ที่พักนักตระเวนแดนฝัน
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๔ - โฉมหน้าอันดำมืด

บทที่ ๔ โฉมหน้าอันดำมืด


แม้จะรู้ตัวว่าเหน็ดเหนื่อยข้ามคืนมาจนตลอดทั้งวัน พอถึงเวลาเข้านอนจริงๆ เด็กหนุ่มกลับนอนไม่ค่อยหลับในคืนนั้น เขาฝันเหมือนตนเองวิ่งไปท่ามกลางกองศพและสีแดงฉานซ้ำๆ พบร่างไร้วิญญาณของเกล็น...และร่างที่ดูเหมือนจะไร้วิญญาณของลีชาท่ามกลางนิมิตเดิมๆ ที่ตามหลอกหลอนเขา

ครั้นตื่นมาเป็นครั้งที่สามหรือสี่ของคืนนั้น อาเมียร์ก็พบว่าไร้ประโยชน์ที่จะนอนต่อไป และลุกไปทำงานเสียแต่เช้า ถึง ‘พ่อ’ จะไม่ทักหรือแสดงท่าทางว่าตื่นแล้วเพราะเสียงของเขา...เด็กหนุ่มก็พอจะเดาได้ว่าท่านคงลำบากไม่น้อยกับการนอนข้างๆ คนที่นอนกระสับกระส่ายอย่างเขา ในเมื่อแม่ต้องย้ายไปนอนที่ห้องของเขาแทนเพื่อดูแลผู้ป่วยกะทันหันในบ้าน

การให้อาหารพวกสัตว์ในคอกช่วยให้เด็กหนุ่มรู้สึกได้บ้างว่าชีวิตกลับคืนสู่สภาวะปกติอีกครั้ง...แต่ก็รู้ว่าเขาเพียงหลอกตนเองไปเท่านั้นเมื่อแม่ตักน้ำแกงร้อนๆ ถ้วยหนึ่ง วางบนถาดพร้อมกับถ้วยยาแล้วก็ตรงไปที่ห้องของเขา ขลุกอยู่ในนั้นขณะที่สมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวรับประทานอาหารเช้ากันไปก่อน

สายวันนี้เป็นงานศพของชาวบ้านสามคนที่ตายไปเมื่อวาน...รวมทั้งเกล็น อย่างน้อย ‘พ่อ’ กับอาเมียร์ก็ต้องเข้าร่วม ทั้งสองเปลี่ยนจากเสื้อผ้าทำงานธรรมดาเป็นชุดสีดำสำหรับงานศพ แล้วออกมาในห้องกลางพอดีกับที่แม่ออกมาบอก

“เดี๋ยวลีชาจะไปด้วย ทั้งสองคนรอหน่อยนะ”

แม่ค้นเสื้อผ้าสีดำของท่านในห้องนอน ก่อนจะกลับเข้าไปในห้องที่อาเมียร์ต้องยกให้ลีชา...อย่างน้อยก็หวังว่าแค่ชั่วคราว ทั้งสองรออยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งแม่พยุงเด็กสาวที่ก้าวซวนเซออกมา

เด็กหนุ่มแทบกลั้นหายใจเมื่อเห็นลีชาอีกครั้ง แม่เช็ดตัวสระผมให้เธอจนสะอาดตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่นั่นก็ไม่อาจลบรอยแผลฟกช้ำที่โผล่พ้นเสื้อผ้าสีดำซึ่งดูหลวมโพรกบนร่างบอบบาง และไม่อาจล้างแผลแตกที่มุมปาก กับสีหน้าที่เขาบรรยายได้ใกล้เคียงที่สุดว่าเหมือนหน้ากากอันไร้อารมณ์ไปจากเธอได้

ลีชาหันไปมองแม่ สั่นศีรษะแล้วก็ปล่อยมือเหมือนจะบอกว่าไม่ต้องประคอง แต่แล้วเธอก็เซถลาจนมือต้องรีบคว้าพนักเก้าอี้เอาไว้

“ให้ข้าช่วยไหม” อาเมียร์ปราดเข้าไปกระซิบเบาๆ

เด็กสาวยังคงสั่นศีรษะ แต่ก็ไม่ขยับหลบเมื่อเขายกแขนของเธอมาพาดที่ไหล่ของตน ‘พ่อ’ เหลือบมองทั้งสองอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะเดินนำไปที่ประตู

“รีบไปกันเถอะ”

และด้วยสภาพนี้เอง...ที่ทั้งสามเดินทางมาถึงสุสานของหมู่บ้าน ข้างๆ อารามหลังเล็กที่มีนักบวชประจำอยู่เพียงคนเดียว

* * *

สายตาของชาวบ้านที่มางานศพดูเหมือนจะเลื่อนมาทางทั้งสามคนเป็นตาเดียวครู่หนึ่ง แล้วก็เลื่อนกลับไปโดยไม่มองอีกตรงๆ

ไม่สิ...ไม่ใช่สายตาที่มองทั้งสาม อาเมียร์สังเกตในครู่ต่อมาว่าพวกชาวบ้านยังมองและพูดคุยกับ ‘พ่อ’ เป็นปกติ มีแต่เขากับลีชาที่ถูกเหลือบมองในครู่ที่คนมองคิดว่าทั้งสองจะไม่สังเกต ซ้ำบางคนหันไปมองแล้วยังกระซิบอะไรกันเบาๆ

...ทว่าในที่สุด...เขาก็พบว่าพวกนั้นลอบมองและลอบซุบซิบถึงแต่เพียงลีชาคนเดียวเท่านั้น...

เด็กหนุ่มได้แต่รักษาท่าทีให้นิ่งไว้เมื่อนึกอย่างร้อนรนว่านี่มันเรื่องอะไรกัน เขารู้ว่าที่นี่ไม่มีธรรมเนียมฆ่าฟันหญิงที่ถูกข่มเหงเพื่อกอบกู้เกียรติยศของใคร แต่ก็พอเข้าใจว่าเด็กสาวจะถูกมองอย่างไรหลังจากเหตุการณ์นั้น...

แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ...มันก็บ้าไปแล้ว!

อาเมียร์ต้องข่มใจที่เริ่มคุกรุ่นจนกระทั่งนักบวชมาสวดส่งวิญญาณ ซึ่งเป็นเวลาที่ทุกๆ คนดูจะนิ่งสงบไม่วอกแวกได้ครู่หนึ่ง แล้วจึงถึงเวลาของการอำลาศพ

พ่อของเกล็นทิ้งดอกไม้บนโลงศพเรียบๆ ที่ต่อตามมีตามเกิดเป็นคนแรก ตามมาด้วยแม่ของเกล็นที่อุ้มหลานชายอยู่

อาเมียร์พยุงลีชาหมายจะให้เธอหยิบดอกไม้จากตะกร้าของสัปเหร่อที่เข้ามาช่วยในพิธี และมอบให้สามีผู้ล่วงลับเป็นคนต่อไป แต่แล้ว...

“ไม่เป็นไรหรอก ลีชา ข้าว่าเกล็นรู้ล่ะว่าเจ้าจะบอกเขาว่าอย่างไร” คนพูดคือแม่ของเกล็นที่ยิ้มฝืดเฝือ

เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายชะงัก

“แต่ว่า...”

“ตามธรรมเนียม นางไม่ต้องมอบดอกไม้ให้ศพก็ได้” สัปเหร่อพูดขึ้นอย่างลำบากใจ

ไม่ต้อง...จริงๆ แล้วคือไม่อนุญาตน่ะสิ!

“แต่ลีชาเป็นภรรยาของเกล็นนะ” อาเมียร์ย้ำเสียงแข็ง

“ก็ใช่ แต่...” หญิงวัยกลางคนยังปั้นยิ้มต่อไป “ถ้าจะส่งวิญญาณของเกล็นให้ไปสู่สุคติ ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพิธีก็ไม่ควรมีสิ่งแปดเปื้อนใดๆ ลีชาน่าจะเข้าใจเรื่องนี้นะ ไม่ขัดข้องใช่ไหมลีชา”

คนถูกถามเพียงผงกศีรษะเรียบๆ แล้วก็ก้มหน้าไม่มองใครตามเดิม

เด็กหนุ่มอดกระซิบกับเธอไม่ได้

“ลีชา เจ้าอยากไว้อาลัยเกล็นไม่ใช่หรือถึงได้มาที่นี่ด้วย ถ้าเจ้าอยากส่งดอกไม้ให้เขาก็บอกมาเลย ไม่ว่าใครๆ จะพูดอะไร...ข้าก็รู้ว่าเกล็นอยากรับดอกไม้จากเจ้า”

เด็กสาวกลับสั่นศีรษะ...แม้เขาจะได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ที่ถูกข่มไว้

“ลีชา...”

อาเมียร์ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปถามสัปเหร่อแทน

“แต่ข้าเป็นเพื่อนของเกล็น ข้ามอบดอกไม้ให้เขาได้ใช่ไหมขอรับ”

เมื่อสัปเหร่อพยักหน้า เขาก็คว้าดอกไม้ขึ้นมาดอกหนึ่งแล้วก้าวไปที่ปากหลุม

แต่แทนที่จะทิ้งลงไป เขากลับสอดมันไว้ในมือบอบบางของคนที่ตนพยุงอยู่แทน

“นี่เจ้า—!” แม่ของเกล็นร้องเสียงหลง

เด็กสาวสะดุ้งแวบหนึ่งด้วยความตกใจ แล้วก็พยายามส่งดอกไม้คืนให้กับมือของเขา แต่อาเมียร์ก็เพียงปัดเบาๆ ให้ดอกไม้นั้นร่วงลงไปบนโลงศพ

“เจ้าทำอะไรลงไป—!” หญิงวัยกลางคนขึ้นเสียง ยังผลให้เด็กทารกที่นางอุ้มอยู่ร้องไห้จ้าขึ้นมาด้วย “ถ้าเกิดเกล็นไปสู่สุคติไม่ได้...เจ้าจะรับผิดชอบอย่างไร!!”

“เกล็นจะไปสู่สุคติไม่ได้เพราะเขาพบว่าพวกท่านทำกับลีชาอย่างนี้มากกว่า!”
เด็กหนุ่มโต้กลับ

“อาเมียร์” ‘พ่อ’ เรียกเสียงหนักๆ แต่เด็กหนุ่มไม่สนใจฟัง

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...ไม่ว่าเรื่องสุดวิสัยอะไรจะเกิดขึ้น ลีชาก็ยังเป็นภรรยาของเกล็น เกล็นรักนางและนางก็รักเขา ท่านจะให้ลูกท่านนอนตายตาไม่หลับเพราะแค่เขาตายไปวันเดียว...พวกท่านก็ตั้งแง่รังเกียจผู้หญิงที่เขารักหรือ!”

“เราไม่ได้ตั้งแง่รังเกียจ” แม่ของเกล็นข่มเสียงให้เรียบขึ้น “แต่ธรรมเนียมของที่นี่เป็นอย่างนี้จริงๆ สิ่งแปดเปื้อนอาจทำให้เกล็นไม่อาจไปสู่สุคติได้ ลีชาก็เข้าใจแล้ว เจ้าจะมาเดือดร้อนอะไรด้วยเล่า”

“แปดเปื้อน...นางไม่ได้แปดเปื้อนหรอก นางแค่ถูกทำร้ายต่างหาก!” อารมณ์ของอาเมียร์ยิ่งพลุ่งขึ้น “นางถูกพวกโจรทำร้ายโดยที่นางไม่ต้องการ นางรอดชีวิตมาได้...แต่ตอนนี้พวกท่านกำลังจะฆ่านางให้ตายด้วยความคิดที่ว่านางกลายเป็นสิ่งแปดเปื้อนแท้ๆ!”

หญิงวัยกลางคนแค่นเสียง

“ถูกพวกโจรทำร้ายโดยที่นางไม่ต้องการแน่หรือ แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ”

เด็กหนุ่มชะงัก รู้สึกได้ว่าร่างที่พิงเขาอยู่เกร็งแข็งขึ้น

“ได้ยินว่าโจรพวกนั้นรู้จักนางดี...ดีขนาดเป็นผัวของนางมาก่อนลูกข้าเสียด้วย เจ้าคิดว่าข้าจะรู้สึกอย่างไรดีล่ะที่ลูกชายไปคว้าผู้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาเป็นเมีย...เป็นแม่ของหลานข้า แล้วถึงมารู้ทีหลังว่านางเป็นผู้หญิงหากินชั้นต่ำอย่างนี้!”

ลีชาหลุดเสียงสะอื้นออกมา ร่างบอบบางของเธอเริ่มสั่นเทา...สะท้านมาถึงร่างของเขา

“ลูกข้าตายเพราะปกป้องมัน...ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่ผู้หญิงขายตัวข้างถนน ให้มันตายเป็นสิบเป็นร้อยครั้งยังชดใช้ชีวิตของลูกข้าไม่ได้เลย!!”

“หยุดนะ—!!” อาเมียร์ตวาด...ขณะที่เด็กสาวในอ้อมแขนของเขาร้องไห้โฮอย่างควบคุมตนเองไม่ได้อีกต่อไป

อารมณ์ของเขาเดือดพล่าน...เดือดจนกระทั่งคิดไปว่าหากคนที่กล่าววาจาเช่นนี้ไม่ใช่ผู้หญิงและแม่ของเกล็น เขาก็คงจะเหวี่ยงหมัดประเคนให้หัวร้างข้างแตกไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด

“อาเมียร์!” ‘พ่อ’ ถลันเข้ามาขวางหน้าเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าพาลีชากลับบ้านไปก่อน”

“แต่ว่า...”

“ลีชาได้มอบดอกไม้ให้เกล็นแล้ว หรือเจ้าต้องทำให้งานศพล่มไปเสียเลยจะได้พอใจ” ‘พ่อ’ พูดห้วนๆ แล้วก็หันไปทางพ่อแม่ของคนตายบ้าง “พวกท่านก็เหมือนกัน จะทำอะไรก็หัดเกรงใจวิญญาณของลูกเสียบ้าง ข้าไม่นึกเลยว่าลูกผู้ชายที่ใจกว้างและกล้าหาญขนาดนี้จะเกิดจากคนใจคอคับแคบได้”

“แม่...พอเถอะ” พ่อของเกล็นกระซิบเบาๆ ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “เกล็นไม่อยากให้เราทำอย่างนี้หรอก ลีชาเป็นแม่ของก็อธฟรีด์นะ”

อาเมียร์เบือนหนีสีหน้าที่ดูเหมือนจะไม่อยากยอมแพ้ของคู่กรณี แล้วก็ประคองเด็กสาวที่สะอึกสะอื้นฝ่าผู้เข้าร่วมงานศพซึ่งแหวกทางให้อย่างเงียบๆ ออกไปจากบริเวณนั้น แม้ในขณะที่เสียงของอีกฝ่ายยังดังไล่หลัง...

“เพราะนั่นล่ะข้าถึงอยากถนอมน้ำใจนางบ้าง...ใครทำให้ข้าเหลืออดเองก็คงรู้อยู่แก่ใจ! ข้าขอบอกไว้ตอนนี้เลยแล้วกันว่าก็อธฟรีด์ต้องอยู่กับพวกเรา! หัวเด็ดตีนขาดข้าก็ไม่ยอมให้หลานข้าต้องโดนเลี้ยงโดยผู้หญิงพรรค์นี้ ไม่อยากให้แกรู้ด้วยซ้ำว่าแม่เป็นผู้หญิงเลว เที่ยวนอนกับใครๆ ไปทั่วแม้แต่โจรนับสิบคนพร้อมกันเป็นอันขาด!”

* * *

ลีชาร้องไห้เงียบๆ ไปตลอดทางที่แทบว่างเปล่ากลับสู่บ้าน ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะพยายามปลอบอย่างไรก็ตาม

“อย่าใส่ใจเลย มันก็แค่คำพูดของคนใจแคบ เกล็นเป็นคนดีถึงขนาดนั้น...หากเจ้าไม่ใช่คนดีเหมือนกัน เขาก็คงไม่รักเจ้าหรอก”

เด็กสาวเอาแต่สั่นศีรษะโดยไม่พูดอะไร

“ลีชา...มันไม่ใช่ความผิดของเจ้า...ทุกๆ เรื่องเลย เจ้าถูกบังคับ...เจ้าไม่มีทางเลือกไม่ใช่หรือ ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหน้านั้นหรือเรื่องตอนนี้ก็เถอะ”

เขาประหลาดใจมาก...เมื่อพอพูดมาถึงจุดนี้ ลีชาก็สะบัดตัวให้หลุดจากแขนของเขา แม้ว่าตนเองจะเซถลาไปยังรั้วด้านหนึ่ง

“ลีชา!”

เธอใช้รั้วเป็นหลักพยุงกาย แล้วก็พยายามยืดร่างขึ้นสบตากับเขาด้วยดวงตาช้ำแดง ริมฝีปากขยับโดยไร้เสียง

“พูดดังหน่อยสิ ข้าไม่ได้ยิน”

เด็กสาวยังเอาแต่ขยับริมฝีปาก...โดยไม่ออกเสียงใดๆ เช่นเดิม

อาเมียร์ใจร่วงวูบเมื่อเริ่มตระหนักได้

“เจ้า...พูดไม่ได้หรือ”

ตั้งแต่ตอนที่พวกเขาช่วยเธอออกมาได้ ลีชาก็ไม่เคยปริปากเอ่ยอะไรสักคำ กระทั่งเวลาร้องไห้ก็มีเพียงเสียงสะอื้นในลำคอเท่านั้น

“พวกมัน...พวกมันทำร้ายเจ้าถึงขนาดนี้เชียวหรือ!”

เด็กหนุ่มตรงเข้าไปหมายจะประคอง แต่เด็กสาวก็ยกมือขึ้นปัดอย่างป้อแป้ จนเขาต้องเป็นฝ่ายถอยออกห่าง

ริมฝีปากของอีกฝ่ายขยับช้าๆ

“ทำ...ไม...” พอตั้งสติได้ อาเมียร์ก็ค่อยๆ อ่านคำที่เขาเห็นตามรูปปาก “ทำไม...เกล็น...ถึง...บอก...เจ้า”

...เขาสัญญาไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะไม่บอกใคร แล้วทำไมเจ้าถึงรู้...

“เกล็น...เขาไว้ใจข้า” เด็กหนุ่มให้เหตุผล “เขาเชื่อว่าข้าจะเข้าใจ...แล้วก็ยอมรับเรื่องของเจ้าได้ เขาเพิ่งบอกข้าเมื่อวันก่อนที่พวกโจรจะมานี่เอง เขาพูดเหมือนจะฝากให้ข้าดูแลเจ้ากับก็อธฟรีด์ ถ้าเจ้าอยากอยู่กับก็อธฟรีด์...ข้าก็จะเอาแกมาคืนให้เจ้าให้ได้”

ลีชายังคงสั่นศีรษะ

...ไม่...

“ทำไมล่ะ! เจ้าไม่อยากอยู่กับลูกหรือ!”

...ข้า...เป็น...ผู้หญิงเลว...

“เจ้าไม่ใช่ผู้หญิงเลวหรอก เจ้าแค่ตกเป็นเหยื่อ...เหยื่อของพวกที่พยายามทำให้เจ้าเชื่อว่าเจ้าอ่อนแอ...เจ้าไม่มีค่า แต่ถ้าเจ้าสู้...เจ้าก็จะผ่านพ้นมันไปได้ แม่เคยบอกข้าว่าอย่างนี้”

เด็กสาวก้มหน้าลง ได้แต่โคลงศีรษะเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เขาไม่อาจเห็นปากของเธอได้

“ลีชา...”

เธอห่อตัวกอดเข่าไว้ แล้วก็ร้องไห้โดยไร้เสียงอยู่อีกครู่หนึ่ง ร้องไห้จนลมหายใจขาดเป็นห้วงๆ แม้จะไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา และร่างของเธอกระตุกโยนไปมาเหมือนจะเริ่มชัก

อาเมียร์รีบใช้ผ้าผูกผมของตนพันห่อกิ่งไม้ที่เขาเก็บจากแถวนั้นสอดเข้าปากเพื่อกันเธอกัดลิ้น แล้วจึงคว้าร่างของเธอขึ้นอุ้มก่อนจะวิ่งกลับบ้านโดยเร็ว

* * *

“นางคงจะเครียดมากน่ะจ้ะ” แม่ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หลังจากออกมาจากห้องของคนป่วย “แล้วก็พักผ่อนน้อยด้วย อันที่จริงไม่ควรให้นางออกไปเดินเหินเร็วขนาดนี้เลย แต่เรื่องที่พูดไม่ได้นี่คงเป็นเพราะกระทบกระเทือนทางใจมากกว่า เพราะที่คอของนางไม่มีแผลอะไร”

อาเมียร์นั่งประสานมือไว้บนโต๊ะ ทอดสายตาเลื่อนลอยไปตามริ้วรอยบนเนื้อไม้โดยไม่มีเหตุผลใดๆ

“เกิดอะไรขึ้นที่งานศพหรือ” แม่ถามพลางรินน้ำชาให้เขาถ้วยหนึ่ง

“แม่รอถาม ‘พ่อ’ ดีกว่า”

พูดเพียงเท่านี้ แม่ก็ย่อมรู้แล้วว่าเขาไม่อยากเล่า จึงได้ไม่ซักต่อ และเปลี่ยนไปพูดอย่างอื่นแทน

“ลูกเหนื่อยหรือเปล่า จะนอนพักก่อนไหม”

“ไม่ล่ะ ข้าไม่ง่วง”

สมองของเขาจดจ่อกับความคิดที่ว่าแม่ของเกล็นรู้ประวัติของลีชาได้อย่างไรกัน นางบอกว่าพวกโจรเคยพบเธอมาก่อนในอดีต แต่ในเมื่อโจรทุกคนถูกพวกชาวบ้านฆ่าตายคารังไปจนหมด ในสถานการณ์ที่ไม่น่าจะไปโพนทะนาให้ใครฟังได้ก่อนหน้านั้น ก็แสดงว่า...

อาเมียร์กำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ

...ใครคนหนึ่งในพวกเชลยเป็นคนบอกหรือ...

แต่พวกนั้นจะมีเหตุผลอะไร เพียงเท่านี้...เพียงเห็นสภาพอันบอบช้ำน่าเวทนาอยู่คนเดียวของลีชา เขาก็รู้สึกเหมือนใครก็ตามที่นำเรื่องนี้ไปบอกต่อไม่สมควรจะเป็นคนอยู่อีกต่อไปแล้ว

เสียงเคาะประตูทำให้เขาประหลาดใจขึ้นมา

แม่เป็นผู้ตรงไปเปิด ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูคือเด็กสาวคนหนึ่งในหมู่บ้าน...เด็กสาวที่อาเมียร์จำได้ว่าถูกจับตัวไปด้วย

“มีอะไรหรือจ๊ะ”

“คือ...ข้า...” เธอพูดตะกุกตะกักเหมือนกำลังประหม่า แล้วสายตาก็มาหยุดที่เขาซึ่งนั่งอยู่ “ข้า...จะมาขอบคุณ...เอ่อ...คนที่ช่วยข้าไว้ค่ะ”

“อ้อ” แม่รับเบาๆ แล้วก็หลีกทางให้ “เข้ามาสิจ๊ะ ดื่มชาหน่อยไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวข้าก็ไปแล้ว”

“เจ้าบอกข้าทีได้ไหม” เด็กหนุ่มรีบพูดขึ้นมาจนอีกฝ่ายงุนงง

“บอก?”

“ทำไมลีชาถึงเป็นอย่างนี้ แม่ของเกล็นรู้เรื่อง...อดีตของนางได้อย่างไร”

เด็กสาวมีสีหน้ากระอักกระอ่วน มองแม่ของเขาซึ่งเธอดูจะไม่แน่ใจว่าควรให้รับรู้เรื่องราวนี้ไหม บวกกับน้องสาวของเขาอีกสองคนที่นั่งเล่นอยู่ในมุมหนึ่งของห้องด้วย

“เราออกไปพูดกันข้างนอกก็ได้” อาเมียร์ลุกจากโต๊ะ แล้วก็เดินนำออกไปโดยไม่รอให้คู่สนทนาปฏิเสธ

* * *

“พวกโจร...” เด็กสาวเริ่มพูดอย่างลังเลเมื่อทั้งสองมายืนอยู่ด้วยกันใต้ร่มไม้หน้าบ้านของเขา “...พวกมันโกรธมากที่มีคนฆ่าพวกมันตายไปเยอะขนาดนั้น ครั้งนี้พวกมันพูดกันว่าจะไม่เรียกค่าไถ่ แต่จะขายพวกเราในตลาดค้าทาสเลย พวกมันจับพวกเราไปขังไว้ในถ้ำนั้น แล้วจู่ๆ คนหนึ่งก็เข้ามา...”

เธอกลืนน้ำลายฝืดๆ ด้วยสีหน้าเหมือนกับจะสะอื้น

“มัน...มันจะเอาตัวข้าไป นางเข้ามาขวาง บอกว่าถ้าจะทำอะไรข้า...ก็ให้มาลงกับนางดีกว่า เพราะ...ถึงอย่างไรสามีของนางก็ตายไปแล้ว ปรากฏว่าโจรคนนั้นเคยพบนางมาก่อน...มันบอกว่านางเป็นผู้หญิงขายตัวในเมืองที่มันเคยไป มันกับเพื่อนๆ จำนางได้ เพราะ...” เด็กสาวกลืนน้ำลายอีกครั้ง “...อย่า...อย่าให้ข้าต้องพูดเลย”

“ไม่เป็นไรหรอก เล่าต่อแค่ให้ข้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็พอ” อาเมียร์บอก

อีกฝ่ายพยักหน้ารับ

“มันกลับไปพาเพื่อนๆ เข้ามา แล้วก็...ท้านาง...” เด็กสาวยกมือขึ้นซับน้ำตา “...พวกมันท้าว่า...ถ้านางรับพวกมันได้หมด...มันก็จะไม่แตะต้องใครในหมู่พวกเราอีก...”

อาเมียร์กัดฟันกรอด กำมือทุบลำต้นไม้ไปทีหนึ่ง

“สัตว์!”

เด็กสาวสะดุ้งเฮือก แล้วก็เอ่ยละล่ำละลัก

“...ข้า...ข้าก็สงสารนาง...ข้าอยากให้พวกมันเลิกทำร้ายนาง...แต่ข้าพูดไม่ได้...พวกมันบอกว่าถ้าใครพูดอะไรขึ้นมา...พวกมันจะปล่อยนาง...แต่เปลี่ยนไปทำร้ายคนคนนั้นแทน...ข้ากลัว...ทุกๆ คนก็กลัวกันทั้งนั้น...แต่...แต่นางก็เคยทำอย่างนี้มาก่อน...นางคงไม่เจ็บปวดมากใช่ไหม”

“ไม่เจ็บปวด...เรื่องแบบนั้นเจ้าคิดว่าไม่เจ็บปวดหรือ!” เด็กหนุ่มกลั้นเสียงอย่างยากเย็นไม่ให้กลายเป็นตวาด “ใช่...ข้ารู้ว่าใครๆ ก็กลัวได้ ใครๆ ก็ไม่อยากถูกทำร้าย แต่ถ้าใครก็ที่ตามรอดมาเพราะนางแท้ๆ กลับเอาอดีตของนางไปประจานคนอื่นอีกต่อ...ไอ้คนนั้นก็ไม่สมควรได้รับการช่วยเหลือแล้ว!”

อีกฝ่ายรีบสั่นศีรษะ

“ไม่ใช่ข้านะ...ข้าไม่ได้พูดอย่างนั้น ข้าบอกพ่อแม่ด้วยซ้ำว่านางเป็นคนช่วยข้าให้รอดมาได้...” เด็กสาวรีบพูด “นี่ข้าก็จะมาฝากเจ้าขอบคุณนางที่ช่วยพวกเราไว้...แล้วก็...ขอโทษที่ทำให้นางต้องเดือดร้อน...แต่...”

อาเมียร์ตัดสินใจพูดขึ้นเมื่อเด็กสาวเงียบไป

“ตอนนี้ลีชานอนพักอยู่ เจ้ามาพูดกับนางทีหลังเถอะนะ”

ผู้ฟังยังเงียบไปอีกครู่ ก่อนจะเอ่ยแผ่วเบา

“อาเมียร์จะบอกนางแทนข้าได้ไหม”

“ทำไมล่ะ”

“ข้า...ข้ากลัว”

เด็กหนุ่มนิ่งอึ้งไป

“ข้ากลัว...กลัวว่าถ้านางเห็นข้าแล้วจะรู้สึกแย่ไปกว่าเดิม ข้าไม่รู้จะพูดอะไรกับนางตรงๆ ดี เจ้าช่วยบอกนางแทนข้าเถอะ”

“ไม่ได้” เขาตอบทันควันจนได้รับสีหน้าตัดพ้อจากอีกฝ่าย ซึ่งทำให้ต้องอธิบายต่อไป “ข้าไปพูดก็ไม่มีค่าเท่ากับที่เจ้าพูดกับนางเอง นางอุตส่าห์ทำเพื่อพวกเจ้าถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าเห็นพวกเจ้าปลอดภัยดี...แล้วต้องการจะขอบคุณนางจริงๆ นางน่าจะสบายใจขึ้นเสียอีก”

เด็กสาวค่อยๆ พยักหน้าในที่สุด

“ถ้าอย่างนั้น...ข้าจะมาใหม่วันหลังนะ”

“แล้วไปบอกคนอื่นๆ ด้วยล่ะ” อาเมียร์ตัดสินใจเอ่ย “บอกคนอื่นๆ ที่รอดมาเหมือนกับเจ้า ว่าถ้าอยากขอบคุณหรือขอโทษนางจริงๆ ก็ให้มาเลย โดยเฉพาะคนที่...”

“คนที่...” เธอทวนคำอย่างสงสัย

“คนที่เอาเรื่องอดีตของลีชาไปพูดกับแม่ของเกล็น หรือพูดกับใครก็ตามจนมาเข้าหูนาง” เสียงของเด็กหนุ่มเริ่มเยียบเย็นขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ “บอกให้คนคนนั้นมาคุกเข่าขอโทษนางเสีย ข้าไม่อยากสาปแช่งใครให้ต้องประสบเคราะห์กรรมมากไปกว่าลีชา...โดยเฉพาะเมื่อคนคนนั้นเป็นผู้หญิง”

จากนั้น...อาเมียร์ก็ขอตัวกลับเข้าไป ทิ้งเด็กสาวให้ยืนนิ่งอึ้งอยู่เพียงลำพังใต้ต้นไม้หน้าบ้านของเขา

* * *

เด็กสาวไม่ได้เยี่ยมหน้ากลับมาที่บ้านของเขาในวันต่อมา

ที่มาแทนคือพ่อของเกล็นซึ่งนำห่อผ้าใส่ข้าวของส่วนตัวของลีชามาส่งที่นี่อย่างลำบากใจ เป็นคำประกาศทางอ้อมว่าบ้านนั้นไม่ได้ต้อนรับเด็กสาวในฐานะสะใภ้อีกต่อไปแล้ว

อาเมียร์หัวเสียอย่างบอกไม่ถูกเมื่อกลับมาเห็นห่อของนั้นหลังเสร็จงานในไร่ อีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางพอที่จะไม่มาตอนที่เขากับ ‘พ่อ’ ยังอยู่ในบ้าน

“เอาเถอะ” แม่พยายามปรามเขา “ถ้าทางนั้นไม่เต็มใจจะต้อนรับลีชา ให้นางกลับไปอาจจะแย่ยิ่งกว่าก็ได้”

“แต่ก็อธฟรีด์ล่ะแม่ พรากลูกพรากแม่อย่างนี้มันถูกต้องเสียที่ไหน”

“แม่ก็รู้จ้ะว่าไม่ถูกต้อง” แม่ยังพูดอย่างใจเย็น “ถ้าลีชาอยากพาแกไปด้วย นางก็ควรมีสิทธิ์ทำอย่างนั้น แต่เท่าที่เห็นตอนนี้...แม่คิดว่าถึงนางจะอยากอยู่กับก็อธฟรีด์ นางก็คงไม่เอ่ยปากหรอก ตอนนี้นางยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะไปอยู่ที่ไหน จะทำอะไรหาเลี้ยงตัวเองได้”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องให้นางไปไหนหรอก” เด็กหนุ่มตอบทันควัน “ให้นางอยู่ที่นี่...อยู่กับพวกเรานี่แหละ”

“แม่ก็อยากให้เป็นอย่างนั้น” แม่ตอบ แม้ว่าสีหน้าจะฉายความกังวล “อย่างน้อยก็จนกว่านางจะหาที่ไปที่ดีกว่านี้ได้ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่านางจะรู้สึกไม่สบายใจหรือเปล่า...ว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร”

อาเมียร์นิ่งคิดเพียงครู่เดียว

“ถ้านางตกลง ข้าจะแต่งงานกับนางก็ได้”

“อาเมียร์!” แม่เงยหน้าขึ้นสบตากับเขาอย่างตกใจ

“ข้าพูดจริง ข้าเห็นใจนาง แล้วก็ยอมรับนางได้ ข้ารู้ว่าแม่กับ ‘พ่อ’ ก็ยอมรับนางได้เหมือนกัน”

“แล้วลูกรักนางหรือ” แม่ติงได้ถูกจุดจนใจของเขาแปลบวาบ “ใช่...พวกเรายอมรับนางได้ แต่ถ้าแต่งงานกันโดยไม่ได้รักกันเลยก็รังแต่จะเป็นทุกข์กันทั้งสองฝ่ายเท่านั้น”

เด็กหนุ่มเร่งหาเหตุผลมาตอบ

“อยู่กันไปก็ค่อยๆ รักกันได้นี่แม่”

“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก” แม่ตอบเสียงแข็ง “ตราบใดที่ลูกยังคิดอย่างนี้อยู่ ลูกก็ยังเด็กเกินกว่าจะแต่งงาน...หรือกระทั่งมีความรักเสียด้วยซ้ำ”

อาเมียร์กะพริบตาปริบๆ เมื่อแม่แสดงท่าทางคัดค้านอย่างชัดเจนขนาดนี้

“เอาเถอะ แม่ยังพอมีวิธีให้ลีชาอยู่ที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ นั่นล่ะ” แม่กลับมาพูดเสียงเรียบอีกครั้ง “แต่ลูกอย่าไปพูดเรื่องแต่งงานกับลีชาเด็ดขาด หากไม่ได้รักนางจริงๆ”

“ข้ารู้แล้ว” เด็กหนุ่มได้แต่รับเรียบๆ

* * *

วิธีที่แม่ว่าคือการบอกให้ลีชาอยู่ช่วยงานบ้านและดูแลเด็กๆ ที่นี่ โดยอ้างกำหนดคลอดของแม่ที่ใกล้เข้ามาทุกที และลีชาก็ตอบตกลงอย่างเรียบเฉยด้วยการผงกศีรษะเพียงครั้งเดียว

เมื่อแต่ละวันผ่านไปเป็นสัปดาห์ ก็ดูเหมือนใครๆ จะยอมรับการเปลี่ยนที่อยู่ของลีชาได้โดยไม่ต้องซักถามคนในบ้านของซิอ์บุลให้ระคายหูอีก ส่วนเด็กสาวก็พอลุกขึ้นมาช่วยงานในบ้านจำพวกเลี้ยงเด็ก ทำอาหาร ทำความสะอาด เก็บล้างจานชามได้บ้าง แม้จะไม่กล้าออกไปหน้าบ้าน หรือเดินไปไกลกว่าแปลงผักสวนครัวหลังบ้านก็ตาม

แต่อาเมียร์พบว่าตนไม่อาจอยู่เฉย...ในเมื่อไม่มีใครมาขอบคุณลีชาสำหรับสิ่งที่เธอทำลงไปเลย เด็กสาวที่มาในวันก่อนก็ดูเหมือนจะหลบหน้าเขาแทนเสียด้วยซ้ำ เป็นเหตุให้เด็กหนุ่มอดพูดลอยๆ ไม่ได้เวลามีคนที่เคยถูกพวกโจรจับตัวไป หรือญาติของพวกนั้นอยู่ใกล้ๆ

“เวลาพืชผลดี ใครๆ ก็ขอบคุณฝนฟ้า บวงสรวงเทพีแห่งไร่นากันยกใหญ่ น่าแปลกที่เวลาคนด้วยกันช่วยเหลือจนตัวเองลำบากขนาดนั้นกลับไม่มีใครเห็นหัว”

นั่นคงเป็นเหตุให้ชาวบ้านบางส่วนเริ่มเงียบกับเขาหากไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันจริงๆ ไปด้วย...แม้นั่นจะไม่ได้ก่อความเดือดร้อนใจให้เด็กหนุ่มแต่ประการใด

คนที่เดือดร้อนเห็นจะเป็น ‘พ่อ’ ของเขามากกว่า

“เพื่อให้พวกนั้นมาขอบคุณกับขอโทษลีชา เจ้าคิดว่าทำตัวเองให้พวกเขารำคาญจะได้ผลหรือ”

“จะได้ผลหรือไม่ได้ก็ไม่รู้ล่ะ แต่ข้าสุดจะทนแล้วจริงๆ” เด็กหนุ่มตอบ

‘พ่อ’ ถึงกับโคลงศีรษะ

“ถ้าทำอะไรโดยไม่คิดถึงผลมาก่อน สักแต่เอาความสะใจของตัวเป็นที่ตั้งก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ผล”

“แล้ว ‘พ่อ’ ไม่อยากให้ลีชาได้รับคำขอบคุณหรือขอโทษที่นางสมควรได้รับหรือ” อาเมียร์ย้อน

“อยาก”

“ถ้าอยากแล้วทำไมถึงอยู่เฉย ทำไมไม่บอกให้พวกเขามาขอบคุณกับขอโทษนางเล่า!”

“เจ้าก็บอกแทนแล้วนี่” ‘พ่อ’ ย้อน “พูดซ้ำอยู่ทุกวัน ทุกโอกาสเสียด้วย”

“แต่เสียงของข้ามีค่าเท่า ‘พ่อ’ เสียที่ไหน” เด็กหนุ่มแย้ง “พวกคนหนุ่มๆ มาขอเรียนอาวุธกับ ‘พ่อ’ ตั้งเยอะแยะ...แล้วพ่อก็สอนเขา ทำไมพ่อไม่ฝากบอกพวกเขาให้คนอื่นๆ มาขอบคุณกับขอโทษลีชาบ้าง”

“อาเมียร์” ‘พ่อ’ พูดเสียงหนักๆ “ต่อให้ ‘พ่อ’ หรือแม่ไปบังคับขู่เข็ญให้หัวหน้าหมู่บ้านเรียกชาวบ้านทุกคนมารวมตัวคุกเข่าขอโทษลีชา รวมทั้งแม่ของเกล็นด้วย มันก็ไม่มีค่าอะไรทั้งนั้นถ้าคำพูดของพวกเขาไม่ได้มาจากใจจริง ถ้าเป็นเจ้า...เจ้าจะอยากรับคำขอโทษกับขอบคุณที่ได้มาจากการบังคับไหมล่ะ”

“แต่ว่า...”

“ลีชาอาจจะไม่อยากได้รับของพวกนี้ มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ดึงดันจะหามาให้นางให้ได้ เพราะคิดเองเออเองว่านางจะสบายใจขึ้นถ้าได้รับ การยัดเยียดความหวังดีให้อีกฝ่ายโดยไม่คิดว่าเขาต้องการจริงๆ หรือเปล่ามันไม่ต่างอะไรจากการทำร้ายเขาหรอก ยิ่งเจ้าเป็นเดือดเป็นร้อนแทนนาง ทำตัวให้ชาวบ้านเขารำคาญเพราะเรื่องของนาง พวกเขาอาจจะพาลมารำคาญนางด้วยก็ได้ไม่ใช่หรือ”

“ถ้าพวกนั้นจะรำคาญข้า ข้าก็ไม่สนหรอก แต่ลองมารำคาญลีชาสิ ข้าไม่อยู่เฉยอีกต่อไปแน่!”

‘พ่อ’ เงียบไปเมื่อเขาพูดเช่นนั้น แล้วก็ได้แต่ถอนใจเบาๆ โดยไม่พูดอะไรอีก

* * *

สงครามเย็นระหว่างอาเมียร์กับพวกชาวบ้านดูจะดำเนินไปพักหนึ่ง จนกระทั่งถึงวันที่มีฝ่ายสิ้นความอดทนก่อนในที่สุด...

ล่วงเข้าสัปดาห์ที่สองที่ลีชาอยู่กับบ้านของซิอ์บุล ญาติๆ ของเหล่าผู้หญิงที่ถูกจับตัวไปก็มาที่บ้านหลังนี้

เคราะห์ร้าย...ที่ซิอ์บุลกับสิมาออกไปทำธุระข้างนอกในตอนนั้น และอาเมียร์เป็นผู้เปิดประตูรับพวกเขาพอดี

“ลูกสาวข้าฝากให้ข้ามาขอโทษกับขอบคุณลีชา” ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้เคาะประตูตอบ

“แล้วทำไมลูกสาวท่านไม่มาเอง”

“นาง...” เขาเริ่มอึกอัก “เจ้าก็รู้ธรรมเนียมของที่นี่ไม่ใช่หรือ”

“ข้าไม่ได้เกิดที่นี่ จะไปรู้ธรรมเนียมทุกอย่างของพวกท่านได้อย่างไร”

ชายวัยกลางคนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเบาๆ

“ผู้หญิงบริสุทธิ์ไม่ควรข้องแวะกับ...สิ่งแปดเปื้อน มันเป็นลางไม่ดีกับชีวิตของพวกนางในอนาคต เจ้าเข้าใจแล้วสินะว่าทำไมพวกนางถึงไม่สามารถมาพูดกับลีชาตรงๆ”

“อ้อ” เด็กหนุ่มรับอย่างเฉยชา ผิดกับอารมณ์ที่เริ่มพลุ่งขึ้น “ข้าเพิ่งรู้ว่าพวกท่านมีธรรมเนียมอย่างนี้ด้วย”

“มันไม่ใช่ความผิดของลีชา เรื่องนี้ใครๆ ก็เข้าใจ อันที่จริงนางเป็นคนกล้าที่เสียสละตนเองช่วยปกป้องคนอื่นๆ ไว้ด้วยซ้ำ พวกเราเลยมาขอบคุณนางแทนเด็กๆ พวกนั้น เจ้าช่วยบอกลีชา แล้วก็รับของตอบแทนจากพวกเราไว้ให้นางด้วยเถอะนะ”

อาเมียร์เพียงกวาดมองชาวบ้านคนอื่นๆ ที่มาพร้อมกับกล่องไม้ ม้วนผ้า และข้าวของที่ดูเหมือนบรรณาการตามมีตามเกิดของบ้านไร่อย่างพิกล

“พวกท่านบอกนางเอง ให้นางเองกับมือเถอะ”

ว่าแล้วเขาก็ปิดประตู หันไปทางเด็กสาวที่กำลังนั่งดูเด็กหญิงทั้งสองคนเล่นตุ๊กตากัน เธอเงยมองเขาเหมือนพอจะรู้ว่าเรื่องที่หน้าประตูนั้นเกี่ยวข้องกับตน

“ญาติๆ ของพวกผู้หญิงที่เจ้าช่วยไว้เอาข้าวของมาขอบคุณเจ้า เจ้าจะออกไปรับไหม”

แววตาของลีชากลับหวาดหวั่นขึ้น และเธอก็สั่นศีรษะทันควัน

“ถ้าอย่างนั้นให้พวกเขาค่อยๆ เข้ามาพูดกับเจ้าแทนดีไหม”

เธอรีบสั่นศีรษะอีกครั้ง แล้วก็ขยับปากพร้อมกับโบกมือ

...กลับไปเถอะ ไม่เอาของอะไรทั้งนั้น...

เด็กหนุ่มจึงได้กลับไปเปิดประตู แล้วเจรจาต่อ

“ลีชาบอกว่าไม่รับของพวกนี้ พวกท่านเอากลับไปเถอะ”

“แต่ว่า...” ตัวแทนกลุ่มอึกอัก “พวกเราตั้งใจจะมอบของพวกนี้ให้นางจริงๆ เจ้าช่วยเก็บไว้ให้นางทีนะ”

“ถ้าอยากให้นางรับ ท่านก็เข้ามาให้กับมือของนางเองสิ”

“อาเมียร์ พวกเราก็มาขอบคุณนางตามที่เจ้าต้องการแล้ว อย่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากไปกว่านี้เลย”

เด็กหนุ่มรู้สึกถึงเพลิงโทสะที่ไหม้โหมขึ้นทันใด

“ได้ ข้าก็ไม่อยากให้เรื่องมันยุ่งยาก เพราะฉะนั้นข้าจะพูดกับพวกท่านตรงๆ เลยก็แล้วกัน” เขาก้าวออกมาแล้วปิดประตูลงด้านหลัง กวาดมองทุกๆ คนที่ยืนเรียงรายอยู่หน้าบ้านของตน “ทั้งข้าทั้งลีชาไม่ต้องการข้าวของพวกนี้ เอาไปใช้ตอนงานแต่งลูกสาวที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องของพวกท่านเถอะ เพียงแต่สังวรไว้บ้างว่าลูกสาวของพวกท่านยังบริสุทธิ์อยู่ทุกวันนี้เพราะใคร...ใครสักคนที่ท่านเห็นว่าเป็นสิ่งแปดเปื้อน ทำเหมือนกับนางเป็นซากของตัวอะไรสักอย่างข้างถนน แบบเดียวกับที่ท่านกวาดมองแวบหนึ่งแล้วรู้ว่ามีอยู่...แต่ไม่อยากมองอีกเท่านั้นล่ะ!”

“อาเมียร์—“

“ลีชาไม่ใช่ซากที่ใครๆ จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น นางยังรู้เรื่อง...ยังฟังคำพูดของพวกท่านออกถึงจะพูดตอบไม่ได้ ถ้าคนที่สมควรมาขอบคุณและขอโทษนางไม่ยอมมาบอกนางด้วยตัวเอง มันก็ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น! แค่นั้นเองที่ข้าต้องการ พวกท่านไม่เข้าใจหรือ!”

“มันผิดธรรมเนียมของพวกเรา...ข้าก็อธิบายแล้วนี่!”

“ธรรมเนียมที่ไร้เหตุผลแบบนั้นควรยึดถืออยู่อีกหรือ!”

“อาเมียร์!”
ชายอีกคนตวาดขึ้นบ้าง “เจ้าไม่ใช่คนที่นี่ เจ้าจะไปรู้อะไร!”

“ใช่! ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น...นอกจากพวกเจ้ามันขี้ขลาดที่สุด!”
เด็กหนุ่มยิ่งกราดด้วยอารมณ์ “ตอนที่โจรบุกก็แทบไม่มีใครสู้! ถ้าไม่ได้ ‘พ่อ’ ก็คงไม่มีใครกล้าไปช่วยคนที่ถูกจับไปกลับมา! ตอนที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างลีชาถูกข่มเหง...ถูกด่าว่า...ถูกไล่ออกจากบ้าน...ถูกแย่งลูกไปอย่างไม่เป็นธรรม ทุกคนมัวทำอะไรอยู่! ทั้งๆ ที่ลีชายอมเสียสละ...ยอมเจ็บปวด...เพื่อให้ผู้หญิงคนสำคัญของพวกเจ้าไม่ต้องเจ็บปวดอย่างเดียวกับนางแท้ๆ !”

“อาเมียร์—!”
เสียงแทรกมาจาก ‘พ่อ’ ที่กลับมาถึงในจังหวะนั้น “นี่มันเรื่องอะไรกัน!”

เด็กหนุ่มเพียงสบตากับอีกฝ่ายอย่างแข็งกร้าว

“พ่อคงได้ยินมาแต่ไกลแล้วนี่”

“เจ้าไม่ควรพูดกับพวกเขาอย่างนั้น ขอโทษทุกคนเสีย” ‘พ่อ’ พูดห้วนๆ

“การพูดความจริงไม่ผิดอะไร ข้าไม่มีอะไรต้องขอโทษ” อาเมียร์โต้กลับ “คนพวกนี้ต่างหากที่ต้องขอโทษลีชา!”

‘พ่อ’ จ้องตาเขาเขม็ง น้ำเสียงเริ่มเคร่งขรึมขึ้น

“ขอโทษพวกเขาเดี๋ยวนี้”

“ไม่!”

อาเมียร์บังคับตนเองให้ยืนนิ่งไว้ แม้จะเผลอหลับตาครู่หนึ่งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงื้อมือขึ้น

“ถึง ‘พ่อ’ ต่อยข้าให้เลือดกบปาก ข้าก็ไม่พูด!”

‘พ่อ’ กัดฟันกรอด แค่นเสียงก่อนจะลดมือลงแล้วหันมาทางพวกชาวบ้าน

...แล้วก็ค้อมศีรษะลง...

“ข้าขอโทษแทนลูกชายด้วย พวกท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้าจะสั่งสอนเขาเอง”

ตัวแทนของกลุ่มชาวบ้านพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะสูดลมหายใจลึกยาว

“สั่งสอนให้ดีๆ ก็แล้วกัน ข้ากลัวว่าไม่นานลูกหัวรั้นของท่านจะคว้าผู้หญิงหากินมาเป็นเมียตามเกล็นเสียอีกคน”

เด็กหนุ่มขยับปากจะพูด พร้อมๆ กับที่เท้าก้าวออกไปหาเจ้าของวาจา แต่ ‘พ่อ’ ก็รีบยึดแขนของเขาบีบไว้แน่น

อาเมียร์จึงได้แต่สบถสาปแช่งพวกชาวบ้านที่ค่อยๆ เก็บข้าวของออกไปจากพื้นที่หน้าบ้านของเขาอยู่ในใจ แล้วก็หมุนตัวกลับไปเปิดประตูเข้าบ้าน ไม่พูดอะไรกับ ‘พ่อ’ อีกขณะที่แม่รีบตรงเข้ามาหาทั้งสอง

นี่น่ะหรือเสด็จอาเนมอสคนนั้น...เสด็จอาเนมอสผู้เก่งกาจและบังคับบัญชาทหารนับแสน เสด็จอาเนมอสที่ควงดาบฟาดฟันทหารศัตรูอย่างไม่เกรงกลัวเพื่อปกป้องอาณาจักรของพวกเขา แต่ยามนี้กลับต้องมาก้มหัวให้พวกคนอ่อนแอ ขี้ขลาด เห็นแก่ตัวพวกนั้น...

เขาเข้าใจผิดไปจริงๆ...หมู่บ้านที่ควรสุขสงบกลับมีโฉมหน้าดำมืดน่าสะอิดสะเอียนหลบเร้นอยู่อย่างคาดไม่ถึง...และอดีตนักรบผู้หาญกล้าก็กลับหลบเลี่ยงเอาตัวรอด...แทนที่จะยึดถือหลักนักรบเช่นที่เคยทำและควรทำ

บทที่ ๕ ย้ายถิ่น

* * *


ส่งท้ายปีด้วยตอนที่เครียดอีกแล้ว แต่ด้วยความหวังว่าความเครียดจะหายไปกับสิ้นปีครับ ^^a อีกสักพักเนื้อเรื่องคงจะเข้าช่วงที่สดใสขึ้นหลังจากบรรดามู้ดเมคเกอร์ออกโรงแล้ว

ผมมองว่าชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ก็ไม่ถึงกับเป็นคนเลวนะครับ แต่ก็เหมือนกับเด็กสาวที่มาเล่าเรื่องให้อาเมียร์ฟังล่ะครับ คือ "กลัว" ถึงไม่ได้รังเกียจลีชา ก็คงเห็นลีชาเป็นอะไรสักอย่างที่แตกต่างจากตัวเอง บางคนอาจสงสารจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อลีชายังไง ซึ่งผมก็มองว่าบางครั้งความกลัวคนที่แตกต่างจากเรา คนที่เราไม่รู้ว่าจะไปสะกิดแผลใจเขาหรือทำให้เขารู้สึกแย่ไปกว่าเดิม มันก็แย่ไปคนละแบบกับความรังเกียจเหยียดหยามล่ะครับ

ส่วนแม่ของเกล็น...รายนั้นต้องบอกว่าไม้แก่ดัดยากแล้วแฮะ

สวัสดีปีใหม่ และขอให้ผู้อ่านทุกๆ ท่านมีความสุขมากๆ ทั้งในปีหน้าและตลอดไปครับ ในช่วงหยุดปีใหม่คิดว่าตอนหน้าน่าจะลงได้เร็วขึ้นครับ :)


Create Date : 31 ธันวาคม 2551
Last Update : 31 ธันวาคม 2551 23:27:10 น. 2 comments
Counter : 310 Pageviews.

 

เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย
จงปกปักรักษา
คุ้มครองให้ท่านและครอบครัว
มีความสุขความเจริญ
ด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ
ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ
ปรารถนาสิ่งใด
ที่เป็นไปด้วยความชอบธรรม
ขอให้สำเร็จสมความปรารถนา
ทุกประการ เทอญ


จากใจ...โสดในซอย



โดย: โสดในซอย วันที่: 3 มกราคม 2552 เวลา:12:41:40 น.  

 
สวัสดีค่ะดิฉันเป็นตัวแทนของwww.thaibookcafe.com/bookได้อ่านหนังสือของคุณแล้วชอบมากๆค่ะคุณเขียนได้ดีมากๆและหน้าอ่านมากๆ ดิฉันสนใจในหนังสือของคุณและเนื้อเรื่องของคุณอยากจะขออนุญาติเอาต้นฉบับมาจัดเรียงหน้ากระดาษเพื่อให้หนังสือของคุณได้ลงตีพิมพ์ของโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆค่ะ กรุณาติดต่อมาที่ //www.noonid2550@hotmail.com ขอขอบคุณค่ะ


โดย: noonid2550@hotmail.com IP: 58.8.104.234 วันที่: 15 มกราคม 2552 เวลา:19:40:23 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Anithin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add Anithin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.