ที่พักนักตระเวนแดนฝัน
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๒๘ - ดำเนินการ

บทที่ ๒๘ ดำเนินการ


เมื่อรู้สึกตัว สิ่งแรกที่กระทบผัสสะของเด็กหนุ่มเต็มๆ คือความหนาวเยือกของร่างกาย

อาเมียร์ไม่เข้าใจในทีแรกว่าทำไมตนจึงหนาว แต่แล้วก็นึกขึ้นได้เมื่อลิ้นสัมผัสความเค็ม และรู้สึกได้ว่าทั่วร่างของเขาเปียกชุ่มโชก

...เขาถูกจับถ่วงทะเล...

แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่ตาย...อย่างนั้นสินะ หากตายไปแล้วคงไม่รู้สึกถึงความหนาว ความเปียก และรสเค็มเป็นแน่ มิหนำซ้ำหูยังได้ยินเสียง...เสียงสาดซ่าของน้ำตกใกล้ๆ ‘คุกกรงน้ำ’ และเสียงเกรื่องกร่างของโซ่...ซึ่งดูเหมือนกำลังกว้านกรงของเขาขึ้นไปเรื่อยๆ

เด็กหนุ่มยันกายลุกขึ้น น้ำหยดเปาะแปะจากปลายผมของเขา แต่เขายังหายใจคล่องคอดีโดยไม่สำลัก พอคืบกายไปชะโงกมองที่ขอบกรงก็เห็นร่างในชุดขาวยืนอยู่เบื้องหน้าราชมัลเฒ่า

...ร่างของพระเถระมาดาย...

“ข้าหวังว่าเรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง” มาดายเอ่ยเย็นชากับคู่สนทนา ซึ่งดูจะไม่สบอารมณ์นัก

“ข้าเพียงแต่ทำตามคำสั่งของนายท่าน ไม่ได้ทราบว่าพระเถระห้ามการทรมานพวกเขา” ราชมัลเฒ่าตอบ

“ไม่ใช่ ‘พวกเขา’ แต่เป็นชายทะเลทรายคนนั้นต่างหาก” อีกฝ่ายแก้คำพูด “ส่วนอีกคนนั่น...จะ ‘เล่น’ กับมันอย่างไรก็ตามใจพวกเจ้า ทว่าพวกเจ้าห้ามทำการใดๆ ที่เป็นการทำร้ายชาวทะเลทรายคนนั้น”

ชายชราทั้งสองเงียบไป ขณะที่อาเมียร์จับตามองอย่างครุ่นคิด

ดูเหมือนที่เขารอดมาได้จะเป็นเพราะมาดายช่วย และที่รู้สึกเหมือนตนเองแหกลูกกรงออกมาได้แต่ว่ายขึ้นมาไม่ทันถึงผิวน้ำเพราะมี...อะไรก็ตามที่ไม่น่าจะเป็นไปได้...มาดึงขาเขาเอาไว้ ก็คงเป็นเพียงความฝันเลอะเลือนตอนหมดสติไปแล้ว แต่มาดายมีจุดประสงค์อะไรกันจึงได้ห้ามพวกนั้นทรมานเขาอีก...แต่อนุญาตให้มีการทรมานชาลัวห์

“ข้าคิดว่าซาเกรดา โซล นิยมการทรมานพวกนอกรีตให้รับสารภาพเสียอีก” ราชมัลเฒ่าเปรย “แล้วข้าก็นึกว่าท่านเห็นด้วยกับท่านแฟคท์นา ที่ว่าเจ้าคนทะเลทรายนั่นเป็นภัยต่อแผนการที่ปล่อยไว้ไม่ได้...ไม่ว่ามันจะมีอาคมจริงๆ หรือไม่ก็ตาม”

แฟคท์นา...เด็กหนุ่มหรี่ตาลง

เขารู้จักชื่อนี้...อย่างน้อยก็ต้องเคยได้ยินผ่านๆ มาสักครั้งสองครั้ง แต่คนคนนั้นเป็นใครกัน

“ข้าไม่มีความคิดจะแทรกแซงการเมืองของธีร์ดีเร” มาดายตอบ “ข้าเพียงร่วมมือกับนายของท่านเพื่อเป้าหมายเดียวกันบางประการ และที่ข้าห้ามไม่ให้ทรมานชายคนนั้นเป็นเพราะห่วงความปลอดภัยของพวกท่านต่างหาก ข้าสะกดอำนาจของเขาไว้แล้วก็จริง...แต่ก็ไม่อาจสะกดไว้ได้อย่างสมบูรณ์ สิ่งที่พวกท่านทำลงไปก็เหมือนการยั่วเสือให้โกรธและอาละวาดทลายกรงออกมา...หรือท่านต้องรอให้ห้องทรมานระเบิดจนพวกท่านตายกันทั้งหมดเสียก่อนจึงจะพอ”

“...ท่านขู่ข้าหรือ” ราชมัลเฒ่าถามเสียงเครียด

“ข้าเพียงแต่พูดถึงความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดเท่านั้น” พระเถระยังคงมีน้ำเสียงเรียบเฉยเช่นเดิม “พวกท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ”

ชายชราทั้งสองจ้องมองกันเงียบๆ อยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนที่มาดายจะเป็นฝ่ายกลับหลังหันและเดินจากไป...โดยไม่มีคำพูดอะไรอีก

ราชมัลเฒ่าแค่นเสียงเมื่อลับร่างของเขา ก่อนจะเงยมองกรงของเด็กหนุ่ม ทำให้อาเมียร์รีบทิ้งศีรษะลงทำเป็นสิ้นสติไปตามเดิม

“แกยังโชคดีไป” ชายชราเปรยก่อนจะพูดดังขึ้น “เอานักโทษอีกกรงลงมา ดูซิว่าเรายังจะทำให้มัน ‘สารภาพ’ อะไรได้อีกบ้าง”

เสียงโซ่ที่ห้อยกรงของชาลัวห์ดังขึ้นแทบพร้อมกับเสียงร้องอย่างหวาดผวาของคนในกรง

นั่นทำให้อาเมียร์กลับผุดลุกขึ้นทันที

“หยุดนะ!!”

ราชมัลหนุ่มที่กำลังชักกรงลงมาหยุดมือทันควัน ขณะที่ราชมัลเฒ่าเงยมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์

“ไม่เกี่ยวกับแก แกรอดตัวไปแล้ว...อย่างน้อยก็จนกว่าพระเถระจากซาเกรดา โซลจะมาถึงนั่นล่ะ”

“เขาก็สารภาพแล้วเหมือนกัน” เด็กหนุ่มผมดำค้านเสียงแข็ง “อย่าคิดจะเอาเขาไปทรมานเล่นๆ เอาสนุกเป็นอันขาด”

ชายชรากลับหัวเราะออกมาเหมือนขบขันเต็มประดา

“ก็ไหนแกยืนกรานว่าไม่ได้เป็นพวกเดียวกันกับไอ้เจ้านี่ไม่ใช่รึ แล้วแกจะช่วยมันไปทำไม”

“ใช่ ข้าไม่ใช่พวกเดียวกับเขา” อาเมียร์พูดหนักแน่น “แต่ข้าไม่วิปริตขนาดจะทนเห็นเขาถูกทรมานจนไม่เป็นผู้เป็นคนต่อหน้าต่อตาได้หรอก!”

“หึ” ราชมัลเฒ่าแค่นเสียง “พวกอย่างแกนี่ล่ะที่ข้ารังเกียจที่สุด ชอบทำตัวเป็นมีคุณธรรมสูงส่งนัก”

“นี่ไม่ใช่เรื่องของคุณธรรม” เด็กหนุ่มแย้ง “แต่เป็นเรื่องของความยุติธรรม ถ้าเขาต้องถูกลงโทษประหารก็สมโทษของเขาที่ฆ่าท่านเฟลิมแล้ว แต่ความทรมานนอกเหนือจากนั้นมันเกินไป”

“เกินไป...ลองไปพูดอย่างนี้กับผู้หญิงที่มันฉุดไปเป็นนางบำเรอ หรือต่อให้ไม่ได้ฉุดเองก็ถูกโจรของพ่อมันฉุดคร่าไปขายเป็นทาสเป็นนางโลมดูสิ” ชายชราไม่ลดรา “แล้วยังจะบอกว่า ‘ความทรมานนอกเหนือจากนั้นมันเกินไป’ ได้อยู่อีกหรือเปล่า”

อาเมียร์หรี่ตาลง ใช่ว่าเขาเองไม่เคยคิดเรื่องนั้น ถึงจะไม่รู้ว่าชาลัวห์เคยฉุดคร่าผู้หญิงจริงๆ หรือรู้เห็นเป็นใจกับวิธีการขูดรีดข่มเหงชาวบ้านของบิดาหรือไม่...เขาก็เคยเห็นข้อหลังมาจนเกินพอ

ถึงอย่างนั้นบางสิ่งในใจก็ยังบอกเขาว่าไม่ได้...เขาไม่รู้ว่าตนเองมีสิทธิ์ตัดสินว่าโทษของคนคนไหนสาสมต่อสิ่งที่เคยกระทำหรือไม่ เขาไม่รู้ว่าชาลัวห์ควรได้รับโทษอะไร แต่สิ่งที่พวกราชมัลทำลงไปและกำลังจะทำเป็นเพียงการทำร้ายผู้อื่นเพื่อสนองความสะใจส่วนตัว เป็นสิ่งที่อาจไม่ต่างจากสิ่งที่ชาลัวห์เคยทำ...แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง

“พวกท่านไม่ใช่คนที่มีสิทธิ์ตัดสินโทษของเขา อย่าทรมานเขาอีกเป็นอันขาด” เด็กหนุ่มพยายามเอาชนะด้วยวิธีอื่นนอกเหนือจากเหตุผล “หรืออยากโดนข้าระเบิดคอเสียตรงนี้ อย่างที่เจ้านักบวชคนนั้นพูดนั่นล่ะ ถ้าข้าคิดจะฆ่าท่านเสียจริงๆ ข้าก็ทำได้ไม่ยากเลย”

เด็กหนุ่มเพ่งมองราชมัลเฒ่า...พยายามให้อีกฝ่ายได้สัมผัสแรงกดดันและจิตสังหารจากสายตาของเขา

ชายชรายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบิกตากว้างขึ้น...แล้วยกมือขึ้นจับลำคอของตนก่อนจะส่งเสียงร้องขัดๆ ออกมา

...เหมือนกับที่ชาลัวห์เคยทำ...

กว่าอาเมียร์จะรู้ตัวว่าตนกำลังทำอะไร ชายชราก็ทรุดลงดิ้นทุรนทุรายบนพื้นเสียแล้ว ราชมัลหนุ่มอีกคนผละจากรอกวิ่งเข้ามาหาเขา

“นายท่าน!! ท่านเป็นอะไรไป!!”

ไม่มีเสียงตอบจากราชมัลเฒ่า อาเมียร์เริ่มเบิกตากว้างขณะร้องสั่งตนเอง

ไม่จริง!...ข้าไม่ได้อยากฆ่าเขาจริงๆ!! พอได้แล้ว!...พอ—

สิ่งที่ตอบรับคำพูดของเขามีเพียงเสียงคล้ายถุงหนังใส่น้ำเต็มเปี่ยมตกกระทบพื้นจนแตก...และภาพของเหลวสีแดงที่พวยพุ่งเหมือนน้ำพุสาดกระจาย

ราชมัลหนุ่มร้องดังลั่นก้องทั่วบริเวณกรงน้ำ...ตามมาด้วยเสียงของชาลัวห์

มีเพียงอาเมียร์ที่ไม่อาจส่งเสียง ทั้งๆ ที่สองตาเบิกโพลง...เขาก็ถัดตัวไปด้านหลังจนแผ่นหลังติดซี่ลูกกรง...ในมุมที่เขาไม่เห็นภาพศพและเลือดของชายชรา

ไม่ใช่...ไม่ใช่ข้า...ข้าไม่ได้ทำ...ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น!!

เด็กหนุ่มยกสองมือขึ้นปิดหูแล้วสั่นศีรษะซ้ำๆ ไม่ใช่เขา...เขาไม่ได้ทำ...เขาไม่ได้ตั้งใจ...ก็เขาไม่ได้แตะราชมัลเฒ่าแค่ปลายเล็บด้วยซ้ำ...

“ข้า...ข้าไม่ได้ตั้งใจ...” อาเมียร์สะอื้นออกมา “ข้า...ข้าก็แค่คิด...แค่คิดมันผิดด้วยหรือ...”

เด็กหนุ่มนั่งกอดเข่าปิดตาแน่น สองมือยกขึ้นปิดหูกันเสียงใดๆ ก็ตามที่จะดังตามมาหลังจากนั้น

...เขาไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว...

* * *

รูอาร์คควบม้าฝีเท้าดีที่เพิ่งทุ่มเงินซื้อมาแทบไม่หยุดพัก จนเกือบเช้ามืดจึงถึงหมู่บ้านที่ท่านซิอ์บุลกับครอบครัวอาศัยอยู่ เด็กหนุ่มผูกม้าไว้ที่ชายหมู่บ้านเพื่อไม่ให้เกิดเสียงผิดสังเกต แล้วจึงค่อยๆ ย่องเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบๆ จนกระทั่งถึงบริเวณบ้านของอดีตนักรบ

เขาตัดสินใจลอดรั้วเข้าไปเคาะประตูหลังบ้านเพื่อไม่ให้ใครเห็นตน

ท่านซิอ์บุลหูไวจริงๆ สมกับเป็นนักรบ เพราะเพียงเขาเคาะประตูเบาๆ ได้ไม่ถึงห้านาทีก็มีเสียงปลดกลอน แล้วเจ้าของบ้านก็ค่อยๆ แง้มประตูออกมาอย่างระแวดระวังพร้อมกับกระซิบ

“ใคร”

“ท่านซิอ์บุล นี่ข้าเอง” คนนอกบ้านตอบเบาพอกัน

“รูอาร์คหรือ นี่เจ้ากลับมาจากเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไร” อีกฝ่ายถามอย่างประหลาดใจ

“...ท่านยังไม่ได้ข่าวสินะ”

“ข่าวอะไร”

“เรื่องสำคัญมาก แต่ข้าคิดว่าเราควรจะเข้าไปพูดกันข้างในดีกว่า”

อดีตนักรบผละจากหน้าประตูทันที

“รีบเข้ามา”

ในบ้านยังไม่จุดตะเกียง รูอาร์คถือวิสาสะลงกลอนประตูหลังเสียเอง ก่อนจะรีบพูดขณะที่ท่านซิอ์บุลเก็บดาบโค้งเล่มยาวที่ถือติดมืออยู่เข้าฝัก

“พี่เฟลิมถูกลอบสังหาร” เด็กหนุ่มพยายามพูดด้วยเสียงที่เรียบที่สุด “อาเมียร์ถูกจับเป็นผู้ต้องสงสัย”

“เจ้าว่าอะไรนะ!” อดีตนักรบอุทานอย่างร้อนรน แต่ด้วยเสียงที่ข่มให้เบาอยู่ “เรื่องเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร”

“พวกเขาหาว่าอาเมียร์ร่วมมือกับชาลัวห์จ้างแม่มดให้ทำไสยเวทฆ่าเฟลิม แม่มดนั่นบอกว่าอาเมียร์เป็น ‘ท่านจ้าว’ ของนาง นักบวชที่มาตามจับพวกนอกรีตแถวนี้ก็บอกว่าในตัวอาเมียร์มีอำนาจมืดอันยิ่งใหญ่ เขาเสนอให้จับตัวอาเมียร์ไว้ รอจนกว่าพระเถระจากซาเกรดา โซล มาตรวจสอบ อาเมียร์เกรงว่าพวกท่านจะถูกหางเลขเข้าด้วย จึงให้ข้ามาแจ้งข่าวให้พวกท่านรู้ตัวก่อน”

ท่านซิอ์บุลฟังแล้วนิ่งไปโดยไม่ตอบอะไร

“ข้ารู้ว่าพวกท่านคงเป็นห่วงเขา” รูอาร์ครีบเอ่ยต่อ “แต่พวกท่านควรรีบหนีไปก่อน ถ้าพวกศาสนจักรจากซาเกรดา โซลจับตัวพวกท่านไป พวกมันคงจะทรมานพวกท่านทุกๆ คนไม่เว้นทั้งเด็กและผู้หญิงแน่ๆ”

เด็กหนุ่มผมแดงไม่รู้ว่าตนเหมารวมหรือพูดเกินความจริงไปหรือไม่ แต่เขาก็เข้าใจว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็นเช่นนั้น ยิ่งเมื่ออาเมียร์ท่าทางจะมีเวทมนตร์ในตัวจนเผาใบแชมร็อคลงอาคมได้อย่างนี้...คนในครอบครัวของเด็กหนุ่มผมดำคงจะถูกระแวงว่าเป็นแม่มดหมอผียิ่งขึ้นไปกว่าเดิม

รูอาร์คเพียงแต่ไม่อยากให้ทุกๆ คนที่บ้านนี้เป็นอันตรายอะไร ทั้งท่านซิอ์บุล ท่านสิมา เด็กๆ ไร้เดียงสาทั้งสามคน และที่ห่วงเป็นพิเศษก็คือลีชาที่ย่อมต้องถูกลากเข้ามาและขุดคุ้ยประวัติขึ้นมาประจานอีกครั้ง เขาเชื่อมั่นในการมองคนของตนว่าอาเมียร์กับครอบครัวมีจิตใจดีโดยไม่เสแสร้ง...และที่แน่นอนคือไม่มีเจตนาที่จะฆ่าเฟลิม ถึงเด็กหนุ่มผมดำจะมีลับลมคมนัยหรือมีเวทมนตร์อะไรโดยที่เขาไม่รู้ตัวก็ตาม

“ข้ารู้แล้ว” ชายวัยกลางคนกลับตอบด้วยเสียงราบเรียบ “ขอบใจมากที่มาบอก ข้าจะไปบอกสิมาให้เตรียมตัว เจ้าก็รีบกลับไปก่อนจะมีคนรู้เถอะนะ”

“ข้าจะไปด้วยขอรับ” เด็กหนุ่มผมแดงกลับบอกการตัดสินใจที่ตนคิดมาตลอดทางบนหลังม้าอย่างหนักแน่น “ข้าพอรู้จักที่ซ่อนตัวที่น่าจะดี ข้าจะนำทางพวกท่านไปที่นั่นเอง”

“ที่ซ่อนที่ว่านี่คือ?”

“ข้าเคยซื้อบ้านเล็กๆ อยู่ในเมืองระหว่างหมู่บ้านนี้กับเมืองหลวงขอรับ” รูอาร์คตอบ “ไว้พักแรมโดยไม่มีใครรู้เวลาข้าเดินทางไกล คนแถวนั้นไม่รู้ว่าข้าเป็นลูกชายเจ้ามณฑล ข้าพอจะหาเรื่องไปบอกพวกเขาว่าจะมาอยู่ที่นั่นสักพักได้ไม่ยาก แล้วก็ให้พวกท่านซ่อนตัวอยู่ในบ้านโดยไม่มีใครรู้ ส่วนข้าจะจัดการเรื่องเสบียงที่จำเป็นให้”

อดีตนักรบสอบถามที่ตั้งของบ้านหลังนั้นแน่ชัด เมื่อได้ความแล้วก็พยักหน้าในที่สุด

“ตกลง เดี๋ยวข้าจะไปปลุกสิมาขึ้นมาเก็บของ ขอบใจเจ้ามาก”

อดีตนักรบกลับเข้าไปในห้องนอนของตนอีกพักหนึ่ง ท่านสิมาผู้เป็นภรรยาก็ตามออกมา นางตรงไปปลุกลีชาซึ่งพักอยู่ที่ห้องของอาเมียร์ ก่อนที่เจ้าบ้านจะไปเตรียมเกวียน และหญิงทั้งสองช่วยกันเก็บรวบรวมสัมภาระในบ้านที่จำเป็นซึ่งก็ไม่ได้มีมากนัก ไม่นานรูอาร์คก็อุ้มนาสิราซึ่งยังหลับสนิทไปขึ้นเกวียนที่ถูกขับมาจอดในสวนหลังบ้าน ขณะที่ลีชาอุ้มฟาร์ฮานาห์และท่านสิมาอุ้มอาซิซ

“ข้าผูกม้าของข้าไว้ที่ชายหมู่บ้าน” เด็กหนุ่มผมแดงบอกอดีตนักรบ หลังจากส่งตัวเด็กหญิงให้ผู้เป็นแม่ที่รอรับอยู่บนเกวียน “ไว้ถึงที่นั่นแล้วให้ปล่อยม้าตัวนี้ไป แล้วใช้ม้าของข้าเทียมเกวียนแทน ข้าซื้อผ้าคลุมเกวียนใหม่มาด้วย หากเปลี่ยนผ้าคลุมแล้วให้ข้าขับเกวียนออกไปโดยที่พวกท่านอยู่ข้างใน ยิ่งเช้ามากอย่างนี้คนคงไม่สังเกต”

ท่านซิอ์บุลมองเขานิ่งไปอีกครั้ง

“เจ้ารอบคอบจริงๆ วางแผนทุกอย่างไว้เรียบร้อยหมดเลยนี่”

รูอาร์คยักไหล่

“ข้าก็แค่...คิดและทำตามที่อาเมียร์สอนข้ามาเท่านั้นล่ะขอรับ เสียดายก็แต่คงต้องทำให้ท่านเสียม้ากับปศุสัตว์กับไร่ไปอีกเท่านั้นเอง”

อดีตนักรบกลับหัวเราะเฝื่อนๆ

“ข้าเสียอะไรต่อมิอะไรพวกนี้มาจนชินแล้ว เห็นทีชะตาข้าคงไม่เหมาะจะเป็นชาวไร่ชาวสวนจริงๆ กระมัง” เขาพอพูดเล่นได้...แต่ก็ไม่นานนัก “ห่วงแต่อาเมียร์ เจ้าคิดว่าพอมีทางช่วยเขาออกมาได้ไหม ให้ภรรยาข้ากับพวกเด็กๆ ไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อน แล้วข้าจะหลบไปพาเขาหนีออกมาสมทบ”

รูอาร์คนิ่งเงียบไป ไม่กล้าบอกความคิดของตน หากเป็นคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาและเป็นเวลาปกติที่เขาไม่ต้องพะวงถึงชะตากรรมของคนคนนั้น เด็กหนุ่มผมแดงคงจะพูดทีเล่นทีจริงออกไปได้ว่าอีกฝ่ายคงแขนขาหลุดเป็นชิ้นๆ สิ้นสภาพไปแล้ว

เด็กหนุ่มเคยได้ยินข่าวลือเรื่องความแน่นหนาของ ‘คุกกรงน้ำ’ ในพระราชวังหลวงมาแต่ไหนแต่ไร ไม่นับพิษสงและความโหดเหี้ยมของราชมัลที่ดูแลคุกนั้นตั้งแต่สมัยสร้างเสร็จใหม่ๆ เขาได้แต่ภาวนาเป็นหลักว่าอาเมียร์จะเอาชีวิตรอดจากคุกกรงน้ำได้จนพระเถระลูเธียนมาถึง...ก่อนจะหวังว่าอีกฝ่ายจะปลอดภัยครบสามสิบสองประการตามเดิมด้วยซ้ำ ตอนนี้รูอาร์ครู้ว่าตนช่วยอะไรตัวอาเมียร์เองโดยตรงไม่ได้ เขาทำได้เพียงสองอย่าง หนึ่งคือเตือนครอบครัวของผู้เป็นทั้งอาจารย์และเพื่อนให้รู้ตัว...ตามที่อีกฝ่ายขอร้อง

และอย่างที่สอง...ช่วยพวกเขาไม่ให้ถูกจับกุมโดยศาสนจักรแห่งซาเกรดา โซล หรือพวกใครก็ตามที่ต้องการป้ายความผิดให้ผู้อพยพกลุ่มนี้เรื่องการลอบสังหาร ข้อนี้รูอาร์คเป็นผู้กำหนดและมอบหมายหน้าที่ให้ตนเองเสร็จสรรพ

“เอาเถอะ ข้ารู้ว่านี่ยังไม่ใช่เวลาจะมาคิดถึงเรื่องนั้น” ท่านซิอ์บุลตัดบท “ไว้พาทุกคนไปถึงที่ปลอดภัยแล้วค่อยว่ากันดีกว่า ข้ายังอยากฟังเรื่องที่เกิดขึ้นจากเจ้าโดยละเอียดด้วย”

“ขอรับ” รูอาร์คพยักหน้า

เขาเองก็ได้แต่หวังว่าเรื่องทั้งหมดจะเรียบร้อย...ไม่เพียงแต่ในส่วนที่เขาทำได้ แต่ในส่วนของคนที่มีโอกาสสูงว่าจะถูกจับเข้าห้องทรมาน...หรืออาจจะถูกจับเข้าห้องทรมานไปก่อนหน้านี้แล้วด้วย

* * *

แอชลีนน์อยากไปเยี่ยมอาเมียร์ อยากไปถามเขาให้รู้แน่ชัดเหลือเกินว่าความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ก็รู้ว่าตนไม่อาจทำได้ คงได้แต่ฝากใครสักคน...เธอมองไม่เห็นใครนอกจากดูลัส...ให้คอยมารายงานเธอเรื่องความคืบหน้าของคดีรวมทั้งความเป็นอยู่ของเด็กหนุ่มเท่านั้น

อันที่จริงเวลาก็ล่วงเลยไปแล้วถึงหนึ่งวันนับจากการสอบสวน แต่เด็กสาวยังไม่มีโอกาสพบองครักษ์หนุ่มเลย วันนั้นทั้งวันที่เหลือเธอมัวแต่สับสนและร้อนใจเรื่องอาเมียร์ ถึงอย่างนั้นก็ต้องอยู่ร่วมพิธีศพของเฟลิมในอารามเล็กๆ ในพระราชวังกับครอบครัวของท่านเจ้ามณฑลยาร์ลาธ ก่อนที่พวกเขาจะนำศพกลับไปฝังที่มณฑลตามที่ตั้งใจไว้ทีแรก ในงานนั้นเธอได้ยินข่าวที่ไม่รู้เหมือนกันว่าน่ากังวลหรือไม่ คือรูอาร์คหายตัวไปโดยไม่แม้แต่จะเข้าร่วมพิธี หลังจากการไต่สวนแล้วเด็กหนุ่มก็ออกนอกพระราชวังก่อนบิดาโดยไม่บอกใครเลยว่าจะไปที่ไหน เป็นอันว่าไม่มีใครที่เธอพอจะพูดคุยสอบถามเหตุการณ์ที่เปลี่ยนผันไปอย่างคาดไม่ถึงนี้ได้เลย

ซ้ำร้าย ในเช้าวันต่อมา ดูลัสที่เธอจำได้ขึ้นใจว่าควรอยู่อารักขาเธอก็กลับกลายเป็นราชองครักษ์คนอื่นที่เธอไม่สนิทด้วยเลย

“ดูลัสไปไหนหรือ เคียรา” แอชลีนน์ถามหลังจากกลับห้องของตนหลังอาหารเช้า

“ท่านดูลัสได้รับอนุญาตให้ลาพักเพคะ” สีหน้าของคนตอบดูแจ่มใสขณะพูดจนคนฟังประหลาดใจ

“ลาพัก...เรื่องอะไรกัน” เด็กสาวขมวดคิ้ว “ทำไมมาลาพักตอนนี้”

“สัปดาห์หน้าจะมีการจัดประลองใหม่เพคะ” เคียราอธิบาย “ท่านดูลัสจึงได้รับอนุญาตให้พักผ่อน เพื่อไปเตรียมตัวสู้กับผู้กองคาเฮียร์ในการคัดเลือกพระคู่หมั้นคนใหม่”

“อะไรกัน!” แอชลีนน์อุทาน...ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก “แล้วเรื่องคดีล่ะ...ยังสอบสวนไม่เรียบร้อยเลยไม่ใช่หรือว่าใครฆ่าเฟลิมกันแน่”

“เมื่อคืนวาน ชาลัวห์สารภาพแล้วเพคะ”

ถูกคุมขังไว้เพียงคืนเดียวชาลัวห์ก็สารภาพแล้ว เรื่องนั้นทำให้แอชลีนน์ประหลาดใจอยู่แต่ก็ไม่มากนัก เธอเป็นห่วงใครอีกคนที่ถูกส่งเข้าคุกไปพร้อมกับชายคนนั้นมากกว่า

“แล้ว...อาเมียร์”

“ยังไม่ยอมรับสารภาพเพคะ แต่เมื่อพระเถระลูเธียนมาถึงก็คงจะยอมจำนน...ไม่ก็ถูกจัดการขั้นเด็ดขาดล่ะเพคะ”

บางสิ่งลุกวูบในใจของแอชลีนน์เมื่อได้ยินอย่างนั้น

“เคียราก็เชื่อว่าเขาผิดหรือ!”

นางกำนัลสาวชะงักไป ก่อนจะออกตัวเบาๆ

“หม่อมฉันทราบว่าองค์หญิงทรงเคยสนิทกับเขา แต่...เขาอาจจะวางแผนอะไร...หรือมีอำนาจอะไรที่พวกเราคาดไม่ถึงหนุนหลังอยู่จริงๆ นะเพคะ ได้ยินมาว่าทั้งๆ ที่อยู่ในคุกเขายังฆ่าราชมัลตายไปได้อีกคน ซ้ำยังทำให้อีกสามคนบาดเจ็บหนักได้ด้วย”

เด็กสาวพยายามสะกดความประหลาดใจไว้

“ใครที่ไหนพูดอย่างนั้น”

“พวกทหารยามลือกันไปทั่วเพคะ ไม่ใช่คนเดียว” เคียราเอ่ยหนักแน่น “องค์หญิงก็ทรงเห็นแล้วนี่เพคะ แม่มดนั่นฆ่าทหารตายได้ต่อหน้าพระพักตร์โดยไม่ต้องแตะตัวอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ ทำไมเขาจะฆ่าพวกราชมัลในแบบเดียวกันไม่ได้”

“แล้วเขาจะทำไปทำไม” แอชลีนน์ยังแย้ง “ถ้าฆ่าราชมัลได้จริงๆ ใครจะกล้าขวางเขา เขาคงหนีไปแล้ว”

“ก็...ก็พระเถระมาดายสะกดอำนาจของเขาไว้นี่เพคะ”

“แล้วถ้าพระเถระมาดายสะกดอำนาจของเขาไว้ ทำไมเขาถึงยังฆ่าคนได้อีก”

นางกำนัลสาวนิ่งอึ้งไป แต่แล้วก็ออกตัว

“หม่อมฉันไม่ทราบเรื่องเวทมนตร์ จะไปทราบได้อย่างไรเล่าเพคะ”

เด็กสาวกลั้นเสียงถอนใจไว้ เธอเองก็ไม่รู้เรื่องเวทมนตร์เลยเช่นกัน ถึงอย่างนั้นเธอยังเชื่อว่าอาเมียร์คนที่เธอเคยรู้จัก กับอาเมียร์ที่ใครๆ ร่ำลือกันว่าใช้เวทมนตร์ได้และอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารเฟลิมไม่อาจเป็นคนเดียวกันไปได้เป็นอันขาด อาเมียร์ไม่มีวันทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้แน่

ในเมื่อไม่มีดูลัสคอยช่วยแล้วอย่างนี้...คงมีแต่เธอจะต้องพยายามทำอะไรสักอย่างด้วยตนเอง

“ไปตามราชมัลที่อยู่ในเหตุการณ์มาซิ”

เคียรากลับมีสีหน้าประหลาดใจถึงขีดสุด

“ว่าอะไรนะเพคะ”

“ไปตามราชมัลที่อยู่ในเหตุการณ์มาพบเราเดี๋ยวนี้เลย” แอชลีนน์ย้ำหนักแน่น “เรามีเรื่องจะถามเขา”

“แต่ว่า...เรื่องแบบนี้...ให้ท่าน....ท่านผู้สำเร็จราชการเป็นผู้จัดการจะไม่ดีกว่าหรือเพคะ”

“แล้วหมายความว่าเราจะจัดการอะไรเองไม่ได้เลยใช่ไหม!” เด็กสาวย้อนเสียงแข็ง “เราไม่ใช่เด็กอมมือแล้วนะ ถ้าแค่เรื่องถามงานจากข้าราชบริพารเรายังทำไม่ได้...แล้วเราจะเป็นราชินีไปทำไม!”

เคียรามีสีหน้าหวาดหวั่นทันทีก่อนจะรีบค้อมศีรษะ

“ข...ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันจะไปแจ้งท่านผู้สำเร็จราชการให้นะเพคะ”

แอชลีนน์มองอีกฝ่ายเดินจากไปด้วยกิริยาเหมือนตัวลีบเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะถอนใจออกมาดังๆ เมื่อไม่มีใครอยู่ด้วยในห้องอีก

เรื่องทั้งหมดเริ่มสับสนยุ่งยากจนแทบจับต้นชนปลายไม่ถูกเสียแล้ว เด็กสาวได้แต่หวังว่าเรื่องนี้จะสามารถจัดการให้เรื่องนี้สิ้นสุดลงได้โดยไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายอะไรเกิดขึ้นอีก

...โดยเฉพาะในส่วนของอาเมียร์...

* * *

“เจ้าหญิงทรงมีรับสั่งอย่างนี้หรือ” ท่านพ่อถามขึ้นหลังจากที่เคียรามาแจ้งข่าวในห้องสมุดของพระราชวัง...อันเป็นเสมือนที่ทำงานของท่านกลายๆ นับแต่ได้รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ

“เจ้าค่ะใต้เท้า” หญิงสาวตอบอย่างเป็นการเป็นงาน

“เข้าใจล่ะ ข้าจะจัดการตามนั้น กลับไปกราบทูลพระองค์ด้วยแล้วกัน”

“เจ้าค่ะ” เธอค้อมศีรษะ “ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”

นางกำนัลสาวกลับหลังหันทำท่าจะเดินจากไป ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกตามมา

“เดี๋ยวก่อน เคียรา”

“เจ้าคะใต้เท้า?” เธอเหลียวหน้ากลับไป เห็นสีหน้าเป็นกังวลของชายวัยกลางคนตรงหน้า

“เรียกพ่อก็ได้นี่ เราก็ใช่จะเป็นคนอื่นคนไกล แล้วอันที่จริง...เราสองคนก็ไม่ได้พูดคุยกันอย่างพ่อลูกมานานด้วย ลูก...สบายดีหรือ”

หญิงสาวกลับมองที่ปรึกษาของท่านพ่อซึ่งยืนอยู่ด้วยอย่างลำบากใจ แม้ว่าเขากับบรรดาข้าราชบริพารใกล้ชิดคนอื่นๆ จะรู้เรื่องที่เธอเป็นธิดาของท่านเสนาบดีคอนรอยในครั้งนั้นและผู้สำเร็จราชการในบัดนี้แล้วก็ตาม

ดูเหมือนชายวัยกลางคนจะเข้าใจและหันไปทางชายคนนั้น

“ไปตามรองราชมัลของคุกกรงน้ำมาที่นี่ซิ บอกว่าข้ามีเรื่องตั้งใจจะสอบถาม”

“ขอรับ” อีกฝ่ายค้อมศีรษะแล้วผละไปตามคำสั่ง ยังผลให้เหลือเพียงทั้งสองอยู่ในห้องสมุดกว้างขวางอีกครั้ง

“นั่งลงก่อนเถอะ” ท่านพ่อผายมือมาทางเก้าอี้ตรงหน้า

เคียราจำใจเลื่อนเก้าอี้ออกแล้วนั่งลงอย่างแผ่วเบาที่สุด กระนั้นเสียงผ้าไหมเสียดสีกับเบาะยังดังก้องเหลือเกินในห้องที่มีเพียงหนังสือนับพันๆ เล่มกับคนสองคน

“ลูก...สบายดีใช่ไหม” ชายตรงหน้าเธอค่อยๆ ถามอย่างลังเล

“ข้า...สบายดีเจ้าค่ะ” หญิงสาวพยายามยิ้มน้อยๆ ขณะตอบ

ช่างเป็นบทสนทนาที่ห่างเหินอย่างคุ้นเคยเสียนิกระไร เคียรายังจำได้ ในวัยเด็กเมื่อท่านพ่อแวะมาเยี่ยมท่านแม่กับเธอที่บ้านพักในชนบทเพียงนานๆ ครั้งทีไรก็มักจะถามเธอเช่นนี้

และทั้งเด็กหญิงกับแม่ก็มักจะตอบไปว่าสบายดีทุกครั้ง แม้แม่จะเพิ่งหายป่วยหรือเคียราไปเล่นซุกซนจนแทบจมน้ำในลำธารใกล้ๆ มาเมื่อสองสามวันก่อนหน้านั้น ในความทรงจำของเธอ แม่เป็นผู้ปลูกฝังให้เธอคิด...ด้วยการกระทำมากกว่าวาจา...ว่าพ่อเป็นเหมือนผู้มีอำนาจเหนือกว่าและผู้มีพระคุณที่เธอต้องเกรงใจ เพราะเขายังอุตส่าห์ ‘รับ’ เลี้ยงดูส่งเสียเธอกับแม่ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แม้จะมีความใกล้ชิดเพียงผู้อุปถัมภ์มากกว่าจะเป็นพ่อหรือสามี

เคียราเมื่อโตขึ้นค่อยตระหนักได้ว่า ความสัมพันธ์ใกล้ชิดของพ่อแม่ของเธอดูเหมือนจะสิ้นสุดลงก่อนที่เธอจะจำความได้เสียอีก พ่อมาเยี่ยมทั้งสองแค่สองสามชั่วโมงต่อครั้ง อยู่พูดคุยซักถามความเป็นอยู่และปรึกษาเรื่องสิ่งใดก็ตามที่ขาดเหลือตามจำเป็น แล้วก็นั่งรถม้ากลับไปยังบ้านของท่านกับภรรยาหลวงก่อนตะวันตกดิน

“เราไม่ค่อยมีโอกาสพูดคุยกันเลยนะ” ท่านพ่อเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ทั้งๆ ที่ช่วงหลังๆ นี้ก็พักอยู่ใกล้กันมากกว่าแต่ก่อนแท้ๆ”

“คงเพราะต่างคนต่างมีงานยุ่งกระมังคะ” หญิงสาวรับ

นั่นคงถือว่าเป็นความจริงได้ เมื่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เคียราอายุแค่สิบสองปี เธอก็ได้รับพระกรุณาจากพระราชินีให้เข้ามาเป็นนางกำนัลในวัง และรับใช้ใกล้ชิดเจ้าหญิงแอชลีนน์มาแต่นั้น ส่วนท่านพ่อก็เหมือนได้รับอภัยโทษกลายๆ จากคดีคบชู้กับแม่เธอ เพื่อเข้ามารับหน้าที่ผู้สำเร็จราชการในวังหลวงหลังจากเกิดเหตุลอบปลงพระชนม์เมื่อเกือบสี่ปีก่อนเท่านั้นเอง แต่ทั้งสองก็แทบไม่มีเวลาอยู่เป็นส่วนตัวกันตามประสาพ่อลูกเลย เช่นเดียวกับที่ไม่เคยมีมาตั้งแต่ต้น

“นั่นสินะ”

ความเงียบอีกครู่...

“ลูกอายุเท่าไรแล้วนะ เคียรา”

“...ปีนี้ก็...จะยี่สิบเอ็ดปีได้แล้วเจ้าค่ะ” นางกำนัลสาวหลบสายตาขณะตอบ

“ยี่สิบเอ็ดปีแล้วหรือ...นั่นสินะ” ชายวัยกลางคนพยักหน้าน้อยๆ อย่างเคร่งขรึม “หลังงานอภิเษกของเจ้าหญิงแอชลีนน์ ลูกก็ควรคิดถึงเรื่องแต่งงานได้แล้ว”

“...สุดแต่ท่านพ่อเจ้าค่ะ” เคียราตอบง่ายๆ

เมื่อครั้งยังเยาว์วัยกว่านี้ เธอเคยหวังเรื่องแต่งงานไว้เหมือนกัน...กับท่านดูลัสผู้แสนสง่างาม แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ พระราชินีเองก็ไม่ได้มีพระประสงค์ให้เธอรู้เรื่องนี้เลย แต่เสียงซุบซิบในวังกลับเล็ดลอดออกมาได้ง่ายดายกว่าที่คิด

“ใครกันจะอยากแต่งงานกับลูกของผู้หญิงแบบนั้น”

หญิงสาวเคยเจ็บปวดใจเมื่อได้ยินนางกำนัลที่อายุมากกว่านินทาเธออย่างนั้น แต่ตอนนี้เธอยอมรับความจริงข้อนี้ได้แล้ว เธอเป็นลูกนอกสมรส เป็นเด็กที่เกิดมาจากการคบชู้ ไม่แปลกหรอกที่จะไม่มีชายใดมาสู่ขอ หรือต่อให้องค์ราชินีทรงทาบทามชายใดให้ ตระกูลของเขาก็ย่อมจะปฏิเสธอยู่ดี อายุของเคียราล่วงเลยจากสิบห้าถึงสิบเก้าอันเป็นวัยที่หญิงส่วนมากออกเรือนกันไปเรียบร้อยแล้ว ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็พยายามไม่ใส่ใจนัก

“พ่อจะหาคู่ครองที่เหมาะสมให้ ลูกก็เป็นถึงนางกำนัลคนสนิทของเจ้าหญิงแอชลีนน์ ฐานะในตอนนี้ก็นับว่าเกื้อหนุนฝ่ายชายได้มาก อย่าห่วงไปเลย”

“...เจ้าค่ะ” นางกำนัลสาวรับลอยๆ

...ความเงียบครั้งที่สาม...

“เรามาดื่มน้ำชากันสักหน่อยไหม”

“อย่าเลยเจ้าค่ะ เจ้าหญิงแอชลีนน์ทรงรออยู่” เคียรารีบปฏิเสธทันที

“พ่อหมายถึง...ตอนที่เราสองคนมีเวลาว่างกว่านี้” ชายวัยกลางคนขยายความ “ก็คงเป็นช่วงก่อนอภิเษก ไม่ก็หลังจากนั้นอีกสักพัก เราจะได้มีเวลาพูดคุยเป็นส่วนตัวกันสักหน่อย พ่อมีเรื่องอยากพูดกับลูก...มากมายเหลือเกิน”

“...เจ้าค่ะ” หญิงสาวตัดสินใจว่าตนควรรีบไปเสียที “ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ เดี๋ยวเจ้าหญิงแอชลีนน์จะทรงรอนาน”

“นั่นสิ ไปเถอะ” ท่านพ่อรับพร้อมกับพยักหน้า “ทูลเชิญเจ้าหญิงมาที่นี่ก็แล้วกัน ไม่นานรองราชมัลก็น่าจะมาถวายรายงานได้”

“เจ้าค่ะ” เคียราลุกจากเก้าอี้ ก่อนจะค้อมคำนับแล้วกลับหลังหันออกเดินไป

เธอไม่เหลียวกลับไปมองบิดาของตนอีกครั้งก่อนออกจากห้องเสียด้วยซ้ำ


บทที่ ๒๙ ปิดบังความเศร้า

* * *

ตอนนี้ตัดฉากเป็นสถานการณ์หลายด้าน อาเมียร์ได้ชื่อที่น่าสงสัยมาใหม่คือ "แฟคท์นา" (เป็นชื่อที่เคยออกมาแล้ว มีผู้อ่านจำกันได้บ้างใช่มั้ยครับ :) ) ราชมัลเฒ่าก็ร่วงดับดิ้นไม่รู้ตัว รูอาร์คพาครอบครัวของซิอ์บุลหนีออกมาอย่างรัดกุม แอชเริ่มระเบิดลงใส่เคียรา (เคียราคงคิดว่าเจ้าหญิงไปเสวยอะไรมา ทำไมดุจัง ^^a ) แล้วก็ปฏิสัมพันธ์ของเคียรากับคุณพ่อที่ไม่ค่อยจะสนิทกันเท่าไหร่

เนื่องจากตารางชีวิตผมตอนนี้เป็นไปได้สูงว่าจะไม่ว่างในวันพฤหัส ดังนั้นอาจมีการเปลี่ยนไปลงวันศุกร์แทน หรือช่วงค่ำจนถึงดึกวันพฤหัสนะครับ


Create Date : 11 มิถุนายน 2552
Last Update : 11 มิถุนายน 2552 9:54:06 น. 0 comments
Counter : 327 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Anithin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add Anithin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.