ที่พักนักตระเวนแดนฝัน
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๑๓ - เย็นและค่ำวันลูคนาซาธ

บทที่ ๑๓ เย็นและค่ำวันลูคนาซาธ


“ขอบคุณมากนะ” เด็กสาวตัดสินใจเอ่ยปาก “วันนี้ข้าสนุกมากเลย...เป็นวันลูคนาซาธที่ข้าจะไม่มีวันลืมเลยจริงๆ”

“ไม่เป็นไรหรอก” เสียงตอบจากอาเมียร์ดังอยู่เหนือศีรษะจากข้างหลัง “ข้าดีใจมากที่เจ้าชอบ”

“แล้วอาจารย์ล่ะ สนุกเหมือนกันไหม”

เด็กหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง

“...แน่นอนสิ”

แอชลีนน์ลอบยิ้มอย่างยินดี แต่แล้วก็ประหลาดใจเมื่อเขาชะลอม้า

“ว่าแต่...ขอโทษนะ เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีไหม”

“เอ๋...” เด็กสาวก็เพิ่งนึกได้ว่าตนยังอยู่ในชุดกระโปรงของท่านสิมา “เปลี่ยนที่ไหนหรือ”

“ก็...แถวนี้แหละ”

“หา!” แอชลีนน์เหลือบมองรอบด้าน แล้วก็พบเพียงสุมทุมพุ่มไม้สองข้างทางเดิน “แต่ที่นี่มัน...”

“ข้ารู้” เมื่ออาเมียร์พูดถึงตอนนี้ ม้าก็หยุดเดินพอดี “แต่ถ้ากลับไปถึงหน้าจวนคงไม่มีที่ให้เจ้าเปลี่ยนเสื้อก่อนนั้นแล้ว ข้าขอโทษนะที่ลืมนึกไป”

เขาเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้า ขณะที่เด็กสาวได้แต่ก้มลงมองพลางกระพริบตาปริบๆ แทนคำถามว่าเขาจะเอาจริงหรือ

เด็กหนุ่มมองไปรอบๆ

“ที่ตรงนี้ไม่ค่อยมีคนผ่าน ข้าจะดูต้นทางให้ เจ้าก็รีบเปลี่ยนเสื้อหน่อยแล้วกัน”

พอแอชลีนน์ยังเงียบอยู่ เขาก็พูดต่อ

“ข้าสัญญาว่าจะไม่แอบดู ไม่ล่วงเกินเจ้าด้วยประการใดๆ ก็ตาม เชื่อใจข้าเถอะนะ”

เธอค่อยยิ้มออก

“ข้าเชื่อ ถ้าเป็นอาจารย์...ข้าจะเชื่อใจทุกอย่าง” เด็กสาวก้าวมาอยู่ตรงหน้าเขา “อันที่จริง...ข้ามีเรื่องที่อยากบอกอาจารย์ด้วย...ก่อนที่เราจะจากกันในวันนี้”

ครั้นอาเมียร์มองเธออย่างสงสัย เธอก็รวบรวมความกล้าเพื่อพูดต่อไปพร้อมๆ กับสบตากับเขา

“ข้า...อันที่จริงข้าไม่ใช่นางกำนัล ข้าคือ...เจ้าหญิงแอชลีนน์ อลาสตาร์ แห่งธีร์ดีเร ข้ามาหาท่านเพราะข้าอยากเรียนรู้เกี่ยวกับการปกครองให้มากกว่านี้ ขอบคุณท่านมากที่ช่วยสอนข้า”

เด็กหนุ่มกลับดูไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย เขายังคงมองเธอด้วยสีหน้าธรรมดาก่อนจะคุกเข่าลง

แอชลีนน์ยังไม่ทันบอกให้ลุกขึ้นยืน เขาก็พูดขึ้นมาเสียก่อน

“กระหม่อมคิดว่าพระองค์คือเจ้าหญิงมานานแล้วพ่ะย่ะค่ะ นับเป็นเกียรติอย่างสูงที่ฝ่าบาทพอพระทัยกับการรับใช้ของกระหม่อม”

“อาจารย์...ลุกขึ้นเถอะ” เด็กสาวรีบเอ่ย “พูดคุยกันธรรมดาเถอะนะ เรียกข้าว่าแอชเหมือนเดิมเถอะ เพิ่งมีคนพูดคุยกับข้าธรรมดาๆ ก็ตอนที่ข้าเป็นแอชนี่ล่ะ เวลาที่ท่านพูดคุยกับข้าอย่างนั้น...ข้าจะรู้สึกสบายใจมากกว่า”

เขาเงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ เหมือนอาเมียร์คนเดิม

“เข้าใจล่ะ”

แอชลีนน์ยิ้มตอบ แล้วก็เอ่ยต่อ

“ข้าตัดสินใจถูกจริงๆ ที่ลองมาหาท่าน ข้าได้เรียนรู้อะไรมากมาย แล้วก็...ได้พบกับคนที่ดีอย่างนี้ด้วย ข้า...ดีใจมาก”

“ข้าก็ดีใจเหมือนกัน” อาเมียร์รับด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยากให้ผู้ปกครองในอนาคตได้มีความรู้ความสามารถพร้อม หากเจ้ากับเฟลิมได้ร่วมแรงร่วมใจกันปกครองธีร์ดีเร ข้ามั่นใจว่าอาณาจักรนี้จะยิ่งมั่นคงและสุขสงบขึ้นได้โดยเร็วแน่ หากเจ้าชอบเขา...ก็ขอให้ช่วยให้กำลังใจเขาด้วยนะ”

ริมฝีปากของผู้ฟังเผยอค้าง

ความเบิกบานในหัวใจกลับกลายเป็นความขุ่นมัวเมื่อใดก็ไม่รู้ แต่เมื่อตระหนักได้ว่าตนรู้สึกเช่นไร มือก็กำแน่น ขาและเท้าขยับก่อนแขนจะเหวี่ยงออกไปข้างหน้า

คนที่ถูกหมัดของเธอกระแทกเข้าที่แก้มขวาถึงกับหน้าสะบัดและเซไปสองสามก้าว...แม้จะไม่ถึงกับล้ม เมื่อตั้งหลักได้แล้วเขาก็เงยหน้ามองเธออย่างประหลาดใจ

“แอช ทำไม...”

“ท่านก็เป็นเหมือนกับพวกนั้นสินะ” เด็กสาวพูดเสียงแข็ง “ที่แท้...ที่ยอมให้ข้ามาเรียนด้วยก็เพราะคิดจะจับคู่ข้ากับเฟลิมอยู่แล้วนี่เอง!”

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ” อาเมียร์รีบแย้ง “ข้าอยากสอนเจ้าจริงๆ เพราะเห็นเจ้าอยากเรียนแล้วก็ตั้งใจเรียนขนาดนั้น ไม่ได้คิดจะจับคู่เจ้ากับเฟลิมเลย”

“แล้วทำไมถึงเจ้ากี้เจ้าการให้เฟลิมเต้นรำกับข้าในวันนี้ล่ะ...แล้วทำไม...เมื่อครู่ถึงพูดแบบนั้น!” ดวงตาของเธอเริ่มร้อนผ่าว “ทำไมถึงบอกให้ข้าปกครองร่วมกับเฟลิม...นั่นเท่ากับว่าที่สอนข้าร่วมกับเขามาตลอดก็เพื่อให้เขาได้มีโอกาสใกล้ชิดข้าไม่ใช่หรือ!”

“แล้วเจ้าไม่ชอบเขาหรือ” เด็กหนุ่มไม่ปฏิเสธ...แต่กลับเปลี่ยนคำถาม “เขาเป็นคนดี แล้วเจ้าก็ยังเข้ากับเขาได้ดีเลยนี่”

“ใช่...เขาเป็นคนดี ข้าเข้ากับเขาได้ ข้าคิดว่าข้าชอบเขา” แอชลีนน์ยอมรับ “แต่ข้าไม่ได้รักเขาในแบบนั้น!”

อาเมียร์นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งขณะก้มหน้าลง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งโดยไม่เงยหน้า

“แอช...เจ้า...ท่านถือกำเนิดในราชตระกูล ข้าคิดว่าท่านจะเข้าใจเสียอีก...ว่าการแต่งงานเพื่ออาณาจักรก่อนความต้องการของตนเองเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”

ได้ฟังอย่างนั้น เด็กสาวก็ปล่อยน้ำตาให้ไหลอาบหน้า

“ข้ารู้ แต่ข้าไม่เข้าใจ...แล้วก็ไม่อยากจะเข้าใจด้วย!”

คู่สนทนาถอนใจ แล้วก็พูดเหมือนอธิบาย

“ในเมื่อคนในราชตระกูลเกิดมาสุขสบายกว่าคนอื่นๆ...ก็มีสิ่งที่ต้องตอบแทนให้แผ่นดินกับประชาชนมากเหมือนกัน ข้ารู้ว่าการแต่งงานตามหน้าที่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียกว่าดีที่สุดหรือมีความสุขที่สุดสำหรับท่าน แต่นั่นเป็นเรื่องจำเป็น เพราะอย่างนั้น...ท่านควรหวังให้คู่ครองของท่านเป็นคนดี...เป็นคนที่ท่านรู้จักและเข้ากับท่านได้ ทั้งเพื่ออาณาจักรกับความสุขของตัวท่านเองด้วย”

“แล้วท่านเป็นใคร...ถึงมีสิทธิ์มาพูดอย่างนี้” แอชลีนน์กลับพูดเสียงสั่น มือกำแน่นอีกครั้ง “ท่านจะไปเข้าใจข้าได้อย่างไร รู้ไหมว่าคนแบบที่ข้าเกลียดที่สุดเป็นคนแบบไหน...คนที่ชอบทำมาเป็นรู้ใจข้า...ชอบทึกทักไปเองว่าข้ารักใครต่อใครอย่างนี้อย่างไรเล่า!”

“แอช...ข้าก็แค่พูดไปตามเหตุผล แล้วก็ความเป็นจริงเท่านั้นเอง”

“พอแล้ว! ข้าจะไม่ฟังคำพูดของท่านอีกแล้ว!” เด็กสาวขึ้นเสียง “เสียแรงที่ข้าหลงเชื่อใจ...ที่แท้ท่านก็ไม่ต่างจากพวกที่เห็นข้าเป็นเครื่องมือเลยสักนิด!”

“...ข้าก็แค่...อยากให้ธีร์ดีเรเป็นที่ที่สงบสุขกว่านี้” เขาเอ่ยแผ่วเบา

“แต่ท่านไม่คิดถึงความสุขกับความต้องการของข้าในฐานะคนคนหนึ่งเลย!”

“เจ้าหญิงแอชลีนน์...ฝ่าบาทไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นผู้มีอำนาจเปลี่ยนแปลงธีร์ดีเรนะพ่ะย่ะค่ะ”

เธอยกแขนขึ้นปาดน้ำตาแรงๆ

“แค่ตามหลักเท่านั้นล่ะ ที่จริงข้าเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่ง...เป็นใบเบิกทางสู่อำนาจที่ใครๆ เขาต้องการเท่านั้น ทำไมข้าจะไม่รู้”

“กระหม่อมสอนวิชาการปกครองให้ฝ่าบาทก็เพื่อให้พระองค์ไม่ต้องเป็นเบี้ยของพวกเขา แล้วที่ต้องการให้เฟลิมได้สมรสกับฝ่าบาท ก็เพราะกระหม่อมทราบว่าเขาเป็นคนดีที่จะให้เกียรติฝ่าบาท และปกครองธีร์ดีเรโดยไม่ต้องการผลประโยชน์ส่วนตนอย่างแท้จริง”

“เพราะอย่างนี้...ท่านเลยทำให้พวกเราเป็นเบี้ยของท่านเสียเอง” แอชลีนน์ย้อน

“ฝ่าบาท...แอช...”

“ไม่ต้อง” เธอตัดสินใจตัดบท “ไม่ต้องพูดอะไรกันอีกแล้ว ข้าเข้าใจเจตนาของท่านชัดเจนแล้ว ข้าจะไม่มาเรียนกับท่านอีกต่อไป”

ความเงียบดำเนินไปครู่หนึ่ง ก่อนที่อาเมียร์จะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึมในทีแรก...แล้วกลับเป็นอ่อนลงในตอนท้าย

“สุดแท้แต่การตัดสินพระทัยของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ แต่ตอนนี้เริ่มเย็นแล้ว ฝ่าบาทควรรีบทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์ แล้วก็เสด็จกลับไปเสียโดยเร็วดีกว่า”

“ข้ารู้แล้ว” แอชลีนน์ก้มหน้าลงตอบห้วนๆ ก่อนจะกลับหลังหันเดินเข้าไปในซอกระหว่างสุมทุมพุ่มไม้ที่พอมีที่ว่างให้ขยับตัวบ้าง

เธอแขวนกระเป๋าผ้ากับกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาแถวนั้น ก่อนจะสวมกางเกงไว้ใต้กระโปรง ถอดชุดกระโปรงที่ยืมมาออก แล้วก็ถอดเสื้อแขนยาวสีขาวตัวใน ใช้แถบผ้ายาวพันรอบอกแน่นหนาเพื่ออำพราง

ขณะที่เอื้อมมือไปหยิบเสื้อผู้ชายในกระเป๋านี่เอง...เธอก็ได้ยินเสียงดังฟ่ออยู่ไม่ไกล...

เด็กสาวหันไปเห็นคอและหัวของสัตว์ตัวหนึ่งชูพ้นพงหญ้าสูง มันมีนัยน์ตาดำขลับเหมือนหินแก้วสีดำ และมีลิ้นที่แยกเป็นสองแฉก

ภาพที่เห็นทำให้ตกใจจนร้องออกมา...แต่ร่างกายกลับแข็งทื่อจนไม่อาจขยับเขยื้อน

“มีอะไร” เสียงร้อนรนของอาเมียร์ดังขึ้นพร้อมกับเสียงแสกสาก เพียงครู่เสียงนั้นก็เงียบลงกลายเป็นเสียงกระซิบ...พร้อมกับสัมผัสอบอุ่นของมือบนไหล่ “อย่าตกใจ ถ้างูชูหัวอย่างนี้หมายความว่ามันแค่ขู่ ค่อยๆ ถอยออกมา อย่าให้มันรู้สึกว่าเราคุกคามมัน”

แอชลีนน์กลั้นหายใจขณะทำตามคำบอกโดยไม่คิดอะไร แต่ละย่างก้าวดูช่างเชื่องช้า...แต่มือที่ยังทาบไหล่นิ่งอยู่ก็ช่วยให้รู้สึกอุ่นใจว่าเธอยังไม่ได้อยู่เพียงลำพัง...ยังมีคนที่อยู่ข้างๆ และพร้อมจะช่วยเหลือเธออยู่ตรงนี้...แม้นว่าอันตรายจะอยู่เพียงแค่ตรงหน้าก็ตาม

ดูเหมือนจะผ่านไปราวหกเจ็ดก้าว หัวของงูตัวนั้นจึงลับหายไป ใบหญ้าส่งเสียงแสกสากเบาๆ เมื่อมันเลื้อยไปจากตรงนั้น

คนที่แนะนำเธอถอนใจเบาๆ ก่อนจะหันมาถาม

“ไม่เป็นไรใช่ไหม”

พอหันไปมองเขานี่เอง แอชลีนน์จึงเพิ่งระลึกได้ว่าตนยังแต่งกายไม่เรียบร้อย และปัดมือของเขาออกไปจากไหล่เปลือยเปล่าโดยเร็ว ใบหน้าของเธอร้อนผ่าว ทั้งหัวใจและเส้นเลือดที่ศีรษะเต้นระรัวขึ้นมาอีกครั้งด้วยความตกใจอีกอย่างกับเมื่อครู่

ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะรู้ตัวเช่นกัน เพราะเขาพูดขึ้นมาโดยเร็ว

“ข...ข้าขอโทษ”

“ช่างเถอะ” เด็กสาวข่มเสียงตอบให้เรียบที่สุด เธอก้าวยาวๆ กลับไปยังที่แขวนกระเป๋า และกำลังจะเอื้อมมือไปรีบหยิบเสื้อพอดีเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบดังเข้ามา

ในทีแรก เธอคิดว่าคงเป็นคนที่บังเอิญผ่านไปมา จึงหมายจะรีบแต่งตัวแล้วรีบไป แต่แล้วอาเมียร์ก็รีบกระซิบ

“ดูลัส”

แอชลีนน์เย็นสันหลังวาบ กระนั้นสติก็ยังสั่งการว่าจะให้องครักษ์หนุ่มเห็นเธอในสภาพนี้ไม่ได้ มือของเธอคว้าเสื้อในกระเป๋ามาสวมอย่างลวกๆ แต่ยังไม่ทันกลัดกระดุมดีหรือแม้แต่จะสวมช้องผมกลับเข้าที่ก็มีเสียงม้าชะลอฝีเท้าใกล้ๆ

...ตามมาด้วยเสียงคาดคั้นของผู้มาใหม่...

“แอชอยู่ที่ไหน” ดูลัสพูดเสียงกร้าว “เจ้าหลอกพานางไปที่ไหน ยามที่จวนบอกว่าเจ้าพานางออกไปแต่เช้ายังไม่กลับมา นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”

เด็กสาวจำใจเดินออกมาพอให้เขาเห็นตัว

“ข้าอยู่นี่...ด...ท่านดูลัส” เธอเปลี่ยนคำพูด ด้วยนึกได้ว่ายังไม่ควรให้ชายหนุ่มรู้ว่าเธอเปิดเผยสถานะของตนกับชายอีกคนแล้ว

ดูลัสแทบเบิกตาโพลงเมื่อเห็นสภาพของเธอ แล้วก็หันขวับไปทางชายอีกคนทันควันอย่างคาดโทษ

“นี่เจ้า!”

“เขาดูต้นทางให้ข้าเปลี่ยนเสื้อ ข้ายืมเสื้อผ้าผู้หญิงของแม่เขามาเที่ยวงานเทศกาล ตอนนี้จะกลับจวนไปรอท่านเลยต้องเปลี่ยนกลับเป็นชุดเดิม” เด็กสาวรีบอธิบาย

องครักษ์หนุ่มค่อยดูสงบลง กระนั้นสีหน้ายังไม่คล้ายความระแวง

“แต่เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงร้อง”

“ข้าเห็นงูตอนเปลี่ยนเสื้ออยู่ ก็เลยตกใจจนร้องออกมาเท่านั้นเอง” แอชลีนน์ตอบตามตรง ก่อนจะกลับหลังหันดื้อๆ เป็นการตัดบท “ให้ข้าได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก่อน แล้วเรารีบกลับกันเถอะ”

ชายทั้งสองนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรกันเลยขณะที่เด็กสาวกลับหลังหันไปกลัดกระดุมจนเสร็จ แล้วก็สวมช้องผมสั้นและเก็บผมยาวของตนให้เรียบร้อย

สีหน้าของทั้งอาเมียร์และดูลัสเรียบเฉยจนยากจะคาดเดาอารมณ์เมื่อเธอสะพายกระเป๋าผ้ากลับออกมา เด็กสาวยื่นชุดกระโปรงกับเสื้อที่พับเรียบร้อยแล้วให้กับเด็กหนุ่มผมดำพร้อมคำพูดสั้นๆ

“ฝากขอบคุณท่านสิมาด้วย”

“อือม์” คนรับทำเสียงตอบในลำคอเบาๆ

แอชลีนน์ไม่กล้ามองหน้าของเขาขณะเอ่ยคำที่เธอคิดว่าเป็นคำสุดท้าย

“...ลาก่อน”

“...แล้วพบกันใหม่นะ” เสียงรับแผ่วเบาราวกับกระซิบ

เด็กสาวไม่ตอบว่าอะไร...แม้ใจหนึ่งจะอยากพูดว่าเธอไม่อยากเห็นหน้าของเขาอีกต่อไปด้วยซ้ำ เธอเพียงขึ้นหลังม้าของดูลัส แล้วก็นั่งนิ่งเฉย สายตามองตรงไปข้างหน้าขณะที่เขาขึ้นหลังม้าข้างหลังเธอ แล้วกระตุ้นม้าให้ออกวิ่งโดยไม่พูดอะไรกับอาเมียร์เลยสักคำ

คล้อยหลังเด็กหนุ่มผมดำมาได้สักครู่หนึ่งนั่นเอง...ดูลัสจึงได้เอ่ยกับเธอ

“หน้าของมันมีรอยแดงอยู่ มันคิดจะ...ทำร้ายองค์หญิงหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”

“เปล่า” แอชลีนน์ตอบเนือยๆ “เราก็แค่...ต่อยเขาเพราะเราโกรธเท่านั้นล่ะ”

“กริ้วเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มเอ่ยเหมือนไม่อยากเชื่อนัก

เด็กสาวก้มหน้าลง

“ไม่มีอะไรมากหรอก เราก็แค่เพิ่งรู้ว่าเขามีจุดประสงค์แอบแฝงจริงๆ ...เขาคิดจะจับคู่เรากับลูกชายของเจ้ามณฑลยาร์ลาธ”

“อย่างที่กระหม่อมเคยทูล” ดูลัสรับ

“เราจะไม่ไปเรียนกับเขาอีกแล้ว ดูลัส” แอชลีนน์พูดด้วยเสียงที่เริ่มเครือ และน้ำตาที่เริ่มรื้นขึ้นมาอีก “เราผิดเอง...ข้าเชื่อใจคนง่ายไป”

“ไม่ใช่ความผิดขององค์หญิงเลยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มเอ่ยเบาๆ “คนที่คิดจะหลอกใช้พระองค์ต่างหากที่มีความผิดแต่ผู้เดียว”

เด็กสาวหลุดเสียงสะอื้นออกมา...โดยไม่รู้จะพูดอะไรอีกต่อไป

“อย่ากันแสงเลยพ่ะย่ะค่ะ ดีแล้วที่องค์หญิงทรงทราบตั้งแต่เนิ่นๆ จากนี้ไป...หากมีสิ่งใดให้กระหม่อมรับใช้ก็ขอให้ตรัสมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ดูลัสพูดต่อโดยไม่แม้แต่จะแตะต้องตัวเธอ สองมือของเขายังจับที่บังเหียน มีแต่ร่างของเธอที่เอนมาถูกตัวเขาตามจังหวะก้าวของม้า “กระหม่อมจะรับใช้องค์หญิงตามรับสั่งทุกประการ หากมีพระประสงค์จะทราบสิ่งใดที่กระหม่อมทูลได้ กระหม่อมก็จะรีบทูลพ่ะย่ะค่ะ”

เธอไม่รู้จะเชื่อคำพูดของดูลัสได้มากเท่าใด แต่ก็ไม่ปริปาก...ได้แต่ร้องไห้เงียบๆ ด้วยความรู้สึกเคว้งคว้าง วันลูคนาซาธอันอบอุ่นเป็นครั้งแรกในรอบสามปีกลับดูห่างออกไปเหมือนอดีตไกลแสน...และเลือนรางเหมือนความฝัน

...กระนั้น ชายที่เธอรู้สึกดีด้วยก่อนจะแปรโฉมหน้าเป็นอย่างอื่นกลับยังแจ่มชัดในความทรงจำ...เหมือนฝันร้ายที่จำได้ติดตากว่าฝันดีหลายเท่านัก

* * *

อาเมียร์มองคนสองคนบนหลังม้าจนลับหายไป ก่อนจะถอนใจแล้วกลับขึ้นม้าของตน

เขาขี่ม้าเงียบๆ กลับมาจนถึงบ้าน นำมันกลับเข้าคอกเรียบร้อยและกำลังจะเดินกลับออกไปทางรั้วพอดีเมื่อประตูหลังบ้านเปิดออก

...และ ‘พ่อ’ โผล่หน้าออกมา...

“เย็นป่านนี้แล้ว เจ้าไม่อยู่กินข้าวด้วยจริงๆ หรือ”

“ไม่ล่ะ” เด็กหนุ่มตอบโดยไม่มองและไม่หยุดเดิน “ข้ากลับไปกินที่จวนก็ได้”

“แล้วถ้าถึงจวนเย็นเกินไป ไม่อยากให้ใครลำบากหาข้าวให้ เจ้าคงบอกพวกเขาว่ากินมาจากที่บ้านแล้ว ส่วนตัวเองก็ยอมอดข้าวเองอย่างนั้นสินะ”

อาเมียร์ชะงักกึกเมื่ออีกฝ่ายเดาถูกเผง

“ทำไมข้าจะไม่รู้ ถ้าไม่ใช่เรื่องอะไรที่ยอมเขาไม่ได้จริงๆ เจ้าก็เกรงใจใครต่อใครเขาไปทั่ว...ยกเว้นตัวเองนั่นล่ะ” ‘พ่อ’ เดินออกมาหาเขา “เข้ามาสักหน่อยเถอะ ถ้าเจ้าไม่อยากกินเพราะมีข้าอยู่ด้วย ข้าหลบไปที่อื่นก่อนก็ได้”

“ท่านก็เกรงใจใครต่อใครเขาไปทั่ว...ยกเว้นตัวเองเหมือนกันสินะ” เด็กหนุ่มอดตอบไม่ได้

ชายวัยกลางคนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยักไหล่น้อยๆ

“คงใช่” เขายังคงพยักพเยิดไปทางประตูหลังบ้าน “เข้ามาเถอะ พวกเรากำลังกินข้าวอยู่ มีซุปร้อนๆ ข้าว่าจะเข้าไปเฝ้าแม่พอดี”

อันที่จริง ท้องของเขาก็เริ่มอุทธรณ์มาได้พักใหญ่แล้ว...คงเพราะเลยเวลาอาหารเย็นตามปกติของเขา บวกกับวันนี้เขาเสียแรงไปไม่น้อยกับหลายๆ เรื่อง ทั้งเต้นรำ ขึ้นลงเขาสองรอบ..รอบที่สองต้องแบกหมอตำแยร่างท้วมลงมาด้วยเสียอีก

สุดท้าย อาเมียร์ก็ตัดสินใจพยักหน้า

“ก็ได้”

‘พ่อ’ รีบก้าวยาวๆ ไปเปิดประตูให้เด็กหนุ่ม นาสิรากับฟาร์ฮานาห์เงยหน้าขึ้นทักทันทีที่เห็นเขา

“พี่อาเมียร์!”

“พี่อาเมียร์มากินข้าวด้วยกันใช่ไหม!”

“ฮื่อ” เขาพยักหน้าก่อนจะก้าวเข้าไป แต่แล้วนาสิราก็ทำตาโตแล้วร้องขึ้นทันควัน

“พี่อาเมียร์! หน้าพี่เป็นอะไร!”

สายตาของคนอื่นๆ ในห้องเลื่อนมายังแก้มของเขาเป็นตาเดียว รวมทั้ง ‘พ่อ’ ที่ก้าวยาวๆ มาดักหน้ามองให้ชัดๆ

ถึงไม่มีกระจก...อาเมียร์ก็รู้ว่าหน้าของตนคงดูไม่จืด แอช...ไม่สิ เจ้าหญิงแอชลีนน์เล่นต่อยเข้ามาเสียเต็มแรงโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว ถึงตอนโดนแรกๆ จะรู้สึกชามากกว่าเจ็บ แต่บัดนี้เขาก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าริมฝีปากข้างที่ติดกับแก้มนั้นตึงและแสบแปลบๆ อย่างประหลาด

“หน้าบวมเชียว นี่ฝีมือใคร” ‘พ่อ’ ถามเสียงแข็ง

เด็กหนุ่มรู้ว่าตนคงไม่อาจพูดปดว่าหกล้มหน้ากระแทกเองกับคนตรงหน้า...ซึ่งคร่ำหวอดกับการต่อสู้มานานหลายปีจนแยกรอยชกกับรอยหกล้มได้แน่นอน จึงรีบคิดหาสาเหตุที่เข้าท่าที่สุด

“ไม่มีอะไรหรอกพ่อ แค่คนเมาน่ะ ตอนข้าพาท่านเคียราไปส่งมีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย แต่ตอนนี้เรียบร้อยแล้ว”

อดีตนักรบยังมองแผลของเขาอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะผละไป

“‘พ่อ’ จะไปเอายาให้ รีบทาเสียจะได้ยุบเร็วๆ”

พอ ‘พ่อ’ ลุกไปเอายา ลีชาก็ลุกขึ้นไปตักซุปร้อนๆ ในครัวให้เขาถ้วยหนึ่ง ก่อนที่เขาจะทันห้ามว่าตนตักเองได้

เมื่อถ้วยซุปถูกวางตรงหน้าเขาได้ไม่นาน ‘พ่อ’ ก็ถือตลับยาเล็กๆ ออกมาจากห้องนอน แล้วก็วางไว้บนโต๊ะตรงหน้าเขา

“รีบทาเสีย แล้วเห็นแม่บอกว่าเคยให้ตลับยาเจ้ามาแล้ว กลับไปที่จวนก็อย่าลืมทาอีกล่ะ”

เขาหยิบตลับนั้นขึ้นมา ใช้นิ้วปาดยาสีเขียวเนื้อข้นกลิ่นฉุนทาที่แก้มบวมเป่งโดยไม่เกี่ยงงอน ก่อนจะนึกอะไรอีกอย่างขึ้นมาได้

“ข้าเอาตลับยานั้นให้คนอื่นไปแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตลับนี้ไป” ‘พ่อ’ พูดทันที “ยาสมุนไพรพวกนี้ทำใหม่ได้ง่ายๆ เอาไปใช้เถอะ”

เขาบอกเท่านั้น แล้วก็ถือถ้วยซุปของตน เดินกลับเข้าไปในห้องนอนที่แม่คงพักอยู่กับน้อง

...ไม่ต้องสงสัยว่าจะเข้าไปรับประทานต่อในนั้น...เพื่อให้พ้นสายตาของเขา...

เด็กหนุ่มจึงรีบกินแต่พออิ่ม แล้วก็ตัดสินใจจะรีบกลับ กระนั้นความคิดยังคงวนเวียนไปถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น และเกี่ยวข้องกับความเจ็บหน่วงๆ ที่แก้มไม่หายเวลาขยับปาก

...เขาผิดอย่างนั้นหรือ...

...เขาผิดตรงไหน...

ใช่...เหตุผลหนึ่งที่เขาให้เด็กสาวในคราบเด็กหนุ่มซึ่งเขาสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นเจ้าหญิงมาเรียนร่วมกับเฟลิมก็เพื่อให้ทั้งสองได้ทำความรู้จักกัน อาเมียร์มั่นใจว่าเฟลิมเป็นคนดีอย่างไม่เสแสร้ง และหากเจ้าหญิงแอชลีนน์ได้เห็นเขาอย่างที่อาเมียร์เห็น...การอภิเษกสมรสของทั้งสองก็น่าจะเป็นไปได้โดยราบรื่นไม่มีปัญหา

แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียว เขายังหวังว่า...ไม่ว่าใครก็ตามจะได้เป็นกษัตริย์แห่งธีร์ดีเร ราชินีแห่งธีร์ดีเรก็จะมีความรู้ในเรื่องการเมืองมากพอจะมองทะลุกลอุบายต่างๆ ของเหล่าขุนนางได้ด้วยตนเอง และพอที่จะช่วยปกครองธีร์ดีเรได้อีกแรงหนึ่ง...แทนที่จะเป็นเพียง ‘หุ่นเชิด’ ของใครก็ตามที่มาเป็นพระสวามีกับพรรคพวกของเขา

...เจ้าหญิงแอชลีนน์ไม่เข้าใจตามนี้หรือ...

เฟลิมก็เป็นคนดี เหมาะสมกับการเป็นทั้งกษัตริย์และพระสวามี...เจ้าหญิงก็ยอมรับว่าพระองค์ทรงเห็นด้วยตามนั้น แล้วทำไม...

อาเมียร์โคลงศีรษะเมื่อไม่ได้รับคำตอบ วางช้อนทิ้งไว้ในถ้วยซุปเมื่ออิ่มแล้ว แล้วก็ถือชามไปแช่ในอ่างไม้ในครัว เขาบอกเด็กหญิงทั้งสองกับลีชาว่าถึงเวลาต้องรีบกลับแล้ว ก่อนจะตัดสินใจไปบอกลาแม่...กับ ‘พ่อ’ อีกสักครู่

พอเด็กหนุ่มเคาะประตู ก็ได้ยินเสียงเบาๆ ของแม่บอกให้เข้ามาได้

เขาจึงเปิดประตูเข้าไป...แล้วก็เบือนหน้าหลบพร้อมกับดึงประตูไว้แง้มๆ แทบไม่ทันเมื่อเห็นว่าคนตอบกำลังให้นมลูกที่เพิ่งเกิดอยู่...แม้จะมีผ้าห่มช่วยบังไว้ก็ตาม

“ไม่ต้องอายหรอกจ้ะ แม่ก็เคยให้นมอาเมียร์อย่างนี้ไม่ใช่หรือ” เสียงของแม่กลับบอกอย่างอ่อนโยน

‘พ่อ’ ถือถ้วยซุปลุกจากเก้าอี้ แล้วก็เดินตรงมายังประตู

“ข้ากินเสร็จพอดี เจ้าจะคุยกับแม่ก็เข้ามาสิ”

“ข้าไม่ได้...”

ยังไม่ทันบอกว่าตนไม่ได้ตั้งใจจะคุยนาน แต่เพียงแค่จะบอกลาก่อนกลับ ชายวัยกลางคนก็เดินผ่านเขาออกมาจากห้องเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มจึงได้แต่กลั้นเสียงถอนใจ แล้วเข้าไปแทนตามเสียงเรียก

“มาให้แม่ดูแผลหน่อยสิ เห็น ‘พ่อ’ บอกว่าบาดเจ็บมาไม่ใช่หรือ”

“นิดหน่อยเองแม่ ไม่เป็นไรหรอก” อาเมียร์ตอบพลางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง...ตัวเดียวกับที่ชายอีกคนเพิ่งลุกออกไป

แม่มองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่งก็ขมวดคิ้วอย่างกังวล

“บวมเยอะเหมือนกันนี่ ได้ยินว่าเจอคนเมาหรือลูก”

“ฮื่อ” เขารับสมอ้าง “ก็แค่...พวกเมาแล้วหาเรื่องคนไปทั่วน่ะแม่”

“แล้วไปเจอตอนไหน เคียราอยู่ด้วยหรือเปล่า”

“ก็...อยู่ด้วย แต่นางปลอดภัยดี ไม่ต้องห่วงหรอกแม่ ข้า...ส่งนางกลับอารามเรียบร้อยแล้ว”

หญิงสาวพยักหน้ารับ

“ก็ดีแล้วจ้ะ ‘พ่อ’ ก็พูดอยู่เหมือนกันว่าคนอย่างอาเมียร์จะโดนเขาต่อยมาง่ายๆ ได้อย่างไร แม่ก็ว่าตอนนั้นเคียราคงอยู่ด้วย ลูกเลยต้องห่วงนางมากกว่ากระมัง”

“ก็...จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

“กลับไปแล้วก็ทายาดีๆ นะ จะได้หายเร็วๆ” แม่ยังคงบอก ก่อนจะถามขึ้นมา “ว่าแต่...เจ้าหญิงจะกลับเมืองหลวงเมื่อไรหรือจ๊ะ”

“ก็...ได้ยินว่าต้นเดือนหน้าน่ะ”

“ถ้าเคียรามีเวลาว่าง...ก็ชวนนางมาที่บ้านอีกสิจ๊ะ” แม่เสนอ “นางยังบอกอยู่เลยว่าอยากมาที่นี่อีก แม่ว่านางก็น่ารักดีนะ นี่ไปรู้จักกันได้อย่างไรหรือ”

เด็กหนุ่มฟังแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้...เมื่อนึกถึงคำที่ใครอีกคนลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่มาเรียนด้วยอีกแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะจริงเพียงไร

“นาง...คงมาไม่ได้หรอก เห็นว่านางกำนัลมีงานยุ่งมากน่ะ อันที่จริงข้าก็...เพิ่งเจอนางแค่วันนี้เอง แอชฝากให้นางมาเที่ยวด้วย ข้าก็รับคำเขามา”

นัยน์ตาสีอำพันของผู้เป็นแม่กลับมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์

“อย่างนั้นหรือ แม่ว่าดูลูกพูดคุยกับนางเหมือนรู้จักกันมานานเสียอีก”

อาเมียร์ยกมือขึ้นเสยผมแก้เก้อ ทั้งชื่นชมและลำบากใจไปพร้อมกันที่สายตาของแม่แหลมคมเหลือเกิน

“นางสนิทกับแอชมาก แอชคงเอาเรื่องข้าไปพูดให้ฟังเยอะกระมัง”

แม่ยังคงมองเขาเงียบอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนจะก้มลง ใช้ผ้าซับที่ปากของทารกน้อยซึ่งดูท่าทางจะอิ่มแล้ว และจัดเสื้อของตนให้เรียบร้อยก่อนจะอุ้มร่างเล็กๆ นั้นพาดบ่าให้เรอนมออกมา

“เอ้อ...แม่ว่าจะถามพอดี ว่าอาเมียร์อยากตั้งชื่อน้องหรือเปล่า”

“หือม์” เด็กหนุ่มรับอย่างประหลาดใจ

“แม่ตั้งชื่อทั้งนาสิรากับฟาร์ฮานาห์แล้ว คนนี้ก็อยากให้คนอื่นได้มีโอกาสตั้งให้บ้างเหมือนกัน ‘พ่อ’ เขาบอกว่าแล้วแต่แม่ แม่เลยอยากถามอาเมียร์ดูน่ะจ้ะ”

“ข้า...น่ะหรือ” อาเมียร์ทวนคำก่อนจะสั่นศีรษะ “ไม่เป็นไรหรอกแม่ แม่ตั้งเองเถอะ ข้าว่าแม่ตั้งชื่อให้พวกเราเพราะๆ กันแล้วทั้งนั้น”

อันที่จริง...เขามีชื่อหนึ่งอยู่ในใจ ทว่าไม่ใช่ชื่อที่ดีกับเด็กคนนี้...กลับเป็นชื่อที่เขาอยากเอ่ยเพื่อตอกย้ำใครคนหนึ่งที่ดูมีความสุขเต็มประดากับกำเนิดของแกนักต่างหาก

เอาเถิด...เด็กหนุ่มบอกตนเองว่าหาก ‘พ่อ’ กับแม่มีลูกชายกันสักคนเสียทีก็คงจะดี...‘พ่อ’ จะได้มีลูกชายที่สืบสายเลือดของตนเองจริงๆ ไว้ฝากความหวัง และเลี้ยงดูให้เป็นอย่างที่ท่านต้องการ...แทนที่เขา

กระนั้น...อาเมียร์ก็รู้สึกละอายใจเหลือเกินเมื่อเห็นสีหน้ายิ้มแย้มดีใจของแม่ ซึ่งไม่มีทางล่วงรู้ความคิดดำมืดของเขาได้เลย

“ถ้าอย่างนั้น...แม่จะตั้งชื่อน้องให้คล้ายๆ กับอาเมียร์ดีไหม ชื่อ...อาซิซ...เป็นอย่างไรจ๊ะ”

“อาซิซ...ก็ดีนะแม่” เขาพยายามยิ้มน้อยๆ

อาซิซ...’ผู้เป็นที่รัก’ และ ‘ผู้ทรงอำนาจ’ นับว่าเป็นชื่อที่ความหมายดีสำหรับลูกชายนักรบ

...ก็คงจะดีกว่าอาเมียร์...อันหมายความว่า ’เจ้าชาย’ หรือ ‘ผู้ปกครอง’ เขาเลือกชื่อนี้ให้เป็นชื่อใหม่ของตนแทนที่ทัมมุซ...’เดือนแห่งฤดูใบไม้ผลิ’...ที่ได้ยินใครๆ บอกตรงกันว่าแม่เป็นคนตั้งให้ เพื่อตอกย้ำตนเองไม่หายมิให้ลืมชาติกำเนิดเดิม

“อาซิซ...” แม่กระซิบเบาๆ ด้วยเสียงที่อ่อนโยนเหลือเกินขณะมองเด็กทารกที่นอนนิ่งอยู่แนบอก “อาซิซจ๊ะ...อาซิซต้องโตขึ้นมาแข็งแรงเหมือนพี่อาเมียร์นะ”

เด็กหนุ่มมองทั้งสองคนนิ่งอยู่เพียงครู่เดียวก็ตัดสินใจพูดขึ้น

“ข้าต้องกลับก่อนนะแม่ ค่ำแล้ว เดี๋ยวข้าจะมาเยี่ยมบ่อยๆ”

หญิงสาวกลับมองไปทางหน้าต่างซึ่งมืดลงอย่างชัดเจน

“นั่นสิ แม่ก็เพิ่งสังเกตว่าค่ำขนาดนี้แล้ว ว่าแต่กลับตอนนี้ไม่ลำบากหรือลูก”

“ก็...คงไม่เป็นไรหรอกแม่ ข้าก็ชินทางแถวนี้แล้ว”

“ค้างคืนที่นี่ไหม” แม่ยังคงเสนอ “ค่อยกลับไปตอนเช้าก็ได้ เดินทางเข้าเมืองมืดๆ ค่ำๆ น่าเป็นห่วงออก”

“อย่าเลย...เดี๋ยวจะลำบากกัน แล้วข้าก็ยังไม่ได้บอกท่านเจ้ามณฑลด้วยว่าจะค้างที่นี่”

“แม่ว่าท่านน่าจะเข้าใจนะ ถึงอย่างไรท่านก็คงไม่อยากให้ลูกไปเจออันตรายระหว่างทางหรอก” แม่ยังพยายามหว่านล้อม “ที่นี่ก็มีห้องของอาเมียร์อยู่ เก็บกวาดประเดี๋ยวเดียวก็เรียบร้อยแล้วจ้ะ”

เด็กหนุ่มนิ่งเงียบ อันที่จริงเขารู้ตั้งแต่มาเยี่ยมครั้งแรกๆ แล้วว่าทั้ง ‘พ่อ’ กับแม่ยังจัดห้องว่างห้องหนึ่งในบ้านไว้เป็นห้องของเขา มีตู้ไว้เก็บเสื้อผ้า หนังสือ ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวใดๆ ก็ตามที่เขาไม่ได้เอาติดตัวไปที่จวน แล้วยังอุตส่าห์หาเตียงอีกหลังมาตั้งไว้

‘พ่อ’ ไม่เคยพูดอะไรกับเขาเกี่ยวกับห้องนี้...ในการพบหน้าซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ของทั้งสอง และการพูดคุยแบบถามคำตอบคำซึ่งมีน้อยยิ่งกว่านั้น แต่แม่ก็คอยบอกเขาเสมอๆ ถึงห้องนี้ พร้อมทั้งคะยั้นคะยอให้เขากลับมานอนค้างที่บ้านบ้างถ้ามีโอกาส

...เป็นคำชวนที่ทำให้เขาทั้งตื้นตันใจ...และรู้สึกเหมือนตนเองเป็นลูกที่ดื้อแพ่งอกตัญญูขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกในเวลาเดียวกัน...

ทว่า...ถึงอย่างไรเขาก็ยังอยากให้ ‘พ่อ’ ยอมรับการตัดสินใจของเขาอยู่ดี...

“ตกลงนะ วันนี้เป็นวันเทศกาลแท้ๆ กลับมาค้างบ้านให้แม่ได้ชื่นใจบ้างเถอะ”

อาเมียร์ยิ้มแห้งๆ อย่างจนใจ

“...ก็ได้ขอรับ”

“ดีจ้ะ” แม่กวักมือเรียกเด็กหนุ่มเข้ามาใกล้ ก่อนจะทำท่าบอกให้เขาคุกเข่าลง แล้วจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผาก “ราตรีสวัสดิ์จ้ะ”

“...ราตรีสวัสดิ์ขอรับ”

แม่พยักหน้ารับหลังจากเงยหน้าขึ้น

“ไปบอก ‘พ่อ’ เขานะ ว่าจะค้างที่นี่ ‘พ่อ’ เขาต้องดีใจมากแน่ๆ”

* * *

ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริง เพราะพอเขาไปพูดอย่างนั้นที่โต๊ะอาหาร ‘พ่อ’ ก็ลุกขึ้นยืนไปหยิบไม้กวาดทันทีก่อนจะก้าวไปยังห้องปิดประตูที่เขายังไม่เคยเข้าไป ถึงเขาจะตามไปรีบบอกว่าตนเองทำความสะอาดเองได้ ชายวัยกลางคนก็ยังกวาดพื้นอย่างเก้ๆ กังๆ ด้วยมือข้างเดียวอยู่นั่นเอง

“ไม่เป็นไรหรอก วันนี้เจ้าเหนื่อยมาเยอะแล้ว จะได้รีบพักผ่อน”

อาเมียร์โคลงศีรษะ แล้วก็ถือวิสาสะตรงเข้าไปคว้าด้ามไม้กวาดที่อีกฝ่ายยังถืออยู่

“ข้าไม่ได้เหนื่อยมากหรอก แล้ว...อันที่จริงข้าน่าจะกวาดได้เร็วกว่าด้วย”

อดีตนักรบชะงักไป ก่อนจะยอมให้เขาดึงไม้กวาดไปจากมือแต่โดยดี

เด็กหนุ่มเริ่มกวาดพื้นไม้เองพลางเหลือบมองชายอีกคนที่ยังยืนเงียบอยู่กับที่ ก่อนจะตัดสินใจเรียกเมื่อเขาทำท่าจะออกไปจากห้อง

“‘พ่อ’”

คนถูกเรียกเหลียวหลังกลับมาอย่างเงียบๆ ทว่าเขาไม่อาจเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้เพราะในห้องมีเพียงแสงจันทร์เต็มดวงจากหน้าต่างส่องเข้ามาสลัวๆ

“ข้า...ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น”

“อย่าใส่ใจเลย” ชายวัยกลางคนยักไหล่น้อยๆ “เดี๋ยวข้าจะไปเอาตะเกียงมาให้”

“เดี๋ยวข้าก็รีบนอนแล้ว ไม่ต้องจุดตะเกียงหรอก” อาเมียร์รีบบอก “แค่กวาดพื้นปัดฝุ่น แสงเท่านี้พอถมไป”

‘พ่อ’ ได้ฟังอย่างนั้นก็ยืนอยู่กับที่ เด็กหนุ่มคิดว่าเขาคงจะออกไปในไม่ช้า แต่แล้วอดีตนักรบก็เอ่ยขึ้นเบาๆ

“อาเมียร์”

“หือม์” เขาทำเสียงรับ

“ข้า...อันที่จริง ข้าว่าจะบอกเจ้ามานานแล้ว” ‘พ่อ’ เริ่มเอ่ยอย่างลังเล “ว่า...ข้าคิดว่าเฟลิมก็เป็นคนดีเหมือนกัน”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น หันกลับมามองคนพูดอย่างประหลาดใจ

“เจ้าคงรู้ว่ารูอาร์คแวะมาที่นี่บ่อยอยู่...บางทีก็เอาของอะไรต่อมิอะไรเล็กๆ น้อยๆ มาฝากน้องๆ เจ้า เฟลิมมาด้วยเป็นบางครั้ง เขาเป็นคนสุภาพ จริงใจ แล้วก็ถ่อมตัว ข้าเห็นดีด้วยถ้าเจ้าจะสอนเขา...เพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้ามณฑลคนต่อไป ถึงข้าจะไม่มีวันเห็นด้วยกับการประลองเลือกคู่ให้เจ้าหญิงก็เถอะ”

อาเมียร์ได้แต่กระพริบตาปริบๆ ตลอดเวลาที่ชายอีกคนพูด

“เพราะฉะนั้น...เจ้าก็ทำงานกับท่านเจ้ามณฑลไปเถอะ ตอนนี้...ข้าคิดว่าเจ้าทำงานของเจ้าดีแล้ว แต่อยากเตือนแค่ว่า...อย่ามุทะลุใจร้อนจนเกินไปเท่านั้นเอง อะไรที่จำต้องยอมงอไปก่อนก็ต้องยอมบ้าง ในโลกของการปกครอง...เราจะเดินหน้าชนกับทุกๆ อย่างที่ขวางหน้าไม่ได้หรอก”

เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายฝืดๆ ก่อนจะพยายามข่มเสียงตอบให้เรียบที่สุด

“เข้าใจล่ะ” เขาต้องรวบรวมความกล้าอยู่อีกพักหนึ่ง จึงจะเอ่ยต่อไปได้ “ขอบคุณขอรับ...‘พ่อ’”

ผู้ฟังเป็นฝ่ายนิ่งอึ้งไปเป็นพักใหญ่บ้าง แล้วก็ก้มหน้าลง

“ถ้าลำบากใจมาก...ไม่ต้องเรียกข้าว่า ‘พ่อ’ ก็ได้นะ น้องๆ ของเจ้าไม่สังเกตหรอก”

“ก็...ไม่ได้ลำบากใจถึงขนาดนั้นหรอก” อาเมียร์ปฏิเสธ “ท่านรักข้าเหมือนลูกจริงๆ...สั่งสอนข้าเหมือนลูกจริงๆ ที่ข้าเรียกว่า ‘พ่อ’ ก็สมควรแล้วนี่”

“...เจ้าดื่มไวน์แบลเบอร์รีในงานเทศกาลมาหรือเปล่า” ชายวัยกลางคนกลับย้อนถามช้าๆ “ได้ยินว่าเป็นเหล้าที่แรงไม่น้อยเลยนี่”

เด็กหนุ่มยักไหล่

“ข้าคงดื่มแก้เจ็บแผลมากระมัง แต่วันเทศกาลอย่างนี้เป็นวันที่คนเราทำอะไรแปลกไปจากที่เคยได้ไม่ใช่หรือ”

“...ก็จริง” ‘พ่อ’ รับ “รีบพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว เสื้อผ้าเจ้าก็อยู่ในตู้เหมือนเดิมนี่ล่ะ...ราตรีสวัสดิ์”

“...ราตรีสวัสดิ์”

อาเมียร์ทำความสะอาดห้องและเตียงพอไล่ฝุ่น ผลัดเสื้อผ้าแล้วก็เข้านอนในไม่ช้า...ในห้องที่จัดไว้แทบเหมือนห้องนอนเดิมของเขาในบ้านหลังเก่าที่กลาสเดล

เขารู้สึกเหนื่อยอ่อนจนคิดว่าตนเองน่าจะผล็อยหลับได้ทันทีที่หัวถึงหมอน แต่กระนั้นก็กลับนอนกระสับกระส่ายอย่างประหลาด คลับคล้ายว่าตนเองฝันเห็นแอช...ไม่สิ...เจ้าหญิงแอชลีนน์ร้องไห้ต่อหน้าเขา แล้วก็เหวี่ยงหมัดใส่หน้าเขา พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนพลิกตัวไปทับแก้มข้างที่บวมเข้า แล้วก็กลายเป็นเจ็บแผลจนนอนไม่หลับ

ดูเหมือนคืนลูคนาซาธจะผ่านไปอย่างเชื่องช้ากับฝันร้ายและความคิดที่เขาไม่อาจสลัดจากใจนี่เอง


บทที่ ๑๔ เรื่องของหัวใจ


* * *


ตอนนี้อาเมียร์แตกกับแอชแต่ก็คืนดีกับพ่อได้ ให้ผมมองคงเป็นเพราะได้รู้ลึกๆ ว่าการโดนโกรธเป็นยังไงแหละนะ ^^a

แล้วผมก็ได้ข้อสรุปเองว่า...นางเอกที่มือหนักที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาตอนนี้เห็นจะเป็นแอชแน่ๆ ต่อยผู้ชายซะหน้าบวมเชียว ^^;;; หรือจะบอกว่าอาเมียร์สอนดีเกินไปดีนะ

ชื่อ อาซิซ น้องสุดท้องของบ้านนี้ เป็นชื่อที่ผมชอบมาตั้งแต่อ่านนิยายเรื่อง A Thousand Splendid Suns ของ Khaled Hosseini (ผู้เขียนเรื่อง The Kite Runner หรือ เด็กเก็บว่าว) แล้วมีตัวละครชื่อ อาซิซา ครับ อาซิซาเป็นเด็กผู้หญิง แต่ในเมื่อกำหนดให้ลูกคนสุดท้องเป็นลูกชายแล้วเลยนำชื่อเพศชายมาใช้ ชื่อของสมาชิกบ้านนี้ทุกคนนอกจากสิมาเป็นภาษาอาหรับ ซิอ์บุล - หมาป่า อาเมียร์ - เจ้าชาย นาสิรา - ผู้มีชัย/ผู้ช่วยเหลือ ฟาร์ฮานาห์ - ความสุข อาซิซ - ผู้มีอำนาจ/ผู้เป็นที่รัก ส่วนสิมา ส่วนสิมา หลังใช้เป็นชื่อย่อของสิมาริเมสไปค้นมาก็พบว่าเป็นภาษาฮีบรูแปลว่า สมบัติ ครับ

เรื่องของหัวใจ...ตอนหน้าจะเป็นอย่างไร และทั้งสองจะกลับมาพบกันอีกอย่างไรก็ขอให้ติดตามตอนต่อไปครับ :)


Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2552 21:37:12 น. 0 comments
Counter : 279 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Anithin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add Anithin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.