ที่พักนักตระเวนแดนฝัน
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๑๖ - ก่อนการทดสอบในเมอร์คาห์

บทที่ ๑๖ ก่อนการทดสอบในเมอร์คาห์


บนจัตุรัสกว้างของเมืองชั้นในมีหิมะฉาบบางๆ บนกระเบื้องแผ่นเล็กๆ ซึ่งปูเป็นพื้นสีขาวประดับลวดลายคล้ายขดเชือกสีเขียว น้ำเงิน และน้ำตาลสอดสลับกันจนหาปลายไม่ได้อันเป็นลักษณะของศิลปะธีร์ดีเร เด็กหนุ่มผมสีดำที่มาเยือนนครหลวงเป็นครั้งแรกมองยอดอาคารสูงรอบด้านอย่างสนใจ

เขาเคยอ่านพบว่าเมอร์คาห์ นครหลวงของธีร์ดีเรเป็นเมืองที่ตั้งบนอ่าว มีกำแพงสูงใหญ่ล้อมรอบตามธรรมดาของเมืองใหญ่ในธีร์ดีเรโดยทั่วไป และก็เป็นจริงตามนั้น รถม้าที่พวกเขานั่งมาต้องแล่นผ่านประตูเมืองใหญ่ ซึ่งมีทหารยามคอยตรวจสอบคนเดินเท้า รถม้า และขบวนสินค้าที่เดินทางเข้าออก แม้จะไม่เข้มงวดมากนัก ถนนสายหลักในเมืองปูด้วยหิน สองข้างทางมีบ้านก่ออิฐหลังคามุงกระเบื้องหลังเล็กตั้งเรียงรายเป็นแถว ดูไปก็คล้ายย่านที่อยู่อาศัยของคนชั้นล่างไปจนถึงชั้นกลางในเมืองหลวงของยาร์ลาธที่เขาเคยอยู่ รูอาร์คแอบกระซิบบอกเขาตอนนั่งรถม้าผ่านว่าโรงละครเปิดอยู่ในแถบนี้ เช่นเดียวกับย่านที่อยู่อาศัยของผู้อพยพ...และสถานที่ที่พวกคนชั้นสูงเรียกว่าแหล่งเสื่อมโทรม อันมีทั้งบ่อน หอโคมแดงระดับล่าง กับรังของพวก 'หนูท่อ' ที่เด็กหนุ่มผมแดงเคยพูดถึง

"ผ่านกำแพงเมืองชั้นในเข้าไปก็เป็นเหมือนอีกโลกหนึ่ง" รูอาร์คทิ้งท้าย

และก็เป็นเช่นนั้นจริง...เข้าประตูเมืองชั้นในซึ่งเล็กกว่ามีถนนที่สะอาดสะอ้านกว่า อาคารบ้านเรือนที่เป็นระเบียบกว่า สวนสาธารณะเล็กใหญ่ที่มีกิ่งก้านเปลือยเปล่าของต้นไม้ใหญ่ที่ถูกหิมะจับสลับกับยอดสนเขียวตลอดปีปรากฏให้เห็นเป็นระยะ เฟลิมบอกเขาว่าย่านโรงแรมบ้านพักของขุนนางและผู้มีอันจะกินตั้งอยู่รวมกันบนถนนสองสามสาย นอกจากนั้นเป็นถนนที่ตั้งของร้านขายสินค้าเป็นย่านๆ เช่น ถนนเครื่องเทศ ถนนเครื่องหอม ถนนผ้าไหมแพรพรรณ ถนนเครื่องเพชร ถนนโรงละครปิด ที่สุดขอบอีกฟากหนึ่งของเมืองซึ่งดูเหมือนเมืองย่อมๆ มีวิทยาลัยหลวง ติดทะเลคือท่าเรือ แต่ที่เหมือนกันคือถนนทุกสายไปสิ้นสุดที่จัตุรัสใหญ่หน้ามหาวิหาร และมีถนนสายใหญ่สายเดียวต่อไปยังสะพานข้ามสู่พระราชวังหลวง

บนจัตุรัสที่ทั้งสองยืนอยู่ซึ่งมีแผงขายสินค้าต่างๆ นานากระจายอยู่รอบนอก เฟลิมบอกเขาว่าอาคารที่เห็นหอคอยสูงหลังคาแหลมสองยอดและหน้าต่างกระจกสีเขียนลวดลายวิจิตรที่เห็นเด่นเป็นสง่าอยู่ริมจัตุรัสด้านหนึ่งคือมหาวิหารประจำอาณาจักร อุทิศแด่องค์สุริยเทพลูค ซึ่งพวกเขารับการบูชามาจากอาณาจักรใหญ่ทางตอนใต้ที่มีนามหมายความว่าสุริยันอันศักดิ์สิทธิ์อีกทอดหนึ่ง ยอดหอคอยต่างๆ ของพระราชวังหลวงซึ่งสร้างบนเกาะในอ่าวไม่ห่างจากชายฝั่งปรากฏอยู่ลิบๆ เหนือหมู่ยอดอาคารอื่นๆ เลยไปอีกทางคือท่าเรือใหญ่ ส่วนหมู่อาคารหินสีเทาที่ดูเก่าแก่ขรึมขลังคือวิทยาลัยหลวง อันเป็นสนามทดสอบขั้นแรก

...การสอบข้อเขียนว่าด้วยหลักการปกครอง การศึก ปรัชญา และประวัติศาสตร์...

การทดสอบจะเริ่มขึ้นในอีกห้าวันข้างหน้า อันที่จริงพวกเขาจะเดินทางมายังเมอร์คาห์ช้ากว่านี้ก็ได้ แต่ท่านเบเรคเห็นว่าเป็นการดีกว่าที่จะมาเตรียมตัวเสียเนิ่นๆ จึงได้ให้ทั้งสามคน รวมทั้งคณะองครักษ์ผู้ติดตามเดินทางออกจากจวนมาตั้งแต่เมื่อวานซืน ราวหนึ่งวันหนึ่งคืนจึงเข้าพักที่บ้านพักหรูหราหลังหนึ่งบนถนนสายบ้านเรือนขุนนาง ซึ่งเฟลิมบอกว่าเป็นมรดกจากตระกูลของแม่ของเขา

“ที่หอสมุดของวิทยาลัยมีตำราที่มีประโยชน์มากมาย เจ้าน่าจะสนใจ แล้วก็จะได้ช่วยให้เฟลิมกับรูอาร์คศึกษาเพิ่มเติมด้วย” ท่านเจ้ามณฑลกำชับ

ด้วยเหตุนี้ วันนี้อาเมียร์จึงบอกว่าจะพาลูกศิษย์ทั้งสองไปที่หอสมุดวิทยาลัย กระนั้นรูอาร์คก็ปฏิเสธ บอกว่าขี้เกียจจะไปหมกตัวกับหนังสือทั้งๆ ที่มาถึงเมืองหลวงทั้งที

“ไปดูละครกันเถอะอาจารย์ หน้าหนาวแบบนี้ต้องไปดูตำนานแห่งเหมันต์ในโรงละครปิด เรื่องนี้สนุกนะ ข้าเคยไปดูตอนเด็กๆ ในโรงละครเปิดยังติดใจไม่หายเลย”

แล้วเด็กหนุ่มผมแดงก็เริ่มเกริ่นนำ เรื่องทำนองกษัตริย์สองอาณาจักรเป็นสหายกัน เมื่อกษัตริย์อีกเมืองหนึ่งมาเยี่ยมเยือน กษัตริย์เจ้าบ้านเกิดความสงสัยว่าบุตรในท้องราชินีของตนซึ่งบังเอิญมีครรภ์ขึ้นในขณะนั้นมิใช่ลูกของตน จึงวางแผนสังหารชายชู้และเค้นคำสารภาพจากราชินี...

“พอแล้วๆ ไม่ต้องเล่า ข้าไม่อยากฟังเรื่องแบบนี้อีก”

อาเมียร์เข็ดเต็มทีกับบทละครแต่ละเรื่องที่รูอาร์คเล่ามา หญิงในตระกูลขุนนางที่ลอบแต่งงานมีลูกกับคนรับใช้จนถูกพี่ชายสมคบคิดฆ่าทั้งคู่เอย สามีต่างเชื้อชาติฆ่าภรรยาเพราะถูกเป่าหูว่าภรรยามีชู้ แล้วก็ฆ่าตัวตายตามเมื่อรู้ว่านางเป็นผู้บริสุทธิ์เอย ลูกชายหญิงของสองตระกูลที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันกลับมารักกันจนต้องสิ้นชีวิตในที่สุดเอย เจ้าชายที่อยากล้างแค้นอาที่ฆ่าพระราชบิดาและสมรสใหม่กับพระราชมารดาของตน แต่ลังเลจนสุดท้ายก็ทำให้ใครต่อใครมากมายต้องพากันตายเอย หรือร้ายที่สุดคือเรื่องของแม่ทัพที่ล้างแค้นให้ธิดาซึ่งถูกขืนใจและตัดลิ้นกับมือทั้งสองข้างเพื่อไม่ให้บอกใคร โดยที่คนร้ายไม่ใช่ใครเลยนอกจากโอรสเลี้ยงสองคนของกษัตริย์เอย แต่ละเรื่องชวนให้เขาคิดว่าโรงละครของธีร์ดีเรนี่กระไร ช่างเต็มไปด้วยเรื่องนองเลือดและหดหู่จนไม่รู้ว่าจะบันเทิงที่ตรงไหน

บทพูดที่รูอาร์คเคยยกขึ้นมาบ้างก็ฟังคมคายอยู่...แต่เขาก็นึกไม่ออกว่ามันจะเข้ากับเนื้อเรื่องโชกเลือดได้อย่างไร ครั้นเด็กหนุ่มผมแดงเล่าเรื่องที่ไม่โชกเลือด เป็นละครสุขนาฏกรรมของบรรดาคู่รักทั้งหลายที่เข้าใจผิดหรือสลับตัวกันอย่างพิสดารด้วยเวทมนตร์บ้าง อาเมียร์ก็คิดว่านั่นออกจะเป็นเรื่องที่เบาโหวงและไร้สาระสักหน่อย

“เอาเถอะ ไม่ลองไปดูเองก็ไม่รู้ว่าละครสนุกอย่างไร ยิ่งเรื่องเหมันต์นี่ข้ารับประกันได้ว่าไม่มีใครตาย...เอ้อ...อันที่จริงก็มีสองสามคน แต่ไม่ใช่คนสำคัญนักหรอก แล้วถึงมีคนตายก็ไม่มีเลือดบนเวทีสักหยด แต่จะเป็นไปได้อย่างไรอาจารย์ต้องไปดูเอง”

“แค่เจ้าเล่าก็รู้เรื่องพอแล้ว ข้าจะไปดูทำไมเล่า”


รูอาร์คฟังแล้วโคลงศีรษะ

“อาจารย์...บางคนเขาไปดูละครเรื่องเดิมซ้ำกันหลายครั้งนะ มันมีอะไรมากกว่าเนื้อเรื่อง ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ฝีมือนักแสดง ดูสิบครั้งก็ไม่เหมือนเดิมทั้งสิบครั้ง เพราะเล่นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้นนี่ล่ะถึงได้ท้าทายว่าจะทำอย่างไรให้ผู้ชมจดจำและบอกว่าดีกว่าครั้งอื่นๆ คนไม่เคยดูละครอย่างอาจารย์ ดูสักครั้งจะติดใจ”

เพื่อตัดรำคาญ อาเมียร์เลยตอบแบบขอไปทีว่าถ้ามีเวลาว่างจากการทบทวนจะลองไปดูสักครั้งก็ได้ แล้วไปๆ มาๆ รูอาร์คก็อ้างว่าตนไม่ใช่คนเข้าสอบข้อเขียน จะไม่ขอไปหอสมุดด้วย แต่ออกไปเดินเล่นตามย่านโรงละคร สืบดูสักหน่อยว่ามีเรื่องอะไรน่าสนใจบ้างในช่วงนี้

แล้วสุดท้าย เด็กหนุ่มผมดำก็ต้องยอมให้ลูกศิษย์ตัวแสบไปจนได้ ก่อนอีกฝ่ายจะหว่านล้อมเขาด้วยสารพัดวิธีที่สิ้นเปลืองพลังงานในการต่อต้านยิ่งไปกว่าเดิม

ในวันนี้ เด็กหนุ่มผมแดงเลยเสนอให้คนขับรถม้ามาส่งพวกเขาที่จัตุรัสกลาง ซึ่งอยู่ระหว่างย่านโรงละครและวิทยาลัย แล้วให้ทั้งสามคนแยกย้ายกันไป จะได้เป็นการชมเมืองหลวงที่นานๆ ทีจะมาสักครั้งไปในตัวด้วย

ไม่รู้ว่ารูอาร์คไปพูดอย่างไร แต่คนขับรถม้าของท่านเบเรคก็ตกลงตามนั้น เหมือนกับที่อาเมียร์ต้องยอมอ่อนให้เด็กหนุ่มผมแดงไปตามใจชอบเมื่อก่อนหน้า

ทันทีที่กระโดดลงจากรถม้า รูอาร์คก็ทำท่าเท้าสะเอวยืดอกสูดหายใจเสียเต็มปอด พูดว่าอากาศเมืองหลวงในหน้าหนาวเย็นสดชื่นดี แล้วก็โบกมือก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งข้ามลานที่ดูเงียบเหงาในเช้าฤดูหนาวไปอย่างคนรู้จักทาง

คนขับรถม้าบอกเส้นทางให้อาเมียร์อีกครั้ง ก่อนจะขับจากไป ทิ้งเด็กหนุ่มกับชายหนุ่มไว้กับแผนที่อย่างหยาบๆ ที่เจ้าตัวแสบผมแดงเขียนไว้ให้ด้วยลายมือหวัดๆ จนเด็กหนุ่มผมดำคิดว่าเดินหาทางเองน่าจะงงน้อยกว่าด้วยซ้ำ

ถึงอย่างนั้น เมื่อเดินไปเรื่อยๆ อาเมียร์ก็พอจับได้ว่าแผนที่ที่รูอาร์คเขียนให้ก็ถูกต้องดี จนอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าเขาเอาทิศทางของสถานที่ที่ตนเองไม่ได้มาเลยนานเป็นหลายปีไปบรรจุไว้ที่ส่วนไหนของสมองที่ดูจะมีแต่เรื่องเรื่อยเปื่อยไม่เป็นสาระอย่างนี้กัน

“รูอาร์คเคยอยู่เมืองหลวงจริงๆ สินะ” เด็กหนุ่มเปรยขึ้นมา

“เขาบอกอาจารย์แล้วหรือขอรับ” เฟลิมกลับถามอย่างแปลกใจ

“ก็...บอกแล้ว ทำไมหรือ”

“เขาไม่เคยบอกใครเองน่ะสิขอรับ” ชายหนุ่มให้คำตอบ “ว่าเขาเคยอยู่เมืองหลวงมาก่อน เพราะบอกไปก็เท่ากับ...บอกว่าเขาไม่ใช่ลูกของท่านแม่ด้วย”

“...อย่างนั้นหรือ”

“เขาบอกอาจารย์เรื่องแม่ของเขาหรือเปล่าขอรับ”

“ก็...ข้าก็พอรู้คร่าวๆ” อาเมียร์ตัดสินใจตอบเป็นกลางไว้ “ว่าท่านเบเรคพาเขามาจากเมืองหลวง”

“ใช่ขอรับ” เฟลิมรับ “ท่านพ่อบอกว่าแม่ของเขาตายแล้ว เลยรับเขามาอยู่ด้วย นั่นคงราวๆ เจ็ดปีก่อนได้”

“แล้ว...ท่านหญิงกับท่าน กับคุณหนูฟิเดลมารู้สึกอย่างไรหรือ...ที่จู่ๆ ก็มีลูกหรือพี่น้องเพิ่มมาอีกคน”

“ท่านแม่ก็เงียบๆ ขอรับ แต่ท่านก็เมตตารูอาร์คดี ส่วนข้าในทีแรกลำบากใจเหมือนกันเพราะรูอาร์คมาจากคนละที่...บางทีก็ทำอะไรไม่เหมือนพวกเราที่จวน แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นน้องของข้านี่ขอรับ...ข้ารักเขา ตอนนี้ข้าเข้ากับเขาได้มากกว่าแต่ก่อน ข้าคิดว่าฟิเดลมาก็คงคิดอย่างเดียวกัน รูอาร์คก็เป็นห่วงฟิเดลมาเหมือนกันนะขอรับ”

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นน้อง...อย่างนั้นหรือ

อาเมียร์อดนึกถึงตนเองไม่ได้ เมื่อก่อนเขาเคยมีพี่สาวน้องสาวต่างแม่ถึงสามคน แต่ด้วยความที่รู้จักคุ้นเคยวิ่งเล่นกันมาแต่เด็กจึงไม่รู้สึกแปลกอะไร แม่หรือเสด็จแม่ในครั้งนั้นก็ไม่แสดงทีท่าอะไรกับการที่เสด็จพ่อมีชายามากมายตามโบราณราชประเพณี เพราะจะว่าไปเสด็จแม่ยังเป็นชายาที่อภิเษกในลำดับกลางๆ เสียด้วยซ้ำ

มีตอนที่แม่เริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนรักเดิม...โดยมีเขาอาศัยอยู่ด้วยและนาสิราเกิดมานี่เองที่เด็กหนุ่มเริ่มสะกิดใจอย่างประหลาดกับการมีน้องต่างพ่อ

ขณะใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทราย ทั้งสองปิดบังเขามาโดยตลอด...จนจู่ๆ แม่ก็บอกว่าเขากำลังจะมีน้อง เด็กหนุ่มหัวเสีย...แม้จะไม่อยากคิดให้แน่ชัดว่าทำไมตนจึงหัวเสีย เขาบอกกับ ‘พ่อ’ กับแม่ว่าถึงอย่างไรก็ควรทำพิธีให้ถูกต้องตามธรรมเนียม ไม่ใช่อยู่ด้วยกันเฉยๆ จนทั้งสองตัดสินใจไปให้นักบวชของเผ่าในทะเลทรายอีกเผ่าทำพิธีแต่งงานอย่างง่ายๆ ให้โดยมีอาเมียร์เป็นพยานด้วย

จนบัดนี้ เมื่อนาสิรา ฟาร์ฮานาห์ กับอาซิซเกิดมา อาเมียร์ที่เคยกังขาว่าตนจะรักน้องต่างบิดาได้อย่างไร...ท่ามกลางความรู้สึกที่ขัดแย้งกันระหว่างอยากให้แม่มีความสุข กับอยากให้แม่ครองตนเพื่อพ่อของเขา...ก็พบว่าเขารักน้องๆ ทั้งสามเหมือนกับที่เคยรักพี่น้องต่างแม่คนอื่นๆ ในครั้งนั้น

ถึงอย่างนั้น...เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าเสด็จพ่อที่อาจเฝ้าดูอยู่ ณ เบื้องบนนั้นจะรู้สึกอย่างไร...กับเสด็จแม่และเสด็จอาในยามนี้

อาเมียร์ไม่มีโอกาสนึกต่อในตอนนั้น เพราะเฟลิมบอกว่าทั้งสองมาถึงวิทยาลัยแล้ว

* * *

หลังกำแพงหินเก่าแก่เป็นสนามหญ้ากว้างและอาคารที่รายล้อม ทั้งสองถามทางไปหอสมุดจากยามที่หน้าประตู แล้วก็ได้คำตอบว่าเป็นอาคารที่มีลักษณะกึ่งๆ หอคอยซึ่งดูเก่าแก่ที่สุดและสูงที่สุดในบรรดาสิ่งปลูกสร้างโดยรอบ

ไม่นานทั้งสองก็เดินเข้ามาในอาคาร บรรณารักษ์ที่ห้องโถงชั้นล่างขอดูจดหมายรับรองจากท่านเจ้ามณฑลก่อนจะอนุญาตให้ทั้งสองขึ้นไปชั้นบน โดยอธิบายเกณฑ์การแบ่งหนังสือเป็นชั้นๆ อย่างคร่าวๆ ก่อนหน้านั้น

เนื่องจากแนวของหนังสือที่อาเมียร์ต้องการหามีกระจายกันไปราวสองสามชั้น เขากับเฟลิมจึงตกลงกันว่าจะแยกย้ายกันหาและจดเพื่อให้ได้ข้อมูลเร็วขึ้น

จากนั้นอาเมียร์ก็เดินขึ้นบันไดเวียนไปจนถึงชั้นที่ตนรับปากจะหา ซึ่งก็คือชั้นหนังสือประวัติศาสตร์ แล้วก็เริ่มค้นหนังสือ แค่กลิ่นของกระดาษเก่ากรอบก็ทำให้เขากระตือรือร้นขึ้นมาทันที เด็กหนุ่มออกจะใจเต้นไม่น้อยเมื่อได้มาอยู่ในที่ที่มีหนังสือตำรามากมายที่สุดเท่าที่เคยพบในชีวิต อันที่จริงเขาก็เข้าออกห้องทรงพระอักษรของเสด็จพ่ออยู่บ่อยๆ แต่แน่นอนว่าที่นั่นไม่ได้กว้างใหญ่และมีหนังสือจำนวนมากมายหลากหลายถึงเพียงนี้

เด็กหนุ่มเที่ยวดูตามชั้นหนังสือต่างๆ ได้ไม่นานก็ได้หอบหนังสือเต็มอ้อมแขน เขาขนพวกมันไปที่โต๊ะไม้ซึ่งวางเรียงเป็นแถวในมุมหนึ่งก่อนจะเริ่มพลิกอ่านทีละเล่มแล้วจดลงม้วนกระดาษที่เตรียมมา

บรรยากาศรอบด้านเงียบกริบร้างเงาผู้คน และอาเมียร์ก็ทำงานอย่างมีสมาธิไปตลอดจนกระทั่งได้ยินเสียงพูดดังขึ้นใกล้ๆ

“หนังสือเยอะเป็นตั้งขนาดนั้น...อย่าบอกนะว่าจะจดทั้งหมดน่ะ”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นเห็นชายคนหนึ่งจ้องมองเขาอยู่ เป็นชายหนุ่มวัยราวยี่สิบกว่าๆ ที่สวมเสื้อคลุมตัวยาวแบบเรียบๆ สีออกน้ำเงินทึม มีผิวออกคล้ำ ผมสีดำยาวปรกต้นคอ ไรหนวดเขียวจางๆ ดูเหมือนไม่ได้ผ่านการโกนมานาน และนัยน์ตาสีน้ำเงิน...ซึ่งบัดนี้เบิกกว้างดูคล้ายตานกฮูก

อาเมียร์กระพริบตาปริบๆ ไม่ทันนึกคำตอบอีกฝ่ายก็พูดต่อ

“ยืมออกไปก็ได้นี่...ถึงจะไม่ทุกเล่มก็เถอะ เจ้าเป็นนักศึกษาชั้นแรกใช่ไหมล่ะ เขาให้ยืมสูงสุดได้เจ็ดเล่ม คัดหาเล่มที่คิดว่าดีที่สุดไปน่าจะประหยัดเวลาอ่านหนังสือกว่า แล้วนี่สอบหรือทำงานวิชาอะไร ทำไมถึงใช้หนังสือทั้งเยอะทั้งหลากหลายขนาดนี้”

“เปล่า” เด็กหนุ่มเพิ่งตั้งสติบอกได้เป็นครั้งแรกหลังสารพัดคำถามจบลง “ข้าไม่ใช่นักศึกษาที่นี่”

“อ้าว!” ชายหนุ่มอุทาน “แล้วจะเอาหนังสือไปทำอะไรตั้งมากตั้งมาย”

“คือข้า...” อาเมียร์เริ่มไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไรดี “ข้าจดไปให้คนอื่น”

“คนอื่นนี่คือใคร เพื่อนหรือ”

“...ลูกศิษย์”

ชายหนุ่มยิ่งมีสีหน้างุนงงไปกว่าเดิม

“ลูกศิษย์...นี่เจ้าเป็นอาจารย์แล้วหรือ ยังดูอายุน้อยอยู่เลยนี่ แล้วนี่ลูกศิษย์เจ้าอายุเท่าไร เด็กที่ไหนต้องเรียนตำราขั้นสูงขนาดนี้กัน”

“ข้าเป็นอาจารย์ของลูกชายเจ้ามณฑลยาร์ลาธ คนที่จะเข้าสอบคัดเลือกในเร็วๆ นี้น่ะ” เด็กหนุ่มตัดสินใจตอบตามตรง

“อ้อ” ชายหนุ่มตรงหน้าพยักหน้าช้าๆ “ข้าจำได้แล้ว คนที่ได้ข่าวว่าเป็นชาวทะเลทรายเหมือนกันนี่เอง”

“เหมือนกัน...หรือ”

“ตายายข้าเป็นผู้อพยพจากทะเลทราย ว่าไป...อย่างข้าก็เรียกได้ว่าลูกครึ่งชาวทะเลทรายนั่นล่ะ”

“อย่างนี้นี่เอง” อาเมียร์หายแปลกใจกับรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่าย “ท่านเป็นนักศึกษาที่นี่หรือ”

“ใช่” ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาศีรษะ “หวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นบัณฑิตในเร็วๆ นี้...ถ้างานวิจัยที่ข้าทำอยู่เสร็จเรียบร้อยดี”

“ข้าชื่ออาเมียร์ ยินดีที่ได้รู้จัก” เด็กหนุ่มส่งมือให้เขาก่อน

“ข้าชื่อซูฮาล” อีกฝ่ายจับมือของเขาไว้เบาๆ ด้วยมือที่ออกจะผอมแห้ง “เจ้าอายุเท่าไรหรือ”

“สิบเจ็ด...เข้าฤดูใบไม้ผลินี้ก็สิบแปด”

“ยังเด็กอยู่จริงๆ ด้วย” ซูฮาลเปรยทึ่งๆ “ข้ารึก็นึกว่าอายุยี่สิบต้นๆ แต่ดูหน้าเด็กกว่าวัยเสียอีก เจ้าไปร่ำเรียนมาจากที่ไหนล่ะนี่”

“ข้า...เอ่อ...เคยเรียนตอนอยู่ทางใต้ พอย้ายมาที่นี่ก็ศึกษาเอง”

“แสดงว่า...ตระกูลของเจ้าก็ยิ่งใหญ่ไม่น้อยเลยสิ นี่เจ้ามีเชื้อสายสุลต่านหรือข่านเผ่าไหนหรือเปล่า”

“ก็...ประมาณนั้น” เด็กหนุ่มรับสมอ้างเพื่อตัดปัญหา

“แล้วทำไมถึงอพยพมาที่นี่ล่ะ อยู่ที่นั่นพร้อมหน้ากับญาติก็น่าจะสุขสบายดีไม่ใช่หรือ”

“อันที่จริงครอบครัวข้าก็ไม่ได้มีอำนาจอะไรหรอก แค่เชื้อสายปลายแถวเท่านั้นเอง” อาเมียร์ออกตัว

“อือม์” ซูฮาลพยักหน้ารับ นิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ว่าแต่...เจ้าเคยอยู่เมืองเชรัมบาหรือเปล่า”

“เชรัมบา...” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วน้อยๆ รู้สึกคุ้นกับชื่อนั้นอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็นึกไม่ค่อยออกนักว่าเป็นที่อย่างไร หรือเคยไปเมื่อใด “อาจจะเคยเดินทางผ่าน แต่ไม่เคยอาศัยอยู่แน่ๆ”

“อย่างนั้นหรือ เสียดายจริง” ชายหนุ่มทำไหล่ตก “ข้าอยากถามเรื่องเมื่อสามปีก่อนสักหน่อย”

“สามปีก่อน...เรื่องอะไรหรือ”

“ก็...เรื่องที่ว่ามีฝูงปีศาจบุกปิดล้อมเชรัมบาน่ะสิ ข้าอยากรู้ว่าจริงหรือเปล่า”

อาเมียร์ยิ่งงุนงง

“ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องอย่างนั้นเลย แล้วอีกอย่าง...ข้าคิดว่าปีศาจไม่น่าจะมีจริงหรอกนะ”

ซูฮาลกระพริบตาปริบๆ

“เจ้าไม่เชื่อว่ามีปีศาจหรือ”

เด็กหนุ่มสั่นศีรษะทันที

“ถ้าไม่เห็นต่อหน้าก็คงปักใจเชื่อไม่ได้หรอก”

“แล้ว...เวทมนตร์ล่ะ”

ทัมมุซนิ่งไป เคยมีครั้งที่เขาเชื่อว่าเวทมนตร์หรืออำนาจเหนือธรรมชาติมีจริง...เมื่อเสด็จแม่อ้างตนว่าเป็นธิดาแห่งอมตเทพและพิสูจน์ต่อหน้าประชาราษฎร์ด้วยการตัดแขนของตนให้ขาดจากร่างจนเลือดสาดกระจาย ก่อนจะต่อแขนกลับมาเหมือนเดิมโดยไร้รอยแผล

แต่บัดนี้เขาก็ไม่แน่ใจเสียแล้วว่านั่นเป็นความจริงหรือไม่ หลังจากนั้นแม่ไม่ได้แสดงตนเป็นธิดาแห่งองค์เทพเจ้าหรือทำสิ่งใดที่จะเรียกได้ว่าเป็น ‘เวทมนตร์’ อีก กระทั่งเหตุการณ์ที่เกิดในคราวนั้น แม่ก็ไม่เคยพูดถึงเลย และเมื่อเขาถามขึ้นมาในครั้งหนึ่ง ท่านก็พูดเหมือนกับว่า...เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพียงมายากลเพื่อสร้างศรัทธาของประชาชนเท่านั้น

“เจ้าเคยได้ยินใช่ไหมล่ะ ว่าพวกนักบวชแห่งอารามสุริยเทพใช้เวทมนตร์ได้ หากพวกเขาทำเช่นนั้นได้ย่อมแสดงว่าเทพเจ้าแห่งแสงสว่างที่เป็นผู้ประทานอำนาจเวทมนตร์มีจริง และหากพวกเขาเชื่อว่าปีศาจที่ถือกำเนิดจากความมืดมีจริงเช่นกัน นั่นหมายความว่าปีศาจก็ย่อมใช้เวทมนตร์ที่น่าจะเป็นขั้วตรงข้ามกับเวทมนตร์แห่งแสงสว่างได้ไม่ใช่หรือ นี่ข้าพูดตามหลักของเผ่าผู้บูชาวิญญาณทางตะวันออก ที่เชื่อว่าทุกสิ่งในโลกย่อมต้องมีสองสิ่งคู่กันเพื่อความสมดุลในโลก อย่างพระอาทิตย์กับพระจันทร์ กลางวันกับกลางคืน ชายกับหญิง หรือแสงสว่างกับความมืดน่ะ”

“เอ...” อาเมียร์เริ่มไม่แน่ใจกับตรรกะของอีกฝ่าย “ข้า...เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าไม่เคยเห็นเวทมนตร์มาก่อน แล้วถ้าพวกนักบวชแห่งอารามสุริยเทพใช้เวทมนตร์ได้ก็คงจะใช้ให้สาวกดูนานแล้วไม่ใช่หรือ”

“ก็พวกเขาบอกว่าเวทมนตร์ที่องค์เทพเจ้าประทานมาให้มีเพียงมนต์ที่จะต่อต้านและชำระล้างความมืดเท่านั้น เมื่อคราวเชรัมบาก็รู้สึกว่าอารามหลวงจะส่งคณะนักบวชไปสืบ แต่นอกจากข่าวลือว่ามีนักบวชระดับสูงหายสาบสูญไปคนหนึ่งในระหว่างนั้นก็ไม่มีข่าวอะไรอีก ไม่มีการยืนยันด้วยซ้ำว่าเหตุการณ์ฝูงปีศาจบุกเมืองเป็นความจริงหรือไม่”

“ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนั้นเลย ว่าแต่ทำไมท่านถึงสนใจเรื่องเชรัมบากับเวทมนตร์นักหรือ”

“นั่นล่ะงานวิจัยของข้า” ซูฮาลพูดพลางยกมือขึ้นเสยผมอย่างเก้อๆ “ข้าทำงานวิจัยเรื่องการมีอยู่ของเวทมนตร์และปีศาจ ทีแรกก็ว่าจะใช้กรณีศึกษาเรื่องตำนานอาณาจักรมนตราที่ล่มสลาย แต่อาจารย์บอกว่าเรื่องนั้นเป็นเพียงตำนาน หรือถึงเคยเป็นเรื่องจริงก็หาหลักฐานยืนยันไม่ได้เพราะเก่าแก่เกินไป เลยว่าจะยกเหตุการณ์ที่เชรัมบาขึ้นมาเป็นกรณีศึกษาแทน ไม่ก็เสริมกันทั้งสองเรื่อง”

“...เก่าแก่เกินไป” อาเมียร์ยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “เก่าแก่เกินไปนี่หมายความว่าอย่างไรกัน”

“ก็...มันเรื่องตั้งพันๆ ปีก่อน...ไม่ใช่หรือ”

เด็กหนุ่มตกใจมากกับคำตอบ แต่ครั้นจะแย้งว่าเหตุการณ์นั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้นานกว่าห้าปี ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงพูดของบุคคลที่สามซึ่งคุ้นหูอย่างประหลาด

“เจ้าก็มาที่นี่ด้วยหรือ”

อาเมียร์เงยหน้าขึ้นตามเสียง เห็นชายหนุ่มอีกคนที่ดูอายุน้อยกว่าซูฮาลแต่อายุมากกว่าเขา ชายที่มีเส้นผมสีทองจางกับนัยน์ตาสีฟ้าเย็นซึ่งเขาจำได้ดี...แม้นจะอยู่ในชุดลำลองที่ดูภูมิฐานตามประสาลูกขุนนาง ไม่ใช่ชุดเกราะโซ่ทับด้วยผ้าคลุมที่มีตราสัญลักษณ์ราชวงศ์แห่งธีร์ดีเร

เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไรดีกับ ‘คำทักทาย’ ที่ไม่ตรงตามธรรมเนียมของอีกฝ่าย จึงตัดสินใจยึดติดกับธรรมเนียมไว้

“สวัสดี...ท่านราชองครักษ์ดูลัส”

ชายหนุ่มไม่ตอบ เพียงปรายตามองตั้งหนังสือที่เด็กหนุ่มนำมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วก็เปรยขึ้น

“มิน่าเล่า...ข้าถึงไม่เจอหนังสือที่ข้าหาอยู่บนชั้น”

“เล่มไหนล่ะ ถ้าท่านจะใช้ต่อ ข้าจะรีบจดเล่มนั้นให้เสร็จก่อน” อาเมียร์อาสา

“ไม่เป็นไร” ดูลัสยักไหล่น้อยๆ เหมือนไม่สนใจ “ข้าอ่านจบทั้งหมดนี่แล้ว เพียงแค่คิดว่าหากทบทวนอีกสักรอบได้ก็ดี แต่ไม่จำเป็นถึงเพียงนั้น จดไปให้ลูกศิษย์ของเจ้าเถอะ น่าเสียดายที่เจ้าตัวไม่ได้มาอ่านมาจดเอง”

“อันที่จริงเขาก็มาที่นี่ด้วย แต่เราแยกย้ายกันไปหาจะได้ข้อมูลไปทบทวนเร็วขึ้น” เด็กหนุ่มอดตอบตามความจริงไม่ได้

“อ้อ” ชายหนุ่มรับเรียบๆ “ข้านึกว่าเจ้าคิดจะทำตัวเป็นผู้เข้ารับการทดสอบเองเสียอีก”

อาเมียร์บังคับตนเองไว้อย่างยากเย็นไม่ให้แสดงสีหน้าไม่ดีออกมา...เมื่อรู้แน่ว่าอีกฝ่ายจงใจหาเรื่องเขาแท้ๆ

“เอ่อ...” ผู้พูดขึ้นคือซูฮาล “พวกท่านรู้จักกันด้วยหรือ”

ความเงียบเกิดขึ้นชั่วอึดใจ ก่อนที่ดูลัสจะเป็นฝ่ายพูดโดยไม่มองหน้าทั้งสองคน

“ก็เคยเจอสองสามครั้ง”

ราชองครักษ์หนุ่มพูดเท่านั้นก็เดินจากไปโดยไม่ว่าอะไรอีก ทิ้งชายอีกสองคนให้มองตามในความเงียบ จนกระทั่งนักศึกษาหนุ่มเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงแผ่วเบา

“ไปเจอกันตอนไหนล่ะนี่”

“...ตอนที่เจ้าหญิงเสด็จไปประทับที่อารามในมณฑลยาร์ลาธ” อาเมียร์ตอบอย่างเสียไม่ได้ “เขา...มาติดต่อธุระน่ะ”

“อ้อ” คนฟังพยักหน้าหงึกหงัก “อย่างนี้นี่เอง”

“ท่านรู้จักเขาไหม เห็นเขาบอกว่าตัวเองเป็นลูกชายเจ้ามณฑลอุลทูร์ แล้วก็จะเข้ารับการทดสอบครั้งนี้ด้วย”

“ก็...รู้จักแบบไม่เคยพูดคุยกันนั่นล่ะ” ซูฮาลเลื่อนเก้าอี้ลงนั่งตรงข้ามกับเขา “เขาเพิ่งจบจากที่นี่เมื่อปีที่แล้ว”

“หือม์...” อาเมียร์รับอย่างไม่อยากเชื่อ “ก่อนจะเข้าเป็นราชองครักษ์หรือ”

“เปล่า รับราชการไปด้วย เรียนไปด้วย เห็นว่าไม่ได้มาเข้าเรียน แต่นานๆ ก็มาสอบที ถึงอย่างนั้นยังได้คะแนนเป็นลำดับต้นๆ อยู่ทุกครั้งด้วยซ้ำ มีคนลือว่าเขานอนแค่วันละสามชั่วโมง ถึงได้อ่านหนังสือเองทัน”

เด็กหนุ่มฟังแล้วกระพริบตาปริบๆ นึกไม่ถึงเลยว่าดูลัสจะเป็นคนที่มีความสามารถถึงเพียงนั้น...แม้จะพอเดาได้ว่าอีกฝ่ายจับความเคลื่อนไหวของเขาอย่างระแวดระวังอยู่ไม่น้อย

“คนที่นี่ก็เก็งว่าเขาน่าจะได้เป็นราชาองค์ต่อไป ข้าก็ว่าดีเหมือนกันถ้าจะได้คนมีความรู้ความสามารถด้วยตัวเองมาปกครอง” ซูฮาลออกความเห็น “ถึงข้าจะไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวก็เถอะ”

“แล้ว...ลูกขุนนางอื่นๆ ไม่มีใครเรียนจบจากที่นี่เหมือนเขาบ้างเลยหรือ”

“มีน้อย...พวกที่สอบคัดเลือกไม่ผ่านแต่ใช้เงินทองเข้ามาก็มี ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะเรียนจบกันได้ง่ายๆ หรือถึงจบก็ได้คะแนนแบบลูกผีลูกคน ไม่น่าอวดให้ภูมิใจหรอก”

“อย่างนั้นหรือ” อาเมียร์รับ

“เอาเถอะ ข้าก็ไม่ควรพูดอย่างนี้กับอาจารย์ของผู้เข้าทดสอบอีกคนหนึ่งเลย วางใจได้ ข้าไม่เคยได้ข่าวเสียๆ หายๆ เกี่ยวกับลูกชายท่านเจ้ามณฑลยาร์ลาธ...ถึงเขาจะไม่เคยเรียนที่นี่ก็ตาม ข้าอวยพรให้ใครก็ตามที่ทั้งมีความสามารถและมีคุณธรรมพร้อมได้เป็นราชาองค์ต่อไปนั่นล่ะ”

“ขอบคุณมาก ท่านซูฮาล” เด็กหนุ่มค่อยยิ้มน้อยๆ ออกมา ทำให้คนถูกขอบคุณเกาศีรษะอย่างเก้อๆ

“อะไรกัน ข้าก็แค่พูดตามความจริงเท่านั้นเอง ว่าแต่...ถึงอย่างไรข้าก็เห็นว่าเอาหนังสือไปอ่านทั้งเล่มน่าจะดีกว่านั่งจดแหละนะ เดี๋ยวข้ายืมให้เจ้าก็แล้วกัน”

“ไม่เป็นไรหรอก ข้าเกรงว่าท่านจะลำบาก” อาเมียร์รีบปฏิเสธ

“ลำบากอะไร เห็นคนขยันอย่างนี้ข้าชอบ ข้าก็อยากช่วย เลือกมาสักสามสี่เล่มแล้วกัน ข้าทำงานเสริมเป็นผู้ช่วยอาจารย์ด้วย เลยยืมได้มากกว่านักศึกษาทั่วไปนิดหน่อย”

เด็กหนุ่มคิดตามดูแล้วก็เห็นว่าเป็นเรื่องดี เพราะจะได้นำหนังสือกลับไปทบทวนเพิ่มเติมได้ และถึงอย่างไรเขากับเฟลิมก็คงต้องกลับมาที่นี่อีกในวันต่อๆ มา จึงได้ตกลงรับ ซูฮาลจึงช่วยเขาขนหนังสือไปยังชั้นที่เฟลิมอยู่ เพื่อดูว่าอีกฝ่ายมีหนังสือที่ต้องการยืมกลับไปมากกว่าหรือไม่

ผลปรากฏว่าหลังแนะนำให้บัณฑิตหนุ่มกับลูกศิษย์ได้รู้จักกันและถามเฟลิมแล้ว ชายหนุ่มก็ยกให้อาเมียร์ตัดสินใจว่าจะยืมเล่มใดกลับไปบ้าง เมื่อเรียบร้อย ซูฮาลก็กลับไปทำงานของตนต่อ โดยนัดหมายเวลาลงมาเจอกันในห้องโถงด้านหน้าหอสมุดในตอนใกล้เที่ยง ซึ่งเป็นเวลาที่พวกเขาต้องออกไปรับประทานอาหารกลางวัน

แต่การยืมหนังสือออกดูท่าทางจะไม่ง่ายดายอย่างที่คิด...

“ขอโทษนะ เจ้ายืมหนังสือครบกำหนดเล่มแล้วซูฮาล มีเกินเวลามาสองเล่ม...ตั้งแต่เดือนที่แล้วด้วย สิริรวมค่าปรับตอนนี้ก็หกสิบวีร์ได้แล้ว” บรรณารักษ์ตอบหลังจากดูบัตรยืมหนังสือในซองไม้ที่เรียงเป็นแถวยาว

“ห...หกสิบวีร์!” ผู้ต้องเสียเงินจำนวนนั้นแทบตาเหลือก “นั่น...นั่นค่ากินอยู่ของข้าอาทิตย์หนึ่งเชียวนะ!”

“เจ้าก็หัดตรวจสอบกำหนดคืนหนังสือเสียบ้างสิ อย่าบอกนะว่าหมกตัวอ่านเรื่องเวทมนตร์จนลืมวันลืมคืนเหมือนถูกเวทบิดผันกาลเวลาจริงๆ” บรรณารักษ์ซึ่งดูจะรู้จักคนยืมดีพูดจนอีกฝ่ายคอตก

“โธ่...ซูฮาลผู้โง่เขลาเอ๋ย” เจ้าของชื่อพึมพำพลางสั่นศีรษะ “ทำไมเจ้าถึงไม่ตรวจสอบให้ดีๆ เล่าว่าถึงเวลาคืนหนังสือแล้ว...หกสิบวีร์...เสียไปเปล่าๆ ตั้งหกสิบวีร์ทีเดียว...”

“ไม่เป็นไรหรอก ท่านซูฮาล” อาเมียร์พยายามพูด “หากยืมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ท่านมีน้ำใจจะช่วยยืมให้ พวกเราก็ยินดีมากแล้ว”

“ใช่ขอรับ” เฟลิมเสริม

ถึงอย่างนั้น ซูฮาลก็ยังขอโทษขอโพยซ้ำอีกราวสี่ห้าครั้ง ก่อนที่เด็กหนุ่มจะตัดบทด้วยการบอกว่าควรรีบไปที่โรงอาหารก่อนที่นั่งจะเต็มในเวลาเที่ยง ส่วนเรื่องยืมหนังสือนั้นไว้ในวันถัดมาก็ได้

* * *

“ท่านซูฮาลเป็นคนที่เอื้ออารีดีนะขอรับ” เฟลิมเปรยถึงเจ้าของชื่อที่เพิ่งรู้จักในวันนั้นขณะเดินกลับไปยังจัตุรัสด้วยกันกับอาเมียร์ “วันนี้มาเจอเขากับเห็นวิทยาลัยหลวงจริงๆ แล้วก็เสียดายเหมือนกันที่ข้าไม่ลองสอบเข้าดูตั้งแต่คราวนั้น”

“หือม์” เด็กหนุ่มผมดำรับอย่างประหลาดใจ “ทำไมล่ะ”

ชายหนุ่มยักไหล่น้อยๆ

“อันที่จริงท่านพ่อว่าจะให้ลองสอบดู แต่ท่านแม่เป็นห่วงขอรับ...ถ้าจะให้ข้ามาอยู่เมืองหลวงตัวคนเดียว ไม่สิ...ถึงรูอาร์คจะมาด้วยกันก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี ข้าก็บอกท่านพ่อท่านแม่ว่าข้ารู้สึกเฉยๆ กับการเข้าวิทยาลัยหลวง อยากอยู่ที่ยาร์ลาธกับทุกๆ คนมากกว่า”

“อือม์” อาเมียร์ทำเสียงตอบ อดคิดไม่ได้ว่าให้เฟลิมกับรูอาร์คมาด้วยกันอาจจะน่าเป็นห่วงมากกว่าด้วยซ้ำกระมัง...ยิ่งเมื่อเห็นการ ‘ออกลาย’ ของอดีตคนเมืองหลวงติดละครชัดเจนตั้งแต่วันแรกที่มาอย่างนี้

สิ่งที่เฟลิมพูดต่อมาด้วยเสียงแผ่วเบาจึงเป็นเรื่องที่เด็กหนุ่มไม่เคยคาดคิดเลย

“แต่อันที่จริง...ข้ากลัวไปหลายอย่างขอรับ กลัวสอบไม่ผ่านแล้วใครๆ ดูถูกลับหลัง อีกอย่าง...ข้าก็รู้ตัวว่าตัวเองหัวไม่ดี เรียนหนังสือไม่เก่งอะไร กลัวท่านพ่อจะยอมเสียเงินทองมากมายไปเปล่าๆ เพื่อให้คนหัวทึบอย่างข้าได้ชื่อว่าจบจากวิทยาลัยที่ดีที่สุด แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น...ใครๆ ก็ต้องรู้ความจริง นอกจากท่านพ่อจะเสียเงินแล้วคนในครอบครัวก็ยังต้องผิดหวังในตัวข้าด้วย”

“ท่านเฟลิม...” อาเมียร์พยายามให้กำลังใจอีกฝ่าย “ท่านไม่ใช่คนหัวทึบหรอก ท่านก็เรียนเก่งได้เหมือนกัน คนเราถ้ามั่นใจในตัวเองและพากเพียรอย่างจริงจัง...คงมีน้อยเรื่องที่ทำไม่สำเร็จ”

ผู้ฟังยิ้มเจื่อนๆ

“ข้าพูดจริงนะ”

“ขอบคุณขอรับ อาจารย์” เฟลิมเอ่ยต่อ “เพราะได้เรียนกับอาจารย์นี่ล่ะขอรับ ข้าถึงรู้สึกอย่างนั้น ตอนแรกข้าก็คิดเหมือนกันว่าข้าไม่มีทางเป็นราชาได้หรอก ข้าไม่อยากเป็น กระทั่งเจ้ามณฑลข้ายังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเป็นได้เลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้...ข้ากลับคิดว่าจะทำให้เต็มที่ขอรับ”

เด็กหนุ่มผมดำมองผู้พูดที่ทอดสายตาตรงไปข้างหน้าอย่างประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม

“ข้าเคยคิดว่าตัวเองมีชีวิตที่มีความสุขดีแล้ว อยากอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่อยากไขว่คว้าหาอำนาจหรือลาภยศมากไปกว่านี้ แต่พอได้ฟังเรื่องที่เกิดกับลีชา...ข้าก็เห็นจริงอย่างที่อาจารย์บอกขอรับ ข้าอยู่ในที่ที่มีความสุขและปลอดภัย ขณะที่มีคนอีกมากมายในอาณาจักรนี้ที่ต้องทุกข์ร้อนมีอันตราย ข้า...ควรจะช่วยเหลือพวกเขาเท่าที่จำได้จริงๆ นั่นล่ะขอรับ ยิ่งรูอาร์คที่ใครๆ เห็นว่าเอาแต่ทำอะไรไม่เป็นแก่นสารยังช่วยไปดูลูกของนาง แล้วก็ช่วยให้นางกลับมาพูดได้อย่างนี้ ข้าก็มีอะไรสักอย่างที่น่าจะทำได้เหมือนกันใช่ไหมขอรับ ความกลัวเสียหน้ากับกลัวทำให้ครอบครัวผิดหวังในตัวข้า...เมื่อเทียบกับความทุกข์ของคนอื่นๆ แล้วเป็นเรื่องที่เล็กน้อยและเห็นแก่ตัวเหลือเกิน”

อาเมียร์พูดไม่ออกอย่างสิ้นเชิงกับถ้อยคำของอีกฝ่าย

เฟลิมไม่ใช่คนที่พูดน้อยจนเกินไป แต่ก็ไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับตนเองอย่างนี้เช่นกัน

“เพราะฉะนั้น...ข้าจะพยายามให้เต็มที่ขอรับ ถึงไม่ได้ข้าก็ไม่เสียอะไร ข้ายังพยายามดูแลชาวยาร์ลาธให้มีความสุขได้นี่ขอรับ”

“นั่นสิ” เด็กหนุ่มผมดำยิ้มรับ “ข้าก็ไม่อยากให้ท่านเคร่งเครียดกับการทดสอบจนเกินไป ถึงอย่างนั้น...ข้าก็หวังว่าราชาองค์ใหม่ของธีร์ดีเรจะเป็นคนที่มีความคิดอย่างท่าน...”

กระนั้น อาเมียร์ก็ไม่อาจอวยพรได้ว่าอยากให้เฟลิมกลายเป็นกษัตริย์แห่งธีร์ดีเรจริงๆ...ในเมื่อเขาไม่รู้เลยว่าความหวังนั้นจะเป็นการทำร้ายจิตใจของว่าที่ราชินีแห่งธีร์ดีเรยิ่งไปกว่านี้หรือไม่...

อย่างไรก็ตาม...เขามาได้ไกลเกินกว่าจะแก้ไขสิ่งที่ตนเองเคยทำลงไปแล้ว ก็คงได้แต่ภาวนาว่าผลของการทดสอบที่ใกล้มาถึงจะเป็นสิ่งที่แอชหรือเจ้าหญิงแอชลีนน์ต้องการที่สุดเท่านั้น

บทที่ ๑๗ ผลประโยชน์ร่วม

* * *


ก่อนการทดสอบในเมอร์คาห์เป็นเหมือนตอนพักยกเล็กน้อย และเป็นช่องให้ผมนำตัวละครใหม่อย่างซูฮาลออกมาด้วย อดรู้สึกไม่ได้เหมือนกันว่าตัวละครใหม่ๆ หลายตัวมีแอบฮากันไปคนละแบบ ทั้งเคียรา (ฮาเวลาโดนแกล้ง) รูอาร์ค (คำพูดแต่ละอย่างของหมอ) แล้วก็ซูฮาล (ผู้อ่านหนังสือจนลืมวันลืมคืน) ด้วย

ตอนนี้อาเมียร์ก็ได้รู้เห็นอะไรเพิ่มขึ้นหลายอย่าง ทั้งความชอบละครเข้าสายเลือดของรูอาร์ค ความคิดความรู้สึกของเฟลิม ความเป็นมาของดูลัสบางส่วน และก็เงื่อนงำปริศนาที่ซูฮาลหยอดไว้ด้วย ผมเองก็ออกจะสนุกแบบผ่อนคลายที่ได้เขียนตอนนี้ก่อนการขับเคี่ยวในบททดสอบครับ

เรื่องของบทละครที่รูอาร์คเล่ามาแต่ละเรื่องมาจากบทละครที่มีอยู่จริง อาจดัดแปลงบ้างบางส่วน ส่วนมาก (ยกเว้นเรื่องเดียว) เป็นบทละครของเช็คสเปียร์ รวมทั้ง ตำนานแห่งเหมันต์ (A Winter's Tale) ด้วย เรื่องอื่นๆ นอกจากนั้นมีอะไรบ้างลองมาทายเล่นๆ ดูก็ได้ครับ :)

สุดท้ายนี้ ขอประชาสัมพันธ์ข่าวงานสัปดาห์หนังสือนะครับ เซ็ทตำนานอาณาจักรมนตรา 2 เล่มรวมกันลด 50% ในบูธ Simply Book - Chill Out บูธ โอ 17 โซน ซี ชั้นล่างใกล้ฟู้ดคอร์ทครับ ผมจะไปช่วยที่บูธในวันเสาร์ที่ 28 มี.ค. กับ 4 เม.ษ. ตั้งแต่บ่าย ใครแวะไปช่วงนั้นมาทักทายกันได้นะครับ :)


Create Date : 19 มีนาคม 2552
Last Update : 21 มีนาคม 2552 12:32:58 น. 2 comments
Counter : 354 Pageviews.

 
อ่านรวดเทียวทั้งสิบหกตอนเลยค่ะ เขียนได้ลื่นไหลดีจริงๆเลย

ความคิดเห็นส่วนตัวชอบรูอาร์คมากกว่าพระเอกของเรื่องซะอีก รู้สึกว่าอาเมียร์พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่มากเกินไปจนขาดเสน่ห์ไปนิดหนึ่ง แต่ก็หยวนๆน่ะอาศัยว่าต้องเป็นอาจารย์ของเฟลิมที่อายุแก่กว่าตัวเองอีก ทั้งต้องพยายามทำตัวให้พ่อตัวเองยอมรับ

ปล. ทำไมพ่อกับแม่ของอาเมียร์ไม่บอกไปล่ะว่าตัวเองเป็นลูกแท้ๆ แล้วก็อธิบายให้เข้าใจเรื่องต่างๆไปตรงๆ ปล่อยไว้แบบนี้เดกมีปัญหาจะยิ่งแย่นะคะ หุหุ


โดย: ริวไผ่ IP: 88.149.172.90 วันที่: 20 มีนาคม 2552 เวลา:6:31:35 น.  

 
เมื่อไหร่ตอนที่ 17จะมา ติดนิยายของคุณแล้วเนี่ย รีบๆเอามาลงนะคะ


โดย: บีบี IP: 86.96.226.86 วันที่: 21 มีนาคม 2552 เวลา:21:14:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Anithin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add Anithin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.