ ^^; )

เผยความลับอีกอย่างว่า...แอชเป็นพวกชอบของหวานครับ โปรดปรานเค้ก พุดดิ้ง และนมร้อนใส่น้ำผึ้งเป็นพิเศษ (โดยเฉพาะฝีมือเคียราชง) ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังเอวบางร่างน้อยไม่อ้วนเสียที (น่าอิจฉา...) เสียอย่างเดียวตัวไม่ค่อยสูงจนต้องโดนจับใส่ส้นสูงมหากาฬเยี่ยงนั้น (น่าสงสาร...) แต่ว่าไปเจ้าความลับนี่ผมก็เพิ่งมาคิดได้ตอนสังเกตว่าตอนวันลูคนาซาธและตอนที่มีบรรยายถึงของกินหน้าตาอร่อยๆ เป็นมุมมองของแอชหมดเลยนี่นา ^^a

แถมท้ายด้วยรูปที่ลืมไปของตอนที่แล้วนะครับ



ดูลัสในชุดลำลองแบบลูกขุนนาง ซึ่งเป็นชุดที่สวมตอนพบอาเมียร์ในหอสมุดวิทยาลัยหลวงครับ

แผนการของอาเมียร์กับดูลัสจะเป็นยังไงต่อไป ขอเชิญชมได้ในตอนหน้าครับผม :)


Create Date : 26 มีนาคม 2552
Last Update : 26 มีนาคม 2552 22:40:21 น. 1 comments
Counter : 283 Pageviews.

 
มาอ่านค่ะ


โดย: ริวไผ่ IP: 88.149.172.90 วันที่: 27 มีนาคม 2552 เวลา:3:27:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Anithin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add Anithin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.