|
บทที่ ๑๙ - ศึกหักล้าง
คุณริวไผ่ - ก็น่าหนักใจแทนพระเอกเราล่ะครับ ลูกศิษย์อายุเท่ากันดันตีซี้ ส่วนคนอายุมากกว่าก็น่าเป็นห่วงว่าจะทำอะไรเองได้มากเท่าไหร่ คงต้องค่อยๆ ฝึกกันไป ^^a
ตอบปล. ถ้าพระเอกเป็นคนที่ต้องคู่กับนางเอก เห็นทีเปลี่ยนแล้วคงเป็นเรื่องยุ่ง แต่รูอาร์คก็มีบทสำคัญในกลุ่มตัวเอกอยู่เหมือนกันครับ ต่อไปคงได้เห็นมุมมองของเจ้ากระรอกแดงนี่มากขึ้นเหมือนกัน
* * *
บทที่ ๑๙ ศึกหักล้าง
เมฆลอยครึ้มบนฟ้าในคืนเดือนมืด...อำพรางกลุ่มคนที่ค่อยๆ ลัดเลาะไปตามแนวสน โดยมีจุดหมายคือกำแพงไม้ซุงที่เห็นคนในชุดเกราะยืนเฝ้าอยู่หน้าทางเข้าสองคน และมีแสงไฟส่องสว่างมาจากภายใน
เกอร์มอนซึ่งเป็นผู้นำคนกลุ่มนั้นมองทหารยามที่เฝ้าอยู่ตรงหน้าก่อนจะโบกมือสั่งให้พลธนูยิงออกไป
ธนูดอกหนึ่งถูกทหารยามคนหนึ่ง แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ขยับเขยื้อน...พูดให้ถูกคือไม่มีท่าทางจะรับรู้เสียด้วยซ้ำ
เจ้าสองคนไปสำรวจดู เขาโบกมือสั่งทหารอีกสองนาย
ทั้งสองก้าวไปตรงหน้าทหารยามของอีกฝ่ายอย่างระแวดระวังตามคำสั่ง แต่พออยู่ห่างออกไปราวๆ สิบก้าวก็สะดุ้งเฮือกเมื่อมีเสียงบางสิ่งดีดดังผึง...ตามมาด้วยเสียงของกระแทกชุดเกราะอ่อน เสียงร้องอย่างตกใจของคนโดน...และควันสีตุ่นฟุ้งกระจาย
เกอร์มอนยกมือห้ามทหารคนอื่นๆ ไม่ให้วิ่งออกไป ส่วนทหารทั้งสองคนยืนมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่คนหนึ่งจะยกมือขึ้นแตะอกของตน ดูสีที่ติดอยู่แล้วหันกลับมาบอก
ลูกหิมะย้อมสี...ข้าต้องออกไปแล้วขอรับ
แล้วเจ้าอีกคนล่ะ
ถูกแค่ไหล่ขอรับ
หัวหน้ากลุ่มพยักหน้า
ยังสู้ต่อได้ ส่วนเจ้า...ขอบใจมากที่ทำหน้าที่ด้วยดีมาตลอด พวกเจ้าทุกคนค่อยๆ เข้าไป แต่ระวังกับดักไว้ให้ดี อย่าแตะต้องอะไรที่ผิดสังเกตเด็ดขาด
ทหารผู้บุกรุกค่อยๆ เคลื่อนพลไปยังประตูค่ายข้างหน้าอย่างระแวดระวังยิ่งกว่าเดิม โดยไม่สนใจตุ๊กตาหิมะสวมชุดเกราะทหารยามสองตัวนั้น...ซึ่งมีกิ่งสนโค้งริดใบแปะบนหน้าแทนรอยยิ้มกว้างเหมือนจะยั่วล้อ
* * * เป็นอย่างที่ท่านดูลัสคิดไว้จริงๆ ด้วย...เกอร์มอนคิดขณะที่ค่อยๆ รุกไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ค่ายศัตรูมีทหารยืนเฝ้าอยู่เต็มไปหมดและจุดไฟไว้ตามที่ต่างๆ เหมือนเป็นปกติ...เพียงแต่ทหารทุกนายเป็นทหารตุ๊กตาหิมะ ซ้ำระหว่างทางยังมีกับดักดีดลูกหิมะดักอยู่เป็นระยะๆ
ในทีแรกเมื่อจับได้ว่ากลไกกับดักจะทำงานเมื่อทหารเหยียบหรือเตะเชือกที่ขึงซ่อนอยู่ในพื้นหิมะเข้า เขาก็บอกพวกนั้นให้ปลดกับดักโดยใช้ดาบไม้ทิ่มพื้นหิมะเบื้องหน้าและตีกวาดให้แน่ใจ นั่นได้ผลบ้าง...หากไม่นับว่าในบรรดากับดักพวกนั้นมีอันที่กะระยะดีดให้ถูกคนที่พยายามปลดกับดักแทนที่จะเหยียบไปตรงๆ อยู่ไม่น้อย จนกระทั่งพวกทหารไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดีให้ตนเองรอดปลอดภัย...ระหว่างพยายามไม่ให้ถูกกับดักกับพยายามปลดกับดักก่อน
แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากบุกต่อไปตามคำสั่งของท่านดูลัส...ไม่ใช่เพื่อเผาธงเพราะหากพวกมันจงใจทิ้งค่ายจริงๆ ก็คงจะนำธงทัพติดไปด้วยและชักธงปลอมขึ้นแทน ทำลายเสบียงอาจเป็นผลพลอยได้ แต่ที่สำคัญกว่านั้น...
เสียงคล้ายประทัดแต่ดังกว่าแผดขึ้นครั้งหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงร้องอย่างตกใจ
เกอร์มอนรีบไปยังต้นเสียงโดยเร็วที่สุดขณะคอยระวังกับดักไปด้วย ก่อนจะปะเข้ากับทหารอีกคนที่วิ่งมาจากทางนั้น
เกิดอะไรขึ้น
พ...พวกเราพบกระโจมเสบียง เลยเผาทำลายตามคำสั่ง แล้ว...แล้วจู่ๆ ก็เกิดระเบิดขึ้นขอรับ
มีใครเป็นอะไรบ้างไหม
ถ้าบาดเจ็บจริงๆ ก็ไม่มีหนักขอรับ แต่...แต่ทั้งเจ็ดคนที่เข้าไปในกระโจมเสบียง...ติดสีทั่วตัวกันทุกคนขอรับ
เกอร์มอนฟังแล้วต้องบอกตนเองให้อารมณ์เย็นไว้ก่อนจะถาม
ในนั้นมีเสบียงอยู่จริงๆ หรือเปล่า
มีขอรับ...พวกเราตรวจดูแล้วก่อนจะลงมือเผา
ไปบอกคนอื่นๆ ให้พยายามปลดกับดักอื่นๆ ให้ได้มากที่สุด แล้วไปตั้งพลรออยู่ที่ริมแม่น้ำ หัวหน้ากลุ่มถ่ายทอดคำสั่งที่ได้รับมาจากนาย ก่อนจะหันกลับมาทางทหารอีกสามนายที่ติดตามตน พวกเจ้าไปสำรวจบริเวณนอกค่าย หาของตามที่ข้าสั่ง
ขอรับ!
เกอร์มอนมองพวกทหารไปตามคำสั่ง ก่อนจะครุ่นคิดทบทวนสิ่งที่ท่านดูลัสกำชับไว้ในใจ
พวกมันเดินแผนตามที่ท่านดูลัสคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด...หวังว่าพวกมันจะทำเช่นนั้นไปโดยตลอดจริงๆ เพื่อชัยชนะอันง่ายดายของพวกเขาเอง
* * * อาเมียร์ค่อยๆ โผล่ศีรษะขึ้นมองเชิงเทินบนค่ายของศัตรูด้านที่ติดกับแม่น้ำอย่างใจเย็น
ทางนี้เห็นจะมีคนคุ้มกันไม่มากจริงๆ อย่างที่เขาคิดไว้ น้อยคนนักที่จะคิดว่าศัตรูจะล่องทวนน้ำในแม่น้ำเย็นเฉียบขึ้นมาโจมตีตนจากฝั่งน้ำในเมื่อปราศจากอุปกรณ์และเวลาต่อเรืออย่างมีประสิทธิภาพ...นั่นคือหากลืมคิดไปว่าอุณหภูมิลดลงจนกระทั่งผิวหน้าของแม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งหนาพอจะลากเลื่อนไม้ที่ทำขึ้นอย่างง่ายๆ ผ่านได้
แต่เขาไม่คิดว่าดูลัสจะประมาทขนาดนั้น...
ถ้าบุกทางนี้...เราจะบุกได้ง่ายใช่ไหมขอรับ เฟลิมถามเบาๆ อยู่ข้างๆ เขา
ง่ายขึ้นกว่าบุกจากทางค่ายเรา...แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นดูลัส เราจะประมาทไม่ได้
ให้ตายสิ สำหรับอาจารย์และเพราะเรื่องที่อาจารย์ทำลงไป ไม่ว่ายังไงก็ประมาทไม่ได้ไปทุกทางนั่นล่ะ รูอาร์คบ่นขึ้น
ใช่ ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ประมาทไม่ได้ อย่าลืมว่าเราไม่มีค่ายให้กลับ ไม่มีเสบียงให้กินอีกแล้ว นอกเสียจากจะตีเข้าไปกินในค่ายของดูลัสให้ได้ เด็กหนุ่มผมดำกลับย้ำหนักแน่น
ไม่มีเสียงตอบจากคนอื่นๆ ...อาเมียร์ค่อยๆ ก้าวออกไปพร้อมกับโบกมือให้ลูกศิษย์ทั้งสองกับทหารทั้งหมดตามมา
* * * การเปิดฉากรบในคืนนั้นดูเหมือนจะเป็นไปด้วยดี
เขาให้พลธนูเก็บทหารบนเชิงเทินได้โดยง่าย...ฝ่าประตูค่ายเข้าไปได้โดยง่าย...ทหารของดูลัสออกมารับหน้าตรงๆ แต่ไร้เงาร่างของผู้นำทัพอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้...
อาเมียร์นึกไว้ว่าดูลัสย่อมฉวยโอกาสโจมตีค่ายของเฟลิมในคืนนั้น...ในขณะที่พวกเขากำลังเหน็ดเหนื่อยกับศึกเมื่อกลางวัน จำนวนทหารที่ออกมารับหน้าพวกเขายืนยันว่ามีกำลังพลบางส่วนหายไปจริงๆ และเพื่อให้พวกเขายิ่งประมาท องครักษ์หนุ่มก็คงจะทำเป็นเหมือนตนเองเป็นคนนำกองกำลังไปโจมตีค่ายของเฟลิม...ซึ่งไม่มีทหารเฝ้าอยู่แล้วแต่มีกับดักที่อาเมียร์วางอยู่มากมาย ทว่าในความเป็นจริง ดูลัสคงกำลังซุ่มดูอยู่ที่ใดสักแห่งหรือปลอมตัวปะปนอยู่กับทหารธรรมดาพวกนี้
น่าเสียดายที่เขาไม่เคยเห็นองครักษ์หนุ่มตอนสู้ประชิดตัว จึงไม่สามารถเดาตัวจากการอ่านทางฝีมือได้ ถึงอย่างนั้น เขาก็มั่นใจว่าดูลัสน่าจะเป็นคนที่มีฝีมือสูงจนโดดเด่นเหนือคนอื่นคนหนึ่ง
และตอนนี้อาเมียร์ก็ยังมีหน้าที่ที่สำคัญยิ่งกว่า ทั้งอยู่ควบคุมสถานการณ์และระวังหลังให้เฟลิมซึ่งเป็นผู้นำทัพที่เข้าร่วมต่อสู้ในครั้งนี้ด้วย
ไม่ว่าดูลัสจะอยู่ที่ไหน...แผนของเขาในครั้งนี้ก็ดูเหมือนจะไปได้สวย...ฝ่ายผู้ตั้งรับค่อยๆ ล่าถอยไปรอบกระโจมผู้นำทัพซึ่งปักธงไว้
คุ้มกันท่านดูลัส!
ได้ฟังคำยืนยันดังนั้น อาเมียร์ก็รีบทำสัญญาณตามที่ตกลงไว้ให้คนอื่นเข้ามาคุ้มกันเฟลิมแทน ก่อนจะฝ่าแนวป้องกันของทหารเข้าไปในกระโจม
...ในกระโจมนั้นว่างเปล่า ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ประหลาดใจนัก เขานึกไว้แล้วว่าดูลัสต้องไม่ประมาทพอจะยืนเป็นเป้าหมายให้เห็นโดยง่าย บางทีองครักษ์หนุ่มอาจรออยู่ข้างนอกแต่วางแผนล่อแยกเขาจากเฟลิมกับคนอื่นๆ เพราะหวังจะเล่นงานฝ่ายนั้นสะดวกขึ้น แต่อาเมียร์ก็คิดเผื่อสำหรับเรื่องนั้นไว้แล้วเช่นกัน
...เขาคิดเผื่อไว้กระทั่งร่างที่โผนออกมาจากที่ซ่อนใต้โต๊ะ ประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อพบว่านั่นคือองครักษ์หนุ่มจริงๆ แต่ก็ไม่มีเวลาเอ่ยปากก่อนที่ดาบไม้ของทั้งสองจะปะทะกันแทนคำทักทาย
นี่ท่านอุตส่าห์รออยู่เชียวหรือนี่ อาเมียร์พูดในช่องว่างก่อนจะปัดดาบของอีกฝ่าย
ไม่รู้หรือ...ว่าข้าอยากประมือกับเจ้าที่สุด ดูลัสยิ้มน้อยๆ ขณะฟาดดาบรุกอีกครั้ง
ข้าก็เหมือนกัน! เด็กหนุ่มผมดำรับ
องครักษ์หนุ่มมีชั้นเชิงและฝีมือเช่นที่เขาคิดไว้ อาเมียร์คิดว่าหากนี่เป็นสงครามจริงๆ...เขาก็คงเคร่งเครียดไม่น้อยหากต้องสู้กับอีกฝ่ายถึงตายและเอาชนะไปให้ได้ แต่ในสภาวการณ์นี้เด็กหนุ่มกลับรู้สึกสนุก...สนุกที่ได้พบคู่ต่อสู้ที่เหมาะมือ อ่านทางดาบกันได้ราวกับรู้ใจเช่นนี้
ถึงอย่างนั้น...เด็กหนุ่มผมดำก็ไม่ได้คิดว่าตนจะต้องเอาชนะดูลัสให้ได้ด้วยฝีมือในตอนนี้ ในเมื่อยังมีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่า...สิ่งที่เขารู้ว่าใกล้เวลาเข้ามาทุกที
...หากว่าสิ่งที่เขาไม่ได้คาดคิดจะไม่มาถึงตัวเสียก่อน...
ขณะที่ทั้งสองสู้พลางก้าววนผลัดกันรุกรับไปพลางรอบกระโจม...ดูลัสเกิดเข้ามาใกล้ขวดหมึกที่วางอยู่บนโต๊ะวางแผนการรบ และเขาก็ปัดมันลงบนพื้นจนตกแตกเสียงดัง...พร้อมกับปากกาขนนกและม้วนกระดาษบางอย่างที่วางอยู่ข้างๆ
อาเมียร์ก้าวถอยได้ทันท่วงทีก่อนที่ขวดนั้นจะทับเท้าหรือเศษแก้วกระเด็นใส่ตน...แต่เมื่อเห็นของเหลวสีเข้มแทบเป็นดำที่เปื้อนเปรอะขนนกสีขาวกับม้วนกระดาษเป็นสีแดงใต้แสงตะเกียงก็เริ่มหน้าเสีย
เด็กหนุ่มเผลอก้าวถอยไปจนชนเครื่องเรือนไม้ข้างหลัง...รู้สึกจะเป็นตู้หรือลังอะไรสักอย่าง ได้ยินเสียงคล้ายของบนนั้นเขยื้อน...แล้วของเหลวบางอย่างก็ไหลรดศีรษะเป็นสาย
ครั้งนี้เขารู้สึกได้ว่าทั้งขนที่หลังคอและต้นแขนของตนลุกชันเมื่อได้กลิ่นของมันชัดเจน...มากพอจะบอกตนเองอย่าให้มองมัน...แต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อดูลัสปราดเข้ามาพร้อมกับถ้วยอีกใบ ถ้วยที่สาดของเหลวสีแดงใส่หน้าเขาเต็มๆ กระทั่งสมองชาจนไม่ทันสั่งการเมื่อเห็นดาบไม้ของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้อยู่แวบๆ
ดาบไม้นั้นเฉียดคอเขาไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด อาเมียร์แทบไม่รู้สึกถึงแรงลมที่ตีจากดาบเลยเมื่อใครสักคนฉุดแขนของเขาไปข้างๆ โดยแรงจนล้มแทบหน้าคะมำ ตามมาด้วยเสียงพูดที่คุ้นหูแต่นึกไม่ออกว่าเป็นของใคร
คุ้มกันอาจารย์!
ท่านอาเมียร์...ยืนไหวไหมขอรับ!!
มือของใครสักคนแตะเข้าที่บ่าของเขา ทว่าจิตใจของเด็กหนุ่มแทบไม่รับรู้เสียแล้ว
เลือดนี่...
ท่านบาดเจ็บหรือเปล่าขอรับ!
เขาไม่มีสติพอจะตอบ ใครสักคนดึงแขนเขาแล้วพยุงออกไป ขาของเด็กหนุ่มก้าวซวนเซตามให้เร็วที่สุด ได้ยินเสียงใครอีกคนพูดมาแว่วๆ
อาจารย์! อาจารย์เป็นอะไรไป! ทำใจไว้ดีๆ นะขอรับ!!
รีบๆ กันอาจารย์ออกไปสิ!!
แต่...แต่พวกเราจะทำอย่างไรดี ถ้าไม่มีอาจารย์...
ถ้ารู้ตัวว่าชนะไม่ได้ก็ต้องถอย
แต่ค่ายของเรา...
จะไปตายที่นี่หรือไปตายเอาดาบหน้าเล่า!!
...ถอย...ถอยกันก่อนเถอะ
เสียงสองเสียงโต้เถียงกัน แล้วก็มีเสียงร้องบอกให้ถอยเป็นระยะๆ ขณะที่คนที่ประคองเขาอยู่เริ่มเดินอีกครั้ง...เดินเร็วจนแทบเป็นวิ่ง
อาเมียร์ไม่รู้เหมือนกันว่าสองขาของตนก้าวตามคนคนนั้นไปได้อย่างไร เขาเห็นภาพเบื้องหน้าเพียงเลือนรางขณะที่ลมหายใจติดขัดและหัวใจเต้นรัวเร็วเหมือนจะระเบิดออกมานอกอก
เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนคลองจักษุมืดลงและสติวูบไปทั้งๆ ที่ตนเองยังก้าวเดินไม่หยุดเสียด้วยซ้ำ...
* * * ความมืดอันแสนอึดอัด...
ความมืดที่ไม่ได้สงบสุข...ความมืดที่มีกลิ่นคาวเลือดโชยและเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านนอก...ในความมืดนั้นเขาพยายามทุบสิ่งที่ปิดกั้นตนจากโลกภายนอกพร้อมกับตะโกนซ้ำๆ...ร้องบอกให้ใครสักคนปล่อยตนเองออกไป...ร้องบอกว่าเขาต้องช่วยคนข้างนอกนั้น...ร้องเรียกให้ใครสักคนมาช่วยพวกเขาที...
ไม่มีใครเลย มีเพียงเสียงคมเหล็กฟาดฟันผิวเนื้อและตัดกระดูก...มีเพียงเสียงร้องไห้และหวีดร้องแหลมสูง...มีเพียงกลิ่นเลือดที่ยิ่งรุนแรง...และสัมผัสของเหลวเหนียวข้นรุ่มร้อนที่ค่อยๆ ท่วมท้นห่อหุ้มตัวเขา...เหมือนน้ำที่ท่วมสูงขึ้นมิดจมูกให้เขาสำลัก...บีบรัดเขาจนรู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย...
อาการปวดศีรษะหนึบต้อนรับเด็กหนุ่มทันทีที่ลืมตาอันหนักอึ้งขึ้น...เห็นจุดแสงวิบๆ ส่องแยงตาอย่างประหลาดท่ามกลางสีเขียวเข้มคล้ายตาข่ายบางอย่างแต่ทึบกว่านั้น
พอสายตาค่อยปรับชัดเจนได้แล้วเด็กหนุ่มจึงรู้ว่านั่นคือกิ่งสนที่วางทับกันต่างเพิงกันแดดเหนือตัวเขา เสียงพูดโต้ตอบของคนสองคนดังมาให้ได้ยินอีกครั้ง
แต่ถ้าอาจารย์ยังไม่ไหวอย่างนี้...แล้วพวกเรา...
แล้วอย่างไร ต้องรอให้อาจารย์ไม่สบายหนักจนโดนส่งกลับหรือ พี่ถึงจะกล้าทำอะไรสักที!
ก็พวกของดูลัสเก่งขนาดนั้น ถ้าเราทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า...
ตอนนี้จะแพ้หรือชนะมันก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ ถามจริงเถอะ พี่เฟลิมกลัวอะไรกันแน่ อยากแต่งงานกับเจ้าหญิงมากจนกลัวเดินหมากพลาดแม้แต่ตาเดียวหรืออย่างไร
ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ถ้า...
จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ไม่มีใครตายจริงๆ หรอก ยกเว้นพี่จะไปเดินสะดุดรากไม้คอหักตายเอง
รูอาร์ค...
ถ้ากลัวคนอื่นผิดหวังก็ไม่ต้องกลัว พี่ทำข้าผิดหวังไปคนหนึ่งแล้ว ทำให้ท่านพ่อผิดหวังอีกสักคนยังง่ายกว่าข้าอีก
ก็นั่นล่ะ!
ไม่มีใครเขาคาดหวังอะไรกับพี่ขนาดนั้น ไม่มีใครเขาจ้องจับผิดพี่อยู่ตลอดเวลาหรอก ใครๆ เขาก็นึกถึงแต่เรื่องของตัวเองมากกว่าพี่อยู่แล้ว ใครมันจะบ้าอย่างพี่ ชอบกลัวว่าคนนั้นคนนี้จะคิดอะไรกับตัวเองจนไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกตัวอยู่ได้
ก็ข้าไม่เหมือนเจ้านี่!
แล้วข้าบอกให้พี่ทำตัวเหมือนข้าเสียที่ไหน อยากเป็นอะไรก็เป็นไป ขอให้ตัวเองพอใจก็พอแล้ว แต่พี่ชอบทำให้ตัวเองไม่พอใจเอง...ทำตัวเองอย่างนี้ใครก็ช่วยไม่ได้หรอกนะ
อาเมียร์พยายามลุกขึ้นนั่ง แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนศีรษะหนักอึ้งเป็นก้อนหินจนยกไม่ขึ้น ซ้ำยังปวดจนเผลอครางออกมา
อาจารย์! ดูเหมือนนั่นจะทำให้คนสองคนที่เถียงกันอยู่เลิกทันที มีเสียงฝีเท้าย่ำหิมะเข้ามาใกล้ แล้วใบหน้าของเฟลิมก็ปรากฏขึ้นใต้หลังคากิ่งสน เป็นอย่างไรบ้างขอรับ
เด็กหนุ่มขยับริมฝีปากแห้งผาก ก่อนจะรู้สึกได้ว่าน้ำลายของตนจับเหนียวและคอร้อนผ่าว
นี่ข้า...
อาจารย์หมดสติไปขอรับ ทีแรกเห็นเลือดเปื้อนเต็มหน้า พวกเราก็นึกว่าบาดเจ็บหนัก แต่ก็ไม่เห็นมีแผลอะไร แต่...แต่อาจารย์ก็มีไข้สูงมาตลอดนี่ล่ะขอรับ อีกฝ่ายหยิบผืนผ้าชุบน้ำไปจากหน้าผากของเขา...ทิ้งความเย็นยิ่งกว่าเอาไว้เมื่อผิวเนื้อจุดเล็กๆ นั้นสัมผัสอากาศ ก่อนจะกลายเป็นร้อนผ่าวเมื่อฝ่ามือทาบลงมาแทน นี่ไข้ยังไม่ลดเลย
อาเมียร์ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นนัก เขามีเรื่องอื่นที่เป็นห่วงยิ่งกว่า
พวกเราอยู่ที่ไหน เสียงถามของตัวเขาเองแหบแห้ง
ซอกมุมที่ไหนสักแห่งในป่านั่นล่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกดูลัสมันจะตามมาเชือดเราเมื่อไร คนตอบคำถามนี้กลายเป็นรูอาร์ค ถ้าไม่รีบหาที่มั่นมาคุ้มกะลาหัวได้ล่ะก็นะ
เด็กหนุ่มผมดำนึกทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วก็ถอนใจ
ข้าประมาทเอง
ไม่นึกเลยว่าแผลนิดเดียวจากมีดของชาลัวห์จะทำให้ดูลัสมองออกถึงจุดอ่อนที่น่ากลัวที่สุดสำหรับเขา...จุดอ่อนที่เขาไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าจะแก้ไขได้อย่างไร
ไม่ใช่ความผิดของอาจารย์หรอกขอรับ ตอนนั้นข้าก็ลนจนพวกเราแตกไม่เป็นกระบวนเอง...ทั้งๆ ที่รูอาร์คไปถึงตัวดูลัสได้แล้วแท้ๆ
ต่อให้ไปถึงตัวได้ก็ไม่ไหว มันเก่งเกินไป ไม่มีช่องว่างแม้แต่จะให้ยุงสักตัวเข้าไปกัดเลย เด็กหนุ่มผมแดงเสริม
เราเสียคนไปมากไหม
...สี่สิบสี่คนขอรับ
ตัวเลขนั้นทำให้อาเมียร์ปวดศีรษะหนักขึ้นอีก
สี่สิบสี่...นั่นเท่ากับว่าเหลือทหารอื่นๆ รวมเขากับรูอาร์คอยู่ห้าสิบหก เกือบจะแค่ครึ่งเดียวของกำลังพลทั้งหมด เทียบกับดูลัสที่เสียกำลังพลไปพอสมควรในการสู้กับชาลัวห์...พวกเขายังเหลือน้อยกว่าด้วยซ้ำ
เราจะทำอย่างไรดีขอรับอาจารย์ เสบียงของพวกเราในตอนนี้ก็ไม่มีเหลือแล้วนะขอรับ
...ยังมีอยู่ อาเมียร์ตัดสินใจบอกความจริง
หา? เฟลิมทำเสียงรับอย่างประหลาดใจ ก็ไหนตอนนั้น...
ข้าให้ทหารสองสามคนขนเสบียงส่วนมากไปซ่อนไว้แถวริมแม่น้ำใกล้ค่ายของเรา แต่...ไม่บอกความจริงให้ท่านกับทหารคนอื่นๆ เพราะอยากบีบให้สู้เต็มที่ ข้าขอโทษด้วย
ไม่เห็นต้องขอโทษเลยขอรับ ท่าน...ทำอย่างนี้เพราะเห็นเป็นผลดีกับพวกเรานี่นา ข้าเสียอีกที่ต้องขอโทษที่ตั้งสติไม่ดี ทำให้แผนการของอาจารย์แตกเสียได้ อาจารย์คงกังวลมากสินะขอรับ
ก็...ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก
แต่อาจารย์เพ้อหนักนะขอรับ พูดซ้ำๆ อยู่ว่าต้องช่วยพวกเราให้ได้...แล้วยังเรียกให้ใครมาช่วยอีก ข้าตกใจแทบแย่เหมือนกันที่เห็นอาจารย์เป็นอย่างนี้
อาเมียร์เริ่มกังวลขึ้นมา...ว่าเขาจะหลุดอะไรที่ไม่ควรให้คนอื่นรู้ออกไปเสียแล้ว
ข้าเพ้อหรือ
ใครบอกว่าอาจารย์บอกว่าต้องช่วยพวกเราให้ได้กันเล่า รูอาร์คแย้ง อาจารย์เขาอยาก ช่วย ผู้หญิง แล้วก็ให้ผู้หญิงมา ช่วย เขาต่างหาก รู้สึกจะมีหลายชื่อไม่ซ้ำกันแถมเพราะๆ ทั้งนั้น เห็นอายุยังไม่เกินยี่สิบอย่างนี้...อาจารย์เราก็แสบไม่เบานะนี่
รูอาร์ค! เด็กหนุ่มผมดำอดเอ็ดไม่ได้ ทั้งๆ ที่แสบคอจนต้องไอหลังจากนั้น
รูอาร์ค เวลาอย่างนี้ยังจะล้ออาจารย์เล่นอีก เฟลิมทำหน้าที่แทน
พี่เฟลิม เวลาอย่างนี้ยังจะลังเลอีก เด็กหนุ่มผมแดงกลับเปลี่ยนเรื่องทันควัน ก็รู้อยู่ว่าพี่ต้องทำอะไร ตอนนี้เราสองคนทำได้แค่ช่วยเป็นกำลังใจอยู่ห่างๆ เท่านั้นหรอกนะ
ทำไมหรือ อาเมียร์ถามอย่างสงสัย ก็พอดีกับที่เจ้าตัวแสบก้าวเข้ามาใกล้ๆ ให้เห็นผ้าที่คล้องคอห้อยแขนขวาเหมือนคนแขนหัก เจ้าบาดเจ็บหรือรูอาร์ค
คนถูกถามยักไหล่
ก็ตอนที่ลากอาจารย์ออกมาก่อนจะโดนดูลัสฟันคอขาดนั่นล่ะ ข้าเข้าไปรับมือมันจนโดนซะแขนเหวอะเลย เกิดรักษาไม่ดีคงได้ขอสมัครตัวเป็นรุ่นน้องท่านซิอ์บุลแน่ๆ
รูอาร์คเขาไม่เป็นไรหรอกขอรับ แต่เห็นตัวเองถูกฟันแขนจนติดสีเป็นรอยยาวเลยทำเหมือนแขนบาดเจ็บจริงๆ เท่านั้นเอง เฟลิมยิ้มเจื่อนๆ อย่างอ่อนใจ
โธ่...ก็ข้าเจ็บแขนจริงๆ นี่ ดูซิ เจ้านั่นมันเล่นตีมาเต็มแรง แขนข้ายังเป็นรอยช้ำปื้นใหญ่เลย เด็กหนุ่มผมแดงทำเป็นกุมแขนร้องโอดโอยจนอาเมียร์นึกอยากลุกขึ้นมาดึงแขนมันให้หลุดจริงๆ สักก๊อก...ถ้าเขาอยู่ในสภาพที่ลุกขึ้นมาทำอย่างนั้นได้
เอาเถอะ นั่นหมายความว่าท่านเฟลิมต้องตีค่ายเราคืนมาแล้วล่ะ เด็กหนุ่มผมดำตัดสินใจพูดจริงจัง
ชายหนุ่มยังคงมีสีหน้ากังวล
แต่ว่า...
ไม่ต้องเคร่งเครียดไปหรอก ทำได้ก็ได้อยู่ต่อ ไม่ได้พวกเราก็แค่ได้กลับไปพักผ่อนเร็วกว่าคนอื่นๆ เท่านั้นเอง อาเมียร์บอก
ใช่ ตามหลังไอ้กะหลั่วแค่วันเดียว เท่ากับว่าเราเป็นรองกะหลั่ว รูอาร์คไม่วายโพล่งจนเขาหันไปปรามด้วยสายตาดุๆ
ข...ขอรับ เฟลิมรับอย่างไม่แน่ใจนัก แต่...ข้าจะทำอย่างไรดีล่ะขอรับ
เอาแผนที่มาก่อนก็แล้วกัน ถึงจะลุกไปช่วยไม่ได้ ข้าก็ยังพอช่วยวางแผนได้นี่นา เด็กหนุ่มผมดำเสนอ
ขอรับ...แล้วข้าจะรีบมาขอรับ
ใบหน้าของเฟลิมหายไปจากสายตาก่อนจะมีเสียงฝีเท้า ทว่าเด็กหนุ่มอีกคนยังทำหน้ายิ้มเผล่อยู่ต่อหน้าเขาจนอาเมียร์อดถามไม่ได้
...มีอะไรอีก
รูอาร์คยักไหล่
อาจารย์น่าจะแข็งกับพี่เฟลิมบ้างนา คนกลัวนั่นกลัวนี่...ยิ่งปลอบยิ่งโอ๋ก็จะยิ่งกลัวไม่เลิก ต้องโดนพูดแรงๆ เข้าเสียบ้างถึงจะคิดได้
เหมือนที่เจ้าพูดกับลีชาน่ะหรือ เด็กหนุ่มผมดำย้อน
อีกฝ่ายยักไหล่
เหมือนที่ข้ากำลังจะพูดกับอาจารย์ด้วย
หมายความว่าอย่างไร
อาจารย์นี่กลัวของพิลึกนา เป็นลูกชายนักรบแท้ๆ
เขานิ่งอึ้งไป
เห็นอาจารย์กินพุดดิ้งดำบ้านข้าอยู่แทบทุกเช้าแท้ๆ ไม่นึกว่าจะกลัวอะไรแบบนั้นได้
...แล้วมันไปเกี่ยวกันตรงไหน เขานึกถึงอาหารที่เด็กหนุ่มผมแดงพูดถึง...อาหารที่ดูเหมือนไส้กรอกสีดำๆ มีรสเครื่องเทศจัดหั่นเป็นแว่นๆ แต่น่าประหลาดที่ชาวธีร์ดีเรเจ้าของสูตรกลับเรียกมันว่าพุดดิ้งดำ...ทั้งๆ ที่เขารู้จักมาก่อนหน้านั้นว่าพุดดิ้งเป็นของหวานจำพวกนมผสมแป้งหยุ่นๆ นุ่มลิ้นเหมือนไข่ตุ๋นแท้ๆ
ถามจริง อาจารย์ไม่รู้เลยหรือว่านั่นน่ะ ไส้ กรอก เลือด ชัดๆ
คำพูดนั้นทำให้ท้องไส้คนฟังปั่นป่วนโดยไม่ทราบสาเหตุทันควัน นับว่ายังดีที่เขาไม่ได้เพิ่งกินอะไรมาอิ่มๆ มิเช่นนั้นอาจขย้อนทั้งนอนหงายเอาได้ง่ายๆ
แต่ก็นะ ถ้ารู้ก็คงไม่กินเอาๆ อยู่ได้ทุกวันหรอก
เจ้านี่! เขานึกอยากหาอะไรสักอย่างมาขว้างใส่หน้าคนพูดเป็นอย่างยิ่ง หากมีแรงคว้าหิมะมาได้สักก้อนก็คงดี ข้าจะกลัวอะไรมันก็เรื่องของข้า เจ้ามายุ่งอะไรด้วยเล่า
แล้วอาจารย์ไม่อยากหายกลัวหรือ
อาเมียร์เงียบไปอีกครั้ง
จะเป็นแม่ทัพนายกองหรือเสนาธิการตามติดกองทัพ กลัวเลือดได้เสียที่ไหนกัน
ใครบอกว่าข้าอยากเป็นอะไรอย่างนั้น เด็กหนุ่มผมดำตอบทันควัน
ถ้าไม่อยากเป็น...แล้วอาจารย์มาทำงานกับลุงกระรอกน้ำตาลทำไม เขาไม่คิดจะให้อาจารย์เป็นแค่อาจารย์สอนพวกเราอยู่อย่างนี้หรอก
อาเมียร์นิ่งฟัง เขารู้เรื่องนี้ดีตั้งแต่พบท่านเบเรคเป็นครั้งแรกๆ แล้วกระมัง
ถ้าได้ทำงานราชการก็ดี...แต่ข้าไม่อยากทำอะไรเกี่ยวกับกองทัพ
ทั้งๆ ที่อาจารย์ทำเรื่องนี้ได้ดี แล้วก็ดูเหมือนจะสนุกกับการรบการต่อสู้อย่างนี้น่ะหรือ
เด็กหนุ่มฟังแล้วกลับรู้สึกเหมือนยิ่งถูกตอกย้ำ...ถึงจะเกลียดกลัวการฆ่าฟันและเลือดแค่ไหน เขาก็ยังสนุกกับการใช้สติปัญญาหักเหลี่ยมเฉือนคมคู่ต่อสู้อย่างดูลัส...ยังสนุกกับการได้จับอาวุธฟาดฟันหากว่าไม่มีใครบาดเจ็บล้มตายจริงๆ ...ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง สงครามก็คือการฆ่าคนทีละมากๆ อยู่วันยังค่ำน่ะหรือ
...เขายังมีความสุขกับบางด้านของสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน...สิ่งที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าและคนพลัดถิ่นไร้ชาติอย่างนี้ได้น่ะหรือ...
ข้าเกลียดสงคราม เด็กหนุ่มตัดสินใจพูดตรงๆ ที่ครอบครัวข้าต้องมาอยู่ที่นี่ก็เพราะสงคราม ข้าไม่อยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก ถ้าใครสักคนเป็นกษัตริย์แล้วจะทำให้ที่นี่สงบสุขไม่มีสงครามได้...ข้าก็อยากให้คนคนนั้นได้เป็นกษัตริย์ ก็เท่านั้นเอง
ไม่มีทางหรอก รูอาร์คแย้ง อาจารย์ก็รู้...ว่าความสงบสุขมันอยู่ไม่ยืน ต่อให้เราไม่อยากขัดแย้งกับใคร สักวันก็ต้องมีวันที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องขัดแย้ง เมื่อถึงเวลานั้น สงครามคือวิธีสุดท้ายที่จะทำให้ความขัดแย้งจบลงโดยเร็วที่สุด และเมื่อนั้นเราก็ต้องชนะให้ได้โดยเสียกำลังพลน้อยที่สุด...อาจารย์สอนพวกเราเองนี่ ข้าก็เห็นด้วยว่ามันจริง อย่างน้อยเราก็หยุดได้ชั่วคราวจนกว่าจะเกิดสงครามใหม่แหละนะ
อาเมียร์รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริง...ถึงอย่างนั้น...
ข้ารู้ว่าข้าทำงานในกองทัพไม่ได้เพราะข้ามีอาการอย่างนี้ จะให้ทำอย่างไรได้เล่า
ก็เอาชนะมันให้ได้สิ เด็กหนุ่มผมแดงพูดง่ายๆ ถ้าอยากทำงานในกองทัพจริงๆ
ผู้ฟังกลับหัวเราะขื่นๆ
แต่ข้าไม่อยาก
อาเมียร์ออกจะโล่งใจไม่น้อยเมื่อได้ยินเสียงพูดและเสียงฝีเท้าของบุคคลที่สาม เฟลิมนำแผนที่กลับมาในตอนนั้นพอดี และทั้งสามก็เปลี่ยนเป็นหารือแผนการยึดค่ายเดิมของตนกลับมาแทน
เขาไม่อยากให้รูอาร์คมาสนใจปัญหาในจิตใจของตนนัก แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่ชายหนุ่มผู้พี่...อย่างน้อยก็ในนาม...ของเจ้าตัวแสบบอก ว่ารูอาร์คเป็นคนประเภทที่สนใจอะไรก็จะตามติดไม่เลิกจนกว่าจะเบื่อไปเอง
ซ้ำดูเหมือนเวลาช่วงที่เขาต้องนอนพักฟื้นรอให้เฟลิมกลับมาจากตีค่ายสำเร็จ...ถ้าเป็นไปได้...จะสั้นกว่าระยะเวลาที่เด็กหนุ่มผมแดงสนใจในปัญหาทางจิตอย่างพิสดารของเขาหรือใครก็ตามเสียด้วยสิ
บทที่ ๒๐ ผลการทดสอบรอบที่สอง
* * *
ครั้งนี้ลองผสมกันดูหลายๆ แผน แผนค่ายกลมนุษย์หิมะ แผนเดินทัพ (จริงๆ คือลากเลื่อน) ผ่านแม่น้ำเยือกแข็ง แผนทุบหม้อข้าวตัวเอง (ซึ่งทุกคนน่าจะรู้จักกันดีตอนพระเจ้าตากสินตีเข้าเมืองจันทบุรี) เพื่อบีบให้ทหารสู้เต็มที่ แต่กลายเป็นว่าทุกแผนแพ้การกระทำแค่ "เลือดสาดหน้า" วูบเดียวของดูลัสแท้ๆ
ผมรู้สึกว่าจุดที่ยากของตอนนี้คือต้องคิดถึงความคิดของทั้งอาเมียร์และดูลัส ซึ่งครอบคลุมความเป็นไปได้ทุกทาง อาเมียร์คิดว่าดูลัสจะโจมตีค่ายของตนคืนนี้ จึงทำเป็นทำลายเสบียง (แต่เอาส่วนมากไปซ่อนไว้) แล้วพาทหารทิ้งค่ายลากเลื่อนขึ้นไปตามแม่น้ำก่อนเพื่อโจมตีค่ายของดูลัสจากอีกด้าน ขณะเดียวกัน ดูลัสก็คิดได้ว่าอาเมียร์ต้องทิ้งค่ายมาตีตนเองในคืนนั้นแน่ๆ และคงจะวาง 'กับดัก' ไว้ที่ค่าย แต่ก็ส่งทหารไปจัดการในจุดที่อาเมียร์ไม่คิดว่าเขาจะรู้ ขณะเตรียมตัวรับมือพวกของอาเมียร์ที่บุกมาไว้แล้ว กลายเป็นว่าดูลัสที่มองออกถึงจุดอ่อนของอาเมียร์และเล่นงานโดยไม่รีรอจึงได้ชัยไป
ส่วนพุดดิ้งดำ (black pudding) เป็นอาหารที่มีอยู่จริง และเป็นไส้กรอกที่มีส่วนผสมของเลือดครับ ดูรายละเอียดได้ตามเว็บด้านล่างนี้เลยครับ
ปล. ผมแอบคิดไปเองคนเดียวหรือเปล่านะ ว่าคำพูดของดูลัสกับอาเมียร์ตอนก่อนประดาบกันยิ่งส่อม่วงไปกว่าเดิม - -a
Create Date : 09 เมษายน 2552 |
Last Update : 9 เมษายน 2552 13:32:42 น. |
|
1 comments
|
Counter : 281 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ริวไผ่ IP: 88.149.172.90 วันที่: 9 เมษายน 2552 เวลา:20:50:23 น. |
|
|
|
| |
|
|
งั้นไม่เปลี่ยนแค่พระเอก แต่เปลี่ยนคู่เลยได้ปะ
อาเมียร์คู่ดูลัส ส่วนยายเจ้าหญิงนั่นก็ให้อยู่คนเดียวไปแล้วกัน อิอิ
ปล. พ่อกระรอกน้อยยังน่ารักแสบสันต์เหมือนเดิม อ้อ...อย่าให้คู่กับยายกระต่ายนะ ไม่ยอมจริงๆด้วย เก็บเอาไว้เป็นพระเอกเรื่องต่อไปนะค๊า