Group Blog
สาปรัก...บท 1/2
“อะไรนะ!” คุณพุดซ้อนแผดเสียงดังคับห้องคนไข้ ในทันทีที่เสียงแหบเครือของคุณปิยชาติเล่าจบลง ภายหลังอัปสร ยื่นข้อแลกเปลี่ยนเรื่องแต่งงานกับลูกชาย คุณปิยชาติก็ขอพูดคุยตามลำพังกับผู้เป็นภรรยาและลูกชายทันที โดยเชิญอัปสรให้ออกไปรอนอกห้อง

เสียงแหบๆ ของคุณปิยชาติ พูดเคล้าเสียงไอแค่กๆ ต่อว่า “คุณฟังไม่ผิดหรอก นังผู้หญิงหน้าตาอัปลักษณ์คนนั้นขอแต่งงานกับตากาล เพื่อแลกกับการให้ความช่วยเหลือ”

“นังนั่นกล้าดียังไงมามักใหญ่ใฝ่สูงขอเป็นลูกสะใภ้ฉัน ไม่เจียมกะลาหัวเอาเสียเลยนังคางคกขึ้นวอ ถึงกับต้องแลกด้วยชีวิตคุณ ฉันก็ไม่มีทางยอมให้ตากาลแต่งกับแม่นั่นเด็ดขาด! ยอมไม่ได้...ขอโทษนะคะคุณชาติถึงฉันจะรักคุณมากแค่ไหน แต่ถ้าต้องแลกกับให้ผู้หญิงหน้าตาอัปลักษณ์แบบนั้น มาร่วมใช้นามสกุลเดียวกับลูก ฉันก็ยอมไม่ได้ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น ฉันจะมีหน้าบากไปเจอเพื่อนฝูงแวดวงไฮโซอีกต่อไปได้ยังไงกันคะ” คุณพุดซ้อนพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ไม่คิดว่าคนที่นุ่งขาวห่มขาว ทำตัวเหมือนจะถือศีลกินเจ จะมากด้วยกิเลสตัณหา กามารมณ์และมักใหญ่ใฝ่สูงขนาดนี้ อย่างนี้ก็เป็นได้แค่นุ่งขาวบังหน้าเพื่อหวังขู่กรรโชกทรัพย์ หวังรวยทางลัด ก็สมแล้วที่เกิดมาหน้าตาอัปลักษณ์ยังกับคางคก แต่แหม...สะเออะมาใช้ชื่ออัปสร ซึ่งแปลว่านางฟ้า ไม่เจียมกะลาหัวเอาเสียเลย คุณพุดซ้อนยังคงก่นด่าในใจ

“อย่าว่าแต่คุณ ผมคนหนึ่งก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน ถึงจะต้องแลกด้วยชีวิต ผมก็รับไม่ได้” คุณปิยชาติออกความเห็นด้วยน้ำเสียงแหบๆ ยังคงไอแค่กๆ

“ใช่...ลืมไปเลย ไม่ต้องไปสนใจมัน แหม...นังคากคกขึ้นวอ ผู้หญิงมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่เจียมกะลาหัว คิดว่าตัวเองเป็นใคร เราเป็นใคร บังอาจจะมามักใหญ่ใฝ่สูงขอเป็นสะใภ้ของสุขารมณ์”

“ผมก็ไม่ยอมเหมือนกันคุณพุด” พูดปนหอบ คุณปิยชาติกล่าวต่อว่า “เราคิดหาวิธีอื่นหรือไม่ก็หมอไสคนอื่นมารักษาผมเถอะ แล้วก็ไล่ตะเพิดนังหน้าอัปลักษณ์คนนั้นไป” คนไข้จบประโยคด้วยเสียงไอหนักขึ้น

“แล้วนังคากคกพูดอะไรอีกคะ” คุณพุดซ้อนถามต่อ

คนถูกซักอึกอัก เสกลบเกลื่อนด้วยการไอเสียงแหบๆ

“คุณแม่อย่าเพิ่งซักอะไรคุณพ่อเลยครับ ดูเหมือนท่านจะเหนื่อยมากแล้ว” ปฐมกาลเพิ่งมีโอกาสพูดแทรกขึ้น ภายหลังนั่งฟังเงียบๆ มาพักใหญ่

คุณพุดซ้อนถอนหายใจ หันไปทางลูกชาย ราวกับเพิ่งรับรู้เป็นครั้งแรกว่ามีลูกชายอยู่ในห้องด้วย “ว่าแต่ลูกเถอะกาล คิดยังไงกับเรื่องนี้ เงียบไปเลย”

“ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องคุณไสยอะไรพวกนี้อยู่แล้ว คุณแม่ก็รู้ แต่ผมไม่มายด์หรอกนะครับ ถ้าต้องแต่งงานกับคุณอัปสรเพื่อทำให้คุณพ่อดีขึ้น ผมหมายถึง...ถ้าผู้หญิงคนนั้นสามารถช่วยคุณพ่อได้จริงๆ ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจ ผมก็ยินดีแต่งกับเธอ”

“ไม่ด้าย!” คุณพุดซ้อนกรีดเสียงสูงทันควัน “กาลจะพูดแบบนั้นไม่ได้นะลูก ลูกสะใภ้คนโตของแม่ต้องมีคุณสมบัติเพียบพร้อมคู่ควรกับลูก ไม่ใช่นังคากคกที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าคนนั้น แล้วดู... มาตบตาพวกเราว่าเป็นผู้ทรงศีล นุ่งขาวห่มขาว ที่แท้ก็นังลวงโลก นังต้มตุ๋นหลอกลวงดีๆ นี่เอง...ไม่ทันไรก็เผยธาตุแท้ออกมาแล้ว นังคากคกเอ๊ย...นี่คงหวังฮุบสมบัติของสุขารมณ์เรา”

ปฐมกาลนิ่วหน้า ถึงจะไม่เห็นด้วยกับผู้เป็นมารดา แต่เขาก็ยังคิดหาเหตุผลไม่ออกว่าทำไมอัปสรถึงยื่นข้อเสนอขอแต่งงานกับเขา แต่เมื่อได้ทีก็อดสำทับไม่ได้ว่า “ผมก็บอกแล้วเรื่องคุณไสยพวกนี้เชื่อไม่ได้หรอก เป็นเรื่องหลอกลวงต้มตุ๋นทั้งนั้น”

คุณพุดซ้อนพยักหน้าอย่างยอมแพ้ “เอาเถอะหนนี้กาลพูดถูก แต่เรื่องพวกนี้อย่าลบหลู่ไปนะลูก คนจริง ของจริง ก็มีอยู่ถมเถไป เพียงแต่เรายังไม่เจอเท่านั้น เอาล่ะ...กาลไปส่งนังคางคกคนนั้นเถอะ แม่คงไม่ออกไปให้มันลาแล้ว แม้แต่หน้าแม่ก็ยังทนมองไม่ได้ เสียสุขภาพจิต”



ถ้าคิดว่าอัปสรจะหน้าเสียหรือหวั่นไหวไปกับการถูกปฏิเสธจากบุคคลในครอบครัวของเขา ปฐมกาลก็คิดผิดถนัด เพราะหญิงสาวยังคงทำหน้านิ่งเฉยเมื่อเขาเดินมาบอกว่าทางครอบครัวเปลี่ยนใจไม่ขอรับความช่วยเหลือจากเธอแล้ว ปฐมกาลนึกพลางมองหญิงสาวอย่างทึ่ง เธอดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อยดั่งผู้ทรงศีลและดูสำรวมเกินกว่าที่เขาจะคิดไปในทางร้ายได้ว่าเธอเป็นพวกสิบแปดมงกุฎชอบหลอกลวงต้มตุ๋นอะไรแบบนั้น...

ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกอุ่นวาบแปลกๆ เมื่ออยู่ใกล้เธอ ราวกับอยู่ใกล้ญาติผู้ใหญ่ที่มากด้วยความเมตตาปรานีคนหนึ่ง ทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนั้น? ปฐมกาลก็ตอบตัวเองไม่ได้ ก็แปลกดีทั้งๆ ที่เธออายุน้อยกว่าเขามาก ดูจากหน้าตาน่าจะอ่อนกว่าเขาเกือบรอบเห็นจะได้ แต่เขากลับรู้สึกว่าเธออายุมากกว่าเขาเป็นสิบๆ ปี ปฐมกาลนึกพลางลอบสำรวจหญิงสาว ขณะที่ในใจนึกทบทวนถึงบทสนทนาระหว่างสมาชิกในครอบครัวแล้วอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมเธอถึงยื่นข้อเสนอขอแต่งงานกับเขา? เพราะสาบานได้ว่าพวกเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เขาไม่เคยเจอเธอที่ไหนและเธอเองก็ไม่น่าจะเคยเจอเขามาก่อน เพราะเท่าที่รู้เธอนั่งวิปัสสนาอยู่กับแม่ชีคนหนึ่งในป่าช้ามานานหลายปีแล้ว

หรือว่าเธอจะรู้จักเขาฝ่ายเดียวจากการอ่านข่าวสารทางสิ่งพิมพ์? เพราะครอบครัวเขาค่อนข้างมีชื่อเสียง และปรากฏเป็นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็นั่นแหละไม่น่าเป็นไปได้อีก ในเมื่อเธอใช้ชีวิตอยู่กับการวิปัสสนามานานหลายปี เรียกว่าห่างไกลจากสังคมวุ่นวายและเลิกยุ่งเกี่ยวกับทางโลกมาพักใหญ่ๆ แล้ว ฉะนั้นการที่เธอจะรู้จักเขาก่อน จึงเป็นไปได้ยาก แล้วเหตุผลอะไรกันที่เธอเสนอขอแต่งงานกับเขา? ถึงตอนนี้ปฐมกาลก็ยังขบคิดไม่ตก เขาจนด้วยเหตุผลจริงๆ

ชะรอยคนข้างกายเหมือนเดาความคิดของเขาได้ เธอเอ่ยขึ้นอย่างเนิบช้า ขณะเดินเคียงคู่กับเขาไปทางประตูด้านหน้าของโรงพยาบาล

“คุณมีอะไรจะถามดิฉันไหมคะ?”

“เอ่อ...” ปฐมกาลอึกอัก หน้าแดงก่ำอย่างไร้สาเหตุ แล้วเขาก็ตะกุกตะกักถามว่า “ถ้าผมจะถามถึงอาการคุณพ่อ คุณจะรังเกียจไหมครับ” จู่ๆ เขาก็รู้สึกเกรงใจอัปสรขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ

คนถูกถามส่ายหน้า แววตาจุดรอยปรานีโดยที่ปฐมกาลเองก็ไม่เข้าใจ

“งั้นผมก็ไม่ควรเสียมารยาทถาม อย่างนั้นใช่ไหมครับ”

อัปสรตอบด้วยน้ำเสียงเนิบช้าตามบุคลิกว่า “กรรม... ทุกคนมีกรรมเป็นเครื่องหนุนส่ง”

ปฐมกาลเกือบหลุดปากไปแล้วว่า แล้วใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยตะปุ่มตะป่ำของหญิงสาวก็เป็นเพราะกรรมด้วยใช่หรือไม่ แต่เขาก็ยั้งปากได้ทัน เขาไม่ได้ปากไวหรือปากเสียเหมือนปฐวี จึงได้แต่เก็บงำความสงสัยเอาไว้ บอกกับตัวเองว่าวันหนึ่ง ถ้าเขาสนิทหรือรู้จักกับเธอมากกว่านี้ เขาอาจกล้าถามก็ได้ว่าใบหน้าของเธอเกิดจากสาเหตุอะไร หรือว่าเป็นมาแต่กำเนิด? แล้วเขาก็เปลี่ยนเรื่อง ถามว่า

“ว่าแต่คุณไม่โกรธผมกับครอบครัวใช่ไหมครับ ที่ทำให้เสียเวลา”

“ไม่เลยค่ะ อย่ากังวลเลย ดิฉันต้องเข้ามาทำธุระที่กรุงเทพฯ อยู่แล้ว”

“หรือครับ...” พึมพำรับรู้อย่างไม่รู้จะพูดอะไรดีกว่านั้น

“ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวนะคะ” อัปสรหันมาเอ่ยลาเมื่อเดินมาถึงหน้าประตู

“เดี๋ยวผมไปส่งครับ”

“อย่าเลยค่ะ ดิฉันกลับเองได้”

“แต่...”

อัปสรพูดแทรกขึ้นโดยไม่รอให้เขาพูดจบ “อย่าห่วงเลยค่ะ ดิฉันกลับเองได้ สบายมาก”

“แต่...”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ ดิฉันจะไม่เป็นอันตราย จะไม่มีใครทำอะไรดิฉันได้แน่”

ปฐมกาลอึ้ง เมื่อได้รับคำตอบจากอัปสรที่ราวกับเดาใจของเขาได้

“งั้นวันที่คุณกลับ...” เขาเอ่ยชื่อสถานที่ที่เขาไปรับเธอมา “คุณจะโทร.มาบอกผมได้ไหม ผมจะได้ขับรถไปส่งคุณ ผมคงรู้สึกผิดถ้าไม่ได้ไถ่โทษที่ทำให้คุณต้องมาเสียเวลากับครอบครัวผม”

“ดิฉันบอกแล้วไม่ได้เสียเวลาอะไรเลย การเข้ากรุงเทพฯ ครั้งนี้ไม่ได้ทำให้ดิฉันเสียเที่ยวเลยสักนิด ตรงกันข้ามธุระของดิฉันจะสำเร็จลุล่วงด้วยดี”

เธอยังคงใช้คำพูดที่ทำให้เขาเข้าใจยาก ปฐมกาลมองอัปสรอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีกว่านั้น

“งั้นผมคงทำอะไรไม่ได้ นอกจากกล่าวลาคุณตรงนี้ อย่างนั้นใช่ไหมครับ?” เมื่อไม่เห็นเธอตอบรับ เขาก็กล่าวต่อว่า “ขอให้คุณเดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ คุณเช่นกันขอให้บุญรักษา ไม่ต้องกังวล ทุกอย่างจะเป็นไปตามกฎแห่งกรรม” อัปสรย้ำอีกรอบในสิ่งที่เขาจะไม่มีวันเข้าใจ

คำตอบของอัปสรทำให้ปฐมกาลมองอย่างไม่เข้าใจหนักขึ้น แต่ไม่มีโอกาสถามอะไรมากกว่านั้น เมื่อเธอหันหลังเดินออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว เขาได้แต่มองตามหลังด้วยความสงสัย

ผู้หญิงคนนี้เต็มไปด้วยปริศนาที่เขาจะไม่มีวันเข้าใจ... ความรู้สึกลึกๆ บอกปฐมกาลอย่างนั้น



ปฐวีหัวเราะก๊ากใหญ่ในทันทีที่ฟังเรื่องราวของพี่ชายจากปากปานวาดที่ฟังต่อมาจากคุณพุดซ้อนอีกทีจบลง เขาเห็นเป็นเรื่องชวนหัวเอามากๆ กับการที่มีชีพราหมณ์หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวมาเสนอตัวขอเป็นภรรยาของพี่ชาย

“ดูๆ ไปก็เหมาะสมกันดีออก คนหนึ่งน่าเกลียดน่ากลัว อีกคนก็จืดชืดยังกับน้ำซาวข้าว ถ้าแต่งงานกันไป ชีวิตคงมีสีสันพิลึก” พูดเคล้าเสียงหัวเราะ

“ว้าย...ปากปีจอจริงๆ พี่วี อย่าพูดแบบนี้ให้คุณแม่ได้ยินเชียวนะ เดี๋ยวกรี๊ดสลบ ตอนฟังจากคุณพ่อ ก็ลมแทบจับไปรอบหนึ่งแล้ว”

“ลมจับหรือวีนแตก” ปฐวียังคงเย้าน้องสาวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ด้วยว่ารู้จักผู้เป็นแม่ดี

“แหม...รู้แล้ว ยังแกล้งมาถาม” ค้อนประหลับประเหลือก หากแววตาที่มองผู้เป็นพี่ชายกลับชื่นชม เชิดชู พี่ชายคนรองของเธออายุ ๓๕ ปี อ่อนกว่าปฐมกาลผู้เป็นพี่ชายคนโต ๓ ปี ทั้งคู่มักถูกเปรียบเทียบจากญาติๆ และเพื่อนฝูงในแวดวงไฮโซอยู่เสมอๆ ว่าแตกต่างกันสุดขั้วราวกับขาวกับดำ ปฐวีขึ้นชื่อในเรื่องเจ้าชู้อย่างวายร้าย ขณะที่ปฐมกาล ได้ชื่อว่าโสดสนิท แม้ไม่ถึงขั้นธรรมะธัมโม แต่ด้วยความประพฤติที่ไม่นิยมควงสาวคนไหนๆ ทำให้เขาได้ชื่อว่าฤาษีจำศีล

ในสายตาของปานวาดมองว่าปฐวีหล่อที่สุดในโลก เธอไม่ได้เข้าข้างพี่ชายตัวเอง แต่เพื่อนๆ ญาติๆ ตลอดจนสื่อล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าปฐวีหล่อเหลาคมคายชนิดที่เป็นพระเอกภาพยนตร์ฮอลีวูดได้สบายๆ ถ้าเดินข้างฝรั่งแทบแยกไม่ออกว่าคนไหนไทยคนไหนฝรั่งถ้าไม่ดูสีผม เพราะปฐวีรูปร่างสูงใหญ่ผึ่งผาย กล้ามเป็นมัดๆ เนื่องจากเล่นเพาะกายอยู่เป็นนิตย์ ด้วยเหตุนี้เขาจึงติดทำเนียบหนุ่มไฮโซที่ฮอตที่สุดของฟ้าเมืองกรุงอยู่ในขณะนี้ สาวๆ ติดเพียบด้วยว่าเขาเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะชาติตระกูล และยังทำงานเก่งอีกด้วย สื่อต่างชาติขนานนามว่าเขาจะเป็นคลื่นลูกใหม่ของวงการธุรกิจโรงแรม และอีกไม่นานเขาจะก้าวขึ้นมาเป็นนักธุรกิจหนุ่มระดับแถวหน้าของเอเชีย

ด้วยเหตุที่ทั้งสาวและไม่สาวต่างคลั่งไคล้ปฐวี เขาจึงสามารถเปลี่ยนผู้หญิงเป็นว่าเล่น และสาวๆ เหล่านั้นดูเหมือนจะเต็มใจเป็น “ของเล่น” หรือไม่ก็ “ของว่าง” ให้พี่ชายเธอขบเคี้ยวเล่นในยามว่างอีกด้วย ทว่าฟ้าเบื้องบนอาจเกรงว่าพี่ชายเธอจะสมบูรณ์แบบเกินไป...เกินกว่าจะเป็นมนุษย์มนาถ้าไม่มีข้อด้อยเสียเลย จึงได้ประทานข้อเสียให้เขาข้อหนึ่ง นั่นคือ การเป็นคนขวางโลก ปฐวีมีนิสัยชอบขัดคอคน โดยเฉพาะกับบุพการี เขาจงใจที่จะขัดทุกเรื่อง แถมเป็นคนปากไว ปากร้าย พูดอะไรไม่ไว้หน้า ไม่รักษาน้ำใจคนจนเข้าขั้นปากเสีย ซึ่งถ้าเธอเป็นผู้หญิงเหล่านั้น คงไม่เอามาทำแฟนด้วยเด็ดขาด แต่ในสายตาของสาวๆ กลับมองว่านั่นคือเสน่ห์ของปฐวี... เธอเดาว่าอย่างนั้น เพราะไม่เห็นผู้หญิงสักคนจะเดือดร้อนกับความปากเสียของเขา ตรงกันข้ามกลับพยายามเอาชนะใจ ราวกับว่าถ้าครอบครองหัวใจปฐวีได้ มันคือถ้วยรางวัลที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเธอรู้ว่าชาตินี้ไม่มีทางที่ผู้หญิงคนไหนจะเอาพี่ชายเธออยู่หมัดหรอก เพราะเขาเป็นเหมือนทั้งเสือและม้าในคนคนเดียวกัน นั่นคือเสือผู้หญิงและม้าพยศที่ยากที่ใครจะปราบได้ และแนวโน้มพี่ชายเธอคงครองตัวเป็นโสดไปอีกนาน เพราะเขารักชีวิตโสด ผู้หญิงในชีวิตของเขาจึงเป็นได้เพียงทางผ่านหรือไม่ก็ของเล่นชั่วครั้งชั่วคราวรอวันเขาเบื่อแล้วสลัดทิ้งเท่านั้น

ปฐวีคือคาสโนว่าตัวพ่อ และคอนโดฯ หรูหรากลางกรุงของเขา ก็คือ โรงเชือดสาวดีๆ นี่เอง

“มองอะไรพี่?” ปฐวีถามพลางเลิกคิ้ว ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้วงหน้าที่ดูราวกับหนุ่มน้อยนั้นให้ดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น ปฐวีจะรู้ตัวหรือไม่รู้ก็ตาม แต่ใบหน้าของเขามีเสน่ห์เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเขาหลิ่วตา เสน่ห์ผูกมัดสาวๆ คือดวงตาคมกล้าที่สามารถสยบหญิงสาวทุกผู้ทุกนาม เขาสามารถทำให้สาวๆ ทุกคนมาสยบแทบเท้าได้หากเธอเหล่านั้นเป็นคนที่เขาต้องการ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แค่มองตรงๆ เลิกคิ้วน้อยๆ และยิ้มบางๆ ที่มุมปาก บรรดาสาวๆ ก็พร้อมจะใจละลายอยู่แทบเท้าเขา และที่ผ่านมายังไม่เคยมีสาวคนไหนทัดทานเสน่ห์เขาได้ด้วย นั่นหมายความว่า...ยังไม่มีสาวคนไหนที่เขาอยากได้ แล้วไม่ได้

เสียงของปฐวีดึงเธอจากภวังค์ ปานวาดส่ายหน้า “ไม่บอก”

ปฐวีแสร้งแยกเขี้ยว แต่มีผลให้ใบหน้าคมคายดูสว่าง ชวนมองยิ่งขึ้น อย่างที่บอกพี่ชายเธอเหมือนได้พรจากพระเจ้า จะยิ้ม จะพูด จะหัวเราะ หรือแม้กระทั่งทำหน้าบึ้ง ก็ยังดูหล่อชวนมอง ปานวาดยังคงนึกอะไรไปเรื่อยเปื่อย

ผู้เป็นพี่ชายกล่าวต่อว่า “ว่าไปแล้ว ก็ดีเหมือนกัน อยากงมงายกับเรื่องไสยศาสตร์กันดีนัก เจอแบบนี้จะได้ตาสว่าง เลิกงมงายเสียที พี่ก็ว่าแล้วพวกจับยามสามตา ญาณทิพย์ตาทิพย์มีที่ไหนกัน มีแต่หลอกเด็ก แล้วเป็นไงลวงโลกทั้งเพ”

“แต่พี่เองนะเป็นคนให้สารวัตรคมสันช่วยตามหา”

“ทำเพราะเสียไม่ได้น่ะสิยายวาด ลองคิดดูถ้าพี่ไม่ทำอะไรเสียเลย คุณแม่จะเลิกแย้วๆ ไหม”

“โห... พูดซะคุณแม่กลายเป็นแมวเลย”

“ก็เรื่องจริง คุณแม่ชอบบังคับพวกเราให้ช่วยหาคนทรงเจ้า หมอจับยามเก่งๆ มันเป็นเรื่องไร้สาระทั้งนั้น พี่ไม่อยากขัดใจ เลยลองให้เจอกับตัวเองบ้าง ที่ผ่านมาสูญเงินเป็นแสนๆ ไม่เท่าไหร่ แต่นี่ถึงกับจะเสียลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ดีสม”

“พี่วีใจร้าย วาดไม่ขำด้วยหรอกนะ ตอนที่ฟังจากคุณแม่ วาดยังอึ้ง ผู้หญิงอะไรช่างกล้า ไม่เจียมเลยจริงๆ เห็นว่าหน้าตาอัปลักษณ์ยังกับคางคกด้วยนะคะ สงสัยจะเป็นโรคเท้าแสนปม ฟังแล้วอยากจะอ้วก”

ปฐวียังคงมองเป็นเรื่องตลก “เอาน่า... พี่กาลก็โสด ส่วนคุณแม่ก็ชอบรบเร้าให้แต่งงาน พี่กาลก็อ้างว่ายังไม่เจอคนที่ถูกใจ หนนี้ล่ะจะได้เจอแจ็กพ็อตสองเด้ง เด้งแรกไม่ต้องเลือก แถมเด้งสองได้ทำบุญทำกุศลให้คุณพ่อ นัยว่าเธอช่วยคุณพ่อได้ไม่ใช่เหรอ ถ้าแต่งงานกับพี่กาล ก็จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้” ยังคงเอามาล้อเลียนอย่างสนุกสนาน ปานวาดไม่รู้ว่าเสียงหัวเราะถากถางในตอนท้าย พี่ชายตั้งใจจะเย้ยหยันใครกันแน่ระหว่างบุพการีหรือพี่ชายคนโต เธอคาดเดาจิตใจของฝ่ายนั้นไม่ถูกจริงๆ เพราะรายนี้ชอบถากถางคนไปทั่ว ปานประหนึ่งเกิดมาเพื่อหยันคนทั้งโลก

“พี่วีก็มองเป็นเรื่องตลกไปได้ นี่เรื่องซีเรียสของครอบครัวนะ อย่าทำเป็นเรื่องเล่นๆ สิ เราต้องช่วยกันคิดว่าผู้หญิงคนนั้นเข้ามาเพื่อหวังอะไร”

“จะซีเรียสไปทำมั้ยยายวาด ชีวิตก็มีแค่นี้ ถ้าอยากรู้แน่ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นต้องการอะไร ทำไมไม่ปล่อยให้แต่งงานกับพี่กาลไปล่ะ เราจะได้หายข้องใจยายวาด”

“บร้า...ไอ้พี่วีบ้า ยังจะเอามาพูดเล่นอีก”

“เปล่า พี่ไม่ได้พูดเล่น พี่อยากรู้จริงๆ ว่าเธอจะหลอกครอบครัวเราไปได้อีกสักกี่น้ำ ในเมื่ออ้างว่าช่วยคุณพ่อเราได้ พี่ก็อยากรู้ว่าเธอจะมีวิธีไหนรักษา ในเมื่อหมอสมัยใหม่ก็บอกแล้วว่าไม่มีทางรักษา เพราะเป็นโรคที่เกิดจากสภาพจิตใจ”

“แต่จิตแพทย์ก็บอกแล้วว่าคุณพ่อเราไม่ได้เป็นอะไร”

“พี่ว่าจิตแพทย์ยังไม่เก่งพอ”

ปานวาดนิ่วหน้าอย่างไม่เห็นด้วยนัก

“จริงๆ นะพี่อยากให้พี่กาลลองแต่งกับผู้หญิงคนนั้น บางทีเราอาจรู้คำตอบว่าเธอเข้ามาในครอบครัวเราเพื่อหวังผลอะไร”

“เธอไม่ได้เป็นฝ่ายเข้าหา แต่เราเป็นฝ่ายไปเสาะแสวงหาเธอเองนะ”

“ก็นั่นแหละ อาจเป็นไปได้ว่าพอเห็นพี่กาลปุ๊บ เกิดนึกรัก ตบะที่เพียรสร้างมาหลายปีเลยแตกโพละก็ได้ ก็พี่กาลหล่อปานเทพบุตรแบบนั้น สาวๆ เห็นแล้วไม่หวั่นไหวก็แปลกไปล่ะ”

ปานวาดปรายตาค้อน เพราะคนพูดหล่อเหลายิ่งกว่าเทพบุตรที่เจ้าตัวพูดถึง แต่เธอไม่มีโอกาสแย้งเมื่อเสียงของมารดาดังขึ้นก่อนว่า

“แม่ไม่ขำไปด้วยหรอกนะนายวี เรื่องแบบนี้เอามาพูดเล่นได้เหรอ ไม่ใช่เรื่องจะมาพูดเล่นๆ เพราะงั้นจะมาพูดพล่อยๆ ว่าให้พี่เราแต่งกับใครสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไง ถ้าให้เราไปแต่งกับแม่นั่นเอง ก็ว่าไปอย่าง” เสียงคุณพุดซ้อนดังขึ้นก่อนจะโผล่มาให้เห็นตัว คุณพุดซ้อนพูดกระแทกเสียงอย่างประชดประชันแล้วเดินออกมาจากมุมห้อง ตรงมาสมทบกับลูกชายลูกสาวในห้องนั่งเล่น ทรุดนั่งข้างๆ ปฐวีพลางตวัดตาค้อน

ปานวาดสะดุ้ง ขณะที่คนถูกประชดแค่หัวเราะแล้วไหวไหล่ มองเป็นเรื่องขี้ผง

“ถ้าว่าที่ลูกสะใภ้คนสวยของคุณแม่รีเควสว่าต้องเป็นผม ก็ไม่แน่” ปฐวีล้อเลียนอย่างสนุกสนาน เขาแสร้งหลิ่วตาใส่ผู้เป็นมารดาเพื่อให้ตีอกชกหัวเล่น ปฐวีรู้ว่าผู้เป็นมารดาแสร้งประชดเล่นในเรื่องให้เขาแต่งงานกับอัปสร เพราะเรื่องหน้าตาของวงศ์ตระกูล คุณพุดซ้อนให้ความสำคัญเป็นที่หนึ่ง ฉะนั้นไม่มีทางปล่อยให้เขาแต่งงานกับสาวคนไหนๆ โดยไม่ผ่านการสแกนหรืออนุมัติจากเธอก่อน

“อย่ามาทำหน้าทะเล้นใส่แม่นะนายวี ไปหยอดเสน่ห์กับสาวๆ โน่นไป อย่ามาทำตาเล็กตาน้อยกับแม่ด้วย แล้วเรื่องแบบนี้ห้ามเอามาพูดเล่นอีก แม่บิดเนื้อเขียวแน่” ไม่แค่พูด แต่เอื้อมมือไปสาธิตด้วย ไม่สนใจอาการสะดุ้งโหยง ผละหนีพลางทำหน้าโอดโอยของลูกชาย “ไม่ต้องมาทำสำออย” ตวัดตาค้อนเมื่อเห็นลูกชายแสร้งทำตาปรอย คุณพุดซ้อนพูดต่อว่า “แม่ไม่ยอมให้กาลแต่งกับแม่คางคกนั่นหรอก แต่งไปเสียชื่อตระกูลเราแย่ จะมีหน้าไปพบญาติๆ เพื่อนๆ ได้ไงว่าจะแต่งลูกชายทั้งที กลับไปคว้าผู้หญิงอัปลักษณ์มาสืบสกุล”

“แม่อัปสรอะไรนั่นอัปลักษณ์มากหรือคะ” ปานวาดเท้าแขนบนหมอนอิง นิ่งฟังอย่างสนใจ ความจริงเธอฟังจากคุณพุดซ้อนที่โรงพยาบาลมาแล้วหนหนึ่ง มารอบนี้ได้ฟังคุณพุดซ้อนย้ำอีกรอบ เริ่มรู้สึกว่าที่ตัวเองมโนภาพเอาไว้ อาจได้ไม่ถึงครึ่งกับความอัปลักษณ์ที่แท้จริงของอัปสร

“มากลูก หน้าตาตะปุ่มตะป่ำ เหมือนคางคกยังไงยังงั้น แถมตาปูด ฟันเหยิน ปากเบี้ยว ไม่รู้จะบรรยายความน่าเกลียดยังไงดี เห็นแล้วแม่ขนลุก ไม่รู้ชาติที่แล้วทำกรรมหนักอะไรไว้ ชาตินี้ถึงได้เกิดมาอัปลักษณ์แบบนั้น”

“ฟังๆ แล้วอัปลักษณ์สมบูรณ์แบบเลยนะคะนั่น”

“ใช้คำนั้นได้เลยลูก ลองนึกภาพนางแก้วหน้าม้าเป็นโรคเท้าแสนปมสิ ยังไงก็ยังงั้นเลย”

“ยี้...น่าขยะแขยงนะคะ เกิดมาพิกลพิการแล้ว ใจยังพิการคิดแต่เรื่องบัดสีอีก แทนที่จะสร้างบุญสร้างกุศลเยอะๆ จับพลัดจับพลูได้เกิดชาติหน้า บุญกุศลจะได้หนุนให้ไปเกิดดีๆ หน้าตาสวยๆ แต่กลับมาทำตัวแบบนี้ ไม่ไหวเลยจริงๆ”

“นั่นสิ... มาหลอกชาวบ้านแบบนี้ ถือว่าเลวมาก แม่ว่าแม่นี่คงไม่ได้ตายดีแน่ แล้วถึงตายไปก็คงตกนรกหมกไหม้ ชาติหน้าก็คงไม่ได้เป็นคน คงได้ไปเกิดเป็นคางคกจริงๆ สมใจแน่”

ปฐวียังคงเฝ้ามองมารดาและน้องสาวโต้ตอบกันด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ทุกข์ร้อนเพราะมองเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว แล้วคุณพุดซ้อนก็พูดเปลี่ยนเรื่อง

“เอาล่ะ... แม่ต้องเอาเสื้อผ้าไปให้พี่กาลล่ะ ไม่รู้ได้อาบน้ำอาบท่าบ้างหรือยัง รายนั้นเฝ้าคุณพ่อมาตั้งแต่เช้า” เหมือนจะว่ากระทบกระเทียบลูกชาย เพราะพูดแล้วปรายตาไปมอง แต่ปฐวีกลับนิ่งฟังเฉย ไม่มีสีหน้าทุกข์ร้อน คุณพุดซ้อนจึงได้แต่ปรายตาค้อน

“งั้นให้วาดเฝ้าแทนดีไหมคะคืนนี้” ปานวาดอาสา ถึงจะมีพยาบาลพิเศษดูแล แต่คุณพุดซ้อนไม่เคยไว้ใจคนนอก ฉะนั้นต้องมีคนในครอบครัวอย่างน้อยหนึ่งคนอยู่เฝ้าด้วยทุกคืนเสมอ

“วาดเป็นเด็ก แถมเป็นผู้หญิงด้วย อยู่บ้านอ่านหนังสือเรียนไปนั่นแหละดีแล้วลูก ปล่อยให้หน้าที่นั้นเป็นของหนุ่มๆ ดีกว่า” พูดแล้วชายตาไปมองลูกชายคนรองอีกรอบ

“จะว่า...ว่าผมเอาเปรียบ ไม่ยอมสลับเวรกับพี่กาล ก็ว่ามาเถอะ”

“ก็จริงไหมล่ะ กี่เดือนกี่ปีมาแล้วที่ปล่อยให้พี่เขาเป็นคนเฝ้าไข้ เราน่ะไปเฝ้าคุณพ่อแทบนับครั้งได้”

เป็นที่รู้กันในหมู่เครือญาติว่าปฐวีเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคุณปิยชาติมาแต่ไหนแต่ไร ทุกเรื่องที่คุณปิยชาติพูด ปฐวีเป็นต้องทำตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องผู้หญิง ตลอดจนเรื่องอื่นๆ อีกร้อยแปด แต่คุณปิยชาติไม่เคยว่ากล่าวกับการที่ลูกชายเห็นต่างและไม่เชื่อฟัง ยกเว้นเรื่องเดียวที่คุณปิยชาติทนดูดายหรือทำเป็นมองไม่เห็นไม่ได้อีกต่อไป นั่นคือเรื่องสไตล์การบริหารบริษัท คุณปิยชาติให้คำจำกัดความการทำงานของลูกชายว่าบ้าดีเดือดและเต็มไปด้วยความเสี่ยง ผิดตำราของเขาที่เน้นความสุขุมรอบคอบ ต้องมั่นใจว่าศึกษาดีแล้วและทำกำไรแน่นอนถึงจะยอมลงทุน แต่ปฐวีกลับพร้อมยอมเสี่ยงตลอดเวลาแม้บางงานมองเห็นอยู่ทนโท่ว่าโอกาสพลาดมีสูง แต่รายนั้นก็ยังยอมเสี่ยง ฉะนั้นคุณปิยชาติจึงเฝ้าดูด้วยใจที่เต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ตลอดมา หวั่นว่าลูกชายอาจก้าวพลาดเข้าสักวันและนำพาธุรกิจที่สร้างมาหลายชั่วอายุคนอับปางลง แม้ในอดีตปฐวียังไม่มีประวัติการตัดสินใจที่ผิดพลาด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าลูกชายของเขาจะดวงดีหรือมีโชคแบบนั้นเสมอไป เพราะบางทีที่ผ่านมาอาจเกิดจากยังไม่เจอหมูเขี้ยวตันจริงๆ ก็ได้ ด้วยเหตุนี้คุณปิยชาติจึงโปรดปรานลูกชายคนโตมากกว่า ปฐมกาลเลือกที่จะเจริญรอยตามเขาในทุกๆ เรื่อง โดยเฉพาะสไตล์การทำงาน ทั้งเป็นคนนิ่มนวลและเชื่อฟังบุพการีทุกเรื่อง ดังนั้นปฐมกาลจึงกลายเป็นลูกรัก ในขณะที่ปฐวีเป็นลูกชัง

อาจไม่ถึงกับลูกชังตามความหมายของคนทั่วๆ ไป แต่ถ้าเทียบในบรรดาลูกๆ สามคน ปฐวีก็ได้ชื่อว่าโปรดปรานน้อยสุด ได้รับการยอมรับและความสนใจน้อยที่สุด...

ปฐวีไม่ได้หวั่นไหวกับคำค่อนขอดของมารดา เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “ผมว่าผมไปเฝ้า รังแต่จะทำให้คุณพ่อทรุดหนักลงนะครับ เผลอๆ ที่คุณพ่อยังไม่หาย อาจเพราะเห็นผมเกะกะลูกกะตาอยู่ก็ได้”

“นายวี! บาปปากจริงๆ กระแหนะกระแหนคุณพ่อแบบนั้น บาปหนานะลูก”

คนถูกเตือนหัวเราะ ไม่ค่อยเชื่อเรื่องเวรกรรมนัก ปฐวีกล่าวว่า “เอาเถอะครับ ถ้าอยากให้ผมไปเฝ้าจริงๆ เดี๋ยวคืนนี้ผมไปเฝ้าให้”


………………………………..







Create Date : 18 มีนาคม 2557
Last Update : 28 มีนาคม 2557 7:49:54 น.
Counter : 1872 Pageviews.

10 comments
  
เรื่องนี้เป็นแนว Beauty and the beast รึป่าวคะ แล้วปฐวีเป็นพระเอกนิสัยเสียที่น่าจะโดนแกล้ง เดาไปเรื่อยเลยค่ะ 555
โดย: pantan IP: 110.168.156.236 วันที่: 18 มีนาคม 2557 เวลา:9:11:39 น.
  
จะเป็นยังงัยหน่า ถ้าได้แต่งกะนายปากเสียก็คงจะฮาดีนะ อิอิ
โดย: sakeena IP: 115.87.66.251 วันที่: 18 มีนาคม 2557 เวลา:10:31:11 น.
  
คนที่ได้แต่งจะเป็นคนรองรึเปล่าค่ะ แต่ต้องมีเหตุผลเช่นอาจเจอเนื้อคู่จะเห็นหน้าตาที่แท้จริงๆก้ได้นะค่ะ
โดย: อร IP: 125.26.110.66 วันที่: 18 มีนาคม 2557 เวลา:13:20:58 น.
  
คนในครอบครัวต่างก็คิดว่าสาวเจ้าตั้งเงื่อนไขขอแต่งงานกับพี่ชายคนโต

คนอ่านเลยคิดว่าตัวเองอ่านข้ามหรือเปล่าหว่า? จำได้ว่าท้ายตอนที่แล้วไม่ได้ระบุนี่ว่าแต่งกับลูกชายคนไหน .. แสดงว่าจุดนี้ตอกย้ำคนโตคือลูกรักตัวจริงนั่นเอง 55

อ่ะนะ บางทีหนุ่มปากร้ายอาจตกลงใจแต่งกับสาวอัปสรประชดพ่อตัวก็ได้นา ให้สมกับที่ความเป็นลูกชัง อิอิ

ลุ้นๆต่อไป .. ว่าอะไรคือ เหนือชั้น คาดไม่ถึงที่คุณอุ๋ยบอก
โดย: susi IP: 180.180.61.55 วันที่: 18 มีนาคม 2557 เวลา:19:30:47 น.
  
ฮ่าๆๆคุณเอ๋ นี่เดาทางถูกทุกที ฮ่าๆๆ แต่แกล้ง...ไม่ใช่แกล้งแบบนั้นน้าๆๆๆ เรื่องนี้จะเป็นเรือ่งแรกที่พระเอกได้แต่หื่นแต่ทำอะไรนางเอกไม่ได้ หมายถึงแกล้งในรูปแบบนั้นค่ะ ฮ่าๆๆๆ

คุณ sakeena คะ โลกของพ่อปฐวีก็จะถล่มทลายลงมาเลยค่ะฮ่าๆๆ รายนี้จะยิ่งคลั่งยิ่งกว่าพี่ชาย ^^

คุณอร เดาถูกครึ่งหนึ่งค่า ^_^ แต่จะถูกส่วนไหนต้องติดตามต่อไปเน้อออ อ่านความเห็นของคนอ่าน บางทีได้ไอเดียต่อยอดดีค่ะ หลายความเห็นน่าสนใจมากๆๆๆ จุดประกายให้คิดต่อ ขอบคุณค่ะ ^^

คุณ susi คุณกานต์คะ ช่างคิดอีกแล้ววววว ฮ่าๆๆ แม่นแล้วค่ะ โห...อุตส่าห์ไม่ให้ฮินท์อะไรเลยคุณกานต์ยังเดาถูกอีก เยี่ยมมากเลยค่ะ เอ...หรืออุ๋ยเขียนให้เดาง่ายไปน้า
โดย: คณิตยา วันที่: 19 มีนาคม 2557 เวลา:1:22:55 น.
  
ดีใจด้วยค่ะ ไฟเริ่มติดแล้ว อิอิ
โดย: greentea IP: 125.24.212.188 วันที่: 19 มีนาคม 2557 เวลา:2:32:12 น.
  
งมงาม ต้องเป็นงมงาย

มองแล้วมองอีกแทบไม่เชื่อสายตาว่าคุณอุ๋ยลงเรื่องใหม่ (แอบรอมาตั้งนาน) อ่านแล้วอึ้งค่ะคุณอุ๋ยคิดพลอตแต่ละเรื่องแปลก ๆ ชวนอ่านทั้งนั้น เรื่องนี้อ่านแล้วนึกถึงสังข์ทอง อัปสรเป็นเจ้าเงาะ ส่วนปฐวีจะเป็นรจนาหรือเปล่ารออ่านต่อนะค้า
โดย: alanta IP: 49.0.68.104 วันที่: 19 มีนาคม 2557 เวลา:14:19:11 น.
  
คุณกรีนที : ขอบคุณพี่จ๋ามากๆๆ ค่ะ จุ๊บๆๆๆ ตอนไฟมาเลยต้องเร่งปั่นกันอย่างหามรุ่งหามค่ำเลยทีเดียว ^__^

คุณ alanta : คิดถึงคุณ alanta เช่นกันค่า แอบกังวลเล็กๆ ว่าคุณ alanta จะยังเข้ามาติดตามอ่านไหมและเห็นเรื่องใหม่หรือยัง พอเห็นเมนท์แล้วดีใจเลยค่ะ ^__^ ดีใจที่ยังคิดถึงกันและไม่ลืมกันค่ะ ป.ล. เรื่องนี้มาแนวเก็บกดฮ่าๆๆๆ จะเป็นอะไรที่ตรงกันข้ามกับไฟรัก ค่ะ แรงบันดาลใจมาจาก...อยากเขียนสิ่งที่ตรงกันข้ามกับไฟรัก แต่จะตรงข้ามแง่ไหน คงต้องขอให้ติดตามกันต่อไปล่ะค่ะ ^_^

ป.ล. แต่เรื่องนี้ไม่ใช่แนวสังข์ทองสักทีเดียว เพราะนางเอกจะถอดรูปไม่ได้ แต่จะค่อยๆๆ....ต่างหาก แหะๆๆ แย้มแค่นี้นะคะ เดี๋ยวไม่ลุ้น ^__^
โดย: คณิตยา วันที่: 20 มีนาคม 2557 เวลา:2:55:30 น.
  
ชื่อคุณแม่ กลายเป็น พุดชาด ไปที่นึงค่ะ
แล้ว คุณไส ต้องเป็น คุณไสย
ปฐวีโดนเด่น จนปฐมกาล ดูจืดไปเลย
โดย: goldensun IP: 61.91.4.2 วันที่: 27 มีนาคม 2557 เวลา:20:18:54 น.
  
ขอบคุณคุณ goldensun ค่ะที่ช่วยบรูฟ คิดถึงๆๆ ค่า ^^
โดย: คณิตยา วันที่: 27 มีนาคม 2557 เวลา:20:46:38 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments