|
บทที่ ๑๓ - เย็นและค่ำวันลูคนาซาธ
บทที่ ๑๓ เย็นและค่ำวันลูคนาซาธ
ขอบคุณมากนะ เด็กสาวตัดสินใจเอ่ยปาก วันนี้ข้าสนุกมากเลย...เป็นวันลูคนาซาธที่ข้าจะไม่มีวันลืมเลยจริงๆ
ไม่เป็นไรหรอก เสียงตอบจากอาเมียร์ดังอยู่เหนือศีรษะจากข้างหลัง ข้าดีใจมากที่เจ้าชอบ
แล้วอาจารย์ล่ะ สนุกเหมือนกันไหม
เด็กหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง
...แน่นอนสิ
แอชลีนน์ลอบยิ้มอย่างยินดี แต่แล้วก็ประหลาดใจเมื่อเขาชะลอม้า
ว่าแต่...ขอโทษนะ เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีไหม
เอ๋... เด็กสาวก็เพิ่งนึกได้ว่าตนยังอยู่ในชุดกระโปรงของท่านสิมา เปลี่ยนที่ไหนหรือ
ก็...แถวนี้แหละ
หา! แอชลีนน์เหลือบมองรอบด้าน แล้วก็พบเพียงสุมทุมพุ่มไม้สองข้างทางเดิน แต่ที่นี่มัน...
ข้ารู้ เมื่ออาเมียร์พูดถึงตอนนี้ ม้าก็หยุดเดินพอดี แต่ถ้ากลับไปถึงหน้าจวนคงไม่มีที่ให้เจ้าเปลี่ยนเสื้อก่อนนั้นแล้ว ข้าขอโทษนะที่ลืมนึกไป
เขาเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้า ขณะที่เด็กสาวได้แต่ก้มลงมองพลางกระพริบตาปริบๆ แทนคำถามว่าเขาจะเอาจริงหรือ
เด็กหนุ่มมองไปรอบๆ
ที่ตรงนี้ไม่ค่อยมีคนผ่าน ข้าจะดูต้นทางให้ เจ้าก็รีบเปลี่ยนเสื้อหน่อยแล้วกัน
พอแอชลีนน์ยังเงียบอยู่ เขาก็พูดต่อ
ข้าสัญญาว่าจะไม่แอบดู ไม่ล่วงเกินเจ้าด้วยประการใดๆ ก็ตาม เชื่อใจข้าเถอะนะ
เธอค่อยยิ้มออก
ข้าเชื่อ ถ้าเป็นอาจารย์...ข้าจะเชื่อใจทุกอย่าง เด็กสาวก้าวมาอยู่ตรงหน้าเขา อันที่จริง...ข้ามีเรื่องที่อยากบอกอาจารย์ด้วย...ก่อนที่เราจะจากกันในวันนี้
ครั้นอาเมียร์มองเธออย่างสงสัย เธอก็รวบรวมความกล้าเพื่อพูดต่อไปพร้อมๆ กับสบตากับเขา
ข้า...อันที่จริงข้าไม่ใช่นางกำนัล ข้าคือ...เจ้าหญิงแอชลีนน์ อลาสตาร์ แห่งธีร์ดีเร ข้ามาหาท่านเพราะข้าอยากเรียนรู้เกี่ยวกับการปกครองให้มากกว่านี้ ขอบคุณท่านมากที่ช่วยสอนข้า
เด็กหนุ่มกลับดูไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย เขายังคงมองเธอด้วยสีหน้าธรรมดาก่อนจะคุกเข่าลง
แอชลีนน์ยังไม่ทันบอกให้ลุกขึ้นยืน เขาก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
กระหม่อมคิดว่าพระองค์คือเจ้าหญิงมานานแล้วพ่ะย่ะค่ะ นับเป็นเกียรติอย่างสูงที่ฝ่าบาทพอพระทัยกับการรับใช้ของกระหม่อม
อาจารย์...ลุกขึ้นเถอะ เด็กสาวรีบเอ่ย พูดคุยกันธรรมดาเถอะนะ เรียกข้าว่าแอชเหมือนเดิมเถอะ เพิ่งมีคนพูดคุยกับข้าธรรมดาๆ ก็ตอนที่ข้าเป็นแอชนี่ล่ะ เวลาที่ท่านพูดคุยกับข้าอย่างนั้น...ข้าจะรู้สึกสบายใจมากกว่า
เขาเงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ เหมือนอาเมียร์คนเดิม
เข้าใจล่ะ
แอชลีนน์ยิ้มตอบ แล้วก็เอ่ยต่อ
ข้าตัดสินใจถูกจริงๆ ที่ลองมาหาท่าน ข้าได้เรียนรู้อะไรมากมาย แล้วก็...ได้พบกับคนที่ดีอย่างนี้ด้วย ข้า...ดีใจมาก
ข้าก็ดีใจเหมือนกัน อาเมียร์รับด้วยรอยยิ้ม ข้าอยากให้ผู้ปกครองในอนาคตได้มีความรู้ความสามารถพร้อม หากเจ้ากับเฟลิมได้ร่วมแรงร่วมใจกันปกครองธีร์ดีเร ข้ามั่นใจว่าอาณาจักรนี้จะยิ่งมั่นคงและสุขสงบขึ้นได้โดยเร็วแน่ หากเจ้าชอบเขา...ก็ขอให้ช่วยให้กำลังใจเขาด้วยนะ
ริมฝีปากของผู้ฟังเผยอค้าง
ความเบิกบานในหัวใจกลับกลายเป็นความขุ่นมัวเมื่อใดก็ไม่รู้ แต่เมื่อตระหนักได้ว่าตนรู้สึกเช่นไร มือก็กำแน่น ขาและเท้าขยับก่อนแขนจะเหวี่ยงออกไปข้างหน้า
คนที่ถูกหมัดของเธอกระแทกเข้าที่แก้มขวาถึงกับหน้าสะบัดและเซไปสองสามก้าว...แม้จะไม่ถึงกับล้ม เมื่อตั้งหลักได้แล้วเขาก็เงยหน้ามองเธออย่างประหลาดใจ
แอช ทำไม...
ท่านก็เป็นเหมือนกับพวกนั้นสินะ เด็กสาวพูดเสียงแข็ง ที่แท้...ที่ยอมให้ข้ามาเรียนด้วยก็เพราะคิดจะจับคู่ข้ากับเฟลิมอยู่แล้วนี่เอง!
ไม่ใช่อย่างนั้นนะ อาเมียร์รีบแย้ง ข้าอยากสอนเจ้าจริงๆ เพราะเห็นเจ้าอยากเรียนแล้วก็ตั้งใจเรียนขนาดนั้น ไม่ได้คิดจะจับคู่เจ้ากับเฟลิมเลย
แล้วทำไมถึงเจ้ากี้เจ้าการให้เฟลิมเต้นรำกับข้าในวันนี้ล่ะ...แล้วทำไม...เมื่อครู่ถึงพูดแบบนั้น! ดวงตาของเธอเริ่มร้อนผ่าว ทำไมถึงบอกให้ข้าปกครองร่วมกับเฟลิม...นั่นเท่ากับว่าที่สอนข้าร่วมกับเขามาตลอดก็เพื่อให้เขาได้มีโอกาสใกล้ชิดข้าไม่ใช่หรือ!
แล้วเจ้าไม่ชอบเขาหรือ เด็กหนุ่มไม่ปฏิเสธ...แต่กลับเปลี่ยนคำถาม เขาเป็นคนดี แล้วเจ้าก็ยังเข้ากับเขาได้ดีเลยนี่
ใช่...เขาเป็นคนดี ข้าเข้ากับเขาได้ ข้าคิดว่าข้าชอบเขา แอชลีนน์ยอมรับ แต่ข้าไม่ได้รักเขาในแบบนั้น!
อาเมียร์นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งขณะก้มหน้าลง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งโดยไม่เงยหน้า
แอช...เจ้า...ท่านถือกำเนิดในราชตระกูล ข้าคิดว่าท่านจะเข้าใจเสียอีก...ว่าการแต่งงานเพื่ออาณาจักรก่อนความต้องการของตนเองเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ได้ฟังอย่างนั้น เด็กสาวก็ปล่อยน้ำตาให้ไหลอาบหน้า
ข้ารู้ แต่ข้าไม่เข้าใจ...แล้วก็ไม่อยากจะเข้าใจด้วย!
คู่สนทนาถอนใจ แล้วก็พูดเหมือนอธิบาย
ในเมื่อคนในราชตระกูลเกิดมาสุขสบายกว่าคนอื่นๆ...ก็มีสิ่งที่ต้องตอบแทนให้แผ่นดินกับประชาชนมากเหมือนกัน ข้ารู้ว่าการแต่งงานตามหน้าที่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียกว่าดีที่สุดหรือมีความสุขที่สุดสำหรับท่าน แต่นั่นเป็นเรื่องจำเป็น เพราะอย่างนั้น...ท่านควรหวังให้คู่ครองของท่านเป็นคนดี...เป็นคนที่ท่านรู้จักและเข้ากับท่านได้ ทั้งเพื่ออาณาจักรกับความสุขของตัวท่านเองด้วย
แล้วท่านเป็นใคร...ถึงมีสิทธิ์มาพูดอย่างนี้ แอชลีนน์กลับพูดเสียงสั่น มือกำแน่นอีกครั้ง ท่านจะไปเข้าใจข้าได้อย่างไร รู้ไหมว่าคนแบบที่ข้าเกลียดที่สุดเป็นคนแบบไหน...คนที่ชอบทำมาเป็นรู้ใจข้า...ชอบทึกทักไปเองว่าข้ารักใครต่อใครอย่างนี้อย่างไรเล่า!
แอช...ข้าก็แค่พูดไปตามเหตุผล แล้วก็ความเป็นจริงเท่านั้นเอง
พอแล้ว! ข้าจะไม่ฟังคำพูดของท่านอีกแล้ว! เด็กสาวขึ้นเสียง เสียแรงที่ข้าหลงเชื่อใจ...ที่แท้ท่านก็ไม่ต่างจากพวกที่เห็นข้าเป็นเครื่องมือเลยสักนิด!
...ข้าก็แค่...อยากให้ธีร์ดีเรเป็นที่ที่สงบสุขกว่านี้ เขาเอ่ยแผ่วเบา
แต่ท่านไม่คิดถึงความสุขกับความต้องการของข้าในฐานะคนคนหนึ่งเลย!
เจ้าหญิงแอชลีนน์...ฝ่าบาทไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นผู้มีอำนาจเปลี่ยนแปลงธีร์ดีเรนะพ่ะย่ะค่ะ
เธอยกแขนขึ้นปาดน้ำตาแรงๆ
แค่ตามหลักเท่านั้นล่ะ ที่จริงข้าเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่ง...เป็นใบเบิกทางสู่อำนาจที่ใครๆ เขาต้องการเท่านั้น ทำไมข้าจะไม่รู้
กระหม่อมสอนวิชาการปกครองให้ฝ่าบาทก็เพื่อให้พระองค์ไม่ต้องเป็นเบี้ยของพวกเขา แล้วที่ต้องการให้เฟลิมได้สมรสกับฝ่าบาท ก็เพราะกระหม่อมทราบว่าเขาเป็นคนดีที่จะให้เกียรติฝ่าบาท และปกครองธีร์ดีเรโดยไม่ต้องการผลประโยชน์ส่วนตนอย่างแท้จริง
เพราะอย่างนี้...ท่านเลยทำให้พวกเราเป็นเบี้ยของท่านเสียเอง แอชลีนน์ย้อน
ฝ่าบาท...แอช...
ไม่ต้อง เธอตัดสินใจตัดบท ไม่ต้องพูดอะไรกันอีกแล้ว ข้าเข้าใจเจตนาของท่านชัดเจนแล้ว ข้าจะไม่มาเรียนกับท่านอีกต่อไป
ความเงียบดำเนินไปครู่หนึ่ง ก่อนที่อาเมียร์จะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึมในทีแรก...แล้วกลับเป็นอ่อนลงในตอนท้าย
สุดแท้แต่การตัดสินพระทัยของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ แต่ตอนนี้เริ่มเย็นแล้ว ฝ่าบาทควรรีบทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์ แล้วก็เสด็จกลับไปเสียโดยเร็วดีกว่า
ข้ารู้แล้ว แอชลีนน์ก้มหน้าลงตอบห้วนๆ ก่อนจะกลับหลังหันเดินเข้าไปในซอกระหว่างสุมทุมพุ่มไม้ที่พอมีที่ว่างให้ขยับตัวบ้าง
เธอแขวนกระเป๋าผ้ากับกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาแถวนั้น ก่อนจะสวมกางเกงไว้ใต้กระโปรง ถอดชุดกระโปรงที่ยืมมาออก แล้วก็ถอดเสื้อแขนยาวสีขาวตัวใน ใช้แถบผ้ายาวพันรอบอกแน่นหนาเพื่ออำพราง
ขณะที่เอื้อมมือไปหยิบเสื้อผู้ชายในกระเป๋านี่เอง...เธอก็ได้ยินเสียงดังฟ่ออยู่ไม่ไกล...
เด็กสาวหันไปเห็นคอและหัวของสัตว์ตัวหนึ่งชูพ้นพงหญ้าสูง มันมีนัยน์ตาดำขลับเหมือนหินแก้วสีดำ และมีลิ้นที่แยกเป็นสองแฉก
ภาพที่เห็นทำให้ตกใจจนร้องออกมา...แต่ร่างกายกลับแข็งทื่อจนไม่อาจขยับเขยื้อน
มีอะไร เสียงร้อนรนของอาเมียร์ดังขึ้นพร้อมกับเสียงแสกสาก เพียงครู่เสียงนั้นก็เงียบลงกลายเป็นเสียงกระซิบ...พร้อมกับสัมผัสอบอุ่นของมือบนไหล่ อย่าตกใจ ถ้างูชูหัวอย่างนี้หมายความว่ามันแค่ขู่ ค่อยๆ ถอยออกมา อย่าให้มันรู้สึกว่าเราคุกคามมัน
แอชลีนน์กลั้นหายใจขณะทำตามคำบอกโดยไม่คิดอะไร แต่ละย่างก้าวดูช่างเชื่องช้า...แต่มือที่ยังทาบไหล่นิ่งอยู่ก็ช่วยให้รู้สึกอุ่นใจว่าเธอยังไม่ได้อยู่เพียงลำพัง...ยังมีคนที่อยู่ข้างๆ และพร้อมจะช่วยเหลือเธออยู่ตรงนี้...แม้นว่าอันตรายจะอยู่เพียงแค่ตรงหน้าก็ตาม
ดูเหมือนจะผ่านไปราวหกเจ็ดก้าว หัวของงูตัวนั้นจึงลับหายไป ใบหญ้าส่งเสียงแสกสากเบาๆ เมื่อมันเลื้อยไปจากตรงนั้น
คนที่แนะนำเธอถอนใจเบาๆ ก่อนจะหันมาถาม
ไม่เป็นไรใช่ไหม
พอหันไปมองเขานี่เอง แอชลีนน์จึงเพิ่งระลึกได้ว่าตนยังแต่งกายไม่เรียบร้อย และปัดมือของเขาออกไปจากไหล่เปลือยเปล่าโดยเร็ว ใบหน้าของเธอร้อนผ่าว ทั้งหัวใจและเส้นเลือดที่ศีรษะเต้นระรัวขึ้นมาอีกครั้งด้วยความตกใจอีกอย่างกับเมื่อครู่
ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะรู้ตัวเช่นกัน เพราะเขาพูดขึ้นมาโดยเร็ว
ข...ข้าขอโทษ
ช่างเถอะ เด็กสาวข่มเสียงตอบให้เรียบที่สุด เธอก้าวยาวๆ กลับไปยังที่แขวนกระเป๋า และกำลังจะเอื้อมมือไปรีบหยิบเสื้อพอดีเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบดังเข้ามา
ในทีแรก เธอคิดว่าคงเป็นคนที่บังเอิญผ่านไปมา จึงหมายจะรีบแต่งตัวแล้วรีบไป แต่แล้วอาเมียร์ก็รีบกระซิบ
ดูลัส
แอชลีนน์เย็นสันหลังวาบ กระนั้นสติก็ยังสั่งการว่าจะให้องครักษ์หนุ่มเห็นเธอในสภาพนี้ไม่ได้ มือของเธอคว้าเสื้อในกระเป๋ามาสวมอย่างลวกๆ แต่ยังไม่ทันกลัดกระดุมดีหรือแม้แต่จะสวมช้องผมกลับเข้าที่ก็มีเสียงม้าชะลอฝีเท้าใกล้ๆ
...ตามมาด้วยเสียงคาดคั้นของผู้มาใหม่...
แอชอยู่ที่ไหน ดูลัสพูดเสียงกร้าว เจ้าหลอกพานางไปที่ไหน ยามที่จวนบอกว่าเจ้าพานางออกไปแต่เช้ายังไม่กลับมา นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่
เด็กสาวจำใจเดินออกมาพอให้เขาเห็นตัว
ข้าอยู่นี่...ด...ท่านดูลัส เธอเปลี่ยนคำพูด ด้วยนึกได้ว่ายังไม่ควรให้ชายหนุ่มรู้ว่าเธอเปิดเผยสถานะของตนกับชายอีกคนแล้ว
ดูลัสแทบเบิกตาโพลงเมื่อเห็นสภาพของเธอ แล้วก็หันขวับไปทางชายอีกคนทันควันอย่างคาดโทษ
นี่เจ้า!
เขาดูต้นทางให้ข้าเปลี่ยนเสื้อ ข้ายืมเสื้อผ้าผู้หญิงของแม่เขามาเที่ยวงานเทศกาล ตอนนี้จะกลับจวนไปรอท่านเลยต้องเปลี่ยนกลับเป็นชุดเดิม เด็กสาวรีบอธิบาย
องครักษ์หนุ่มค่อยดูสงบลง กระนั้นสีหน้ายังไม่คล้ายความระแวง
แต่เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงร้อง
ข้าเห็นงูตอนเปลี่ยนเสื้ออยู่ ก็เลยตกใจจนร้องออกมาเท่านั้นเอง แอชลีนน์ตอบตามตรง ก่อนจะกลับหลังหันดื้อๆ เป็นการตัดบท ให้ข้าได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก่อน แล้วเรารีบกลับกันเถอะ
ชายทั้งสองนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรกันเลยขณะที่เด็กสาวกลับหลังหันไปกลัดกระดุมจนเสร็จ แล้วก็สวมช้องผมสั้นและเก็บผมยาวของตนให้เรียบร้อย
สีหน้าของทั้งอาเมียร์และดูลัสเรียบเฉยจนยากจะคาดเดาอารมณ์เมื่อเธอสะพายกระเป๋าผ้ากลับออกมา เด็กสาวยื่นชุดกระโปรงกับเสื้อที่พับเรียบร้อยแล้วให้กับเด็กหนุ่มผมดำพร้อมคำพูดสั้นๆ
ฝากขอบคุณท่านสิมาด้วย
อือม์ คนรับทำเสียงตอบในลำคอเบาๆ
แอชลีนน์ไม่กล้ามองหน้าของเขาขณะเอ่ยคำที่เธอคิดว่าเป็นคำสุดท้าย
...ลาก่อน
...แล้วพบกันใหม่นะ เสียงรับแผ่วเบาราวกับกระซิบ
เด็กสาวไม่ตอบว่าอะไร...แม้ใจหนึ่งจะอยากพูดว่าเธอไม่อยากเห็นหน้าของเขาอีกต่อไปด้วยซ้ำ เธอเพียงขึ้นหลังม้าของดูลัส แล้วก็นั่งนิ่งเฉย สายตามองตรงไปข้างหน้าขณะที่เขาขึ้นหลังม้าข้างหลังเธอ แล้วกระตุ้นม้าให้ออกวิ่งโดยไม่พูดอะไรกับอาเมียร์เลยสักคำ
คล้อยหลังเด็กหนุ่มผมดำมาได้สักครู่หนึ่งนั่นเอง...ดูลัสจึงได้เอ่ยกับเธอ
หน้าของมันมีรอยแดงอยู่ มันคิดจะ...ทำร้ายองค์หญิงหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ
เปล่า แอชลีนน์ตอบเนือยๆ เราก็แค่...ต่อยเขาเพราะเราโกรธเท่านั้นล่ะ
กริ้วเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ องครักษ์หนุ่มเอ่ยเหมือนไม่อยากเชื่อนัก
เด็กสาวก้มหน้าลง
ไม่มีอะไรมากหรอก เราก็แค่เพิ่งรู้ว่าเขามีจุดประสงค์แอบแฝงจริงๆ ...เขาคิดจะจับคู่เรากับลูกชายของเจ้ามณฑลยาร์ลาธ
อย่างที่กระหม่อมเคยทูล ดูลัสรับ
เราจะไม่ไปเรียนกับเขาอีกแล้ว ดูลัส แอชลีนน์พูดด้วยเสียงที่เริ่มเครือ และน้ำตาที่เริ่มรื้นขึ้นมาอีก เราผิดเอง...ข้าเชื่อใจคนง่ายไป
ไม่ใช่ความผิดขององค์หญิงเลยพ่ะย่ะค่ะ องครักษ์หนุ่มเอ่ยเบาๆ คนที่คิดจะหลอกใช้พระองค์ต่างหากที่มีความผิดแต่ผู้เดียว
เด็กสาวหลุดเสียงสะอื้นออกมา...โดยไม่รู้จะพูดอะไรอีกต่อไป
อย่ากันแสงเลยพ่ะย่ะค่ะ ดีแล้วที่องค์หญิงทรงทราบตั้งแต่เนิ่นๆ จากนี้ไป...หากมีสิ่งใดให้กระหม่อมรับใช้ก็ขอให้ตรัสมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ ดูลัสพูดต่อโดยไม่แม้แต่จะแตะต้องตัวเธอ สองมือของเขายังจับที่บังเหียน มีแต่ร่างของเธอที่เอนมาถูกตัวเขาตามจังหวะก้าวของม้า กระหม่อมจะรับใช้องค์หญิงตามรับสั่งทุกประการ หากมีพระประสงค์จะทราบสิ่งใดที่กระหม่อมทูลได้ กระหม่อมก็จะรีบทูลพ่ะย่ะค่ะ
เธอไม่รู้จะเชื่อคำพูดของดูลัสได้มากเท่าใด แต่ก็ไม่ปริปาก...ได้แต่ร้องไห้เงียบๆ ด้วยความรู้สึกเคว้งคว้าง วันลูคนาซาธอันอบอุ่นเป็นครั้งแรกในรอบสามปีกลับดูห่างออกไปเหมือนอดีตไกลแสน...และเลือนรางเหมือนความฝัน
...กระนั้น ชายที่เธอรู้สึกดีด้วยก่อนจะแปรโฉมหน้าเป็นอย่างอื่นกลับยังแจ่มชัดในความทรงจำ...เหมือนฝันร้ายที่จำได้ติดตากว่าฝันดีหลายเท่านัก
* * * อาเมียร์มองคนสองคนบนหลังม้าจนลับหายไป ก่อนจะถอนใจแล้วกลับขึ้นม้าของตน
เขาขี่ม้าเงียบๆ กลับมาจนถึงบ้าน นำมันกลับเข้าคอกเรียบร้อยและกำลังจะเดินกลับออกไปทางรั้วพอดีเมื่อประตูหลังบ้านเปิดออก
...และ พ่อ โผล่หน้าออกมา...
เย็นป่านนี้แล้ว เจ้าไม่อยู่กินข้าวด้วยจริงๆ หรือ
ไม่ล่ะ เด็กหนุ่มตอบโดยไม่มองและไม่หยุดเดิน ข้ากลับไปกินที่จวนก็ได้
แล้วถ้าถึงจวนเย็นเกินไป ไม่อยากให้ใครลำบากหาข้าวให้ เจ้าคงบอกพวกเขาว่ากินมาจากที่บ้านแล้ว ส่วนตัวเองก็ยอมอดข้าวเองอย่างนั้นสินะ
อาเมียร์ชะงักกึกเมื่ออีกฝ่ายเดาถูกเผง
ทำไมข้าจะไม่รู้ ถ้าไม่ใช่เรื่องอะไรที่ยอมเขาไม่ได้จริงๆ เจ้าก็เกรงใจใครต่อใครเขาไปทั่ว...ยกเว้นตัวเองนั่นล่ะ พ่อ เดินออกมาหาเขา เข้ามาสักหน่อยเถอะ ถ้าเจ้าไม่อยากกินเพราะมีข้าอยู่ด้วย ข้าหลบไปที่อื่นก่อนก็ได้
ท่านก็เกรงใจใครต่อใครเขาไปทั่ว...ยกเว้นตัวเองเหมือนกันสินะ เด็กหนุ่มอดตอบไม่ได้
ชายวัยกลางคนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยักไหล่น้อยๆ
คงใช่ เขายังคงพยักพเยิดไปทางประตูหลังบ้าน เข้ามาเถอะ พวกเรากำลังกินข้าวอยู่ มีซุปร้อนๆ ข้าว่าจะเข้าไปเฝ้าแม่พอดี
อันที่จริง ท้องของเขาก็เริ่มอุทธรณ์มาได้พักใหญ่แล้ว...คงเพราะเลยเวลาอาหารเย็นตามปกติของเขา บวกกับวันนี้เขาเสียแรงไปไม่น้อยกับหลายๆ เรื่อง ทั้งเต้นรำ ขึ้นลงเขาสองรอบ..รอบที่สองต้องแบกหมอตำแยร่างท้วมลงมาด้วยเสียอีก
สุดท้าย อาเมียร์ก็ตัดสินใจพยักหน้า
ก็ได้
พ่อ รีบก้าวยาวๆ ไปเปิดประตูให้เด็กหนุ่ม นาสิรากับฟาร์ฮานาห์เงยหน้าขึ้นทักทันทีที่เห็นเขา
พี่อาเมียร์!
พี่อาเมียร์มากินข้าวด้วยกันใช่ไหม!
ฮื่อ เขาพยักหน้าก่อนจะก้าวเข้าไป แต่แล้วนาสิราก็ทำตาโตแล้วร้องขึ้นทันควัน
พี่อาเมียร์! หน้าพี่เป็นอะไร!
สายตาของคนอื่นๆ ในห้องเลื่อนมายังแก้มของเขาเป็นตาเดียว รวมทั้ง พ่อ ที่ก้าวยาวๆ มาดักหน้ามองให้ชัดๆ
ถึงไม่มีกระจก...อาเมียร์ก็รู้ว่าหน้าของตนคงดูไม่จืด แอช...ไม่สิ เจ้าหญิงแอชลีนน์เล่นต่อยเข้ามาเสียเต็มแรงโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว ถึงตอนโดนแรกๆ จะรู้สึกชามากกว่าเจ็บ แต่บัดนี้เขาก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าริมฝีปากข้างที่ติดกับแก้มนั้นตึงและแสบแปลบๆ อย่างประหลาด
หน้าบวมเชียว นี่ฝีมือใคร พ่อ ถามเสียงแข็ง
เด็กหนุ่มรู้ว่าตนคงไม่อาจพูดปดว่าหกล้มหน้ากระแทกเองกับคนตรงหน้า...ซึ่งคร่ำหวอดกับการต่อสู้มานานหลายปีจนแยกรอยชกกับรอยหกล้มได้แน่นอน จึงรีบคิดหาสาเหตุที่เข้าท่าที่สุด
ไม่มีอะไรหรอกพ่อ แค่คนเมาน่ะ ตอนข้าพาท่านเคียราไปส่งมีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย แต่ตอนนี้เรียบร้อยแล้ว
อดีตนักรบยังมองแผลของเขาอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะผละไป
พ่อ จะไปเอายาให้ รีบทาเสียจะได้ยุบเร็วๆ
พอ พ่อ ลุกไปเอายา ลีชาก็ลุกขึ้นไปตักซุปร้อนๆ ในครัวให้เขาถ้วยหนึ่ง ก่อนที่เขาจะทันห้ามว่าตนตักเองได้
เมื่อถ้วยซุปถูกวางตรงหน้าเขาได้ไม่นาน พ่อ ก็ถือตลับยาเล็กๆ ออกมาจากห้องนอน แล้วก็วางไว้บนโต๊ะตรงหน้าเขา
รีบทาเสีย แล้วเห็นแม่บอกว่าเคยให้ตลับยาเจ้ามาแล้ว กลับไปที่จวนก็อย่าลืมทาอีกล่ะ
เขาหยิบตลับนั้นขึ้นมา ใช้นิ้วปาดยาสีเขียวเนื้อข้นกลิ่นฉุนทาที่แก้มบวมเป่งโดยไม่เกี่ยงงอน ก่อนจะนึกอะไรอีกอย่างขึ้นมาได้
ข้าเอาตลับยานั้นให้คนอื่นไปแล้ว
ถ้าอย่างนั้นก็เอาตลับนี้ไป พ่อ พูดทันที ยาสมุนไพรพวกนี้ทำใหม่ได้ง่ายๆ เอาไปใช้เถอะ
เขาบอกเท่านั้น แล้วก็ถือถ้วยซุปของตน เดินกลับเข้าไปในห้องนอนที่แม่คงพักอยู่กับน้อง
...ไม่ต้องสงสัยว่าจะเข้าไปรับประทานต่อในนั้น...เพื่อให้พ้นสายตาของเขา...
เด็กหนุ่มจึงรีบกินแต่พออิ่ม แล้วก็ตัดสินใจจะรีบกลับ กระนั้นความคิดยังคงวนเวียนไปถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น และเกี่ยวข้องกับความเจ็บหน่วงๆ ที่แก้มไม่หายเวลาขยับปาก
...เขาผิดอย่างนั้นหรือ...
...เขาผิดตรงไหน...
ใช่...เหตุผลหนึ่งที่เขาให้เด็กสาวในคราบเด็กหนุ่มซึ่งเขาสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นเจ้าหญิงมาเรียนร่วมกับเฟลิมก็เพื่อให้ทั้งสองได้ทำความรู้จักกัน อาเมียร์มั่นใจว่าเฟลิมเป็นคนดีอย่างไม่เสแสร้ง และหากเจ้าหญิงแอชลีนน์ได้เห็นเขาอย่างที่อาเมียร์เห็น...การอภิเษกสมรสของทั้งสองก็น่าจะเป็นไปได้โดยราบรื่นไม่มีปัญหา
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียว เขายังหวังว่า...ไม่ว่าใครก็ตามจะได้เป็นกษัตริย์แห่งธีร์ดีเร ราชินีแห่งธีร์ดีเรก็จะมีความรู้ในเรื่องการเมืองมากพอจะมองทะลุกลอุบายต่างๆ ของเหล่าขุนนางได้ด้วยตนเอง และพอที่จะช่วยปกครองธีร์ดีเรได้อีกแรงหนึ่ง...แทนที่จะเป็นเพียง หุ่นเชิด ของใครก็ตามที่มาเป็นพระสวามีกับพรรคพวกของเขา
...เจ้าหญิงแอชลีนน์ไม่เข้าใจตามนี้หรือ...
เฟลิมก็เป็นคนดี เหมาะสมกับการเป็นทั้งกษัตริย์และพระสวามี...เจ้าหญิงก็ยอมรับว่าพระองค์ทรงเห็นด้วยตามนั้น แล้วทำไม...
อาเมียร์โคลงศีรษะเมื่อไม่ได้รับคำตอบ วางช้อนทิ้งไว้ในถ้วยซุปเมื่ออิ่มแล้ว แล้วก็ถือชามไปแช่ในอ่างไม้ในครัว เขาบอกเด็กหญิงทั้งสองกับลีชาว่าถึงเวลาต้องรีบกลับแล้ว ก่อนจะตัดสินใจไปบอกลาแม่...กับ พ่อ อีกสักครู่
พอเด็กหนุ่มเคาะประตู ก็ได้ยินเสียงเบาๆ ของแม่บอกให้เข้ามาได้
เขาจึงเปิดประตูเข้าไป...แล้วก็เบือนหน้าหลบพร้อมกับดึงประตูไว้แง้มๆ แทบไม่ทันเมื่อเห็นว่าคนตอบกำลังให้นมลูกที่เพิ่งเกิดอยู่...แม้จะมีผ้าห่มช่วยบังไว้ก็ตาม
ไม่ต้องอายหรอกจ้ะ แม่ก็เคยให้นมอาเมียร์อย่างนี้ไม่ใช่หรือ เสียงของแม่กลับบอกอย่างอ่อนโยน
พ่อ ถือถ้วยซุปลุกจากเก้าอี้ แล้วก็เดินตรงมายังประตู
ข้ากินเสร็จพอดี เจ้าจะคุยกับแม่ก็เข้ามาสิ
ข้าไม่ได้...
ยังไม่ทันบอกว่าตนไม่ได้ตั้งใจจะคุยนาน แต่เพียงแค่จะบอกลาก่อนกลับ ชายวัยกลางคนก็เดินผ่านเขาออกมาจากห้องเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มจึงได้แต่กลั้นเสียงถอนใจ แล้วเข้าไปแทนตามเสียงเรียก
มาให้แม่ดูแผลหน่อยสิ เห็น พ่อ บอกว่าบาดเจ็บมาไม่ใช่หรือ
นิดหน่อยเองแม่ ไม่เป็นไรหรอก อาเมียร์ตอบพลางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง...ตัวเดียวกับที่ชายอีกคนเพิ่งลุกออกไป
แม่มองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่งก็ขมวดคิ้วอย่างกังวล
บวมเยอะเหมือนกันนี่ ได้ยินว่าเจอคนเมาหรือลูก
ฮื่อ เขารับสมอ้าง ก็แค่...พวกเมาแล้วหาเรื่องคนไปทั่วน่ะแม่
แล้วไปเจอตอนไหน เคียราอยู่ด้วยหรือเปล่า
ก็...อยู่ด้วย แต่นางปลอดภัยดี ไม่ต้องห่วงหรอกแม่ ข้า...ส่งนางกลับอารามเรียบร้อยแล้ว
หญิงสาวพยักหน้ารับ
ก็ดีแล้วจ้ะ พ่อ ก็พูดอยู่เหมือนกันว่าคนอย่างอาเมียร์จะโดนเขาต่อยมาง่ายๆ ได้อย่างไร แม่ก็ว่าตอนนั้นเคียราคงอยู่ด้วย ลูกเลยต้องห่วงนางมากกว่ากระมัง
ก็...จะว่าอย่างนั้นก็ได้
กลับไปแล้วก็ทายาดีๆ นะ จะได้หายเร็วๆ แม่ยังคงบอก ก่อนจะถามขึ้นมา ว่าแต่...เจ้าหญิงจะกลับเมืองหลวงเมื่อไรหรือจ๊ะ
ก็...ได้ยินว่าต้นเดือนหน้าน่ะ
ถ้าเคียรามีเวลาว่าง...ก็ชวนนางมาที่บ้านอีกสิจ๊ะ แม่เสนอ นางยังบอกอยู่เลยว่าอยากมาที่นี่อีก แม่ว่านางก็น่ารักดีนะ นี่ไปรู้จักกันได้อย่างไรหรือ
เด็กหนุ่มฟังแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้...เมื่อนึกถึงคำที่ใครอีกคนลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่มาเรียนด้วยอีกแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะจริงเพียงไร
นาง...คงมาไม่ได้หรอก เห็นว่านางกำนัลมีงานยุ่งมากน่ะ อันที่จริงข้าก็...เพิ่งเจอนางแค่วันนี้เอง แอชฝากให้นางมาเที่ยวด้วย ข้าก็รับคำเขามา
นัยน์ตาสีอำพันของผู้เป็นแม่กลับมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์
อย่างนั้นหรือ แม่ว่าดูลูกพูดคุยกับนางเหมือนรู้จักกันมานานเสียอีก
อาเมียร์ยกมือขึ้นเสยผมแก้เก้อ ทั้งชื่นชมและลำบากใจไปพร้อมกันที่สายตาของแม่แหลมคมเหลือเกิน
นางสนิทกับแอชมาก แอชคงเอาเรื่องข้าไปพูดให้ฟังเยอะกระมัง
แม่ยังคงมองเขาเงียบอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนจะก้มลง ใช้ผ้าซับที่ปากของทารกน้อยซึ่งดูท่าทางจะอิ่มแล้ว และจัดเสื้อของตนให้เรียบร้อยก่อนจะอุ้มร่างเล็กๆ นั้นพาดบ่าให้เรอนมออกมา
เอ้อ...แม่ว่าจะถามพอดี ว่าอาเมียร์อยากตั้งชื่อน้องหรือเปล่า
หือม์ เด็กหนุ่มรับอย่างประหลาดใจ
แม่ตั้งชื่อทั้งนาสิรากับฟาร์ฮานาห์แล้ว คนนี้ก็อยากให้คนอื่นได้มีโอกาสตั้งให้บ้างเหมือนกัน พ่อ เขาบอกว่าแล้วแต่แม่ แม่เลยอยากถามอาเมียร์ดูน่ะจ้ะ
ข้า...น่ะหรือ อาเมียร์ทวนคำก่อนจะสั่นศีรษะ ไม่เป็นไรหรอกแม่ แม่ตั้งเองเถอะ ข้าว่าแม่ตั้งชื่อให้พวกเราเพราะๆ กันแล้วทั้งนั้น
อันที่จริง...เขามีชื่อหนึ่งอยู่ในใจ ทว่าไม่ใช่ชื่อที่ดีกับเด็กคนนี้...กลับเป็นชื่อที่เขาอยากเอ่ยเพื่อตอกย้ำใครคนหนึ่งที่ดูมีความสุขเต็มประดากับกำเนิดของแกนักต่างหาก
เอาเถิด...เด็กหนุ่มบอกตนเองว่าหาก พ่อ กับแม่มีลูกชายกันสักคนเสียทีก็คงจะดี...พ่อ จะได้มีลูกชายที่สืบสายเลือดของตนเองจริงๆ ไว้ฝากความหวัง และเลี้ยงดูให้เป็นอย่างที่ท่านต้องการ...แทนที่เขา
กระนั้น...อาเมียร์ก็รู้สึกละอายใจเหลือเกินเมื่อเห็นสีหน้ายิ้มแย้มดีใจของแม่ ซึ่งไม่มีทางล่วงรู้ความคิดดำมืดของเขาได้เลย
ถ้าอย่างนั้น...แม่จะตั้งชื่อน้องให้คล้ายๆ กับอาเมียร์ดีไหม ชื่อ...อาซิซ...เป็นอย่างไรจ๊ะ
อาซิซ...ก็ดีนะแม่ เขาพยายามยิ้มน้อยๆ
อาซิซ...ผู้เป็นที่รัก และ ผู้ทรงอำนาจ นับว่าเป็นชื่อที่ความหมายดีสำหรับลูกชายนักรบ
...ก็คงจะดีกว่าอาเมียร์...อันหมายความว่า เจ้าชาย หรือ ผู้ปกครอง เขาเลือกชื่อนี้ให้เป็นชื่อใหม่ของตนแทนที่ทัมมุซ...เดือนแห่งฤดูใบไม้ผลิ...ที่ได้ยินใครๆ บอกตรงกันว่าแม่เป็นคนตั้งให้ เพื่อตอกย้ำตนเองไม่หายมิให้ลืมชาติกำเนิดเดิม
อาซิซ... แม่กระซิบเบาๆ ด้วยเสียงที่อ่อนโยนเหลือเกินขณะมองเด็กทารกที่นอนนิ่งอยู่แนบอก อาซิซจ๊ะ...อาซิซต้องโตขึ้นมาแข็งแรงเหมือนพี่อาเมียร์นะ
เด็กหนุ่มมองทั้งสองคนนิ่งอยู่เพียงครู่เดียวก็ตัดสินใจพูดขึ้น
ข้าต้องกลับก่อนนะแม่ ค่ำแล้ว เดี๋ยวข้าจะมาเยี่ยมบ่อยๆ
หญิงสาวกลับมองไปทางหน้าต่างซึ่งมืดลงอย่างชัดเจน
นั่นสิ แม่ก็เพิ่งสังเกตว่าค่ำขนาดนี้แล้ว ว่าแต่กลับตอนนี้ไม่ลำบากหรือลูก
ก็...คงไม่เป็นไรหรอกแม่ ข้าก็ชินทางแถวนี้แล้ว
ค้างคืนที่นี่ไหม แม่ยังคงเสนอ ค่อยกลับไปตอนเช้าก็ได้ เดินทางเข้าเมืองมืดๆ ค่ำๆ น่าเป็นห่วงออก
อย่าเลย...เดี๋ยวจะลำบากกัน แล้วข้าก็ยังไม่ได้บอกท่านเจ้ามณฑลด้วยว่าจะค้างที่นี่
แม่ว่าท่านน่าจะเข้าใจนะ ถึงอย่างไรท่านก็คงไม่อยากให้ลูกไปเจออันตรายระหว่างทางหรอก แม่ยังพยายามหว่านล้อม ที่นี่ก็มีห้องของอาเมียร์อยู่ เก็บกวาดประเดี๋ยวเดียวก็เรียบร้อยแล้วจ้ะ
เด็กหนุ่มนิ่งเงียบ อันที่จริงเขารู้ตั้งแต่มาเยี่ยมครั้งแรกๆ แล้วว่าทั้ง พ่อ กับแม่ยังจัดห้องว่างห้องหนึ่งในบ้านไว้เป็นห้องของเขา มีตู้ไว้เก็บเสื้อผ้า หนังสือ ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวใดๆ ก็ตามที่เขาไม่ได้เอาติดตัวไปที่จวน แล้วยังอุตส่าห์หาเตียงอีกหลังมาตั้งไว้
พ่อ ไม่เคยพูดอะไรกับเขาเกี่ยวกับห้องนี้...ในการพบหน้าซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ของทั้งสอง และการพูดคุยแบบถามคำตอบคำซึ่งมีน้อยยิ่งกว่านั้น แต่แม่ก็คอยบอกเขาเสมอๆ ถึงห้องนี้ พร้อมทั้งคะยั้นคะยอให้เขากลับมานอนค้างที่บ้านบ้างถ้ามีโอกาส
...เป็นคำชวนที่ทำให้เขาทั้งตื้นตันใจ...และรู้สึกเหมือนตนเองเป็นลูกที่ดื้อแพ่งอกตัญญูขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกในเวลาเดียวกัน...
ทว่า...ถึงอย่างไรเขาก็ยังอยากให้ พ่อ ยอมรับการตัดสินใจของเขาอยู่ดี...
ตกลงนะ วันนี้เป็นวันเทศกาลแท้ๆ กลับมาค้างบ้านให้แม่ได้ชื่นใจบ้างเถอะ
อาเมียร์ยิ้มแห้งๆ อย่างจนใจ
...ก็ได้ขอรับ
ดีจ้ะ แม่กวักมือเรียกเด็กหนุ่มเข้ามาใกล้ ก่อนจะทำท่าบอกให้เขาคุกเข่าลง แล้วจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผาก ราตรีสวัสดิ์จ้ะ
...ราตรีสวัสดิ์ขอรับ
แม่พยักหน้ารับหลังจากเงยหน้าขึ้น
ไปบอก พ่อ เขานะ ว่าจะค้างที่นี่ พ่อ เขาต้องดีใจมากแน่ๆ
* * * ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริง เพราะพอเขาไปพูดอย่างนั้นที่โต๊ะอาหาร พ่อ ก็ลุกขึ้นยืนไปหยิบไม้กวาดทันทีก่อนจะก้าวไปยังห้องปิดประตูที่เขายังไม่เคยเข้าไป ถึงเขาจะตามไปรีบบอกว่าตนเองทำความสะอาดเองได้ ชายวัยกลางคนก็ยังกวาดพื้นอย่างเก้ๆ กังๆ ด้วยมือข้างเดียวอยู่นั่นเอง
ไม่เป็นไรหรอก วันนี้เจ้าเหนื่อยมาเยอะแล้ว จะได้รีบพักผ่อน
อาเมียร์โคลงศีรษะ แล้วก็ถือวิสาสะตรงเข้าไปคว้าด้ามไม้กวาดที่อีกฝ่ายยังถืออยู่
ข้าไม่ได้เหนื่อยมากหรอก แล้ว...อันที่จริงข้าน่าจะกวาดได้เร็วกว่าด้วย
อดีตนักรบชะงักไป ก่อนจะยอมให้เขาดึงไม้กวาดไปจากมือแต่โดยดี
เด็กหนุ่มเริ่มกวาดพื้นไม้เองพลางเหลือบมองชายอีกคนที่ยังยืนเงียบอยู่กับที่ ก่อนจะตัดสินใจเรียกเมื่อเขาทำท่าจะออกไปจากห้อง
พ่อ
คนถูกเรียกเหลียวหลังกลับมาอย่างเงียบๆ ทว่าเขาไม่อาจเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้เพราะในห้องมีเพียงแสงจันทร์เต็มดวงจากหน้าต่างส่องเข้ามาสลัวๆ
ข้า...ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น
อย่าใส่ใจเลย ชายวัยกลางคนยักไหล่น้อยๆ เดี๋ยวข้าจะไปเอาตะเกียงมาให้
เดี๋ยวข้าก็รีบนอนแล้ว ไม่ต้องจุดตะเกียงหรอก อาเมียร์รีบบอก แค่กวาดพื้นปัดฝุ่น แสงเท่านี้พอถมไป
พ่อ ได้ฟังอย่างนั้นก็ยืนอยู่กับที่ เด็กหนุ่มคิดว่าเขาคงจะออกไปในไม่ช้า แต่แล้วอดีตนักรบก็เอ่ยขึ้นเบาๆ
อาเมียร์
หือม์ เขาทำเสียงรับ
ข้า...อันที่จริง ข้าว่าจะบอกเจ้ามานานแล้ว พ่อ เริ่มเอ่ยอย่างลังเล ว่า...ข้าคิดว่าเฟลิมก็เป็นคนดีเหมือนกัน
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น หันกลับมามองคนพูดอย่างประหลาดใจ
เจ้าคงรู้ว่ารูอาร์คแวะมาที่นี่บ่อยอยู่...บางทีก็เอาของอะไรต่อมิอะไรเล็กๆ น้อยๆ มาฝากน้องๆ เจ้า เฟลิมมาด้วยเป็นบางครั้ง เขาเป็นคนสุภาพ จริงใจ แล้วก็ถ่อมตัว ข้าเห็นดีด้วยถ้าเจ้าจะสอนเขา...เพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้ามณฑลคนต่อไป ถึงข้าจะไม่มีวันเห็นด้วยกับการประลองเลือกคู่ให้เจ้าหญิงก็เถอะ
อาเมียร์ได้แต่กระพริบตาปริบๆ ตลอดเวลาที่ชายอีกคนพูด
เพราะฉะนั้น...เจ้าก็ทำงานกับท่านเจ้ามณฑลไปเถอะ ตอนนี้...ข้าคิดว่าเจ้าทำงานของเจ้าดีแล้ว แต่อยากเตือนแค่ว่า...อย่ามุทะลุใจร้อนจนเกินไปเท่านั้นเอง อะไรที่จำต้องยอมงอไปก่อนก็ต้องยอมบ้าง ในโลกของการปกครอง...เราจะเดินหน้าชนกับทุกๆ อย่างที่ขวางหน้าไม่ได้หรอก
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายฝืดๆ ก่อนจะพยายามข่มเสียงตอบให้เรียบที่สุด
เข้าใจล่ะ เขาต้องรวบรวมความกล้าอยู่อีกพักหนึ่ง จึงจะเอ่ยต่อไปได้ ขอบคุณขอรับ...พ่อ
ผู้ฟังเป็นฝ่ายนิ่งอึ้งไปเป็นพักใหญ่บ้าง แล้วก็ก้มหน้าลง
ถ้าลำบากใจมาก...ไม่ต้องเรียกข้าว่า พ่อ ก็ได้นะ น้องๆ ของเจ้าไม่สังเกตหรอก
ก็...ไม่ได้ลำบากใจถึงขนาดนั้นหรอก อาเมียร์ปฏิเสธ ท่านรักข้าเหมือนลูกจริงๆ...สั่งสอนข้าเหมือนลูกจริงๆ ที่ข้าเรียกว่า พ่อ ก็สมควรแล้วนี่
...เจ้าดื่มไวน์แบลเบอร์รีในงานเทศกาลมาหรือเปล่า ชายวัยกลางคนกลับย้อนถามช้าๆ ได้ยินว่าเป็นเหล้าที่แรงไม่น้อยเลยนี่
เด็กหนุ่มยักไหล่
ข้าคงดื่มแก้เจ็บแผลมากระมัง แต่วันเทศกาลอย่างนี้เป็นวันที่คนเราทำอะไรแปลกไปจากที่เคยได้ไม่ใช่หรือ
...ก็จริง พ่อ รับ รีบพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว เสื้อผ้าเจ้าก็อยู่ในตู้เหมือนเดิมนี่ล่ะ...ราตรีสวัสดิ์
...ราตรีสวัสดิ์
อาเมียร์ทำความสะอาดห้องและเตียงพอไล่ฝุ่น ผลัดเสื้อผ้าแล้วก็เข้านอนในไม่ช้า...ในห้องที่จัดไว้แทบเหมือนห้องนอนเดิมของเขาในบ้านหลังเก่าที่กลาสเดล
เขารู้สึกเหนื่อยอ่อนจนคิดว่าตนเองน่าจะผล็อยหลับได้ทันทีที่หัวถึงหมอน แต่กระนั้นก็กลับนอนกระสับกระส่ายอย่างประหลาด คลับคล้ายว่าตนเองฝันเห็นแอช...ไม่สิ...เจ้าหญิงแอชลีนน์ร้องไห้ต่อหน้าเขา แล้วก็เหวี่ยงหมัดใส่หน้าเขา พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนพลิกตัวไปทับแก้มข้างที่บวมเข้า แล้วก็กลายเป็นเจ็บแผลจนนอนไม่หลับ
ดูเหมือนคืนลูคนาซาธจะผ่านไปอย่างเชื่องช้ากับฝันร้ายและความคิดที่เขาไม่อาจสลัดจากใจนี่เอง
บทที่ ๑๔ เรื่องของหัวใจ
* * *
ตอนนี้อาเมียร์แตกกับแอชแต่ก็คืนดีกับพ่อได้ ให้ผมมองคงเป็นเพราะได้รู้ลึกๆ ว่าการโดนโกรธเป็นยังไงแหละนะ ^^a
แล้วผมก็ได้ข้อสรุปเองว่า...นางเอกที่มือหนักที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาตอนนี้เห็นจะเป็นแอชแน่ๆ ต่อยผู้ชายซะหน้าบวมเชียว ^^;;; หรือจะบอกว่าอาเมียร์สอนดีเกินไปดีนะ
ชื่อ อาซิซ น้องสุดท้องของบ้านนี้ เป็นชื่อที่ผมชอบมาตั้งแต่อ่านนิยายเรื่อง A Thousand Splendid Suns ของ Khaled Hosseini (ผู้เขียนเรื่อง The Kite Runner หรือ เด็กเก็บว่าว) แล้วมีตัวละครชื่อ อาซิซา ครับ อาซิซาเป็นเด็กผู้หญิง แต่ในเมื่อกำหนดให้ลูกคนสุดท้องเป็นลูกชายแล้วเลยนำชื่อเพศชายมาใช้ ชื่อของสมาชิกบ้านนี้ทุกคนนอกจากสิมาเป็นภาษาอาหรับ ซิอ์บุล - หมาป่า อาเมียร์ - เจ้าชาย นาสิรา - ผู้มีชัย/ผู้ช่วยเหลือ ฟาร์ฮานาห์ - ความสุข อาซิซ - ผู้มีอำนาจ/ผู้เป็นที่รัก ส่วนสิมา ส่วนสิมา หลังใช้เป็นชื่อย่อของสิมาริเมสไปค้นมาก็พบว่าเป็นภาษาฮีบรูแปลว่า สมบัติ ครับ
เรื่องของหัวใจ...ตอนหน้าจะเป็นอย่างไร และทั้งสองจะกลับมาพบกันอีกอย่างไรก็ขอให้ติดตามตอนต่อไปครับ :)
Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2552 |
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2552 21:37:12 น. |
|
0 comments
|
Counter : 279 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|