ที่พักนักตระเวนแดนฝัน
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๘ - ลูกศิษย์ใหม่

บทที่ ๘ ลูกศิษย์ใหม่


สายลมอ่อนพัดพลิ้วเข้ามาทางหน้าต่าง ให้ผ้าม่านโปร่งบางเดินขอบด้วยลวดลายโค้งอ่อนช้อยพลิ้วไหว สายลมของปราสาทซึ่งมีกลิ่นไอเกลือจางๆ เย็นสดชื่นเสมอ แต่ตอนนี้มันกลับไม่อาจคลายความร้อนให้ศีรษะที่กำลังร้อนผ่าวเพราะแถวตัวอักษรตรงหน้าได้เลย

นัยน์ตาสีน้ำตาลกวาดซ้ำย่อหน้าเดิมเป็นรอบที่ห้า...แล้วก็รอบที่หก ศัพท์ต่างๆ ที่ไม่คุ้นเคยตียุ่งเหยิงอยู่ในสมองโดยไม่ออกมาเป็นใจความที่เข้าใจชัดเจน

“องค์หญิง” เสียงเคาะประตูมาพร้อมกับคำบอก “เคียราเองเพคะ”

“เข้ามาสิ” ‘องค์หญิง’ ทิ้งศีรษะลงซบกับโต๊ะอย่างเมื่อยล้าก่อนจะตอบอ่อยๆ แต่ก็ดังพอให้อีกฝ่ายได้ยิน

“จะเปิดได้อย่างไรเล่าเพคะ ก็ทรงลงกลอนประตูอยู่”

เด็กสาวเพิ่งนึกได้ว่าตนทำอย่างนั้นเพื่อกันคนรบกวนสมาธิให้ยุ่งยาก จึงปิดหนังสือแล้วก็ลุกจากเก้าอี้ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้หญิงสาวที่อายุมากกว่าตนเล็กน้อย ซึ่งสวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเทาแบบเรียบๆ ผมสีน้ำตาลเกล้าเป็นมวยคลุมไว้ใต้ผ้าคลุมผมผืนเล็กๆ สีขาวเหมือนนางกำนัลคนอื่นๆ

...ที่ยืนอยู่ข้างหลังหญิงสาวคนนั้นคือชายร่างสูงในชุดเกราะเบาของทหารองครักษ์ ผู้มีตาสีฟ้าจางและผมสีทองสว่างแทบเป็นทองคำขาว...

“ดูลัสด้วยหรือ” องค์หญิงขมวดคิ้วทันควัน

“ก็...หม่อมฉันเกรงว่าถ้าองค์หญิงทรงลงกลอนประตูไว้แล้วเปิดไม่ได้ด้วยเหตุอะไรก็ตาม จะได้ให้ท่านดูลัสช่วยเปิดเข้ามาน่ะสิเพคะ” เคียราออกตัวเสียงอ่อนๆ

“อย่างกับจะมีใครเอาธนูมายิงเราข้ามทะเลอย่างนั้นล่ะ” เด็กสาวเจ้าของห้องอดประชดไม่ได้

“อย่าตรัสอย่างนั้นสิเพคะ องค์หญิง หม่อมฉันกับท่านดูลัสเป็นห่วงองค์หญิงนะเพคะ” นางกำนัลสาวเตือน “องค์หญิงแอชลีนน์ทรงเป็นรัชทายาทพระองค์เดียวของราชวงศ์นะเพคะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา...”

“อย่าย้ำได้ไหม!” แอชลีนน์กลับหลังหันทันควัน

“ข...ขอประทานอภัยเพคะ”

เจ้าหญิงแอชลีนน์ถอนใจกับเสียงอ่อยๆ ของอีกฝ่าย

“ช่างเถอะ ว่าแต่มีธุระอะไรกัน”

“คุณท้าวทราซาให้มาทูลเชิญองค์หญิงไปลองฉลองพระองค์สมรสเพคะ”

คนถูก ‘ทูลเชิญ’ หันขวับกลับมาขมวดคิ้วอีกรอบ

“ตอนนี้น่ะหรือ”

“ฉลองพระองค์เสร็จแล้วนี่เพคะ”

“อีกตั้งเป็นเดือน...สี่ห้าเดือนได้กระมังกว่าจะถึงวันทำพิธีจริงๆ จะรีบลองอะไรกันนักนะ”

“ต้องทรงลองไว้เสียเนิ่นๆ เพคะ” เคียราพูดขึงขัง “เกิดฉลองพระองค์มีอะไรผิดพลาดจะได้รีบแก้ไขทัน”

“แล้วถ้าเกิดแก้ไขไปแล้วรูปร่างเราเปลี่ยนขึ้นมาตอนใกล้พิธีล่ะ จะให้ทำอย่างไรกัน”

“องค์หญิง” เคียรายิ้มเฝื่อนๆ แล้วพยายามเจรจาต่อ “เสด็จไปทรงลองฉลองพระองค์เดี๋ยวเดียวเองเพคะ ใช้เวลาไม่นานหรอก”

คนฟังทำหน้าง้ำ

“ไม่อยากลอง ไว้ลองวันหลังไม่ได้หรือ”

“แต่คุณท้าวสั่งไว้ให้ทูลเชิญองค์หญิงมาให้ได้เพคะ ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นจริงๆ ไม่อย่างนั้นหม่อมฉันจะถูกตำหนิเอานะเพคะ”

แอชลีนน์เงียบไปครู่ แล้วก็จำใจรับ

“...ก็ได้”

เด็กสาวทำท่าจะก้าวออกไปจากห้อง แต่แล้วเคียราก็ขัดขึ้นเสียก่อน

“เดี๋ยวก่อนเพคะ พระเกศายุ่งนะเพคะ”

“นิดเดียวเองไม่เป็นไรหรอก”

“แต่คุณท้าว—“

“ก็ได้ๆ” แอชลีนน์กลับหลังหันอีกครั้ง ด้วยไม่อยากฟังคำบ่นของคนที่ถูกพาดพิงถึงนัก “ดูลัส ปิดประตูด้วย”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เสียงรับเบาๆ ตามมาด้วยเสียงประตูตามคำสั่ง ขณะที่เด็กสาวก้าวยาวๆ กลับไปนั่งที่เก้าอี้ ให้อีกฝ่ายหยิบแปรงขนนุ่มขึ้นมา คลายผมสีเกาลัดที่รวบถักเป็นเปียด้านหลังออกแล้วแปรงให้เรียบร้อย

“ทรงพระอักษรอยู่หรือเพคะ” คนยืนแปรงผมถามเบาๆ

“อือ”

“ทรงพักเสียบ้างก็ได้นี่เพคะ” เคียราเสนอ “ไหนว่าทรงพระอักษรแล้วจะปวดพระเศียรไม่ใช่หรือ”

“แต่ถ้าไม่ให้อ่านหนังสือเลยก็ไม่มีอะไรทำ” แอชลีนน์บ่น แม้จะตระหนักดีถึงสารพัดสิ่งที่ตนเองถูกขอร้องกึ่งเคี่ยวเข็ญให้ทำเพื่อเตรียมตัวสำหรับพิธีที่ใกล้มาถึง...แต่เธอไม่อยากให้มาถึงเอาเสียเลย

“ฝึกเสด็จพระราชดำเนินล่ะเพคะ เห็นตรัสว่าทรงไม่ชินกับฉลองพระบาทคู่ใหม่ไม่ใช่หรือ” นางกำนัลคนสนิทพูดถึงหนึ่งในนั้น

“เคียราก็เป็นไปกับเขาด้วยหรือ”

“...ขอประทานอภัยเพคะ” หญิงสาวรับ “หม่อมฉันเพียงแต่อยากให้องค์หญิงทรงพระสำราญขึ้น”

องค์หญิงผู้เหลืออยู่เพียงลำพังไม่รู้ว่าตนเองจะมีความสุขขึ้นได้เช่นไร ในเมื่อไม่มีใครยอมมอบสิ่งที่เธอต้องการให้แก่เธอเลยแม้แต่น้อย

“เราอยากพบท่านราชครู” แอชลีนน์ตัดสินใจเอ่ยลอยๆ “มีเรื่องอยากถามท่านตั้งมากมาย”

“ท่านราชครูกำลังยุ่งกับการวางแบบทดสอบนะเพคะ”

เด็กสาวกลั้นเสียงถอนใจไว้ มีเรื่องอยากถามมากมาย...แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ว่าง...หรือถึงว่างก็คงจะอ่อนใจกับการอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในเมื่อเธอไม่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียวเหมือนเสด็จพี่ไอลีชที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว...

...และที่สำคัญกว่าคือเธอเป็นผู้หญิง...ซึ่งจะอย่างไรก็ไม่มีทางเฉลียวฉลาดได้เท่าผู้ชายอยู่แล้ว...

“หากทรงไม่เข้าพระทัยก็ไม่เป็นไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ พระสวามีขององค์หญิงจะเป็นผู้ดูแลด้านการปกครองเอง ส่วนพระองค์ก็ทรงส่งเสริมพระสวามีในทางที่ทรงสามารถเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

‘ทางที่ทรงสามารถ’ เป็นสิ่งที่แอชลีนน์นึกไม่ออก เธอรู้ว่าเธอต้องแต่งงานกับชายที่ชนะการทดสอบและให้กำเนิดลูกของเขา เมื่อนั้นเธอก็จะมีญาติและครอบครัวร่วมสายเลือดอีกครั้ง และอาณาจักรก็จะมั่นคงเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง แต่ความคิดนั้นกลับนำมาเพียงความหดหู่...ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชายคนนั้นจะเป็นคนอย่างไร ดีหรือไม่ เข้ากันกับเธอได้หรือไม่

...และจะนำพาธีร์ดีเรไปในทิศทางใด...

คนเดียวในบรรดาผู้เข้ารับการทดสอบที่เธอรู้จักมากกว่าใครมีเพียงดูลัส ซึ่งเคยเป็นพระสหายของเสด็จพี่ไอลีชและบัดนี้เป็นองครักษ์ของเธอเท่านั้น

หากว่าเป็นดูลัส แอชลีนน์ก็คงจะยอมรับได้...ไม่ยากนัก

“ดูลัสก็คงจะยุ่งกับการเตรียมตัวเหมือนกันสินะ” เด็กสาวเปรย

เธอเคยถามดูลัสเรื่องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองที่สงสัยอยู่เหมือนกัน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ค่อยจะว่างตอบอย่างละเอียดนัก แอชลีนน์จึงไม่กล้ารบกวนทั้งเวลางานและเวลาทบทวนของเขาสักเท่าไร

“เพคะ” เคียราตอบ แล้วก็เอ่ยลอยๆ หลังผ่านอีกพักหนึ่ง “ได้ข่าวลือมาว่าเจ้ามณฑลยาร์ลาธเริ่มทุ่มเงินจ้างอาจารย์จากต่างแดนแล้วเพคะ”

“อย่างนั้นหรือ อาจารย์ที่ไหนอีกล่ะ” องค์หญิงถามโดยไม่ได้ใส่ใจจะฟังคำตอบนัก

สำหรับขุนนางต่างๆ ที่ส่งลูกเข้าการทดสอบครั้งนี้...การทุ่มเงินจ้างอาจารย์ฝีมือดีจำนวนมากกลายเป็นเรื่องธรรมดา และเป็นเรื่องที่พวกเขาค่อนข้างจะ ‘เกทับ’ กันเสียด้วยซ้ำ ราวกับว่าชื่อเสียงและค่าจ้างก้อนโตของอาจารย์จะเป็นตัวตัดสินผลแพ้ชนะกระนั้น

“ไม่ทราบเหมือนกันเพคะ เห็นว่าเป็นชาวเผ่าในทะเลทราย แต่ท่านดูลัสบอกหม่อมฉันว่าเขาลือกันว่าอาจารย์คนนั้นยังหนุ่มมากเพคะ ซ้ำยังสอนได้ทั้งการเมืองการปกครองและการต่อสู้ด้วย ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า”

“ชาวทะเลทรายน่ะหรือ” เด็กสาวทักอย่างสงสัยขึ้นมา “จะไปรู้อะไรมากมายขนาดนั้น”

“หม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ เขาเพียงแต่พูดต่อๆ กันมา” สัมผัสของมือบนเรือนผมของเธอหายไป “เรียบร้อยแล้วเพคะ”

แอชลีนน์มองเงาสะท้อนบนกระจกที่หน้าโต๊ะแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินไปที่ประตูโดยไม่ได้สนอะไรนัก

...เพียงความคิดหนึ่งแวบขึ้นขณะปรายมองหนังสือบนโต๊ะที่ปิดสนิท...

“เคียรา อารามที่เราจะไปเดินทางแสวงบุญเมื่อเร็วๆ นี้ก็อยู่ในแคว้นยาร์ลาธใช่ไหมนะ”

* * *

แสงตะวันยามเย็นฉาบเสื้อผ้าสีอ่อนจนดูเป็นสีส้ม และสายลมแรงแห่งฤดูร้อนก็พัดพวกมันให้ปลิวไสว

หญิงสาวที่มีครรภ์ใหญ่จนเห็นได้ชัดเก็บผ้าผืนสุดท้ายบนราวใส่ในตะกร้าหวาย ก่อนจะเหลียวมองไปรอบๆ ครั้นไม่พบสมาชิกในบ้านอยู่แถวนั้นก็ทำท่าจะคู้ตัวลง

...แต่แล้วมือของใครสักคนก็จับเข้าที่ตะกร้าใบนั้นเสียก่อน

“ให้ข้าช่วยเถอะ”

เธอเงยหน้าขึ้นมองชายคนนั้นแล้วยิ้ม

“อาเมียร์! ลูกมาตั้งแต่เมื่อไรกัน”

“เพิ่งมาเมื่อครู่นี้เองแม่” เด็กหนุ่มยกตะกร้าขึ้นประคองในสองแขนอย่างไม่เปลืองแรงนัก

“แล้วลูกรู้ได้อย่างไรว่าพวกเราย้ายมาที่นี่แล้ว” สิมาตั้งคำถาม

“ก็...ข้าขอให้คนของท่านเจ้ามณฑลช่วยสืบให้” อาเมียร์ตอบ ปิดความจริงไว้ว่าแต่แรกเขาก็เป็นคนขอให้ท่านเจ้ามณฑลช่วยหาบ้านในชนบทที่ไม่ไกลและพอเหมาะกับฐานะของครอบครัวเขาให้ แล้วฝากบอกผ่านหัวหน้าพ่อค้าที่เป็นนายจ้างของซิอ์บุลอย่างลับๆ ซ้ำใช้ค่าจ้างล่วงหน้าของตนช่วยแบ่งเบาค่าบ้านไปบางส่วนแล้ว

“นี่ลูกพบพ่อหรือยัง”

“...ยัง...ข้าไม่เห็นใครตรงหน้าบ้าน เลยอ้อมมาข้างหลังก่อน แล้วก็เจอแม่เป็นคนแรกนี่ล่ะ”

เด็กหนุ่มพูดปดอีกครั้ง ไม่อยากบอกว่าเขาเห็นอีกฝ่ายต้อนวัวอยู่ไวๆ แต่ตัดสินใจจะไม่เข้าไปหาก่อน

“แปดเดือนแล้วใช่ไหมนี่” เขาตัดสินใจถามบ้าง เพื่อกันไม่ให้อีกฝ่ายซักต่อ

“จ้ะ”

“แม่น่าจะให้ลีชาเก็บผ้าแทนนะ ก้มๆ เงยๆ มากไม่ดีหรอก”

“หลังบ้านนี้โล่ง ลีชาไม่ค่อยกล้าออกมาเท่าไร” ผู้เป็นแม่ให้เหตุผล “แล้วลูกล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้มาตั้งเกือบเดือนทีเดียว”

“ข้าก็อยากมาให้เร็วกว่านี้ แต่เพิ่งเริ่มงานเดือนแรกก็ต้องตั้งใจหน่อย แล้วก็นี่...” เขาเอื้อมมือข้างหนึ่งไปหาถุงเงินที่เข็มขัด ก่อนจะหยิบเหรียญออกมาให้จำนวนหนึ่ง ยื่นให้กับมือของหญิงสาว “...เงินเดือนเดือนแรกของข้า ข้าแบ่งมาให้”

สิมากลับมองเงินตรงหน้านิ่งอยู่

“แล้วลูกมีเงินใช้พอหรือ”

“พอ เขาให้ข้ามาเยอะกว่านี้อีก แม่ไม่ต้องห่วงหรอก” อาเมียร์รับรองยิ้มๆ “ข้าก็ไม่รู้จะเอาไปใช้อะไรด้วย เพราะข้าก็พักกินอยู่ที่นั่นเลย”

“แล้วเรื่องเสื้อผ้าล่ะ ลูกมีพอไหม” หญิงสาวยังไม่วายถาม “ต้องการเสื้อผ้าใหม่หรือเปล่า แม่จะได้เย็บให้”

“ท่านเบเรคให้เสื้อผ้าใหม่ข้ามาหลายตัวเหมือนกัน...เหมือนเครื่องแบบน่ะแม่” เด็กหนุ่มตอบ “แต่วันนี้ข้าไม่ได้ใส่มา มันดูไม่เหมือนเสื้อผ้าชาวไร่เท่าไร”

ผู้เป็นแม่ยังไม่มีทีท่าจะรับ

“รับไปเถอะแม่ เผื่อจะซื้ออะไรใหม่ๆ ให้นาสิรากับฟาร์ฮานาห์ แล้วก็ลีชาด้วย” อาเมียร์อดกระซิบไม่ได้ “‘พ่อ’ คงไม่ว่าอะไรหรอก ถ้ารู้ว่าข้าให้แม่เอง”

“แม่ไม่ได้เป็นห่วงเรื่องนั้นจ้ะ” สิมายิ้มเฝื่อนๆ ให้เขา “แม่แค่อยากให้อาเมียร์เก็บเงินไว้ใช้ของตัวเองมากกว่า”

“ไม่เป็นไร ข้าก็มีเงินเก็บของข้าอยู่”

“สิมา” เสียงเรียกดังตามหลังเสียงเปิดประตูหลังบ้าน

ทั้งสองหันไปหาชายวัยกลางคนเจ้าของเสียงพร้อมกัน ขณะที่คนคนนั้นนิ่งอึ้งไปนาน

“ขอโทษนะ ข้าไม่รู้ว่ามีธุระอยู่ เดี๋ยวค่อยคุยกันทีหลังก็แล้วกัน” ซิอ์บุลทำท่าจะปิดประตูกลับเข้าไปอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรค่ะ ท่านซิอ์บุลมีอะไรหรือคะ” หญิงสาวรีบถาม

“แค่...แขนเสื้อข้าถูกตะปูเกี่ยวขาดไปหน่อย เลยว่าจะขอให้เจ้าช่วยเย็บให้น่ะ คุยธุระให้เรียบร้อยก่อนเถอะ”

ประตูปิดลง ทิ้งทั้งสองให้อยู่ตามลำพังอีกครั้ง

“ข้าก็คงต้องกลับเสียที” อาเมียร์เอ่ยขึ้นบ้าง “เดี๋ยวข้าจะมาเยี่ยมใหม่นะแม่ ฝากบอกน้องๆ ด้วยว่าคิดถึง”

“เดี๋ยวสิจ๊ะ ไม่อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันหรือ”

“...ข้าไม่ควรกลับเย็นมาก เดี๋ยวจะลำบากทหารที่หน้าประตูจวน”

“...ไม่อยากกลับเย็นมาก หรือไม่อยากคุยกับ ‘พ่อ’ กันแน่จ๊ะ”

เด็กหนุ่มชะงักกึกเมื่ออีกฝ่ายเดาตรงเผง แต่ยังหาเหตุผล

“ข้าว่าเขาเป็นฝ่ายที่ไม่อยากพูดกับข้ามากกว่า”

สิมาสั่นศีรษะ

“’พ่อ’ เขากลัวว่าลูกไม่อยากพูดกับเขานะ”

“...เขาบอกแม่อย่างนั้นหรือ”

“เขาไม่ยอมบอกอะไรแม่เลย” หญิงสาวยักไหล่น้อยๆ “บอกแค่ว่าเขาแพ้ลูก บ่นแค่ว่าเขาคงเป็น ‘พ่อ’ ที่ไม่ดี แต่แม่ก็รู้ว่าเขาเสียใจมาก ‘พ่อ’ เขารักและห่วงลูกมากนะ มีอะไรกันก็ควรจะปรับความเข้าใจกันตรงๆ ไม่ใช่หรือ”

“...ข้ารู้” อาเมียร์ตอบเบาๆ “ข้าบอกเหตุผลกับความรู้สึกของข้าไปแล้ว ขึ้นอยู่กับเขานั่นล่ะว่าจะยอมรับได้หรือเปล่า”

“แล้วลูกฟัง ‘พ่อ’ เขาหรือเปล่าล่ะ” สิมายังไม่วายติง “ถึงลูกจะบอกเรื่องของลูกชัดเจนแล้ว แต่ไม่ยอมฟังเรื่องของอีกฝ่ายเลยก็ไม่มีทางจะเข้าใจกันได้หรอก”

“ข้าฟังมาเยอะแล้วนะแม่” เด็กหนุ่มระบายลมหายใจช้าๆ “ตอนที่เขาเล่าให้น้องๆ ฟังว่าเขาพบรักกับแม่ได้อย่างไร...ว่าแม่เป็นคนสวยแล้วก็ร่าเริงแค่ไหน...ข้าก็รู้แล้วว่าเขามีความสุขมาก ทั้งในตอนนั้นและในตอนนี้ ข้าไม่อยากอยู่ตอกย้ำให้เขานึกถึงอะไรที่ไม่ควรนึกขึ้นมา”

...อะไรบางอย่าง...ใครบางคนที่เรียกว่า ‘ดอร์มิน’ ซึ่งเป็นสามีคนแรกของแม่ของเขา และเป็นเจ้าของเลือดครึ่งหนึ่งในตัวเขา...

“...อาเมียร์...”

“ข้าอยู่ในโลกแบบเดียวกับเขาไม่ได้หรอกแม่” อาเมียร์ตัดสินใจพูด “ข้าต้องไปตามทางของข้า ต้องหาทางของข้าให้เจอ...ตามที่เสด็จพ่อบอกไว้”

“แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเส้นทางของพวกเราจะบรรจบกันไม่ได้นี่จ๊ะ” หญิงสาวเอ่ยเบาๆ “’พ่อ’ เขาก็ไม่ว่าอะไรถ้าลูกจะออกไปหาเส้นทางของลูกเอง แต่อย่าทำให้ ‘พ่อ’ ต้องกังวลใจอย่างนี้เลย”

เด็กหนุ่มอยากบอกว่า...อดีตเสด็จอาของเขาไม่จำเป็นจะต้องกังวลใจเรื่องเขาให้มากนักเลย ในเมื่อเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของท่านสักหน่อย แต่ก็เงียบไว้เพราะรู้ว่าแม่ต้องไม่พอใจแน่หากพูดออกไป

ทั้งสองถูกขัดจังหวะอีกครั้ง

“พี่อาเมียร์!!” นาสิราวิ่งปร๋อมาหาเขาจากประตูหลังบ้าน ตามด้วยฟาร์ฮานาห์ที่วิ่งช้ากว่า “พี่อาเมียร์กลับมาแล้วเหรอ พี่ไปไหนนานจัง”

“พี่ไปทำงานน่ะ” อาเมียร์วางตะกร้าผ้าลง เก็บเหรียญเงินเข้าถุง แล้วช้อนตัวน้องสาวขึ้นจนเท้าลอยพ้นพื้นเมื่ออีกฝ่ายทำท่าบอกให้เขาอุ้ม “แวะมาเยี่ยมแล้วต้องกลับไปทำงานอีก พวกเราเป็นเด็กดีกันหรือเปล่า”

เด็กหนุ่มวางนาสิราลง แล้วยกฟาร์ฮานาห์ให้ลอยขึ้นบ้างขณะพูดคุยกันเล็กน้อย ก่อนจะฝากเงินให้กับเด็กทั้งสองแทน

...แล้วก็ขอตัวกลับไปโดยไม่ต้องอยู่กินอาหารเย็นด้วยได้สำเร็จ...

* * *

อาเมียร์พบเรื่องประหลาดใจเมื่อกลับมาถึงประตูจวนในเย็นนั้น จากคำบอกเล่าของทหารยาม

“มีคนมาถามหาท่านอาเมียร์ขอรับ”

“ใครกันหรือ” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว นึกไม่ออกเลยว่าจะมีใครมาหาเขาในตอนนี้

“เด็กผู้ชายคนหนึ่งขอรับ ดูท่าทางจะไม่รู้จักชื่อท่าน แต่บอกว่าอยากขอพบอาจารย์ของคุณชายเฟลิมน่ะขอรับ”

“อย่างนั้นหรือ”

“ข้าบอกว่าท่านออกไปข้างนอก แต่คงกลับมาภายในเย็นนี้ เขาก็รออยู่จนตะวันใกล้ตกดินถึงได้กลับไป แต่บอกว่าพรุ่งนี้จะมาใหม่”

“อ้อ” อาเมียร์รับ “พรุ่งนี้ข้ามีสอน คงไม่ออกไปไหน ถ้าเขามาก็...ให้คนมาบอกข้าก็แล้วกัน”

เขาก็ไม่รู้ว่านั่นเป็นเด็กชายที่ไหน จะมาหาด้วยธุระอะไร แต่ก็คิดว่าทางเดียวที่จะรู้ก็มีแต่จะต้องพบอีกฝ่ายเท่านั้น

* * *

เช้าวันต่อมา ทหารยามหน้าจวนมาแจ้งตอนที่เขากำลังรับประทานอาหารเช้าร่วมกับครอบครัวของท่านเบเรคพอดี ว่าเด็กชายคนนั้นกลับมาหาเขาอีกครั้ง และเมื่ออาเมียร์อธิบายเล็กน้อยว่าเขาก็ไม่รู้จักเด็กชายที่ว่า แต่อยากรู้ว่ามีธุระอะไรกัน ก่อนจะรีบอิ่มแล้วขอตัวไปดูที่หน้าประตู นายจ้างของเขาก็ไม่ได้ว่ากระไร

ที่ยืนอยู่หน้าประตูเหล็กเป็นร่างผอมบาง เตี้ยกว่าเขาอยู่บ้าง เสื้อผ้าของอีกฝ่ายบอกสถานะว่าไม่ได้เป็นชาวบ้านหรือชาวไร่ธรรมดา เพราะดูสะอาดเรียบร้อยเหมือนลูกพ่อค้าหรือขุนนางระดับล่าง มีดาบที่ดูใหญ่พอดูเมื่อเทียบกับร่างเล็กๆ แขวนที่เข็มขัดข้างเอว เด็กหนุ่มมีผมสั้นสีน้ำตาลเข้มและดวงตาสีน้ำตาลอ่อน เค้าหน้าดูเหมือนเด็กชายที่ออกสะสวยสะอาดสะอ้าน

“ท่านคืออาเมียร์ที่เขาว่ากันหรือ”

“ใช่” เด็กหนุ่มรับแล้วถามกลับ ตัดสินใจเรียกเด็กชายอย่างเป็นกันเองกว่า เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายน่าจะมีอายุน้อยกว่าเขา คงราวสิบสามสิบสี่ปี เพราะเสียงฟังดูยังไม่แตกดี “เจ้ามีธุระอะไรกับข้าหรือ”

“คือข้าเป็นมหาดเล็กในขบวนเสด็จของเจ้าหญิงแอชลีนน์” เด็กคนนั้นพูดคล่องปรื๋อ “ตอนนี้เจ้าหญิงเสด็จมาประทับที่อารามใกล้ๆ นี้ ข้าได้ยินว่าลูกชายของท่านเจ้ามณฑลแห่งยาร์ลาธมีอาจารย์ฝีมือดี เลยขอตามเสด็จมาที่นี่ด้วย แล้วเจ้าหญิงก็ทรงอนุญาตให้ข้ามา...ดูการฝึกสอนของท่าน”

“อ๋อ” อาเมียร์รับ

เด็กชาย...หรือที่ถูกควรจะเป็นเด็กหนุ่ม...ล้วงมือไปหยิบกระดาษพับหนึ่งในกระเป๋าเสื้อกั๊กออกมา

“นี่เป็นจดหมายรับรองของเจ้าหญิง...ขอรับ ฝากให้ท่านเจ้ามณฑลดูว่าจะอนุญาตได้ไหม”

อาเมียร์รับกระดาษใบนั้นลอดซี่เหล็กของประตูใหญ่

“เดี๋ยวข้าจะเข้าไปถามท่านเจ้ามณฑลดูก่อนแล้วกัน” เขาตอบแบ่งรับแบ่งสู้

* * *

ท่านเบเรคมีสีหน้าประหลาดใจอยู่บ้างเมื่อเขาเล่าเรื่องเด็กหนุ่มที่หน้าประตูให้ฟัง

“มหาดเล็กของเจ้าหญิงหรือ”

“ขอรับ” อาเมียร์ตอบ “ข้าไม่ทราบว่าท่านจะอนุญาตให้เขาเข้ามาดูหรือเปล่า เลยถามก่อน”

“ตอนนี้เจ้าหญิงแอชลีนน์กำลังประทับอยู่ที่อารามใกล้เมืองของเราจริงๆ หากเป็นมหาดเล็กของเจ้าหญิง จะขอมาเรียนด้วยเลยข้าก็ไม่ว่า เสียแต่ต้องดูแลให้แน่ใจว่าไม่มีอันตรายอะไร”

“ขอรับ” เด็กหนุ่มส่งจดหมายที่ได้รับมาให้ “เขามีจดหมายรับรองมาด้วยขอรับ”

ชายวัยกลางคนคลี่ออกอ่าน ขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปรย

“ข้าไม่เคยเห็นลายพระหัตถ์ของเจ้าหญิง แต่ตราพระราชลัญจกรนี่ดูเหมือนจะเป็นของจริง”

“ถ้าอย่างนั้น...ท่านจะอนุญาตให้เขาเข้ามาใช่ไหมขอรับ”

“ขออนุญาตค้นตัวก่อน” เจ้ามณฑลพับจดหมายเก็บ “หากบริสุทธิ์ใจจริงก็ไม่ควรจะมีปัญหาเรื่องนี้แหละนะ”

* * *

เด็กหนุ่มที่หน้าประตูกลับตกใจเมื่อเขาเทียวกลับไปบอกอีกครั้ง

“ต้องค้นตัวด้วยหรือ!”

“ให้แน่ใจว่าเจ้าไม่ได้พกอาวุธหรือของอันตรายอะไรมาเท่านั้นเอง” อาเมียร์รับรอง

“แต่...แต่ท่านก็เห็นแล้วนี่ว่าข้าไม่มีของพวกนั้นเลย มีแต่ดาบเล่มนี้เล่มเดียวจริงๆ ” เด็กหนุ่มกางสองแขนออก

ชายผู้มากวัยกว่าขมวดคิ้ว มองร่างที่สวมเสื้อค่อนข้างหลวมโพรกเกินวัยแล้วตัดสินใจพูด

“ก็ค้นตัวหน่อยเดียว แค่ถอดเสื้อให้ดู แล้วก็ตรวจกระเป๋าเสื้อกับกางเกงสักหน่อยว่าไม่มีอะไรแค่นั้น”

คนฟังกลับมีสีหน้ากระอักกระอ่วน และหากอาเมียร์ดูไม่ผิดก็เหมือนจะมีสีเรื่อขึ้นที่แก้มหน่อยๆ

เพียงเท่านี้...เขาก็เดาอะไรบางอย่างที่อีกฝ่ายไม่พูดออกมาได้อย่างง่ายดาย

“คงไม่ต้องถึงขั้นถอดเสื้อหรอกขอรับ ท่านอาเมียร์” ทหารยามที่หน้าประตูดูเหมือนจะเห็นใจผู้มาเยือน จึงได้แทรกขึ้น “แค่ตบๆ ลูบๆ ตามตัวก็รู้แล้วขอรับว่าซ่อนอะไรมาในสาบเสื้อหรือเปล่า สงสารเด็กมันเถอะขอรับ ท่าทางจะอายแย่แล้ว”

“เอาอย่างนั้นก็ได้” เขาแกล้งพูดเสียงขรึม “ให้เขาเข้ามาสิ เดี๋ยวข้าจะตรวจเอง”

พอร่างเล็กๆ นั้นผลุบตัวลีบเข้าประตูมา เขาก็บอกให้ถอดเสื้อกั๊ก ส่งให้ทหารยามตรวจดูว่าไม่มีอะไร ส่วนตนเองก็สั่งให้เด็กหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่ายืนกางแขนแล้วตบๆ ตั้งแต่สีข้างไล่ลงมา

คนถูกค้นตัวเกร็งเมื่อมือของเขาเคลื่อนลงมาแถวสะโพก...ถึงอาเมียร์จะจงใจไม่ให้โดนเนื้อตัวของอีกฝ่ายนัก เขาทำเป็นตรวจพอเป็นพิธี ดูว่าในกระเป๋ากางเกงกับถุงเงินมีอะไรซ่อนอยู่ไหม แล้วก็ปล่อยให้เด็กหนุ่มเข้ามาได้เมื่อไม่พบสิ่งของต้องสงสัย

* * *

ท่านเบเรคมีงานด่วนที่ศาลาเมืองตั้งแต่เช้า จึงไม่ได้อยู่พบเด็กหนุ่มคนนั้น และอาเมียร์ก็พาเขาเข้ามาในห้องหนังสือ ซึ่ง ‘ลูกศิษย์’ เดิมทั้งสองคนรออยู่แล้ว

“นี่คุณชายเฟลิม แล้วนี่คุณชายรูอาร์ค” อาเมียร์แนะนำชื่อชายหนุ่มผมสีน้ำตาล กับเด็กหนุ่มผมสีแดง

“ย...ยินดีที่ได้รู้จักขอรับ” เด็กหนุ่มผู้มาใหม่ซึ่งเด็กที่สุดค้อมศีรษะเสียต่ำ “ข...ข้าชื่อแอช...”

“แอช...หรือ” อาเมียร์ทวนขณะสะกดความยินดีไว้ในใจ

“ข...ขอรับ”

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เฟลิมเป็นคนพูดยิ้มๆ ด้วยเสียงเป็นมิตรตามแบบฉบับของเขา “เรียกพวกเราว่าเฟลิมกับรูอาร์คก็ได้ ไม่ต้องมีพิธีรีตองกันหรอก”

อาเมียร์เองก็เรียกทั้งสองด้วยชื่อง่ายๆ เช่นกัน ตั้งแต่วันแรกเมื่อเฟลิมบอกเขาอย่างนั้น กระนั้นอีกฝ่ายยังเรียกเขาว่า “อาจารย์” โดยไม่ถือตัวว่าตนเองมีฐานะสูงกว่า หรือมีอายุมากกว่าถึงสามปีเลยแม้แต่น้อย

“อย่าเรียกข้าว่าคุณชาย” รูอาร์คซึ่งมีอายุไล่ๆ กับอาเมียร์พูดขึ้นพลางยักไหล่ ไม่ได้มองหน้าคู่สนทนา “ฟังแล้วแสยง”

“รูอาร์ค” เฟลิมหันไปปรามน้องชายเบาๆ

รูอาร์คก็เป็นคนที่...ไม่ถือตัว...ในความรู้สึกของอาเมียร์ แต่ก็ออกจะมีอะไรแปลกไปกว่าไม่ถือตัวด้วยความเป็นมิตร...อยู่สักหน่อย

เด็กหนุ่มไม่ได้ตั้งใจเรียนเท่าเฟลิม เขาพร้อมจะขอตัวออกไปเข้าห้องน้ำ (แต่ที่จริงออกไปเดินลอยชาย) หรือฟุบหลับอย่างไม่ปิดบังโดยไม่รบกวนบรรยากาศในการเรียนการสอน ทว่านอกจากนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรที่เรียกได้ว่าเกเรเกินไปนัก

“แอชเพิ่งมาใหม่ เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะทบทวนบทเรียนของที่ผ่านมาก็แล้วกัน เจ้าเคยเรียน...” เขาเอ่ยชื่อตำราการปกครองที่นิยมในอาณาจักรนี้เล่มหนึ่ง “ใช่ไหม”

“ก...ก็นิดหน่อยขอรับ” คนถูกถามก้มหน้า “แต่...แต่ก็ไม่ได้เรียนมามาก”

“ไม่เป็นไรหรอก” อาเมียร์ยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้น “แค่ทบทวนเท่านั้นเอง จำอะไรได้ก็เสริม แต่ถ้าจำไม่ได้ก็จดไปก็ได้ เรามีกระดาษเกินพอ”

แอชดูเหมือนจะเคยเรียนบทต้นๆ มาก่อน แต่ก็จำไม่ได้มากจริงๆ ตามที่พูด ทว่าเมื่อมีจุดไหนที่จำได้ ตอบได้แล้วอาเมียร์ชมก็ดูจะผ่อนคลายมากขึ้น ส่วนที่ดูเหมือนจะลืมไปแล้วหรือเพิ่งได้เรียนก็จดด้วยลายมือตัวเล็กๆ เสียยาวเต็มหน้ากระดาษ

จัดว่าเป็นเด็กที่เรียนรู้เร็วคนหนึ่ง...แม้ว่าพื้นฐานจะอ่อนไปสักหน่อย

ชั้นเรียนวิชาการปกครองดำเนินไปจนเที่ยง ซึ่งเป็นเวลาที่คนรับใช้เชิญทั้งสี่ไปยังห้องอาหาร แล้วจึงต่อด้วยการเรียนการต่อสู้ในตอนบ่าย

หลังสอนกระบวนท่าดาบเพิ่มเติม อาเมียร์ก็ให้จับคู่ซ้อมกัน โดยให้เฟลิมกับรูอาร์คเป็นคู่หนึ่ง ขณะที่ตนลองซ้อมให้แอชเป็นครั้งแรก

เด็กหนุ่มคนใหม่ต้องปรับพื้นฐานใหม่แทบทั้งหมด เพราะกระทั่งท่าจับดาบกับป้องกันก็ยังจำไม่ค่อยจะได้

แต่อาเมียร์ก็ไม่ได้ว่าอะไร และเริ่มสอนให้ใหม่ตั้งแต่แรก ขณะหันกลับไปดูเฟลิมกับรูอาร์คเป็นระยะๆ จนถึงเวลาเลิกเรียนของวันนั้นในที่สุด

เมื่อนั้นทั้งสี่จึงได้ไปล้างหน้าและดื่มน้ำที่บ่อน้ำริมสวน อากาศในฤดูร้อน แดด และการออกแรงทำให้เหงื่อของแต่ละคนชุ่มเสื้อ กระทั่งรูอาร์คถึงกับถอดเสื้อออกเสียตรงนั้นแล้วกว้านถังน้ำขึ้นมาราดหัวตัวเองเสียสองโครมใหญ่

อาเมียร์เห็นแอชเสไปมองทางอื่นอย่างไม่สบายใจนัก

“อย่าถอดเสื้อต่อหน้าธารกำนัลสิรูอาร์ค มันไม่สุภาพ” เฟลิมเป็นคนปราม

“ไม่สุภาพอะไร ก็ผู้ชายด้วยกันทั้งนั้น” รูอาร์คพูดพลางเอาเสื้อพาดบ่า ก่อนจะหันมาทางเด็กหนุ่มที่ไม่ยอมหันมา “เจ้าเปี๊ยกนั่นน่ะ เสื้อเปียกเหงื่อเป็นดวงแล้ว ถอดเสื้อราดน้ำสักหน่อยสิ ทิ้งไว้เดี๋ยวเหม็นแย่”

“ม...ไม่ล่ะ ขอบคุณ” แอชตอบตะกุกตะกัก “ข...ข้าเป็นคนเมืองหลวง ม...ไม่ชินกับเรื่องแบบนี้”

“ทำได้เสียที่ไหนเล่า เขาไม่มีเสื้อผ้าสำรองติดมาสักหน่อย” อาเมียร์ช่วยแก้สถานการณ์ให้ “หรือเจ้าจะให้ยืมเสื้อผ้าก่อนล่ะ รูอาร์ค”

“ตามสบายเลย” รูอาร์คกลับตอบอย่างไม่สนอะไรนัก “คนเราปกติใส่เสื้อผ้าได้แค่ทีละชุด จะไปเก็บไว้ทีละสิบๆ ชุดให้มันรกตู้ไปทำไมก็ไม่เข้าใจ”

“ขอบคุณ...แต่ไม่ต้องหรอก” เด็กหนุ่มตัวเล็กสุดปฏิเสธทันควัน “ข...ข้ารีบกลับไปอาบน้ำที่อารามดีกว่า”

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปส่งที่ประตูหน้านะ” อาเมียร์อาสา “พวกเจ้าสองคนก็ไปอาบน้ำก่อนเถอะ”

ว่าแล้วเขาก็ก้าวนำแอชไปตามทางเดินในสวน ซึ่งลัดเลาะโอบล้อมคฤหาสน์ด้านหนึ่ง

และหลังจากกวาดมองรอบด้านให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้แล้ว อาเมียร์ก็กระซิบ

“ถ้าคิดจะปลอมตัวเป็นผู้ชายให้ได้ตลอดรอดฝั่ง...ต้องทำให้แนบเนียนกว่านี้หน่อยนะ”

ร่างเล็กกว่าชะงักเท้ากึก หันกลับมาทางเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง

“นี่ท่าน...”

“เจ้าดู...ขี้อายผิดผู้ชายไปหน่อย”

แอชเงียบไป

“ข้าไม่ได้จะว่าอะไร แล้วก็จะไม่ถามด้วยว่าทำไมเจ้าถึงปลอมตัวมาอย่างนี้” อาเมียร์บอก “แต่ถ้าความแตกแล้วจะเป็นปัญหาก็ต้องระวังให้มาก หรือถ้าจะบอกเฟลิมกับรูอาร์คไว้ก่อนแล้วขอให้พวกเขาช่วยปิดก็ได้ ข้ารับรองได้ว่าพวกเขาไว้ใจได้”

เด็กสาวในคราบเด็กหนุ่มยังไม่พูดอะไรไปอีกครู่ ก่อนจะตอบเบาๆ

“ไม่ล่ะ ให้ท่านรู้คนเดียวก็พอแล้ว”

อาเมียร์ไม่ตอบว่าอะไร

“คือข้า...” แอชเอ่ยต่อ “...ข้าเป็นนางกำนัลของเจ้าหญิงน่ะ ข้าอยากมีความรู้...แล้วก็มีวิชาที่จะช่วยแบ่งเบาภาระของเจ้าหญิงได้บ้าง”

“อ๋อ” อีกฝ่ายรับ แล้วก็ตบไหล่ของเด็กสาวเบาๆ “พยายามเข้าล่ะ”

แอชเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้เขาอย่างสดใสขึ้น

“แน่นอน”

* * *

หญิงสาวในห้องนอนที่ตกแต่งหรูหราแบบเรียบง่ายเดินวนไปมาอย่างกระวนกระวาย จนได้ยินเสียงเรียกและเห็นมือโบกจากแนวพุ่มไม้ เมื่อนั้นเองเธอจึงได้กระวีกระวาดไปหยิบเชือกขดใหญ่ที่ซ่อนไว้ในตู้ออกมา มัดปมที่ตะขอหน้าต่าง แล้วทิ้งเชือกลงไป

...แล้วก็รอด้วยใจเต้นระรัวจนร่างเพรียวบางข้างล่างไต่ขึ้นมาถึง...

“องค์หญิง ทำไมวันนี้ถึงได้เสด็จไปนานนักเพคะ!” เคียราถามละล่ำละลักพลางถอดช้องผมสีเกาลัดออกจากศีรษะของตน “แล้วดูซิ...ทำไมถึงพระวรกายมอมแมม...พระเสโทโชกอย่างนี้!”

“ก็...ก็เราซ้อมดาบมานี่” อีกฝ่ายตอบด้วยเสียงกระตือรือร้นผิดกัน “นี่เคียรา เขารับจะสอนเราด้วยล่ะ...ถึงเขาจะรู้ความจริงก็เถอะ!”

“ตายล่ะ!” เคียราอุทาน

“ไม่ใช่...คือถึงเขาจะรู้ว่าเราเป็นผู้หญิง เขาก็ยังจะสอนเรา ดีใช่ไหม...ดีใช่ไหมล่ะเคียรา”

“ก็...ดีกระมังเพคะ” นางกำนัลสาวในชุดของเจ้านายถอดช้องผมสั้นสีน้ำตาลเข้มให้นายหญิง ก่อนจะดึงเส้นผมยาวสีเกาลัดออกมาจากในคอเสื้อด้านหลัง “ทรงผลัดฉลองพระองค์ แล้วก็รีบเสด็จไปสรงน้ำเร็วๆ เถอะเพคะ หม่อมฉันใจหายแทบแย่ว่าจะถูกใครจับได้หรือเปล่า”

“อื้อ จะรีบไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” เจ้าหญิงแอชลีนน์รับ ประกายตาระยิบระยับเหมือนเด็กๆ “แต่พรุ่งนี้...ตั้งแต่พรุ่งนี้เราจะออกไปเรียนกับเขาแต่เช้าเลยล่ะเคียรา!”

“พรุ่งนี้...อีกหรือ...”

นางกำนัลสาวรู้สึกอยากเป็นลมเป็นที่ยิ่ง


บทที่ ๙ ความอยากรู้

* * *

และแล้วเธอก็ออกโรง มีสงครามทั้งที เจ้าหญิงของอาณาจักรจะไม่มีบทบาทเลยได้ยังไงครับ...ถึงจะช้าไปนิดก็เถอะ ^^;;;

พ่วงทั้งองครักษ์คนสนิทและนางกำนัลมาด้วย ขณะที่ด้านอาเมียร์ของเราก็เริ่มงานสอนสองลูกศิษย์หนุ่มมาได้พักหนึ่งก่อนจะมีแอชมาเป็นลูกศิษย์ใหม่ และยังไม่ได้คืนดีกับพ่อเลย (ดื้อจริงๆ)

เรื่องที่แอชถูกอาเมียร์จับได้ว่าเป็นผู้หญิงตั้งแต่วันแรก จะมองว่าเธอทำตัว "ไม่เนียน" ส่วนหนึ่งก็ได้ครับ แต่อีกส่วนคงเป็นเพราะอาเมียร์ช่างสังเกตมากกว่าคนอื่นๆ และช่างคิดปะติดปะต่อด้วย อยากแซวเรื่องแนวนางเอกแต่งชายที่พระเอกไม่เคยจับได้จนจะท้ายเรื่องเสียทีน่ะครับ ^^a

แต่ตอนนี้ ถ้าถามว่าผมสงสารใครที่สุดคงเป็นเคียรา (แทบหัวใจวายกับการเล่นเสี่ยงหลายวันซ้อนของเจ้าหญิง) รองลงมาก็ท่านซิอ์บุล (เห็นลูกกลับมาแต่ไม่กล้าพูดด้วย) แฮะ

และรูปตัวละครใหม่อีก 2 เซ็ทครับ

ดูลัส เคียรา แอชลีนน์ กับแอช (ตอนปลอมตัว) เจ้าหญิงดูสูงกว่าตอนเป็นแอชเยอะเพราะใส่ส้นสูงเพิ่มความสง่า ^^a



สองพี่น้องสองมุม เฟลิมกับรูอาร์ค




Create Date : 22 มกราคม 2552
Last Update : 22 มกราคม 2552 23:50:39 น. 0 comments
Counter : 424 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Anithin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add Anithin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.