|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ความสำคัญของ ๖ ตุลา กับสถานะทางประวัติศาสตร์
เรียบเรียงโดย วิภา ดาวมณี
ในอดีตเคยมีเหตุการณ์นองเลือดทางการเมืองเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ หลายครั้งหลายหน ได้แก่ กบฎบวรเดช ๑๑ ๒๗ ตุลาคม ๒๔๗๖ กบฎวังหลัง ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ กบฎแมนฮัตตัน ๒๙ มิถุนายน ๒๔๙๔ เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เหตุการณ์ ๑๘ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕ คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเหตุการณ์นองเลือด กลางพระนครครั้งรุนแรงและโหดร้ายที่สุด คือ เหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙
ในบทความซึ่งอาจจะดีที่สุดเกี่ยวกับ การรัฐประหาร ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ โดยศาสตราจารย์เบเนดิก แอนเดอร์สัน กล่าวไว้ว่า โดยตัวของมันเองแล้วรัฐประหาร ๖ ตุลา ไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์ไทย ไม่ว่าจะในสมัยใหม่หรือสมัยเก่า เพราะเคยมีรัฐประหารหรือความพยายามที่จะทำรัฐประหารมาแล้วครั้งแล้วครั้งเล่านับตั้งแต่การปฏิวัติ ๒๔๗๕ ดังนั้นทั้งนักวิชการและนักหนังสือพิมพ์ตะวันตก ต่างก็ลงความเห็นว่า การรัฐประหาร ๖ ตุลา เป็นเรื่อง ธรรมดาๆ ของการเมืองไทย และเป็นการกลับไปสู่ สภาพปกติ หลังจากยุค ประชาธิปไตยเบ่งบาน หลังการปฏิวัติ ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ มาเป็นเวลา ๓ ปี
แต่เบเนดิก แอนเดอร์สัน ก็กล่าวว่า การรัฐประหาร ๖ ตุลา เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อใหม่ของการเมืองไทยอย่างน้อย ๒ ประเด็น คือ (๑) บรรดาผู้นำฝ่ายซ้าย แทนที่จะจบลงด้วยการถูกจับเข้าคุกจนลืม หรือลี้ภัยการเมืองไปอยู่ต่างประเทศ กลับเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หรือกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทยในเขตป่าเขา และ (๒) การรัฐประหาร ๖ ตุลา แตกต่างจากการรัฐประหารที่เคยมีมา คือ ไม่ใช่เพียงการยึดอำนาจกันในหมู่ผู้นำเท่านั้น แต่เป็นการรัฐประหารที่ฝ่ายขวาหรือ กลุ่มอนุรักษ์นิยมใช้เวลากว่า ๒ ปี ในการวางแผนการรณรงค์ คุกคาม และใช้ความรุนแรงอย่างเปิดเผย เห็นได้อย่างโจ่งแจ้งในการปลุกปั่นยุยงให้เกิดความบ้าคลั่งของฝูงชน ม็อบ เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙
การรัฐประหาร ๖ ตุลา มาพร้อมกับความรุนแรงและป่าเถื่อน อย่างชนิดที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ในสังคมไทย ภาพของความทารุณโหดร้ายได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลก การสังหารหมู่กลางพระนคร หน้าพระบรมมหาราชวัง และ พระอารามหลวงในวันนั้น ถูกถ่ายทอดออกโทรทัศน์ช่อง ๙ ด้วย เหยื่อความรุนแรงก็ถูกจับเข้าคุก ส่วนผู้ที่ก่ออาชญากรรมก็ได้รับการขอบคุณยกย่องจากบุคคลระดับสูงของสังคมไทย เย็นวันเดียวกันนั้น คณะทหารก็ประกาศยึดอำนาจ ทางการแถลงว่าในวันนั้นมีผู้เสียชีวิตประมาณ ๔๐ คน บาดเจ็บเป็นร้อย และถูกจับกุมไป ๓ พันคน แต่ก็เชื่อกันว่าจำนวนผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ รวมทั้งสูญหายน่าจะสูงกว่าที่ทางการแถลง
กล่าวโดยย่อ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ก็คือวันที่มีการรัฐประหาร นำการเมืองไทยกลับไปสู่การปกครองโดยคณะทหารอีกครั้งหนึ่ง โดยมีนายกรัฐมนตรีมาจากข้าราชการตุลาการ
ยิ่งนานวัน ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ กลายเป็นอดีตที่ดูเหมือนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ขาดสถานะทางประวัติศาสตร์ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ทั้งจากอุดมการณ์ทั้งขวาและซ้าย ดูจะสับสน งุนงง เลอะเลือน และบางครั้งขาดความเข้าใจต่อ ๖ ตุลา ในบริบทเฉพาะของการเมืองไทย และบริบทใหญ่ของการเมืองโลก
ในบริบทประวัติศาสตร์การเมืองไทย ๖ ตุลา เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางสังคมที่เป็นปฏิปักษ์ ต่อต้าน และพยายามปลดปล่อยตนเองจากการครอบงำของระบอบสังคมเก่า ขบวนการนี้รู้จักในชื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญ หรือ เสรีภาพ
แนวความคิดทางการเมืองใหม่โดยพาะอย่างยิ่ง เสรีนิยม และ สังคมนิยม อันเป็นสิ่งที่ตรงข้ามและปฏิปักษ์กับลัทธิ อนุรักษ์นิยม หรือที่แตกหน่ออกมาเป็น อำนาจนิยม คือพื้นฐานของ สมบูรณาญาสิทธิ์ กับ เสนา อำมาตยนิยม
ถ้าหากจะดูตามลำดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์แล้ว จะเห็นได้ว่าความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและทางความคิด กินระยะเวลาอันยาวนานกว่า ๑๐๐ ปี
อาจกล่าวได้ว่ากระแสความคิดทางการเมืองหลักของผู้ที่ต้องการจะปลดปล่อย นับตั้งแต่เทียนวรรณมาถึงพวกกบฎ ร.ศ. ๑๓๐ (เก็กเหม็ง) จนกระทั่ง ผู้ก่อการ หรือ คณะราษฎร ๒๔๗๕ นั้นเป็นความคิดด้านเสรีนิยมเป็นหลัก เมื่อการปลดปล่อยเข้าสู่ระบอบใหม่ภายหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ไม่บรรลุตามเป้าหมายหลังการสิ้นสุดของ สมบูรณาญาสิทธิ์ การเมืองไทยจึงได้แปลงรูประบอบเข้าสู่ความเป็น เสนา อำมาตยนิยม เรียกกันทั่วๆ ไปว่า เผด็จการทหาร ซึ่งในความจริงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงข้าราชการทหารเท่านั้น แต่รวมไปถึงข้าราชการพลเรือนและข้าราชการตุลาการด้วย
การปลดปล่อยตัวเองนี้ยังยืดเยื้อยาวนานมาอีก ผ่านช่วงของเหตุการณ์ ๖ ตุลา ๒๕๑๙ ผ่านช่วงพฤษภามหาโหด ๒๕๓๕ จนกระทั่งปัจจุบัน เมื่อ ๑๙ กันยายน ปีที่ผ่านมา ในช่วงของการเดินทางของประวัติศาสตร์การเมืองไทยนับแต่ ๒๕๑๙ เป็นต้นมา
ในทางสากลกระแสคลื่นของการปฏิวัติยังคงกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป คละเคล้าด้วยความคิดทั้งแบบเสรีนิยมและแบบสังคมนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทศวรรษ ๑๙๖๐ และ ๑๙๗๐ ที่เป็นยุคสมัยของขบวนการนักศึกษาทั่วโลก ขบวนการนักศึกษากลายเป็นพลังทางสังคมและการเมืองสำคัญ 4 ทศวรรษที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งก็ตรงกับช่วงก่อนและหลัง ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ พลังนี้มาจากปัญญาชนที่อยู่ในสถาบันทางความรู้ อยู่ในเมืองใหญ่ ใกล้กับอำนาจและสื่อมวลชน มาจากชนชั้นนำของสังคม
ในประเทศด้อยพัฒนา และกำลังพัฒนา รัฐจะดูเปราะบาง ไม่คุ้นเคยกับ ประชาธิปไตยและเสรีภาพ และไม่ฉลาดพอกับการจัดการกับขบวนการศึกษาของตนโดยสันติวิธี บ่อยครั้งรัฐจะทำเกินกว่าเหตุ ใช้ความรุนแรงและการทำลายชีวิตในการเผชิญกับปัญหา อย่างในเอเชียภาพของ อาชญากรรมโดยรัฐ กลายเป็นภาพที่คุ้นตา ทั้งพม่า ไทย จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลี ฯลฯ
ประติมานุสรณ์ ๖ ตุลา ที่หน้าหอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถูกสร้างขึ้นเมิ่สภามหาวิทยาลัยมีมติเห็นชอบ ในโอกาสครบรอบ ๒๐ ปี มี ตุลา มีลักษณะเป็นเขื่อนกั้นลำธาร การพัฒนาประชาธิปไตย อันสะท้อนว่าเจตนารมณ์ของหนุ่มสาวนักต่อสู้ที่ชิงชังต่อเผด็จการ แลอำนาจนิยมได้ถูกปิดกั้น
และประชาธิปไตยในปัจจุบันก็เป็นผลสะท้อนจากเหตุการณ์ ๖ ตุลา
คนที่มองว่าเราควรลืมเหตุการณ์ ๖ ตุล าคือคนที่ต้องการให้สังคมไทยล้มลุกคลุกคลานต่อไป
ในท่ามกลางความมืดมน ประติมานุสรณ์ ๖ ตุลา คือความพยายามระดับหนึ่งที่จะนำแสงสว่างกลับมาสู่สังคมไทย
นี่คือความจำเป็นในการชำระประวัติศาสตร์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙
( หมายเหตุ: จาก ในหนังสือ ๑๔-๖ ตุลา พิมพ์ครั้งแรกในหนังสือประจำงาน ๒๐ ปี ๖ ตุลา ของ คณะกรรมการดำเนินงาน ๒๐ ปี ๖ ตุลา ๒๕๓๙ เขียนโดยชาญวิทย์ เกษตรศิริ และหนังสือ ประติมานุสรณ์ 6 ตุลา 2519 จัดทำโดย คณะกรรมการดำเนินงานสร้างกำแพงประวัติศาสตร์ ธรรมศาสตร์กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในวาระเปิดประติมานุสรณ์ ๖ ตุลา เมื่อ วันที่ ๖ ตุลา ๒๕๔๓ )
ที่มา //www.2519.net
Create Date : 05 ตุลาคม 2550 |
Last Update : 5 ตุลาคม 2550 12:09:10 น. |
|
0 comments
|
Counter : 875 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|