ที่พักนักตระเวนแดนฝัน
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๓๐ - เส้นทางใหม่

บทที่ ๓๐ เส้นทางใหม่


“ยานี้ไม่ขมจริงๆ หรือคะท่านหมอ” แอชลีนน์แสร้งเบ้หน้า พยายามซ่อนความดีใจไว้ขณะมองโหลแก้วเล็กๆ ใส่เม็ดยาลูกกลอนสีดำเข้มหลายสิบเม็ด พลางเขย่ามันเล่นเบาๆ จนได้ยินเสียงดังกรุกกริก

“องค์หญิงก็เคยเสวยยานี้แล้วนี่พ่ะย่ะค่ะ”

“อย่างนั้นหรือ...ขอโทษนะ ตอนนั้นจำได้ว่ารับประทานยาหลายตัวเสียจนลืมไปหมดแล้วว่ายาตัวไหนมีรสอย่างไรบ้าง”

“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ยาสมุนไพรตัวนี้ไม่ขมมาก ยิ่งผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนเช่นนี้ก็มีรสหวานจางๆ เสียด้วยซ้ำพ่ะย่ะค่ะ” แพทย์หลวงวัยกลางคนกราบทูล “ผสมกับนมแล้วเสวยยังได้เลย”

“แล้ว...ถ้ารับประทานมากไปจะมีผลข้างเคียงไหม”

“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ อาจจะบรรทมนานกว่าปกติ หรือถ้าทรงตื่นก่อนเวลาก็อาจจะทรงง่วงบ้าง แต่ไม่มีผลข้างเคียงนอกจากนี้”

“ถ้าอย่างนั้นเราขอเลยนะ” เด็กสาวหยิบโหลแก้วใส่ช่องกระเป๋าสำหรับเก็บผ้าเช็ดหน้าในแขนเสื้อยาวตัวนอก “หมู่นี้นอนไม่ค่อยหลับเลย แถมยังหลับไม่สนิทแล้วฝันเลอะเลือนอย่างนี้ คงเพราะมีเรื่องให้คิดมากแน่ๆ”

“พ่ะย่ะค่ะ” แพทย์หลวงรับ “หากยาตัวนี้ยังไม่ได้ผลอีกก็ขอให้ตรัสบอกกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะได้จัดยาที่แรงกว่ามาถวาย แต่...องค์หญิงไม่ได้เสวยยานี้มานานเป็นปีแล้ว กระหม่อมคิดว่าคงไม่มีอาการดื้อยาหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

“เข้าใจล่ะ ขอบคุณท่านหมอมาก” แอชลีนน์ลุกจากเก้าอี้ในห้องรับรอง “เราขอตัวก่อนนะ แล้วฝากท่านหมอกรุณาอย่าบอกใครเรื่องยานี่ล่ะ เดี๋ยวนมกับเคียราจะเป็นห่วงเกินเหตุเสียเปล่าๆ พวกนางยิ่งไม่อยากให้เรารับประทานยานอนหลับอีกด้วย”

อย่างน้อยนั่นก็เป็นเรื่องจริง หลังเกิดเหตุลอบปลงพระชนม์ เจ้าหญิงแอชลีนน์วัยสิบสามชันษาซึ่งลุกขึ้นมาร้องไห้อาละวาดขว้างปาข้าวของเป็นพักๆ ต้องเสวยยาระงับประสาทเป็นกิจวัตร ตั้งแต่ยาตัวที่อ่อนที่สุดและไร้รสขมอย่างยาลูกกลอนที่เธอเพิ่งได้มา ไปจนถึงยาผสมเหล้าและสมุนไพรอื่นๆ ที่แรงกว่านั้นให้หลับข้ามวันข้ามคืนและตื่นมาด้วยอาการง่วงซึมไร้เรี่ยวแรง เรียกได้ว่ากว่าจะมีสภาพร่างกายและจิตใจดีพอให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ เด็กสาวก็ต้องทรมานกับการถอนยาอยู่เป็นเดือนเช่นกัน

“หากไม่เสวยติดต่อกันนานๆ ก็เห็นจะไม่เป็นไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ” แพทย์หลวงรับรอง “แล้วหมอก็มีหน้าที่รักษาความลับของคนไข้อยู่แล้วนี่พ่ะย่ะค่ะ”

เด็กสาวหัวเราะน้อยๆ

“ดีแล้วล่ะ ขอบคุณมาก”

* * *

เมื่อแอชลีนน์ออกไปจากห้องรับรอง ก็พบเคียรารอเธออยู่ด้วยสีหน้าเป็นกังวลที่หน้าประตู

“ท่านหมอว่าอย่างไรหรือเพคะ”

“ก็...ไม่มีอะไร เราคงคิดมากไปเองจริงๆ นั่นล่ะ”

“แล้วท่านหมอไม่ได้ให้ยามาเลยหรือเพคะ”

“ท่านหมอบอกว่า...ถ้ามียาแก้โรคคิดมากก็คงจะให้เรามาแล้ว แต่ในเมื่อไม่มีจะให้รับประทานยาอะไรล่ะ” แอชลีนน์พูดแล้วก็เดินนำไป “เดี๋ยวไปห้องสมุดต่อ...นะ เราว่าจะหาหนังสือมาอ่านสักหน่อย”

“หม่อมฉันกลับคิดว่าองค์หญิงทรงควรพักผ่อนมากกว่านี้นะเพคะ” นางกำนัลสาวกลับแย้ง “วันนี้เล่นเทียวเสด็จไปมาหลายที่เหลือเกิน ทั้งอาราม ท่าเรือเล็ก ป้อมปราการหน้าปราสาท แล้วยังนัดท่านเสนาบดีคลังไว้ตอนบ่ายอีก”

“ก็...เราไม่อยากอยู่เฉยนี่” เด็กสาวให้ข้ออ้าง “เราอยากทำอะไรให้ท่านเฟลิมได้สักอย่าง ยิ่งเขา...อุตส่าห์มาหาเราทั้งทีอย่างนี้”

“องค์หญิง!” น้ำเสียงของเคียราหวาดหวั่นขึ้นทันควัน “ย...อย่าตรัสแบบนี้สิเพคะ ตรัสว่าวิญญาณคนตายมาหานี่เป็นลางไม่ดีนะเพคะ”

“แต่เขาก็ไม่ได้มาร้ายนี่ แค่มายืนมองเราอยู่ตรงปลายเตียงเท่านั้นเอง สีหน้าของเขาดูเศร้ามากเลยนะ”

“องค์หญิง...หม่อมฉันขอเถอะเพคะ ย...อย่าตรัสอย่างนี้เลย”

แอชลีนน์ต้องกลั้นยิ้มไว้สุดความสามารถ หากจะมีสิ่งใดที่เคียรากลัวที่สุดในชีวิตก็เห็นจะเป็นผีสางนี่เอง ไม่นึกเลยว่าแผนการหลอกนางกำนัลสาวจะได้ผลเกินคาด...ถึงจะดูไม่ดีต่อคนที่ตายไปจริงๆ สักเท่าไร เธอแกล้งทำเป็นตกใจตื่นกลางดึก แล้วผลุนผลันออกมาหน้าห้องเพื่อบอกให้ราชองครักษ์เรียกเคียราที่นอนพักอยู่ในห้องพักของตน แล้วละล่ำละลักเล่าให้อีกฝ่ายว่าเห็นวิญญาณของเฟลิม

วันนี้หญิงสาวถึงกับยอมตามเธอต้อยๆ ไปทุกที่เพื่อทำพิธี ‘ปลอบขวัญวิญญาณ’ ทั้งไปสวดมนต์ที่อารามเล็กในบริเวณพระราชวัง ลงไปที่ท่าเรือเล็กของปราสาทเพื่อลอยดอกไม้ไว้อาลัย ขึ้นไปฟังเสียงระฆังของมหาวิหารใหญ่จากบนป้อมใกล้สนามประลองฝั่งตะวันตกเพื่อให้เสียงนั้นขับไล่วิญญาณร้ายแม้จะไม่อาจออกไปสวดมนต์ในมหาวิหารได้ ซ้ำยังเชื่อสนิทเมื่อแอชลีนน์บอกว่าอยากพบเสนาบดีการคลังเพื่อขอให้ออกเหรียญกษาปณ์ที่มีรูปเฟลิมอยู่เพื่อเป็นการให้เกียรติ ในเมื่อครอบครัวของชายหนุ่มปฏิเสธการฝังศพในสุสานของขุนนางผู้มีความชอบและจงรักภักดีในเขตอารามของพระราชวังไปแล้ว

ในห้องสมุด แอชลีนน์ทักทายท่านน้าคอนรอยที่ห้องทำงานของท่าน กับท่านราชครูและคณะนักค้นคว้าตามสมควร แล้วจึงไปค้นหนังสือดู ไม่นานก็พบหนังสือภูมิศาสตร์ซึ่งมีแผนที่ภูมิประเทศต่างๆ ในธีร์ดีเรแทรกอยู่ หนังสือประวัติการก่อตั้งเมืองหลวงที่มีแผนที่อย่างละเอียด หนังสือบอกชนิดและประเภทของเหรียญกษาปณ์ซึ่งเธอไม่เคยอ่านมาก่อน ซ้ำยังขอแผนที่พระราชวังมาได้ง่ายๆ โดยอ้างว่าจะมาดูพื้นที่ว่างซึ่งพอจะต่อเติมหรือสร้างอนุสรณ์อย่างใดสักอย่างให้เฟลิมได้

เด็กสาวขอยืมหนังสือเหล่านี้กับแผนที่ออกไปอย่างเงียบๆ แล้วก็ไปรับประทานอาหารกลางวันก่อนจะพบเสนาบดีการคลังที่ห้องรับรอง เขานำเหรียญกษาปณ์ต่างๆ มาให้เธอดูและอธิบายมูลค่าของพวกมัน รวมทั้งหลักเกณฑ์การใช้เนื้อโลหะและตราประทับบนเหรียญ แอชลีนน์ฟังระบบเงินตราที่ตนไม่เคยฟังมาก่อนอย่างสนใจจนแทบลืมจุดประสงค์เดิม

“แล้ว...ถ้าเราจะให้ผลิตเหรียญที่มีรูปท่านเฟลิมไว้เป็นอนุสรณ์จะได้ไหม” เด็กสาวทำเป็นซักถาม

“หมายถึงจะมีพระดำริให้ยาร์ลาธผลิตหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“เราหมายถึง...เหรียญที่ผลิตที่เมอร์คาห์น่ะ” แอชลีนน์บอก “เขาเป็นถึงคู่หมั้นของเรา ถ้าไม่เกิดเรื่องเลวร้ายนี่ขึ้นมาก็ย่อมได้เป็นราชาแห่งธีร์ดีเรไม่ใช่หรือ เราอยากให้เกียรติเขาในฐานะนั้น ถ้าเป็นเหรียญร้อยวีร์ของเมอร์คาห์ล่ะ พระพักตร์ของเสด็จพ่อก็มีบนเหรียญห้าร้อยวีร์แล้วไม่ใช่หรือ”

“กระหม่อมเกรงว่าอาจสูงค่าไปพ่ะย่ะค่ะ อีกสองแคว้นที่เหลือคงไม่เห็นด้วย แต่ว่าไปชอร์ซาคงไม่มีทางต่อรองอะไรได้ ถึงอย่างนั้นก็ต้องคำนึงถึงอุลทูร์ไว้ให้มาก กระหม่อมคิดว่าเหรียญห้าสิบวีร์น่าจะเหมาะกว่า”

“เข้าใจล่ะ ถ้าอย่างนั้นฝากท่านเสนาบดีจัดการด้วยนะ” เด็กสาวรับ

“พ่ะย่ะค่ะ” ชายวัยกลางคนทำท่าจะเก็บเหรียญต่างๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะเข้าถุงกำมะหยี่ แต่แอชลีนน์ก็รีบขัดขึ้น

“เอ้อ...เราจะขอเหรียญพวกนี้ไปดูจะได้ไหม”

“ขอไปดูหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีคลังถามอย่างสงสัย

“ใช่...ก็แค่อยากเก็บไว้ดูอะไรหลายๆ อย่าง” เธอพยายามพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าเป็นความอยากรู้ธรรมดา “เราเพิ่งยืมหนังสือเรื่องเหรียญกษาปณ์มา อยากศึกษาเรื่องลักษณะของเหรียญ แล้วก็วิธีพิสูจน์เหรียญปลอมดู แต่เราจะไม่ทำอะไรให้เหรียญพวกนี้เสียหายหรอก ใช้เสร็จแล้วจะรีบคืนแน่ๆ”

“ตามสบายเถิดพ่ะย่ะค่ะ” อีกฝ่ายกลับยิ้มอย่างเอ็นดู “ทรงเก็บไว้เลยก็ได้ ถึงอย่างไรเหรียญเงินทั้งหมดในธีร์ดีเรก็ถือเป็นพระราชทรัพย์ของพระองค์กับพระราชวงศ์อยู่แล้วนี่พ่ะย่ะค่ะ อันที่จริงจะทรงขอเบิกเหรียญเงินต่างๆ โดยตรงจากท้องพระคลังมาทอดพระเนตรก็ได้”

“นั่นสิ แต่ก่อนหน้านี้เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเบิกจากท้องพระคลังไปทำอะไร อยากซื้ออะไรก็ฝากคนอื่นๆ ไปซื้ออยู่แล้ว เลยไม่ค่อยได้แตะต้อง ‘พระราชทรัพย์’ ของตัวเองจริงๆ” เด็กสาวพูดเล่น “ขอบคุณมากนะ ท่านเสนาบดี แล้ววันหลังเอาเหรียญปลอมมาให้เราดูด้วยนะ จะได้ทดสอบว่าเราแยกออกไหม”

“ด้วยความยินดีพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีคลังตอบง่ายๆ ดูจะไม่สังเกตพิรุธอะไร ขณะที่เด็กสาวเก็บเหรียญพวกนั้นไว้ในแขนเสื้อเช่นเดียวกับโหลยา

* * *

“องค์หญิงไม่เสวยเอ็กน็อกให้หมดล่ะเพคะ” เคียราตั้งคำถามหลังจากเข้ามาในห้อง และชะโงกดูถ้วยเงินข้างๆ มือของนายหญิงที่นั่งอ่านหนังสือเล่มใดสักเล่มที่เพิ่งไปยืมมาวันนี้ใต้แสงตะเกียง ทั้งๆ ที่ค่ำเต็มทีแล้ว “ก็ทรงขอให้คุณท้าวทราซาชงให้แท้ๆ นี่เพคะ”

“เราก็พยายามดื่มให้หมดแล้ว แต่นมเล่นชงมาเสียเยอะแยะจนจะดื่มได้สองคนอย่างนี้ ดื่มหมดคงท้องอืดไม่ก็ท้องเสียแน่ๆ” เด็กสาวเบ้หน้าพลางเอามือกุมท้อง “กระนั้นยังเอื้อมมือไปคว้าถ้วยทรงสูงนั้นยกขึ้นใกล้ริมฝีปาก

เคียรายิ้มอย่างอ่อนใจ

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรหรอกเพคะ คงเพราะหลังๆ มานี้คุณท้าวไม่ได้ชงเอ็กน็อกให้กับองค์หญิงเลยกระมัง ถึงได้ทำเยอะไปหน่อย เอาเถอะเพคะ เสวยไม่ไหวก็วางไว้เถอะ”

“แต่เกิดนมรู้ว่าเหลือคงเสียใจแย่เลย” เด็กสาวมีสีหน้ากังวล

“ก็เสวยไม่ไหวจริงๆ ไม่ได้อยากเสวยเหลือนี่เพคะ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” เจ้าหญิงแอชลีนน์ถอนใจ แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเธอเหมือนนึกอะไรออก “เคียราช่วยดื่มให้หมดได้ไหมล่ะ นมจะได้ไม่รู้ แล้วก็ไม่เสียใจด้วย”

“แต่หม่อมฉัน...” หญิงสาวลำบากใจทันที “คงไม่ดีนะเพคะ ถ้าคุณท้าวทราซารู้ว่าหม่อมฉันดื่มของเสวยเข้าไปนี่”

“ใครจะไปรู้ ก็เราอยู่กันสองคนเองนี่นา” เจ้าหญิงทรงอ้าง “น่านะ...เคียรา ช่วยเราหน่อยนะ นิดเดียวเอง”

เธอชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า

“ก็ได้เพคะ”

เคียรายกถ้วยเงินขึ้นจรดริมฝีปาก แล้วดื่มของเหลวข้นรสหวานซึ่งปั่นจากนมผสมไข่ น้ำตาลและเครื่องเทศอื่นๆ เข้าไปให้หมดถ้วย ว่าไปเธอก็ไม่เคยได้ดื่มเอ็กน็อกสูตรพิเศษของคุณท้าวทราซาเลย รสชาติของมันอร่อยดีสมที่เจ้าหญิงแอชลีนน์ทรงติดใจ แต่ตอนนี้ออกจะเย็นชืดไปนิด

หญิงสาวนำถ้วยเงินออกไปส่งให้นางกำนัลข้างนอกเก็บล้าง แล้วจึงกลับมาอยู่รับใช้เจ้าหญิงแอชลีนน์อีกครั้ง เธอเคี่ยวเข็ญให้อีกฝ่ายยอมวางหนังสือ สวดภาวนา แล้วก็เข้าบรรทมสำเร็จโดยที่เจ้าหญิงต่อรองขอไม่ดับตะเกียงเพราะกลัวความมืด หรือที่จริงคือสิ่งอื่นซึ่งมากับความมืด เคียราซึ่งแอบยอมรับเงียบๆ ว่าตนกลัวเหมือนกันไม่คัดค้าน ตะเกียงดวงเล็กบนโต๊ะอักษรจึงยังลุกไหม้ริบหรี่ขณะที่นางกำนัลสาวผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนหลังฉากไม้ที่มุมห้อง แล้วนอนบนฟูกที่ปูบนพื้นข้างเตียงเป็นเพื่อนร่วมห้องตามที่เจ้าหญิงขอไว้ตั้งแต่ตอนสาย

นึกดูวันนี้ก็แปลกดี เจ้าหญิงแอชลีนน์ไม่พูดถึงคนทะเลทรายนั่นเลย หรือจะเป็นเพราะวิญญาณของพระคู่หมั้นมายืนยันว่าเขาเป็นคนร้ายจริงๆ กันนะ ที่แปลกอีกอย่างคือพอพบวิญญาณของเขาแล้วเจ้าหญิงกลับดูทรงปลอดโปร่งพระทัยขึ้น หรือเขาจะมาดีอย่างที่ว่าจริงๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็นับว่าดีได้กระมัง

พอดีกว่า เวลากลางคืนอย่างนี้อย่านึกถึงวิญญาณเลย ประเดี๋ยวอีกฝ่ายมาหาจริงๆ เธอเองก็ไม่อยากพบอยากเจออะไรพวกนี้ด้วย

เคียราหาวหวอดขึ้นมาจนยกมือปิดปากแทบไม่ทัน ทั้งๆ ที่ไม่มีใครอื่นมองเห็น

เอ...ทำไมวันนี้ถึงได้รู้สึกง่วงมากนะ คงเป็นเพราะเหนื่อยที่ติดตามเจ้าหญิงแอชลีนน์ไปหลายต่อหลายที่กระมัง

หญิงสาวหันหน้าหนีจากหน้าต่างห้องบรรทมแล้วก็หลับตาลง เธอหลับลึกกว่าที่เป็นมาในไม่ช้า

* * *

“เคียรา” แอชลีนน์เสี่ยงเรียกเบาๆ

ไม่มีเสียงตอบ เด็กสาวผุดลุกขึ้นนั่งทันที ก่อนจะก้มลงสะกิดแก้มและเขย่าแขนของอีกฝ่ายให้แน่ใจ ยาของท่านหมอหลวงใช้ได้ผลดี

เมื่อเห็นเช่นนั้น แอชลีนน์ก็กลิ้งหมอนข้างมาไว้กลางเตียง คลุมด้วยผ้าห่มหนาที่ขยุ้มให้ดูพองเหมือนมีคนนอนอยู่ข้างใต้ เสร็จแล้วก็รีบไขไฟตะเกียงขึ้นเพื่อเตรียมการขั้นอื่น

เหรียญเงินสารพัดอย่างอยู่ในถุงผ้าที่ซ่อนในอกเสื้อใน ทับด้วยโหลยาที่ได้มาจากแพทย์หลวง สร้อยประคำฝังพลอยสวมคอ เธอฉีกแผนที่จากหนังสือมาปะใต้กระโปรงชั้นในด้วยเข็มจากกล่องเย็บปักถักร้อย เอามีดสั้นประจำพระราชวงศ์ที่ได้ตกทอดมาจากเสด็จพ่อมัดไว้กับต้นขาให้แน่นด้วยผ้าผูกผม ยังดีที่เก็บช้องผมสีน้ำตาลเข้มที่เธอใช้สวมตอนปลอมตัวเป็นแอชเอาไว้

แอชลีนน์หยิบชุดนางกำนัลของเคียราที่แขวนหลบอยู่หลังฉากกั้นมาเปลี่ยน ชุดของนางกำนัลสาวหลวมกว่าเธอนิดหน่อย แต่คงไม่มีใครสังเกตในเวลาค่ำมืดแบบนี้ กระนั้นเธอคงต้องใส่เจ้ารองเท้าส้นสูงคู่เดิมของตนไปก่อนเพราะเคียราตัวสูงกว่าเธอพอสมควร พอสวมชุดเสร็จ เด็กสาวก็สวมช้องผมแล้วใช้ผ้าคลุมผมของอีกฝ่ายคลุมไว้

แต่งตัวแล้ว เธอก็ไปตรวจดูความเรียบร้อยที่กระจกบานยาวเต็มตัว พอเหมือนเคียราอยู่ หากเป็นองครักษ์คนอื่นที่ไม่ใช่ดูลัสก็คงจะไม่สังเกต ด้วยเหตุนี้เองที่แอชลีนน์รีบดำเนินการในวันที่ดูลัสยังไม่กลับมาพอดี

เด็กสาวตรวจสอบข้าวของต่างๆ อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบตะเกียงแล้วเปิดประตูออกไป

“คุณเคียราจะไปไหนขอรับ” ราชองครักษ์ที่หน้าห้องถาม

“กลับห้องน่ะค่ะ เจ้าหญิงบรรทมสนิทดีแล้ว ข้าเลยคิดว่าไม่อยู่รบกวนพระองค์ดีกว่า แล้วจะรีบกลับมาตอนเช้านะคะ”

“ขอรับ” เธอรู้สึกเหมือนเห็นชายหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ “เป็นนางกำนัลนี่ก็ลำบากเหมือนกันนะขอรับ”

“ค...ค่ะ” เด็กสาวรับก่อนจะค้อมศีรษะ “ขอตัวก่อนนะคะ”

เด็กสาวเดินไปตามทางเดินที่มีตะเกียงจุดไว้เป็นระยะๆ เพิ่งรู้สึกว่าทางเดินในพระราชวังตอนกลางคืนดูแปลกตาและน่ากลัวกว่าตอนกลางวันจริงๆ เธอลงไปยังชั้นล่างซึ่งเป็นที่พักของพวกนางกำนัล แล้วก็เลยลงไปยังบริเวณห้องเครื่องโดยอ้างกับทหารยามว่าเจ้าหญิงแอชลีนน์ทรงไหว้วานเรื่องบางอย่างมา

ดูเหมือนเธอจะกะเวลาได้ถูกต้องตามที่ไปเลียบๆ เคียงๆ ถาม ในครัวสำหรับข้าราชบริพารซึ่งอยู่ไม่ห่างแต่แยกเป็นสัดส่วนจากห้องเครื่องหลวงกำลังมีการเตรียมอาหารให้กับพวกทหารยามที่อยู่เวร รวมถึงทหารชุดใหม่ที่มาเฝ้าคุกกรงน้ำแทนราชมัลชุดเดิม ซึ่งบ้างลาออกไปแล้ว ที่เหลือก็บาดเจ็บจนต้องหยุดพักจากงานสักระยะหนึ่ง

“ข้าขอนำอาหารไปให้ทหารยามที่คุกกรงน้ำได้ไหมคะ” แอชลีนน์ในคราบของเคียราแสร้งถาม “อันที่จริง...เจ้าหญิงทรงฝากข้าให้ไปถามอะไรพวกเขาหน่อยน่ะค่ะ ข้าจะได้ไปทีเดียวเลย”

พวกคนครัวดูจะแปลกใจหน่อยๆ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครกล้าคัดค้าน มีเพียงใครสักคนที่พูดขึ้นว่า

“ระวังตัวด้วยนะขอรับคุณหญิง”

“ค่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก” เด็กสาวทำเป็นยิ้มเจื่อนๆ แล้วดึงสายสร้อยที่สวมคอออกมา “อันที่จริง...ข้าก็ขอสร้อยประคำจากอารามมาป้องกันตัวไว้แล้วล่ะค่ะ”

* * *

แอชลีนน์ไม่เคยไปที่คุกกรงน้ำ ถึงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับที่นั่นมาบ้าง ตอนเด็กๆ เสด็จแม่เคยขู่เธอว่าหากซนนักจะจับไปขังในคุกกรงน้ำ โตขึ้นมาก็ได้ยินพวกนางกำนัลพูดกันว่าที่นั่น ‘ผีดุ’ เพราะมีนักโทษถูกคุมขังหรือทรมานจนเสียชีวิตมากมาย เธอเคยแปลกใจว่าทำไมถึงต้องทำคุกขังนักโทษไว้ในปราสาท เพราะใครๆ ย่อมไม่อยากให้มีคนตายกลายเป็นผีในบ้านของตน แต่ในเมื่อบริเวณอารามของปราสาทยังมีสุสานที่ได้ชื่อว่ามีคนเห็นวิญญาณอยู่บ้าง เด็กสาวก็ไม่รู้ว่าอะไรประหลาดกว่ากันระหว่างคุกกับสุสานในวัง

ขณะเดินตามหลังทหารผู้นำทางซึ่งถือไต้อยู่ท่ามกลางความมืดของผา แอชลีนน์ก็พบว่าทางไปคุกกรงน้ำดูวังเวงจริงๆ ไม่นึกเลยว่าจะอยู่ใต้ป้อมกำแพงฝั่งตะวันตกใกล้กับสนามประลองนี่เอง ริมทางเดินบนผานั้น มองลงไปด้านล่างคือทะเลที่ซัดสาดดังและลมพัดแรงจนน่ากลัวว่าจะพาร่างกายคนปลิวไปได้ง่ายๆ

เด็กสาวอาศัยจังหวะที่เสียงคลื่นดังสนั่นไม่ขาดสายล้วงหาโหลยาในคอเสื้อ สำรับอาหารมื้อดึกสำหรับทหารยามห้าคนนั้นประกอบด้วยขนมปังห้าก้อนในตะกร้า ซ้อนเหนือชามซุปใหญ่ที่มีทัพพีให้ตักแบ่งใส่ชามไม้เล็กๆ ที่วางซ้อนกันบนมุมถาด ภาชนะทั้งหมดทำจากไม้เนื้อเบาจึงไม่หนักมาก เธอนำตะกร้าขนมปังขึ้นทูนศีรษะ แล้วเทยานอนหลับใส่หม้อซุปจนหมดทั้งโหล ก่อนจะโยนโหลแก้วว่างเปล่าลงไปในทะเล จากนั้นก็รบรากับการรับน้ำหนักถาดอาหารด้วยมือเดียวและทรงตัวไม่ให้ขนมปังหล่นขณะเร่งใช้ทัพพีคนซุปและบี้เม็ดยาในชามสุดชีวิต

แอชลีนน์เผลอร้องออกมาเมื่อลมแรงวูบหนึ่งพัดตะกร้าขนมปังตกจากศีรษะ เคราะห์ยังดีที่เธอยึดผ้าคลุมผมไว้ได้ทัน เกิดให้ใครเห็นช้องผมที่สั้นกุดเป็นทรงผู้ชายขึ้นมาต้องไม่โสภาแน่ๆ

“เป็นอะไรไหมขอรับ” ทหารที่นำทางหันกลับมาถาม

“ม...ไม่เป็นไรค่ะ แต่ขนมปัง...”

“ลมแรงมากก็พลาดกันได้ล่ะขอรับ นำซุปไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวข้าจะย้อนนำขนมปังมาให้ใหม่ เดินเลยไปนิดเดียวก็จะเข้าที่ร่มมีคบไฟแล้ว”

“ค่ะ ขอโทษนะคะ” เด็กสาวรับ แล้วก็ตัดสินใจบอกเมื่อนึกได้ “เอ้อ เดี๋ยวข้าต้องอยู่พูดกับนักโทษน่ะค่ะ ไม่แน่ใจว่าจะนานอยู่หรือเปล่า ถึงอย่างไรท่านนำขนมปังมาส่งแล้วก็ไม่ต้องรอก็ได้นะคะ ข้าจำทางเดินกลับได้”

“แต่ว่า...”

“เดี๋ยวข้ายืมไต้จากทหารข้างล่างขึ้นมาได้ค่ะ ทำให้ท่านต้องเทียวไปเทียวมาอย่างนี้แล้วยังต้องรอข้าอีก ข้าเกรงใจนะคะ” แอชลีนน์พยายามโน้มน้าวเต็มที่ “ปราสาทของเราก็มีการคุ้มกันแน่นหนาอยู่แล้ว จะมีอันตรายอะไรได้ล่ะคะ ไปทำหน้าที่ของท่านต่อเถอะค่ะ”

“ขอรับ” ทหารคนนั้นรับ “แต่ถ้าขึ้นมาคนเดียวไม่ได้ ก็ให้ทหารที่เฝ้าคุกคนหนึ่งขึ้นมาส่งก็ได้นะขอรับ นักโทษแค่สองคนแถมเป็นคุกกรงน้ำ งานเฝ้านี่จริงๆ ไม่หนักหนาเลย”

“อ้าว แล้วที่บอกว่านักโทษคนหนึ่งมีอาคมขนาดฆ่าคนได้ล่ะคะ”

“ก็...ถ้าไม่ไปยุ่งกับเขาก็ได้ยินว่าเขาไม่ทำอะไรนี่ขอรับ” ทหารตอบ “ทหารที่เฝ้าคนหนึ่งนี่ก็เพื่อนข้าเอง ทีแรกเขาบอกว่ากลัวเหมือนกัน แต่เห็นนักโทษคนนั้นนั่งเงียบไม่พูดไม่จา ไม่มีทีท่าจะทำอะไร อาหารกับน้ำยังไม่ยอมแตะ ดูๆ ไปก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยขอรับ ก็ชาวทะเลทรายธรรมดาๆ คนหนึ่ง เห็นว่ายังเด็กกว่าพวกเราด้วยซ้ำ”

“อย่างนั้นหรือ” เด็กสาวได้ยินอย่างนั้นก็เป็นห่วงอาเมียร์ขึ้นมาในทันใด

“อันที่จริง เขาจะฆ่าหัวหน้าราชมัลก็ไม่แปลกหรอกขอรับ พวกราชมัลที่คุกกรงน้ำเดิมก็...ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรขอรับ ยิ่งหัวหน้านี่อย่าให้พูดเลย”

“ทำไมหรือคะ เขาเป็นอย่างไรหรือ” เธอถามอย่างสงสัย

“เอ้อ...” ทหารคนนั้นยกมือขึ้นเกาศีรษะ “ให้ข้าพูดคงไม่ดีต่อคนตายหรอกขอรับ”

อันที่จริงแอชลีนน์อยากขอให้เขาบอกเหมือนกัน แต่จุดมุ่งหมายของเธอไม่ใช่เรื่องที่ควรเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้ เธอจึงตัดบทแทน

“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นข้ารีบไปก่อนนะคะ ประเดี๋ยวซุปจะหายร้อนหมด”

* * *

พวกทหารข้างในดูจะประหลาดใจเล็กน้อยที่คนนำอาหารมาส่งเป็นนางกำนัลคนสนิทของเจ้าหญิงแอชลีนน์ เมื่อเด็กสาวอธิบายว่าเธอมาเพราะมีเรื่องที่เจ้าหญิงทรงฝากถามนักโทษ พวกเขาก็เตือนเธอเหมือนเดิม แต่อนุญาตให้เธอตามประสงค์ ทหารคนหนึ่งพาเธอเดินลึกเลยโต๊ะยาวที่พวกเขานั่งอยู่ ไปยังบริเวณกรงขังซึ่งเป็นกรงทรงกลมเหมือนกรงนกขนาดยักษ์หลายกรง ดูเก่าโทรมกว่าที่แอชลีนน์เคยวาดภาพไว้ในความคิด

ทหารคนนั้นคงเกรงใจที่เธอจะต้องตะโกนพูดคุยแข่งกับเสียงน้ำตกและคลื่นทะเลเบื้องล่าง จึงช่วยชักรอกกรงของอาเมียร์ลงมาในระยะที่เขาบอกว่า ‘พอสมควร’ คือไม่สูงเกินจะพูดคุยลำบาก แต่ก็ไม่ใกล้เกินกว่าจะทำอันตรายเธอ...ด้วยเวทมนตร์ แม้แอชลีนน์จะให้พวกเขาดูให้วางใจว่าเธอมีสร้อยประคำติดตัวมาด้วยก็ตาม

เด็กสาวกลืนน้ำลายฝืดๆ ขณะมองกรงที่เห็นร่างของเด็กหนุ่มอยู่รางๆ ดูเหมือนเขาจะเห็นเธอนานแล้วเช่นกัน จึงได้ตรงมายืนชิดลูกกรงด้านที่ใกล้กับเธอ

เขาดูซูบลง และซีดเซียวกว่าปกติมาก นัยน์ตาลึกโหล ที่ริมฝีปากและคางเริ่มมีไรหนวดขึ้นเขียว เสื้อผ้าที่เธอจำได้ว่าเป็นชุดเดียวกับเมื่อวันไต่สวนดูหมองและสกปรกเหมือนไม่ได้ผลัดเปลี่ยนหรือแม้แต่จะซัก

นัยน์ตาสีดำของเขาฉายแววประหลาดใจ...ซึ่งค่อยๆ คลายลงเมื่อทั้งสองสบตากันเงียบๆ จนกระทั่งกรงหยุดในระยะที่เธอต้องแหงนมองเล็กน้อย ทหารยามหยุดมือในตอนนั้น

“มีอะไรก็ตะโกนเรียกดังๆ นะขอรับ พวกเราจะรีบมาให้เร็วที่สุด” เขาไม่วายบอก

“ค่ะ ขอบคุณมาก” แอชลีนน์ตอบตามมารยาท

เธอมองทหารยามคนนั้น จนกระทั่งเห็นเขาเดินไปจากบริเวณกรงขังแล้วจึงหันกลับมามองคนที่เธอต้องการพบ

“เจ้าหญิง...หรือ” เสียงเรียกของอีกฝ่ายแหบแห้ง

“เรียกแอชสิ” เธอรีบแย้งก่อนจะตั้งคำถาม “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาทำอะไรท่านหรือเปล่า”

อาเมียร์ทรุดตัวลงนั่ง

“พยายามทำ...แต่ไม่สำเร็จ ว่าแต่ฝ่าบาทเสด็จมาที่นี่ทำไมพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่ต้องใช้ราชาศัพท์!” เด็กสาวเอ็ดเบาๆ “รุ่มร่ามอย่างนี้เสียเวลาพูดกันแย่ ท่านไม่เป็นไรจริงๆ หรือ”

เด็กหนุ่มพยักหน้า

“แสดงว่าเป็น...หรือ”

เขาเปลี่ยนเป็นสั่นศีรษะก่อนจะออกตัวเก้อๆ

“ข้า...ยังไม่ชินกับการตอบคำถามปฏิเสธแบบธีร์ดีเร”

แอชลีนน์ถอนใจ ยังจะมาห่วงเรื่องนี้อีก!

“แล้ว...แอชมาที่นี่ทำไม”

“ถามได้ ก็มาช่วยพาท่านหนีน่ะสิ”

อาเมียร์กระพริบตาปริบๆ

“ต้องถามด้วยหรือว่าทำไม” เธออ่านความหมายจากสายตาของเขา “ถ้าขืนอยู่ที่นี่ท่านต้องตายแน่ๆ ถึงท่านจะไม่ได้ฆ่าเฟลิม...ข้าหมายถึง...ข้าเชื่อว่าท่านไม่ได้ฆ่าเฟลิม แต่ท่านมีเวทมนตร์ใช่ไหม พวกเขาพูดกันว่าท่านฆ่าหัวหน้าราชมัลกับทำให้ราชมัลคนอื่นๆ บาดเจ็บได้อย่างประหลาด ถ้าท่านทำอย่างนั้นได้ละก็...ศาสนจักรแห่งซาเกรดา โซล ไม่ปล่อยท่านไว้แน่ พวกเขาจะเอาตัวท่านไปเผาทั้งเป็นนะ!”

“แต่ข้า...ข้าฆ่าคนไปจริงๆ นี่” เด็กหนุ่มหลบสายตาของเธอ “ข้าไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นถึงขั้นนี้ แต่มีแวบหนึ่งที่ข้าอยากให้ราชมัลเฒ่าตายไปจริงๆ เหตุผลก็แค่ข้าโมโหเขา...แค้นเขา...ชังเขา คิดไปว่าเขาโหดเหี้ยม...มีความเป็นมนุษย์น้อยกว่าข้า คนที่ฆ่าคนด้วยเหตุผลแค่นี้ไม่ถือว่ามีความผิดหรือ”

แอชลีนน์ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง

ใช่...เธอเชื่อว่าการฆ่าคนเป็นความผิด เพราะเสด็จพ่อ เสด็จแม่ กับเสด็จพี่ของเธอล้วนถูกฆ่าอย่างทารุณ เธอคิดว่าหากฆาตกรที่ฆ่าทั้งสามพระองค์ต้องตายก็เป็นโทษที่สาสมแล้ว เพราะชีวิตย่อมล้างด้วยชีวิต

แต่เธอไม่อาจคิดถึงอาเมียร์ในแง่นั้น

อาเมียร์ที่ยิ้มแย้ม หัวเราะขณะเล่นกับน้องๆ แสดงท่าทางโมโหหรือรำคาญรูอาร์คบ้างแต่ก็ใช่จะโกรธเกลียดอีกฝ่ายจริงๆ และที่สำคัญที่สุดคือสอนเธอ เฟลิม กับรูอาร์คให้เห็นคุณค่าของชีวิตในฐานะผู้ปกครองน่ะหรือจะต้องการให้ใครสักคนตายได้ด้วยโทสะเพียงชั่ววูบ และฆ่าคนลงไปจริงๆ

“แต่ท่านก็ไม่ได้ตั้งใจ...ไม่ใช่หรือ” เด็กสาวแย้งเมื่อตั้งสติได้ “ท่านบอกว่าแค่อยากให้เขาตายขึ้นมาแวบหนึ่ง...เขาก็ตาย ท่านไม่ได้คิดจะฆ่าเขาโดยไตร่ตรองไว้แล้ว นี่ก็ไม่ใช่ฆ่าคนโดยเจตนาสิ แล้ว...แล้วถ้าข้า...ข้าฆ่าคนได้แค่จากการคิดอยากให้เขาตาย ข้าคงจะฆ่าคนไปมากกว่าท่าน...หลายรอบกว่าท่านแล้วด้วย ท่านก็รู้นี่ว่าเสด็จพ่อ เสด็จแม่ กับเสด็จพี่ของข้าถูกพวกคนเถื่อนฆ่าตาย ข้าแค้นพวกมัน...แค้นมาตลอดจนอยากฆ่าให้ตายเป็นสิบๆ รอบ อย่างนี้ข้าก็ไม่สมควรตายเหมือนกันหรือ”

เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายมีสีหน้าประหลาดใจบ้าง

“แต่ว่า...”

“ไม่ต้องพูดเลยว่าข้าคิดไปเท่าไรก็ไม่มีใครตาย แต่ท่านคิดขึ้นมาแล้วมีคนตาย เจตนาสำคัญพอๆ ไม่ก็ยิ่งกว่าผลของการกระทำอีกไม่ใช่หรือ” แอชลีนน์พูดต่อ “ท่านจะยอมถูกฆ่าเพราะเรื่องนี้ แล้วไม่คิดเลยหรือว่าครอบครัวของท่านจะเป็นอย่างไรบ้าง”

“พ่อกับแม่ก็ยังมีน้องๆ อยู่นี่” อาเมียร์อ้างแผ่วเบา แต่ก็ยังไม่ยอมสบตากับเธอ “ถ้าได้ยินที่ข้าฝากรูอาร์คให้รีบไปแจ้งข่าวก็คงจะรีบหนีไปในที่ปลอดภัยแล้ว พวกเขาน่าจะรู้แล้วนั่นล่ะว่าข้าไม่มีทางหนีไปไหนได้ แล้วศาสนจักรก็คงลงโทษข้าแน่ๆ อยู่แล้ว”

เด็กสาวได้ข่าวมาเช่นกันว่ารูอาร์คหายตัวไปหลังจากออกจากห้องไต่สวน ส่วนครอบครัวของเด็กหนุ่มก็หายไปจากบ้านอย่างไร้ร่องรอยในเช้าวันต่อมา พวกเขานำม้าและเกวียนไป แต่ทิ้งไร่นา ปศุสัตว์ และเครื่องเรือนชิ้นใหญ่กับสิ่งของที่ไม่จำเป็นไว้ทั้งหมด

แต่เธอไม่เชื่อว่าพวกเขายอมทิ้งอาเมียร์ไปเฉยๆ แน่นอน

“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าพวกท่านเคยทำอะไร ข้าไม่สน ข้ารู้แต่ข้าเชื่อว่าท่านกับครอบครัวเป็นคนดี ข้าไม่อยากให้ท่านตายถึงได้เสี่ยงลงมาช่วยท่าน...แต่ก็ต้องมาฟังท่านพูดหมดอาลัยตายอยากอย่างนี้น่ะหรือ!” แอชลีนน์พูดเสียงแข็ง “อาเมียร์ที่ข้ารู้จักไม่ใช่คนอย่างนี้สักหน่อย!”

“ข้าอาจจะไม่ใช่คนที่ท่านรู้จักมาตั้งแต่ต้นแล้วก็ได้” เด็กหนุ่มกลับพูดขื่นๆ ก่อนจะหันมามองเธอ

นั่นเป็นสายตาที่ทำให้ใจของเธอร่วงวูบ...เพราะเธอไม่เคยเห็นและรู้จักมาก่อน สายตานั้นดูปวดร้าว...มืดมน ไม่เหมือนกับดวงตาของอาเมียร์คนเดิม ไม่เหมือนกับดวงตาของใครเลยที่เธอเคยเห็น

“แต่...ทำไมล่ะ” เด็กสาวตั้งคำถาม “ท่านจะบอกว่า...ที่ข้าเห็นในตอนนั้นไม่ใช่ท่านตัวจริง แต่ตอนนี้เป็นตัวจริงหรือ”

อาเมียร์ก้มหน้าลงสั่นศีรษะ

“ข้า...ข้าก็ไม่รู้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้ามีตัวจริงหรือเปล่า ทุกอย่างรอบตัวข้า...รู้สึกเหมือนมันไม่เป็นความจริงเลยอย่างไรก็ไม่รู้”

“รวมทั้งข้าด้วยหรือ”

ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย แอชลีนน์แทบถอนใจดังๆ ด้วยความระอา ก่อนจะกลับหลังหันแล้วก้าวยาวๆ กลับไปทางบริเวณที่นั่งพักของทหารยาม

“เดี๋ยวข้ากลับมา”

เขาไม่ตอบคำพูดของเธอเลยด้วยซ้ำ

ทหารยามทั้งห้าคนดูเหมือนจะฟุบหลับคาโต๊ะในท่าต่างๆ ไปเรียบร้อยแล้ว บางคนกรนเสียงดัง ก้อนขนมปังที่มีรอยกัดคาอยู่ครึ่งก้อนวางบนโต๊ะ มีบางก้อนกลิ้งลงไปบนพื้น

พอแอชลีนน์เห็นว่าปลอดคนอย่างสมบูรณ์แล้วก็รีบก้าวสวบๆ กลับไป ครั้งถึงที่หน้ากรงขังก็มองมือหมุนของรอกบนยกพื้นไม้ เธอสลัดรองเท้าส้นสูงทั้งสองข้างออกอย่างไม่เบานัก ก่อนจะเดินเท้าเปล่าไปบนพื้นหินขรุขระเย็นเฉียบเพื่อไต่บันไดไม้ขึ้นบนยกพื้นนั้น

“นี่จะทำอะไร!” อาเมียร์ผุดลุกขึ้นร้องทันที

“ข้าตั้งใจมาช่วยท่าน ข้าไม่ยอมออกไปมือเปล่าหรอก!” เด็กสาวแทบตะโกน “รู้ไหมว่าข้าลำบากลำบนขนาดไหนกว่าจะมาถึงนี่ได้! ต้องหลอกใครๆ เขาไปทั่วกันกี่คน! แถมยังวางยานอนหลับไปอีกกี่คน! ถึงอย่างไรข้าก็ต้องเอาตัวท่านลงมาต่อยเรียกสติสักเปรี้ยงให้ได้นั่นล่ะ! ถึงตอนนั้นจะยังบอกว่าทุกอย่างรอบตัวไม่เป็นความจริงได้ไหม! คนอะไร! พ่อแม่พี่น้องก็มีครบกลับอยากตายด้วยความคิดบ้าๆ อย่างนั้น! แค่ข้าเห็นพ่อแม่กับน้องสาวเฟลิมต้องร้องไห้แบบนั้นนี่ก็แย่พอแล้วนะ!”

“แอช...”

มือหมุนนั้นแข็งและหนัก แอชลีนน์กัดฟันค่อยๆ รวบรวมเรี่ยวแรงแขนสาวกรงลงมา จนกระทั่งได้ยินเสียงพูดอย่างจำนนของอีกฝ่าย

“พอได้แล้ว แค่นี้ข้ากระโดดข้ามได้”

เด็กสาวหันขวับไปมองอย่างประหลาดใจ นึกได้ว่าอันที่จริงเธอต้องเลื่อนยกพื้นไม้ที่ดูท่าจะหมุนได้อีกอันไปรองไว้ใต้กรง และถึงเธอจะเชื่อว่าอาเมียร์มีร่างกายแข็งแรงพอจะกระโดดได้ไกลพอสมควร เขาก็ยังดูอิดโรยเพราะถูกขังในที่แคบและอดข้าวมาเป็นวันๆ ซ้ำยังมีของถ่วงน้ำหนักไว้เสียอีก

“แต่ตรวน...”

เด็กหนุ่มขยับมือกุกกักที่ตรวนข้อมือข้างหนึ่ง ทำให้มันหลุดลงมาอย่างง่ายดาย ก่อนที่ตรวนข้อมืออีกข้างจะตามมาในเวลาไม่นาน เขาโยนตรวนคู่นั้นลงทะเลไป เกิดเสียงดังต๋อมเบาๆ จนแทบไม่ได้ยินท่ามกลางเสียงน้ำที่ไหลอยู่ตลอดเวลา

แอชลีนน์แทบอ้าปากค้าง

“ท่านทำได้อย่างไร!”

“ข้า...ไม่รู้” อาเมียร์ตอบขณะก้มลงปลดตรวนข้อเท้าของตนบ้าง ก่อนจะพูดเรียบๆ “อันที่จริง ข้าสังเกตเห็นว่ามันหลุดไปตั้งนานแล้วนั่นล่ะ แต่ไม่ดึงออกเพราะกลัวทหารยามจะแตกตื่น”

แอชลีนน์เริ่มทำสีหน้าไม่ถูก

“ถ้ากลัว...ถอนตัวตอนนี้ยังทันนะ” เขาบอก

“ไม่มีวัน!” เด็กสาวตอบทันที

อาเมียร์ดูเหมือนจะยักไหล่เศร้าๆ

“ถ้าอย่างนั้นก็...อย่าต่อยข้าตอนออกมาได้ก็แล้วกัน”

ไม่ทันตอบ เธอพลันนึกอะไรเกี่ยวกับการ ‘ออก’ ได้

“เดี๋ยวก่อน ข้าต้องไปเอากุญแจจากทห—“

คำพูดของเธอเงียบหายไปเท่านั้นเมื่อเด็กหนุ่มแตะที่ประตูกรง แล้วผลักมันจนหมุนเปิดออกมาง่ายดาย

แอชลีนน์มองตาค้างขณะที่เขาเขี่ยตรวนเท้าลงทะเลตามไปอีกคู่ ก่อนจะแกว่งกรงให้เหวี่ยงเป็นลูกตุ้มสองสามครั้งเพื่อเพิ่มแรงส่ง แล้วกระโดดลงมาบนพื้นได้ไม่ยากแม้จะเซไปบ้าง

อาเมียร์เงยหน้าขึ้นมองเธอก่อนจะพยักหน้าเงียบๆ เด็กสาวจึงรีบไต่บันไดลงมาหาเขา

“ข้าไม่รู้เหมือนกันว่ามีอะไรอยู่ในตัวข้า” เด็กหนุ่มเอ่ยแผ่วเบาแต่เคร่งขรึม “มันอาจจะเป็นเวทมนตร์จริงๆ หรือเป็นอำนาจอะไรที่เลวร้ายกว่านั้น ข้าอาจฆ่าใครโดยไม่รู้ตัวอีกก็ได้ ถึงอย่างนี้ท่านจะยังเชื่อข้า...จะช่วยให้ข้าหนีไปอีกหรือ”

เธอพยักหน้าหนักแน่น

“ข้าเชื่อว่าอาจารย์เป็นคนดี ใครจะว่าอะไรก็ช่าง”

เขายิ้มเจื่อนๆ ค่อยดูเหมือนอาเมียร์คนเดิมที่เธอรู้จักอีกครั้ง

“ข้าเกรงว่าท่านอาจเชื่อใจคนง่ายไป แต่...ขอบใจมากนะที่เชื่อใจข้า”

“นี่!” เด็กสาวร้อง แต่เขากลับหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะหันมาตั้งคำถามจริงจังอีกครั้ง

“แล้วจะให้ข้าหนีไปจากที่นี่อย่างไร”

“มีท่าเรือเล็กอยู่ลึกไปข้างหลังนี่” แอชลีนน์รีบบอก “ข้าวางยานอนหลับพวกทหารของคุกหมดแล้ว ท่านเอาชุดพวกเขาคนใดคนหนึ่งไปปลอมตัว แล้วไปที่ท่าเรือด้วยกัน”

เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ แต่สุดท้ายก็รับง่ายๆ

“ได้”

เขาทำท่าจะเดินนำไปข้างนอกขณะที่เด็กสาวสวมรองเท้าส้นสูงอีกครั้ง แต่แล้วอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นโดยไม่คาดฝัน

“เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งไป! ได้โปรด...ได้โปรดพาข้าไปด้วยเถอะ!!”

แอชลีนน์เงยหน้าขึ้นเห็นชาลัวห์กำลังเกาะลูกกรงมองลงมา มืออีกข้างที่มีผ้าพันแผลหนาโบกเปะปะ

“ข้าไม่อยากตาย! ถ...ถ้าปล่อยข้าไว้ที่นี่...พวกมันต้องทรมานไม่ก็ฆ่าข้าทิ้งแน่ๆ ! ขอร้องล่ะ!!”

เด็กสาวขมวดคิ้ว กำลังจะตอบพอดีว่าเธอจะช่วยชีวิตฆาตกรที่ฆ่าเฟลิมไปทำไม แต่แล้วอาเมียร์ก็กลับหลังหัน และเดินผ่านเธอไปเงยมองกรงนั้น

“แล้วถ้าข้าพาเจ้าออกไป เจ้าจะยอมไปคุกเข่าขอขมา สารภาพความผิดกับพ่อแม่พี่น้องของท่านเฟลิมแต่โดยดีไหม”

ชายในกรงแขวนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า

“ได้สิ! ได้! ข้าจะทำทุกอย่าง...ทำทุกอย่างที่พวกจ...พวกท่านต้องการเลย!”

เด็กหนุ่มหรี่ตามองคนรับรองอย่างเย็นชา

“และเจ้าจะต้องยินดีรับโทษทุกประการตามแต่พวกเขาจะตัดสินด้วย”

ชาลัวห์ชะงักไปอีกครั้ง

“ต่อให้โง่แค่ไหน เจ้าก็รู้สินะว่านั่นหมายความว่าอย่างไร เจ้าอาจรอดความตายจากที่นี่ได้ แต่ก็อาจต้องระหกระเหินทรมานนานขึ้นแค่เพื่อไปให้เขาตัดสินประหารชีวิตจนได้เท่านั้นเอง” อาเมียร์พูดเรียบๆ “ถึงอย่างนี้แล้วยังจะยอมไปด้วยไหม”

อีกฝ่ายนิ่งคิดอยู่นานพักหนึ่ง จนเด็กหนุ่มผมดำเร่งมา

“เราไม่มีเวลาทั้งคืน”

“ป...ไป! ข้าจะไป! ได้โปรดเถอะ!”

“อาจารย์ แต่ว่า...” แอชลีนน์พยายามแย้งเบาๆ “เขาเป็นคนฆ่าเฟลิมไม่ใช่หรือ ถ้าเขาตายก็สมควรแล้วนี่”

“เขาเป็นแค่เบี้ยในแผนการที่ใหญ่กว่านั้น” อาเมียร์ตอบเบาพอกัน “เท่าที่ข้าปะติดปะต่อได้ มีคนปลอมตัวเป็นข้าไปหลอกใช้ชาลัวห์ให้ฆ่าเฟลิม แล้วใช้ให้พวกราชมัลทรมานเราสองคนให้รับสารภาพ พวกนั้นยอมรามือจากข้าเพราะพระเถระมาดายห้ามไว้ แล้วข้าก็ได้ยินจากพระเถระว่าพวกราชมัลทำตามคำสั่งของใครสักคนที่ชื่อแฟคท์นา”

เด็กสาวเป็นฝ่ายตกตะลึงบ้าง

“ท่านแฟคท์นาน่ะหรือ...เป็นไปไม่ได้!”

“แอชรู้จักเขาหรือ” อาเมียร์รีบถาม

“เขา...เป็นพ่อของดูลัส” แอชลีนน์รีบพูดต่อเมื่อเห็นสีหน้าของผู้ฟัง “แต่...แต่เป็นไปไม่ได้หรอก ดูลัสไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ ท่านแฟคท์นาก็เป็นข้าราชบริพารที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์มาตั้งแต่สมัยเสด็จปู่แล้ว พวกเขาไม่มีทางฆ่าเฟลิมแน่ๆ”

“ข้าคิดว่าดูลัสน่าจะรู้อะไรบางอย่าง แต่เป็นไปได้ว่าเขาคงไม่รู้เห็นเป็นใจกับแผนลอบสังหารท่านเฟลิม” เด็กหนุ่มพูดเสียงเครียด “ถึงอย่างนั้น ท่านบอกว่าแฟคท์นาจงรักภักดีต่อราชวงศ์ อย่างนี้ถ้าเขาจะเห็นท่านเฟลิมที่มีคนต่างชาติอย่างข้าหนุนหลังเป็นภัยต่อราชวงศ์ก็ไม่แปลกจริงไหม”

“แต่ว่า...”

“ยังไม่มีใครรู้เรื่องที่ข้าจะลาออก นอกจากครอบครัวของท่านเบเรคกับดูลัสที่ท่านเป็นคนบอกเท่านั้น”

เด็กสาวเงียบไป ทั้งไม่เชื่อและไม่อยากยอมรับ

“เอาเถอะ นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดอะไรยุ่งยาก เราควรรีบหนีมากกว่า”

อาเมียร์ตัดบทแล้วก็ตรงไปไต่บันไดไม้ ก่อนจะเริ่มชักรอกกรงของชาลัวห์ลงมาโดยเร็ว เขาไม่ต้องใช้ลูกกุญแจเลย เพราะพอกรงลงมาถึงพื้นไม้ที่เด็กหนุ่มเลื่อนมารองใต้กรงด้วยรอกอีกตัว เขาก็ไต่ลงมา แล้วเดินไปแตะกลอนตรงประตูกรงเฉยๆ ไม่นานมันก็เปิดออกมาได้เองเหมือนกับประตูกรงของเขา ชาลัวห์มองการสะเดาะกลอนอย่างพิสดารของอีกฝ่ายด้วยตาโตแทบถลนออกมานอกเบ้า

“เข้าใจไว้เสียตอนนี้ ว่าข้าไม่ได้ช่วยเจ้า ไม่ได้เมตตาสงสาร แต่แค่คิดว่าเจ้าทุกข์ที่เสียคนที่พวกเขารักไปเพราะเจ้าต่างหากที่สมควรเป็นคนตัดสินโทษของเจ้ามากที่สุด เพราะฉะนั้น หากตุกติกอะไรขึ้นมา คงรู้สินะว่าต้องเจออะไร” เด็กหนุ่มพูดกับชายที่ยืนตัวสั่นอยู่ในกรง “ออกมา”

ชาลัวห์แทบตาลีตาลานทำตามคำสั่งทุกประการ อาเมียร์ตรงเข้าไปหาชายหนุ่ม ปลดตรวนมือเท้าของอีกฝ่ายออกด้วยการแตะเช่นเดียวกัน ก่อนจะบิดแขนซ้ายซึ่งมือยังดีอยู่ไพล่หลัง แล้วกระตุ้นให้เขาเดินออกไป


* * *

พวกเขาใช้เวลา ‘ลอกคราบ’ ทหารยามสองคนอยู่อีกครู่ใหญ่ ที่นานเป็นเพราะเด็กหนุ่มผมดำต้องคอยช่วยเชลยแต่งตัวอย่างเสียไม่ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อาจใช้มือขวา ซึ่งมีไม้ดามไว้ทั้งแผงและพันผ้าแน่นหนา

เห็นแอชเดินขัดๆ เพราะส้นสูงที่ถึงกับต้องถอดทิ้งตอนปีนบันไดไปชักกรงของเขาลงมาอย่างนั้น เด็กหนุ่มจึงเสนอให้เธอเปลี่ยนมาสวมรองเท้าหนังฟอกของตนแทน มันอาจหลวมและถูกน้ำทะเลกับความชื้นจนหนังเสียรูปไปบ้าง แต่ก็ยังพอใช้การได้ อย่างน้อยก็สวมสบายเท้ากว่ารองเท้าหนังเนื้อแข็งหุ้มเกราะเหล็กของทหารยามธีร์ดีเรที่เขาเปลี่ยนมา

ปลอมตัวเรียบร้อยแล้ว เด็กสาวก็นำถุงเงิน แผนที่พระราชวัง รวมทั้งแผนที่อื่นๆ ซึ่งปักเข็มซ่อนไว้ใต้กระโปรงชั้นในมาให้เขาดู นั่นทำให้เขาประหลาดใจและชื่นชมความสามารถของเธอขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากได้ฟังคร่าวๆ ว่าเธอวางแผนปลอมตัวเป็นนางกำนัลและวางยานอนหลับทหารยามของคุกกรงน้ำได้จนหมด

ใครที่หาว่าเจ้าหญิงแอชลีนน์ทรง ‘พระเศียรช้า’ หรือ ‘ไม่มีพระสติปัญญาเพียงพอ’ สมควรไปพิจารณาตนเองใหม่จริงๆ

ในความมืดและเงียบงัน ทั้งสามนำตะเกียงบนโต๊ะทหารยามข้างล่างมาให้แสงนำทางขณะเดินขึ้นไปตามแนวผา ก่อนจะลงบันไดหอยคอยเวียนหลังหนึ่งมาถึงชั้นใต้ดิน ลัดเลาะไปยังท่าเรือเล็กซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นไม้กระดานยื่นออกไปในทะเลจากในถ้ำโปร่งที่เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยอีกแห่ง ท่านั้นมีเรือพายลำย่อมผูกอยู่สองสามลำ

แน่นอนว่าอาเมียร์ซึ่งมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรือมากที่สุด และมีมือที่ใช้การได้ครบถ้วนดีอยู่ทั้งสองข้างคงต้องรับหน้าที่ฝีพายจำเป็นไปโดยปริยาย

“ท่านนำเข็มทิศมาด้วยหรือเปล่า” เขาถามแอช

เด็กสาวมีสีหน้าเจื่อนลงทันที

“เอ่อ...ข้าไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลย”

“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ยังมืด คงพอใช้แสงดาวดูทิศทางได้” เด็กหนุ่มปลอบ แต่ก็ไม่วายเตือน “แต่เราต้องรีบไปถึงฝั่งก่อนเช้า ไม่อย่างนั้นแย่แน่”

“แล้วจะพายเรือออกนอกเขตเมอร์คาห์ได้ก่อนเช้าหรือ” แอชลีนน์ตั้งคำถาม

“ไม่น่าจะได้ แต่ตามแผนที่นี้ เมืองชั้นนอกก็มีท่าเรืออยู่ใช่ไหม”

“มี แต่ว่าถ้าจะออกจากเมืองทางประตูเมืองจะต้องถูกตรวจค้นนะ”

“ไว้ไปถึงฝั่งก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เด็กหนุ่มบอกขณะที่สมองเริ่มครุ่นคิด “ท่านนำเงินมาด้วย อย่างนี้เราหาทางรอดได้ไม่ยากหรอก”

“‘เรา’...นี่หมายถึงพวกเราสองคนใช่ไหม” เด็กสาวพูดเสียงแข็ง ขณะสบตากับอาเมียร์ที่เพิ่งโบกมือบอกให้ชาลัวห์นั่งลงบนเรือ ก่อนจะเริ่มแก้เชือกที่ผูกเรือไว้กับท่าเหมือนไม่คาดหมายว่าจะมีผู้โดยสารคนอื่นอีก

เขานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วก็รีบสั่นศีรษะ

“ไม่ได้นะ แค่ท่านช่วยพวกเราแค่นี้ก็มากพอแล้ว ข้าจะให้ท่านมาเสี่ยงมากไปกว่านี้อีกไม่ได้เด็ดขาด”

“ตราบใดที่ท่านยังอยู่ในเขตเมอร์คาห์ ข้าคงยังวางใจไม่ได้ อย่างน้อยถ้ามีข้าไปด้วยก็เหมือนมีตัวประกันชั้นยอดไม่ใช่หรือ” แอชลีนน์รีบพูด “ข้าจะไม่ถ่วงท่าน จะไม่สร้างปัญหา ขอแค่...ไปส่งท่านจนรู้ว่าถึงที่ปลอดภัยก็พอแล้ว”

“แอช...”

“ถ้าจำเป็น ข้าจะไปพูดกับท่านเจ้ามณฑลยาร์ลาธเองว่าท่านบริสุทธิ์ ข้าเชื่อว่าเขาต้องเข้าใจ แล้วปล่อยให้ท่านหนีออกนอกอาณาจักรไปกับครอบครัวของท่านแน่ๆ”

อาเมียร์ยังคงไม่เห็นด้วย แต่พอนึกถึงเรื่องที่เพิ่งพูดกับแอชเกี่ยวกับ ‘ผู้บงการ’ ของแผนการทั้งหมด ก็ตระหนักว่าเธอจะถูกทิ้งไว้ในกำมือของเขาแท้ๆ พวกขุนนางคงผลักดันให้ดูลัสกับคาเฮียร์ประลองให้รู้ผลกันในไม่ช้า และมีแววสูงว่าดูลัสที่มีชั้นเชิงมากกว่าจะชนะไปได้โดยไม่ต้องอาศัยกลโกงใดๆ

ต่อให้ดูลัสไม่รู้เรื่องแผนการจริงๆ การที่บิดาของเขาวางแผนกับพระเถระมาดายผู้ลึกลับคนนั้น หลอกใช้ชาลัวห์ให้สังหารเฟลิมก็เป็นวิธีการที่อาเมียร์ไม่อาจยอมรับได้ว่าชอบธรรม

มันคดโกงและสกปรกเกินไป คนที่มีเล่ห์เหลี่ยมขนาดนั้นไม่มีทางคำนึงถึงความสุขของแอชหรือประชาชนชาวธีร์ดีเรเป็นสำคัญแน่นอน

ให้แอชไปด้วยน่าจะดีกว่า ท่านเบเรคย่อมช่วยหาทางแก้ไขให้แอชได้อยู่ในที่ปลอดภัยจากอำนาจของคนพวกนั้น ขณะที่พวกเขาพยายามเปิดโปงแผนการของพวกมันให้สำเร็จ

นี่ต่างหากที่น่าจะเป็นการช่วยเหลือธีร์ดีเรและทวงความยุติธรรมให้เฟลิมอย่างแท้จริง

ด้วยความคิดนี้ เด็กหนุ่มจึงสาวเชือกให้เรือเข้าใกล้ฝั่งอีกหน่อย

“ก้าวระวังนะ”

เด็กสาวหันมาส่งยิ้มให้เขาอย่างตื้นตัน

คนสามคนลงเรือเล็กลำเดียว พายออกไปจากปราสาทกลางน้ำ สู่ชายฝั่งที่มีแสงไต้ริบหรี่ดูวังเวง

เจ้าชายไร้บัลลังก์แห่งแดนใต้ และเจ้าหญิงผู้ไร้อำนาจแห่งแดนเหนือ ได้เริ่มเส้นทางแห่งชะตากรรมที่จะเปลี่ยนแปลงธีร์ดีเรในไม่ช้า

* * *

และแล้วเจ้าหญิงก็พานักโทษแหกคุกเสียเอง ^^a ในทีแรกผมคิดจะให้อาเมียร์กับแอชไปตามลำพัง แต่หลังจากคุยกับคุณ Blue Mouse แห่งบอร์ดเจเจแล้ว ชาลัวห์ที่ผมเคยตั้งใจว่าจะถูกทรมานจนตายคาเครื่อง ไม่ก็ชิงประหารจึงกลับรอดมาเป็นตัวแถมด้วยแทนที่จะไปกันสองต่อสอง (เพราะดูๆ ไปก็เป็นเหมือนตัวร้ายเกรดบีที่ถึงตายไปตอนนี้ก็คงดูเฉยเกินไป) แอชคงงอนตุ๊บป่องแน่ๆ ที่มีก้างขวางคอ แต่เมื่อนึกถึงนิสัยกับความคิดของอาเมียร์ก็น่าจะออกมาแนวนี้ล่ะครับ

เอ็กน็อก ในตอนนี้เป็นเครื่องดื่มของชาวตะวันตก ทำจากนม น้ำตาล ครีม และไข่ ใส่เครื่องเทศพวกอบเชยกับลูกจันทน์ (เป็นหลักฐานยืนยันความชอบของหวานของแอชอีกอย่าง ^^a ) ส่วนตัวผมอยากลองดูสักครั้งแฮะ ท่าทางจะหวานแต่กลัวว่ามันจะคาวไข่กับเลี่ยนครีมด้วยหรือเปล่า

นับจากนี้ไปจะขึ้นเนื้อเรื่องช่วงที่สอง ซึ่งผมขออนุญาตพักการลงไว้ก่อนเพื่อรีไรท์ให้เนื้อเรื่องช่วงแรกลงตัวสมบูรณ์ขึ้นครับ หลังจากนี้จะลงเรื่องของราพลังก้าไปจนจบ และอาจจะลงเรื่องอื่นที่เขียนไว้แต่ยังไม่ได้ลงด้วย หวังว่าจะติดตามกันต่อไปนะครับ m<_ _>m

ขอขอบคุณผู้อ่านและผู้คอมเมนต์ทุกท่านมากๆ ครับ

อนิธิน


Create Date : 25 มิถุนายน 2552
Last Update : 25 มิถุนายน 2552 22:30:44 น. 0 comments
Counter : 488 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Anithin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add Anithin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.